ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    LOVE SICK : ชุลมุนหนุ่มกางเกงน้ำเงิน [YAOI]

    ลำดับตอนที่ #77 : 63rd CHAOS - Undefined Thing

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 31.98K
      137
      7 เม.ย. 63

     

     

    63rd CHAOS - Undefined Thing
     

    รอดชีวิตจากฝายนรกมาได้เราก็ต้องรีบจัดแจงอาบน้ำสระผมกันด่วนครับ! ไม่สระไม่ได้แล้วเพราะเหงื่อแตกเยอะมากกก ขืนดันทุรังซกมกต่อไปมีหวังชันนะตุได้ถามหาแหง แล้วไอ้พวกห่านี่ช่วยหยุดแกล้งกูสักสิบนาทีจะตายมะ ยาสระผมมันกินไม่ได้นะโว้ยไอ้ห่า เข้าปากกูเต็มไปหมดแล้วเนี่ย แค่ก ๆๆ

    หลังจากฝ่าสมรภูมิรบในห้องน้ำมาได้ (ยังกับสงครามตาลีบันครับ ทำไมกูต้องโดนรุมอยู่คนเดียวด้วย เชี่ยปุณณ์ก็ไม่ช่วย!) พวกผมก็เปลี่ยนเป็นชุดลำลองสบาย ๆ พลิ้วไปกินข้าวเย็นกัน ซึ่งแน่นอนว่ามื้อนี้อร่อยเต็มคราบ! เพราะได้แม่ครัวหัวป่าเป็นชาวบ้านละแวกนั้นแห่กันมาช่วยทำอาหารให้พวกผม แทนคำขอบคุณที่ทุกคนลงแรงปลูกหญ้าแฝกรอบฝายให้ชุมชนอย่างขะมักเขม้น (เหรอ) จนสำเร็จ =]

    ซึ่งผมก็ว่าจะซาบซึ้งอยู่แล้วเชียว ถ้ากับข้าวมันไม่ได้เผ็ดบรรลัยยย!!! อื้อหือออ เผ็ดเต็มสตรีมแบบต้นฉบับคนอีสานแท้ ๆ ไม่เห็นใจเด็กกรุงเทพฯ อย่างผมเลยครับ! กับข้าวมื้อนี้ทำเอาพวกเราชาวค่ายร้องโอดโอย ปากเจ่อปากบวมกันถ้วนหน้า เว้นแต่ไอ้โอมที่ทำท่าชอบอกชอบใจอยู่คนเดียว เพราะหันไปเห็นทีไรก็เอาแต่โซ้ยแหลกไม่แคร์สื่อ ผิดกับผมที่แทบกินข้าวเปล่ากับไข่เจียวและแกงจืด (ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่มีใครใส่พริกลงไป) มึงไปติดสินบนคนทำมาใช่มั้ยเนี่ยไอ้เชี่ยโอม เกินไปแล้วนะแบบนี้!

    แต่แม้กับข้าวจะโหดร้ายทารุณ ยังไงบรรยากาศหลังเสร็จงานก็เป็นอะไรที่ครื้นเครงมากอยู่ดี เพราะตอนนี้ทุกคนปลดปล่อยตัวตนแห่กันขึ้นไปร้องเพลงเต็มที่ครับ ผมอะโคตรฮาตอนไอ้ปุณณ์โดนพี่สตาฟค่ายลากขึ้นไปร้อง  'แต่เราก็หาาา กันจนเจออออ'  ฮ่า ๆๆ หน้าแม่งโคตรแสดงออกเลยว่าไม่อยากจะเจอกับพี่เขา (แต่ก็แทบโดนพี่เขาแดกเข้าไปทั้งหัวอยู่แล้วว่ะ) ก๊ากกกก สีหน้าไอ้ปุณณ์ทำเอาพวกผมขำกลิ้งยกมือเฮ ๆ ขออีกรอบยกใหญ่ (ก็มันตลกดีนี่หว่า อย่ามองกูอย่างงั้นเดะ) แถมเท่านั้นไม่พอ ยังมีไอ้เชี่ยโอมเสนอหน้าขึ้นไปร้อง ไอนี้ดดด ซัมบ้าดี้ เลิฟฟฟ พร้อมท่าเต้นชวนขนลุกอีก ทุเรศไม่ไหวจะทน มึงช่วยรีบลงมาเถ้อะ!

    แน่นอนว่านอกจากความสนุกยังแฝงไว้ด้วยความน่าสะพรึง (อึ๋ย) เพราะเริ่มมีคนทยอยตายมากขึ้นเป็นระยะแล้วครับ! สืบเนื่องจากคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของค่ายปลูกป่า พวกปอบเลยพากันออกอาละวาดยกใหญ่ อย่างเมื่อกี้นี้ตอนที่พวกผมเดินไปเข้าห้องน้ำกัน มีผม เอิ้น พีท พ้ง ปุณณ์ โอม (ไอ้ปุณณ์นี่แค่เห็นผมเดินออกมามันก็ตามมาและ แม่ง) เราเข้าห้องน้ำกัน 6 คน แต่ไอ้พีทเสือกเยี่ยวไวแถมยังใจร้อน เดินออกมาข้างนอกก่อนไม่รอพวกผม เป็นเหตุให้โดนปอบ (คนที่คุณก็รู้ว่าใคร) แดกมุมป้ายชื่อเรียบร้อย ตายสยองหน้าห้องน้ำชาย ฮ่า ๆๆๆ สมน้ำหน้ามัน (แล้วกูจะรอดไหมคืนนี้ ได้ข่าวว่านอนข้างปอบ)

    ดังนั้นตอนนี้ป้ายชื่อเลยกลายเป็นของมีค่า ถ้ายังไม่ตายก็ควรรักษาให้ยิ่งชีพครับ! ที่สำคัญคือห้ามไปไหนมาไหนกับคนไม่น่าไว้ใจเด็ดขาด (โดยเฉพาะมัน!) พวกผมกลับจากจุดเกิดเหตุฆาตกรรมไปที่หน้าเวทีอีกครั้ง ก็เห็นพวกพี่สตาฟค่ายกำลังร้องเพลงลูกทุ่งเอาใจคนในชุมชนอย่างสนุกสนานอยู่ แต่พอเหลือบไปที่โต๊ะอีกทีเสือกเห็นว่าสีตัวเองยังมีกองจานใช้แล้ววางเรียงอีกหลายใบ ดูพวกมันดิ สงสัยมัวแต่สนุกจนลืมเก็บจาน นิสัยไม่ดีจริง ๆ

    แน่นอนว่าเห็นแบบนี้คนดีอย่างนายนภัทรก็ต้องออกโรงสิครับ! ผมรีบเดินไปเก็บจานที่เหลือด้วยสปิริตจิตอาสาเต็มเปี่ยม นี่ไม่ได้เกี่ยวกับน่องไก่ย่างที่ยังเหลือในจานอีกสองสามน่องนั่นเลยนะ ไม่เกี่ยวจริง ๆ

    ฮ้า อร่อยว่ะ

    "!!!"  แต่ใครวะมาทำเสียงก๊อกแก๊กอยู่ข้างกู ผมสะดุ้งเฮือกพลางรีบยัดคำสุดท้ายเข้าปาก (กลัวโดนแย่งจัด) ก่อนจะหันไปมองต้นเสียงก๊อกแก๊กข้าง ๆ อย่างหวาด ๆ (ว่าจะเป็นปอบตัวนั้น)

    แต่เป็นไอ้ปุณณ์ว่ะ กูว่าแล้วเชียวมึงต้องมา ผมเหล่มองไอ้คนแขวนป้ายชื่อสีเหลืองคาคอ แต่เสือกมายืนเก็บจานสีแดงอยู่ซะงั้น ก็คิดว่าจะบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวเก็บเองก็ได้อะนะ แต่ดันนึกออกก่อนว่ากำลังทำสงครามเย็นอยู่นี่หว่า

    เออ งั้นอยากช่วยก็ตามใจ ไม่ขัดศรัทธาก็แล้วกัน ผมยักไหล่กับตัวเองก่อนจะรวมเก็บจานทั้งหมดแล้วแบกไปด้านหลังห้องกินข้าวอันมืดสนิท ที่มีก๊อกน้ำกับอ่างใหญ่ ๆ ตั้งอยู่สองชุด

    เอิ่ม แต่ไม่เห็นมีใครบอกกูเลยนี่หว่าว่าต้องล้างเอง

    "หึหึ"  เสียงหัวเราะยียวนดังขึ้นไม่ไกลนักจากตัวผม ก่อนปุณณ์จะเป็นฝ่ายเดินนำไปเปิดก๊อกน้ำและนั่งยอง ๆ คอยถูน้ำยาล้างจานให้ เป็นดังนั้นผมจึงต้องอ้อมไปนั่งเก้าอี้ข้างมัน เพื่อคอยล้างน้ำเปล่าต่ออีกทีอย่างเสียไม่ได้

    แน่นอนว่าระหว่างเรามีแต่ความเงียบ (ถ้าไม่นับเสียงน้ำไหล กับเพลงดาวมหาลัยที่พี่เขาแหกปากร้องกันในโถงกินข้าวละก็นะ)

    "..."

    ผมลอบมองใบหน้าด้านข้างของปุณณ์ที่แม้ไม่พูดอะไร แต่ก็เคลือบด้วยรอยยิ้มจาง ๆ

    แล้วตกลงเราแง่ง ๆ กันเรื่องอะไรวะ จะว่าไปก็ชักลืมแล้ว

    ถ้างั้นไหน ๆ ลืมแล้ว ลองชวนคุยดูหน่อยคงไม่เสียหายอะไร...มั้ง

    "เอ่อ..."  ผมอ้าปากว่าจะชวนไอ้คนตรงหน้าคุยเรื่องดินฟ้าอากาศสักหน่อย (ยุงก็กัดเยอะฉิบหาย) แต่ดันไม่ไวไปกว่าเจ้าตัวดีที่ชิงพูดขึ้นมาก่อน

    "มึงไม่ง้อกูเลยนะ"  อ้าว ก็กำลังจะง้อนี่ไงวะ แม่งจะตัดหน้ากูทำไมเนี่ย!

    ผมเบ้ปากพลางหันไปมองปุณณ์ที่ยังคงทำเป็นล้างจานไม่สนใจอยู่ (แล้วตะกี้ผีพูดรึไง) เหอะ ตกลงกูต้องง้อใช่มะ แล้วนี่กูผิดเรื่องไรเนี่ย

    "มึงโกรธกูเรื่องไรเหอะ"  ผมถามมันฉุน ๆ ขณะรับเอาจานฟองฟอดมาล้างน้ำเปล่าต่อในกะละมัง โดยมีเสียงไอ้ปุณณ์แค่นหัวเราะเหอะตามมา

    "จะให้กูย้ำที่มึงพูดกับเอิ้นอีกครั้งมั้ย กูจำได้ทุกพยางค์เลยนะ"  โห ทีนี้เชื่อรึยังครับว่ามันเป็นพวกกัดไม่ปล่อยจริง ๆ ถึงขนาดบอกว่าจำได้ทุกพยางค์นี่อาการหนักว่ะ ผมชักจะโกรธมันขึ้นมานิด ๆ เพราะรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายไม่ไว้ใจกันเลย

    "มึงได้ยินแค่นั้นจะไปรู้อะไร กูไม่ได้หมายถึงอะไรเชี่ย ๆ อย่างนั้นนะ"  น้ำเสียงผมเริ่มห้วนเพราะความหงุดหงิด ก็จะให้นั่งอารมณ์ดีได้ไงอะ ในเมื่อที่ผ่านมาผมยังแสดงออกไม่พออีกรึไง ว่าคนที่ผมเลือกคือใคร

    ไอ้ปุณณ์เริ่มเงียบ ไม่ยอมโต้ตอบอะไรผม คงจับพลังได้ว่าผมกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน ผมถอนหายใจยาว พยายามทำใจให้เย็นลง ก่อนจะเริ่มพูดดี ๆ  "มึงไม่ไว้ใจกูเหรอ"

    "หึหึ"  แต่มีอะไรน่าขำวะ! ผมเงยหน้าจ้องมันทันทีที่ได้ยินเสียงไอ้ปุณณ์ ภูมิพัฒน์หลุดขำออกมา ภาพที่เห็นคือมันกำลังกลั้นขำจนแก้มตุ่ย นัยน์ตาหยี  "ขำอารายยย"  ผมลากเสียงยาวถามแม่งเคือง ๆ แต่มันแค่ยิ้มยิงฟันมา ก่อนจะตอบ

    "ก็ถ้ากูไม่ไว้ใจมึงกูจะมานั่งตรงนี้เหรอ"  มันถามกลับ ก่อนจะส่งยิ้มไม่น่าไว้ใจตบท้ายอีก เริ่มเตือนให้ผมนึกถึงอะไรบางอย่าง เอ๊ะ

    "ไอ้พวกไม่ไว้ใจอะนะ มันต้องหลบหน้า ชวนคุยก็ไม่คุย อธิบายอะไรก็ไม่ยอมฟัง เอาแต่หึงลูกเดียว เหมือนใครก็ไม่รู้ว่ะ หึหึหึ"  ไอ้ชั่ววว มึงเอาเรื่องแพมมาล้อกูเหรอ! ผมหน้าเหวอพลางรู้สึกอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ก็ตอนนั้นมันน่าเข้าใจผิดจริง ๆ นี่หว่า

    ปุณณ์ยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะโยนจานที่เปื้อนน้ำยาเป็นใบสุดท้ายลงในกะละมังตรงหน้าผม  "พนันกันปะล่ะ ว่าถ้าเป็นมึงน่ะฆ่ากูทิ้งไปแล้ว"  เหี้ย...กูไม่ได้ไร้มนุษยธรรมขนาดนั้นนะ ผมถลึงตาสู้มันอย่างไม่ลดละ  "ตลก อย่างมากก็แค่แบบคราวที่แล้ว"

    "ทำแบบนั้นก็เหมือนฆ่ากูนั่นแหละ"  มันยังต่อล้อต่อเถียงให้ผมรู้สึกหน้าร้อน ๆ ได้วูบหนึ่ง ก่อนไอ้ตัวดีจะถามสิ่งที่ผมไม่อยากให้ถามมากที่สุด  "ตกลงว่าไงวะ ไอ้เอิ้นมันจูบมึงรึเปล่า"  ฉิบหายละ ทีนี้ตอบไงดีวะ!

    ผมอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ขณะที่ใบหน้าของปุณณ์ ภูมิพัฒน์เริ่มเคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างต้องการค้นหาความจริง จนผมต้องถลึงตาใส่ ด้วยพยายามไม่หลบตามัน (เพราะเดี๋ยวจะดูเป็นพิรุธ)  "แล้ว...แล้วเห็นว่าไงล่ะ"

    "ไม่รู้ กูไม่เห็น แต่กูได้ยิน มึงจะบอกหรือไม่บอก ว่าตกลงมันจูบมึงรึเปล่า"  เหี้ยละ เอาไงดีวะคราวนี้ ผมค่อย ๆ เอนหลังหลบใบหน้าคมที่รุกรานเข้ามาใกล้อย่างไม่ลดละ พลางควานมือในกะละมังเพื่อล้างน้ำเปล่าเป็นจานสุดท้ายก่อนจะโยนเก็บไว้สั่ว ๆ

    "มันจูบมึงแบบที่กูจูบมึงรึเปล่า"  เมื่อเห็นว่าผมเอาแต่อ้ำอึ้งไม่ยอมตอบ ปุณณ์จึงเปลี่ยนคำถามในที่สุด ผมแอบเห็นในแววตาคู่นั้นดูวูบไหวไปครู่หนึ่งตอนพูดคำว่า จูบ เฮ้อ...ก็รู้ว่าไม่มีใครอยากให้แฟนตัวเองทำอย่างนั้นกับคนอื่นหรอก แม้กระทั่งผม จริงของมัน ถ้าเป็นผมคงเสียใจมาก

    "ค...แค่ปากโดนเฉย ๆ ไม่เรียกว่าจูบได้ไหมวะ"  เป็นอย่างนั้นผมจึงเริ่มต่อรองมัน เห็นนัยน์ตาคมคู่ที่จ้องมาอยู่ดูไม่พอใจคำตอบเท่าไหร่ แต่ยังสามารถเก็บอาการได้มากกว่าที่คิด

    "ว่าแล้ว เกมพรรค์นั้น"  มันพึมพำกับตัวเองอย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะหันมาสนใจผมต่อ  "แล้วมึงรู้สึกยังไงล่ะ ชอบบ้างรึเปล่า"  โห แต่ถามแบบนี้ยกขาฟาดหน้าแม่งได้ผมคงทำไปแล้ว

    ผมมองหน้าไอ้ปุณณ์อย่างเคือง ๆ กะจะด่าให้ยับแต่ดันเห็นนัยน์ตาไม่มั่นใจในตัวเองของมันก่อน เลยใจอ่อนไปเกินครึ่ง  "เออ กูรู้สึกว่า...ชอบไอ้เอิ้น"  ผมบอกมันเบา ๆ พร้อมกับที่ใบหน้าของปุณณ์เปลี่ยนสีไป ตอนนี้นัยน์ตาคมคู่นั้นไม่เหลือเค้าระรานผมแบบสองวินาทีก่อนแล้ว มีเพียงแต่ลูกแก้วสีดำที่ดูไร้เงา ราวกับเจ้าของมันทำวิญญาณหลุดหายไป แล้วใครจะทนดูต่อได้

    "แบบเพื่อน! ฮ่า ๆๆ แต่กูรักมึงมากกว่านั้นเย้อออ กิ๊ว ๆๆ ตกใจอะดิ"

    ก๊ากกก สะใจ! แต่ยังไม่ทันจะได้หัวเราะเยาะมันสมอยากดี ไอ้ปุณณ์ที่วิญญาณกลับเข้าร่างเรียบร้อยแล้วเสือกแยกเขี้ยวใส่ผมก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้มากขึ้นอย่างรุกรานซะงั้น!  "มึงสันดานมากนะที่แกล้งกูแบบนี้ กูเกือบช็อกตายแล้วรู้รึเปล่า!"  มันด่าพลางโน้มใบหน้ามาหาผมมากขึ้นจนเริ่มรู้สึกถึงสัญญาณอันตราย เพราะไม่เหลือที่ให้ผมหนีอีกต่อไป ฉิบหายแล้ววว

    "ห...เหี้ย ถอยไป กูอึดอัด"

    แต่ไอ้ปุณณ์ไม่ฟัง ซ้ำยังไม่เลิกรุกล้ำอาณาเขตผม เชี่ยไรเนี่ยยย  "มึงแสบมากนะ ป่วนกูจนไม่เป็นอันทำอะไรแบบนี้ กูคงต้องลงโทษมึงบ้างละ"  เสียงทุ้มนั่นค่อยกระซิบเบาลงจนผมกลืนน้ำลายฝืดคอ ลมหายใจคุ้นเคยระรินใบหน้าจนต้องร้องประท้วง  "จะทำไร นี่มันในค่ายนะเว้ย!"

    "ก็เพราะอยู่ในค่ายไง กูถึงต้อง...ทำตามกฎ"

    แคว่ก!!!

    ผมตะลึงงันไปหนึ่งวินาทีถ้วนเมื่อได้ยินเสียงประหลาดและความรู้สึกแปลก ๆ แถวลำตัว ตอนนี้ไอ้ปุณณ์เจ้าของรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ (ที่ผมรู้สึกว่าชั่วมากกว่าปกติ) ถอยกลับไปนั่งที่เดิมเรียบร้อยแล้ว ปล่อยให้ผมได้เห็นผลงาน

    การฉีกป้ายของมัน!

    เหี้ยยย ไอ้ปุณณ์เป็นปอบ!!!

    ผมอ้าปากค้าง อยากจะด่าอะไรสักอย่างแต่ก็ด่าไม่ออกเพราะตอนนี้สมองไม่ยอมสั่งการอย่างอื่น นอกจากบอกตัวเองซ้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ว่า 'ไอ้เหี้ยปุณณ์เป็นปอบบบ'

    เสียงสายยางที่เคยใช้ล้างจานเมื่อกี้ถูกแปรเปลี่ยนเป็นฉีดทำความสะอาดขาคุณชายปุณณ์แทน เรียกให้ผมตื่นจากภวังค์ปอบ (และเริ่มทำใจยอมรับความจริงว่ากูโดนฆ่าแล้ว) ผมลุกขึ้นยืนบ้างพลางมองหน้ามันอย่างเอาเรื่อง  "มึงกล้าฆ่ากู!"

    "แล้วไงอะ ฮ่า ๆๆ"  เหี้ยยย ดูคำตอบมันดิครับ! ผมว่าจะยกขาถีบแม่งสักทีแต่มันเสือกฉีดน้ำล้างขาให้ผมก่อน เลยต้องล้างกับมัน ว่าแต่ทำไมไอ้ปุณณ์ใส่รองเท้าผ้าใบหว่า

    "จริง ๆ กูก็ไม่เคยคิดจะฆ่ามึงเลยนะ"  แถมยังรีบแก้ตัว สงสัยกลัวผมด่าจัด แต่ไม่ต้องห่วงเพราะด่าแน่! แต่ขอฟังให้จบก่อน ผมเงยหน้ามองไอ้ปุณณ์ตาขวางจนมันต้องรีบแก้ตัวต่อ  "ก็มึงอยากกวนตีนกูทำไมอะ ตอนมึงบอกว่าชอบไอ้เอิ้นกูนึกว่าตัวเองตายไปแล้วด้วยซ้ำรู้ปะ กูเลยต้องฆ่ามึงมั่ง จะได้ตายไปด้วยกัน หึหึหึ"  ห่า นี่เหรอเหตุผล! ความชั่วของมึงครั้งนี้กูจะเอาคืนยังไงดี แม่ง ผมโบกกะโหลกมันแก้แค้นก่อนจะชักขาออกจากน้ำ เป็นเชิงว่าพอได้แล้ว ตีนกูจะเปื่อย ตกลงว่าเจ๊ากันใช่มะ ได้ฆ่ากูแล้วอารมณ์ดีใช่มะ ไอ้ส้าดดด!

    "แล้วทำไมมึงใส่ผ้าใบอะ เป็นเหี้ยไร คิดว่าหล่อไง้!"  พออารมณ์เสียก็เริ่มฟาดงวงฟาดงาแล้วครับ เห็นแค่ไอ้ปุณณ์ใส่รองเท้าผ้าใบก็เอามาด่าได้ ทำเอาเลขาสภาฯ ต้องหัวเราะขำผมที่ทำตัวหงุดหงิดก่อนจะกอดคอพาเดินกลับไปในโรงอาหารด้วยกันอีกครั้ง (ตอนนี้บนเวทีกลายเป็นมหรสพย่อย ๆ ไปแล้วครับ ทั้งสตาฟค่ายและลูกค่าย ชักแถวขึ้นไปแย่งไมค์กันยังกับเกิดมาไม่เคยร้องเพลงมาก่อน)

    แน่นอนว่าทันทีที่ปุณณ์ ภูมิพัฒน์ ขวัญใจประจำค่ายกลับมาในโรงอาหาร ก็โดนลากขึ้นเวทีให้ไปร้องเพลงกับพี่คนนี้คนนั้นทันที (หมั่นไส้ไอ้พวกขายดีวุ้ย ไอ้เอิ้นก็อีกคน) ส่วนไอ้คนหน้าตาธรรมดา (แต่อย่างอื่นไม่ธรรมดา) อย่างพวกผมก็นั่งแกร่วไปไม่มีใครเอา ฮ่า ๆๆ (เรื่องจริงคือพอกลับมาถึงโต๊ะแล้วทุกคนเห็นป้ายชื่อผมแหว่งก็เกิดพายุคำถามพัดมาล้านแปดทันทีครับว่าปอบตัวไหนฆ่าผม หึหึหึ บอกให้โง่ดิ พีท เรารู้กันใช่ปะว่าไอ้ปอบเหี้ยตัวนี้เนี่ย มันเนียนขนาดไหน)

    พวกผมนั่งตีแก้วเคาะจานกันเสียงดังล้งเล้ง (โคตรจิ๊กโก๋อะ) โดยเฉพาะตอนเอิ้นกับปุณณ์โดนโหวตให้เต้นเพลง เด็กมีปัญหา หา หาาา คู่กันเป็นโฟร์มด (เสื่อมมม!) ทำเอากุเครียดเลย โฟร์มดทำไมกระเดือกใหญ่ ขนหน้าแข้งดกอย่างงั้นวะ เสียหมด!

    แต่ระหว่างเรากำลังเฮ ๆๆ เพราะไอ้โอมขึ้นไปแจมด้วยอีกคนเป็นเฟย์ฟางแก้วอยู่นั่นเอง (เหี้ยนะมึง!) ก็มีมือเล็ก ๆ มาสะกิดหลังผมเบา ๆ ขัดจังหวะก่อน

    ผมสะดุ้งสุดตัว (ก็ตกใจอะ!) หันไปมองจิ๊ดที่กำลังยืนยิ้มอยู่  "ว่างรึเปล่าคะโน่"  แต่ถามแบบนี้จะให้กูตอบไงดีล่ะ ผมเลิกคิ้วมองเพื่อนรอบโต๊ะ แต่ทุกคนเสือกหลบตาหมด ไม่มีใครช่วยได้สักคน (เพราะบรรดาตัวแรง ๆ มันขึ้นไปแด๊นซ์กระจายบนเวทีกันหมดแล้ว)

    งั้นก็เอาวะ เป็นไงเป็นกัน  "ก็ว่างครับ มีไรให้ช่วยมั้ย"

    "ไปล้างจานเป็นเพื่อนจิ๊ดหน่อยสิ ไม่กล้าไปคนเดียวละ กลัวปอบ"  เอ่อ ได้ยินจิ๊ดพูดแบบนี้แล้วใครจะใจร้ายปล่อยให้ไปคนเดียวได้ (ผมเข้าใจความรู้สึกตอนโดนปอบฆ่าดีครับ Y_Y) เป็นอย่างนั้นผมจึงตัดสินใจลุกไปเป็นเพื่อนจิ๊ด โดยมีสายตาดุ ๆ จากไอ้หน้าหล่อบนเวทีส่งมาให้อย่างไม่ลดละ แต่ทำไงได้วะ กูจะรีบไปรีบมาละกัน

     

    ผมเดินเป็นเพื่อนจิ๊ดไปถึงบริเวณล้างจาน แต่มันไม่ใช่ที่ผมเพิ่งไปมากับไอ้ปุณณ์เมื่อกี้ว่ะ! อ๋อ มิน่าละ กูก็ว่าตรงนั้นมันเงียบแถมยังมืดแปลก ๆ ที่แท้เขามาล้างจานกันตรงอีกฝั่งของโรงอาหารครับ! ตรงนี้สว่าง มีซิงค์ให้อย่างดี และสำคัญที่สุดคือมียาจุดกันยุงวางไว้ด้วย!

    แม่ง แล้วกูไปนั่งบื้ออะไรตรงนั้นตั้งนานจนโดนปอบแดก โง่ที่สุดเลยนภัทร!

    เสียงน้ำไหลจากก๊อกกระทบขอบซิงค์ดังคลอเสียงจิ๊ดฮัมเพลงเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี ดูมีความสุขจริงแฮะ ผมมองเธอที่กำลังล้างแก้วน้ำในมืออยู่แล้วก็อดแซวไม่ได้  "ไปดีกว่า ปล่อยให้ปอบมากิน อิอิ"

    จิ๊ดรีบหันมายิ้มหวานให้ผมทันที  "โน่ไม่ทำหรอก ใจดีจะตาย อิอิ"  โห่ หมดอารมณ์เลย รู้ได้ไงเนี่ยว่าผมเป็นคนดี 24 ชม. (อิอิ)

    "แล้วชวนผมมา ไม่กลัวผมเป็นปอบเหรอ เดี๋ยวฆ่าซะเลยดีมะ"  ผมแกล้งขู่ซ้ำอีกครั้ง แต่จิ๊ดยังยิ้มหวานอย่างรู้ทันผมอยู่  "โน่จะเป็นได้ไง ก็ตายแล้วนี่นา ดูป้ายชื่อแหว่งขนาดนั้น ฮ่า ๆ"  อ้าวเซ็ง ลืมไปเลยว่ามีหลักฐานอยู่ทนโท่

    "ปอบตัวไหนฆ่าโน่เหรอ เพื่อนจิ๊ดเป็นหมอผีนะ เดี๋ยวไปบอกให้จัดการให้ เอามะ!"  อืม เป็นความคิดที่ดีแฮะ ผมหัวเราะร่วนขณะที่จิ๊ดเพิ่งล้างจานใบสุดท้ายเสร็จ

    "เสร็จแล้วนี่ ไปกัน"  เห็นดังนั้นผมจึงเดินนำหมายจะกลับไปยังโรงอาหารทันที แต่ทว่าชายเสื้อกลับถูกรั้งไว้เสียก่อน  "เดี๋ยวสิ"

    "หือ? มีจานอีกเหรอ"

    "ไม่ใช่ แต่คุยกันก่อนได้ไหม"  แม้น้ำเสียงนั้นจะฟังดูกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ดวงตาของจิ๊ดกลับฉายแววมั่นใจแน่ว่าผมไม่มีทางไปไหน ซึ่งก็ถูก ผมไม่ไปไหนจริง ๆ

    เราสองคนเงียบอยู่ครู่หนึ่งจนจิ๊ดเป็นฝ่ายทำลายความเงียบเอง  "รู้มาว่าโน่เลิกกับยูแล้ว"  เธอเกริ่น แต่ผมไม่มีคำตอบให้เพราะมันไม่ใช่คำถาม และผมรู้ว่าเธอไม่จำเป็นต้องถาม เนื่องจากความสัมพันธ์ในค่ายระหว่างผมกับยูริมันฟ้องอยู่แล้ว

    "เสียใจด้วยนะ"

    "อ่า ขอบคุณครับ"  ผมผงกหัวรับความหวังดีนั้นแบบไม่ค่อยเข้าใจเจตนา เพราะหนึ่ง มันเป็นเวลาพักหนึ่งแล้วที่ผมเลิกกับยูริ จนทุกคนเลิกพูดถึงเรื่องนี้แล้ว และสอง ดูจากใบหน้าของจิ๊ด ก็ไม่ได้โศกเศร้าไปกับโศกนาฏกรรมความรักระหว่างพวกผมเลยแม้แต่น้อย

    ผมสังเกตเห็นเธอกัดริมฝีปากยิ้ม ๆ ก่อนจะป้อนคำถามต่อ  "แล้วตอนนี้โน่คบใครอยู่รึเปล่า"

    "จิ๊ดมีธุระอะไรพูดกับผมตรง ๆ เลยก็ได้นะ"  ผมตัดบท เพราะไม่สะดวกที่จะตอบคำถามนั้น และต้องการทำให้ทุกอย่างกระจ่างสักที

    สิ้นคำนั้น จิ๊ดเบ้หน้าหน่อย ๆ ก่อนจะยอมพูดออกมาตรง ๆ  "จิ๊ดก็แค่เห็นว่า เราน่าจะเข้ากันได้ เราอยู่ชมรมดนตรีเหมือนกัน น่าจะคุยถูกคอกันมากกว่าที่โน่เคยคบผู้หญิงเอาแต่ใจอย่างยูริ"

    ถึงตรงนี้ความรู้สึกขัดแย้งประเดประดังเข้ามาหาผมโดยไว เพราะการพูดว่ายูริเป็นผู้หญิงเอาแต่ใจคือเรื่องผิดที่สุด ยูริไม่เคยเอาแต่ใจกับผม เธอมีแต่ให้ และยอมเสียสละเท่าที่จะทำได้ให้ผมมาตลอด หากเทียบกันแล้วคือผมต่างหากที่ควรถูกเรียกว่า ผู้ชายเอาแต่ใจ และไม่มีอะไรคู่ควรกับความรักที่ยูริหยิบยื่นให้เลยสักนิดเดียว

    ผมเม้มปากแน่นเก็บอารมณ์ที่พลุ่งพล่านไว้ ก่อนจะพยายามพูดให้น้อยที่สุด  "ยูริไม่ใช่คนอย่างที่เธอว่า ขอโทษด้วยที่เราคงคบเธอไม่ได้ เราไม่ได้รักใครที่เรื่องแค่นั้น"  ผมพูดพลางหันหลังทำท่าจะกลับไปยังโรงอาหาร แต่คำพูดหนึ่งจากจิ๊ดตรึงขาผมให้หยุดอยู่กับที่เสียก่อน

    "เป็นเกย์ใช่มั้ย"

    "..."  ผมหยุดฝีเท้ากึก ก่อนที่อีกฝ่ายจะค่อยเดินเข้ามาใกล้ จิ๊ดอ้อมมายืนตรงหน้าผมอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้สีหน้าเธอกำชัยชนะ  "ที่เขาพูดกันว่าโน่เป็นเกย์ เรื่องจริงใช่มะ"

    ผมมองตอบจิ๊ดด้วยนัยน์ตาว่างเปล่า มันไม่มีคำใดหลุดลอดจากริมฝีปากนอกจากความเงียบ

    ไม่มีคำตอบใดจากปากผม เพราะตลอดเวลาที่คบกับปุณณ์มา ผมไม่เคยนิยาม หรือแม้แต่จะคิดว่าตัวเองเป็นอะไร ผมไม่เคยสนใจว่าความรักนี้ถูกจำกัดไว้ในรูปแบบไหน ผมแค่รู้ว่าตัวเองรักใคร และบางครั้งมันก็เจ็บปวด เมื่อได้กลับสู่โลกแห่งความจริง ว่าความรักของพวกเราช่างแตกต่าง

    ผมสบดวงตาท้าทายคู่นั้นก่อนจะตอบเพียงสั้น ๆ

    "ผมเรียกมันว่าความรัก"

     

     

    TBC.

     

    Postscript : *ปุ้ง~!!!!* HAPPY VALENTINE'S คร่า~~~~~~~~~ (เสียงจากเห็ด) *ปัง ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ* ซินเจียยู่อี่ ซินนี่ฮวดใช้ อั่งเปา ตั่วตั่ว ไก๊ ค๊าบบบบบบบบบ~~~ (เสียงจากน้องโน่) (แหม... ท่าทางจะได้หลายบาทนะแก เอาไปส่งเสียให้คุณสตีฟ จ็อบ อีกล่ะสิ...)

     

    ไม่มีอะไรจะพูดมาก (ฮี่ ๆๆๆ) ง่วงแล้วววว ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นนะคะ รู้สึกมีนักอ่านใหม่ ๆ เข้ามาเยอะเหมือนกัน (มาเอาตอนที่เรื่องใกล้จะจบแล้ว 5555) ยังไงก็ยินดีต้อนรับทุกคน และขอให้มีความสุขกับ LOVE SICK นะคะ อ่านคอมเม้นทุกคนและรักทุกคนเหมือนเดิม แต่ถ้าใครมีปัญหาสงสัย หรือสิ่งใดที่ต้องการให้เห็ด(หรือใครก็ตาม)ตอบ เข้าไปฝากข้อความไว้ที่ เว็บบอร์ด ได้นะ เราเช็คเสมอจ้ะ ^_______^

     

     

    ปล. ในที่สุดสงครามเย็นก็จบลงที่ความตายของฝ่ายเชลย... กั่ก ๆๆๆ สะใจ

    ปปล. นี่เต็มบทแล้วนะ ไม่ต้องรอครึ่งหลัง 555555

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×