ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จอมมาร...พี่ชายของฉันไง

    ลำดับตอนที่ #2 : แค่ฝัน...จริงหรือ?

    • อัปเดตล่าสุด 4 พ.ค. 56


     

     

     

    ก่อนหน้านั้นสองวัน

     

    “ในสมัยยุคกลางตอนปลายของยุโรป ประชาชนต้องเผชิญกับหายนะมากมาย  ความอดอยาก โรคระบาด และสงคราม คร่าชีวิตผู้คนในยุโรปตะวันตกลดลงเป็นจำนวนมาก ภรรยาขาดสามี พ่อแม่สูญเสียบุตร บุตรขาดบิดา มิอาจนับได้กับจำนวนชีวิตที่ต้องสูญไปกับสงครามร้อยปี...อรุณ!

     

    เด็กสาวที่กำลังงัวเงียอยู่ลืมตาขึ้นโพลงทันทีจากเสียงแปดหลอดของอาจารย์วัยกลางคนที่ยืนมองเธอตาขวางอยู่หน้าห้อง ก่อนที่จะได้รับสายตาอำมหิตโทษฐานขัดขวางการนอนอันสำคัญยิ่ง ดวงตาสีแดงทอประกายวูบหนึ่งก่อนจะหายไปโดยแทบไม่มีใครสังเกต ยกเว้นแต่ครูสาวที่ตอนนี้ขาสั่น จนน่าเป็นห่วงว่าตึกเรียนอาจจะถล่มได้ถ้าเจ้าตัวยังไม่หยุดสลายไขมัน

     

    “อย่า..อย่ามองฉันอย่างนี้นะ!” อาจารย์ที่เลยวัยสาวตวาดเสียงสั่นใส่ลูกศิษย์นักเรียนทุน ที่หล่อนคิดว่าไม่สมควรจะได้ทุนจากพฤติกรรมนิสัยเสีย  ถ้าไม่นับว่ารางวัลมากมายในห้องผู้อำนวยการ ที่มีทั้งกิจกรรม และวิชาการ แน่นอนว่ารางวัลทั้งหมดนั้นหากไม่ชนะเลิศ อันดับหนึ่ง ดีเยี่ยม จะไม่มีชื่อของเด็กสาวผู้นี้ประดับเลย อรุณรักษ์  สุวงศา เด็กสาวอัจฉริยะ เด็กกำพร้าไร้มารยาท เจ้าของถ้วยรางวัลนับร้อยที่ประดับเชิดหน้าชูตาโรงเรียนเอกชนแห่งนี้ คงจะไม่ได้รับทุนที่ครอบคลุมทุกอย่างอย่างนี้แน่!

     

    “ฉันจำได้ว่าหน้าที่อาจารย์คือการสอน แล้วคุณจะเรียกฉันทำไม?” อรุณรักษ์ถามอาจารย์สาวที่ยังสลายไขมันอยู่เสียงเรียบๆไม่บ่งบอกอารมณ์อย่างไม่รู้สึกผิด หากดวงตาสีนิลกลับจ้องไปที่อาจารย์หน้าหน้าห้อง แผ่รังสีอำมหิตออกมาเต็มที่ จนเด็กสาวเพื่อนสนิทที่นั่งข้างๆ อดที่จะสะกิดไม่ได้

     

    “มีอะไรหรือนิ?” เด็กสาวหันกลับไปถามนิรมลที่นั่งข้างๆด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนลงทันตา รังสีอำมหิตที่ลดลงเล็กน้อยทำให้นักเรียนร่วมห้องหายใจโล่งขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะส่งสายตาไปยังอาจารย์หน้าห้องอย่างอ้อนวอนว่าอย่าทำให้แม่ปีศาจประจำห้องอารมณ์ขึ้นเด็ดขาด

     

    “อรุณรักษ์ น...นี่คือบท..ลงโทษที่เธอมาหลับในคาบเรียนของฉัน เธอต้อง.....”อาจารย์ที่กล่าวเสียงติดๆขัดๆสาวชะงักค้างทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่กลับมาวนเวียนรอบๆตัว ส่งผลให้เด็กนักเรียนทั้งห้องแสดงสีหน้าสิ้นหวังหวาดผวา ก่อนที่นิรมลรีบจะเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการยกมือขึ้น พลางใช้อีกมือหยิกเพื่อนสาวจนอรุณรักษ์ต้องเบ้หน้ากับแรงของเพื่อนตัวเล็ก

     

    “อาจารย์คะนี่มันจะหมดคาบแล้ว จะสั่งอะไรอรุณล่ะคะ?”นิรมลว่าพลางยิ้มแหยๆไปให้อาจารย์หน้าชั้นเรียน

     

    แม้คำบอกเชิงไล่กลายๆของเด็กสาวแสนเรียบร้อยจะดูไร้มารยาทแต่กลับกลายเป็นช่วยชีวิตคนทั้งห้องเอาไว้เพราะทันทีที่ได้ยินนิรมลบอกอาจารย์ที่เริ่มหายใจได้ก็รีบเอ่ยสั่งอรุณรักษ์ก่อนจะตัดบทออกจากห้องไป ทำให้นักเรียนที่เหลือรอดปลอดภัยกับรังสีอัมหิตที่ลดลง พร้อมกับค่อยๆทยอยออกไปทานอาหารกัน

     

    “เธอต้องทำรายงานเรื่องสงครามร้อยปี แบบที่ละเอียดกว่าหนังสือเรียน ห้ามเอาข้อมูลมาจากอินเตอร์เน็ต เขียนด้วยลายมือตัวบรรจง ส่งวันพรุ่งนี้งั้นเลิกคาบได้” อาจารย์สาวเอ่ยรัว ก่อนจะรีบเดินออกจากบรรยากาศน่ากลัว

     

    “เก็บของเถอะรุณ จะได้ไปกินข้าว”เสียงหวานเอ่ยบอกเพื่อนสนิทที่ยังดูหงุดหงิดไม่หายกับบทลงโทษ หลังจากที่ร่างท้วมไปพ้นการมองเห็นแล้วก่อนจะส่ายหัวเบาๆ อย่างอดที่จะติไม่ได้ก็ผิดเองแท้ๆนี่นา

     

    “อะไรของยัยแก่นั่น...”เด็กสาวเจ้าของผมสีดำเอ่ยเบาๆอย่างเซ็งๆพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเก็บของลงกระเป๋าเป้ใบเก่าตามคำบอกของเพื่อนสาว ก่อนจะชะงักเมื่อคิดได้งานพิเศษ ที่คงเจียดเวลามาททำรายงานนั่นไม่ได้แน่

     

    “นิไปกินก่อนเลย เดี๋ยวเค้าจะทำรายงานนั่น ช่วงนี้งานยุ่งๆอยู่ด้วย คงไม่มีเวลา” เด็กสาวบอกอย่างปลงๆ ใบหน้าน่ารักขัดกับนิสัยทำหน้าตาน่าเบื่ออย่างสุดขีดก่อนที่จะคว้าบัตรนักเรียนของตนมาใส่กระเป๋ากระโปรงพลางเดินออกจากห้องเรียนมาพร้อมกับเพื่อนสนิท

     

    “ยังไม่เลิกอีกเหรอ งานแบบนั้นนะ...” นิรมลทำหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด แต่ก่อนที่จะได้เอ่ยอะไรเพื่อนตัวดีก็วิ่งขึ้นบันได้ไปห้องสมุดก่อน ทิ้งให้ตนส่ายหน้าอย่างระอา แล้วเดินลงบันไดไปโรงอาหารแทน

     

     

    เด็กสาววางหนังสือสามเล่มลงบนโต๊ะไม้ โชคดีที่ตอนนี้เป็นพักกลางวันทำให้ไม่ค่อยมีคนอยู่นัก ยกเว้นเด็กเรียนที่เงียบอยู่แล้วทำให้นิรมลมีสมาธิอย่างเต็มที่ ดวงตากลมโตกวาดมองตัวอักษรทุกตัวในหนังสือ แน่นอนว่านักเรียนทุนอย่างอรุณรักษ์ ที่เป็นอัจฉริยะย่อมมีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์นี่อยู่ เพียงแต่ว่าเมื่ออาจารย์ขอมาอย่างละเอียด จึงต้องเตรียมแบบครบทุกตัวอักษร ชนิดที่ว่าอ่านกันเป็นเดือน เด็กสาวแค่นยิ้ม ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆหลังจำเนื้อหาของหนังสือทั้งสามเล่มหมดแล้ว

     

    เด็กสาวยกลังใส่กระดาษมาก่อนจะเขียนข้อมูลด้วยลายมือตัวบรรจงอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาสามสิบนามีข้อมูลตัวบรรจงของเด็กสาวก็ถูกเรียบเรียงลงแผ่นกระดาษราวร้อยแผ่น ก่อนที่เด็กสาวจะทำท่าปาดเหงื่อที่ผุดบนหน้าเนียนพลางเหลือบไปมองดูนาฬิกาของห้องสมุด

     

    “เหลืออีกตั้งสี่สิบนาที” เด็กสาวเปรยเบาๆ ก่อนจะบังเอิญเหลือบไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่ง ร่างบางไม่รอช้าหยิบบันไดอันใหญ่มา เพื่อที่จะไต่ขึ้นไปเพื่อนำหนังสือเล่มดังกล่าว ที่เขียนสันปกไว้ว่า รวมภาพ สงครามร้อยปี

     

    หนังสือเล่มเก่าจนปกแทบจะหลุด ผิดกับนโยบายของห้องสมุดที่ดูแลรักษาหนังสืออย่างดีสมกับค่าเทอมแพงระยับ ทำให้เด็กสาวเบ้ปากเมื่อฝุ่นคลุ้งจนรู้สึกคัดจมูก แต่ทันทีที่ภาพวาดต่างๆปรากฏเข้าสู่สายตา เด็กสาวถึงกับชะงักมือที่เปิด แน่นอนภาพวาดส่วนใหญ่ในหนังสือเล่มนี้เป็นภาพวาดที่เด็กสาวไม่เคยเห็น แต่น่าแปลกมันกลับดูคุ้นเคยอย่างประหลาด

     

    ดวงตาสีนิลกระพริบถี่ๆเพื่อไล่น้ำตาที่ไหลเริ่มเอ่อล้นออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่ไฟทั้งห้องจะค่อยๆดับลง แต่เด็กสาวกลับไม่สนใจอะไร มือเรียวพลิกดูภาพวาดไปทีละภาพ ราวกับเห็นใบหน้าเศร้าสร้อยของผู้คนซ้อนทับกับภาพถ่ายของภาพสีน้ำมันต่างๆ  เด็กสาวรู้สึกถึงความเศร้าที่เข้ามาเกาะกุมหัวใจของตนอย่างน่ากลัว

     

    จนถึงภาพสุดท้าย ขนรอบกายถึงกับลุกชันเมื่อเห็นภาพของหญิงสาวงดงามที่นอนอยู่ในกองเพลิง รอบข้างมีผู้คนมองนางอย่างรังเกียจ เบื้องหลังคนพวกนั้นมีซากศพของผู้คนที่น่าจะตายด้วยกาฬโรคทับถมกัน

     

    เมื่อตากลมโตสบกับข้อความริมรูปภาพที่เขียนด้วยภาษาประหลาดถึงกับทำให้น้ำตาของเจ้าตัวไหลออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ ทั้งๆที่ไม่เคยเห็น แต่น่าแปลกที่เจ้าตัวกลับอ่านข้อความนั่นอย่างเชี่ยวชาญราวกับภาษาแม่ของตนก็ไม่ปาน

    แด่ดวงใจข้า ผู้ที่ข้าไม่อาจปกป้อง ขนิษฐาแห่งเจ้าราตรี

     

    “บ้า บ้าจริง ไม่มีอะไรเลย จะร้องไห้ทำไมเนี่ย” เด็กสาวพูดเบาๆพลางปาดน้ำตาออก

     

    ไม่มีอะไรเลยจริงหรือ เสียงเบาๆแว่วมาทำให้เด็กสาวชะงักมือที่กำลังจะเก็บหนังสือก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆห้อง ทำให้เพิ่งสังเกตถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น

     

    “นั่นใครน่ะ?!” อรุณรักษ์ตวาดกร้าวปราศจากความกลัว ก่อนจะมองไปรอบๆที่เงียบสนิท ทุกสิ่งทุกอย่างหายไปหมด ราวกับอยู่ในห้วงอวกาศที่ไร้แสงดาวฤกษ์ แม้แต่โต๊ะกับเก้าอี้ที่ใช้อยู่เมื่อครู่ก็หายไป เช่นเดียวกับหนังสือทุกเล่ม เหลือเพียงหนังสือภาพที่ยังคงลอยอยู่ด้านหน้าเด็กสาว

     

    ไม่กลัวเลยรึ เสียงเดิมดังมากระทบโสตประสาทอย่างสงสัย ทำให้อรุณรักษ์แค่นยิ้มเหี้ยมขึ้นมาก่อนที่จะกอดอกพลางกวาดดวงตาสีนิลมองรอบๆตัว

     

    “ทำไมฉันต้องกลัว? อรุณรักษ์ถามเสียงเรียบ

     

    นั่นสิ ทำไมเจ้าต้องกลัว ยังไงความมืดก็จะปกป้องเจ้า ก็เจ้านะไม่ใช่มนุ...

     

    “หยุดนะ! ...ฉันนะก็ไม่รู้หรอกนะว่าฉันเป็นตัวอะไร” เด็กสาวตวาดขัด ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบแต่ก็เจือเศร้าจนรู้สึกได้

     

    “ฉันรู้แต่ว่าตราบใดที่ยังมีความมืดฉันก็จะไม่เดียวดาย ฉันจะไม่ปล่อยให้ความมืดปกป้อง แต่จะปกป้องตัวเอง” อรุณรักษ์ตวาดกร้าวก่อนที่เสียงหัวเราะปริศนาจะดังก้องไปทั่ว ทำให้เด็กสาวได้แต่เอียงคอด้วยความงุนงง

     

    เป็นท่านแน่นอน สมกับที่เป็นน้องสาวของท่านผู้นั้น ท่านไม่เปลี่ยนไปเลย

     

    เสียงปริศนาที่ดังขึ้นทำให้อรุณรักษ์งงหนักกว่าเดิม คิ้วโก่งขมวดเป็นปม แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรเสียงนั้นก็ดังขึ้นมาก่อน

     

    อีกไม่กี่วัน รอหน่อยนะขอรับ แล้วท่านผู้นั้นจะมารับท่านเอง

     

    “หมายความว่าไง?! เฮ้! เฮ้!” เสียงอรุณรักษ์ตวาดดัง พร้อมๆไฟที่เริ่มสว่างขึ้นจนต้องหลับตา

     

     “เกิดอะไรขึ้นน่ะ?!”เสียงของเด็กสาวดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับสายตาของนักเรียนมากมายที่ตวัดมองเด็กสาวอย่างรำคาญ

     

    “ฝันเหรอ...”เด็กสาวพูดกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเหลือบมองไปทั่วห้องสมุดอย่างไม่สนใจสายตามากมายที่มอง

     

     

     

     





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×