คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ปีกข้างซ้าย
ข้าหลบจากความวุ่นวายที่น่าปวดหัวในตัวเมือง ออกมาหลับตาทอดกายลงบนทุ่งดอกไม้นุ่มบนเนินหญ้าที่อยู่ไกลพอสมควร ปล่อยให้เกสรสีขาวติดเกล็ดมังกรสีดำอย่างที่ชอบทำ
กลิ่นดอกลูมินาร์ที่ท่านพี่ชอบทำให้ข้าอดที่จะนึกถึงเรื่องราวในอดีตไม่ได้ ตอนนั้นข้ายังเด็กนัก จะว่าไปก็ผ่านมาถึงสิบสี่ปีแล้ว แต่ข้าก็ยังจำเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ดี หลังจากที่เสด็จแม่เพิ่งสวรรคตไม่นาน องค์ราชาหรือเสด็จพ่อตามที่ข้าเรียกเมื่อยังเด็กก็เอาแต่ลุ่มหลงกับสนมเอก จนไม่ได้ใส่ใจข้ากับเสด็จพี่นัก ข้าที่เพิ่งออกจากเพียงไข่ห้าปีจึงทำทุกอย่างให้เสด็จพ่อพอพระทัย เรียกได้ว่าเกือบจะกลายเป็นเด็กขาดความอบอุ่นก็คงไม่ผิด
ข้าจำได้ว่าเคยก่อเรื่องเรียกร้องความสนใจด้วยการเอาแจกันเก่าๆในห้องขององค์ราชาไปเป็นกระโถน ตอนนั้นทรงพิโรธหนักจับข้าใส่คุกใต้ดินเกือบเดือน
หลังจากเหตุการณ์กระโถนร้อยล้านไม่นานสนมเอกพรีเลเวร่าออกไข่ออกมา เพราะว่ามังกรแม้ผสมข้ามสายพันธุ์ แต่ก็ไม่มีพันธุ์ทาง ชะตาจะกำหนดเองว่าเป็นเหมือนแม่หรือเป็นสายพันธุ์เดียวกับพ่อ บางทีอาจจะเป็นเหมือนปู่ย่าตายายได้อีกด้วย
ทำให้พระสนมพยายามสร้างอำนาจให้บุตรที่กำลังลืมตาดูโลกซึ่งเป็นสายพันธุ์เฟรีเดอัสธรรมดา ไม่เด่นด้านกำลังหรือเวทย์ ไม่เด่นด้านปัญญา ถ้าถามว่าข้อเด่นคงมีอย่างเดียวคือกลายร่างเป็นลูกหมายามหวาดกลัว พูดง่ายๆคือมังกรน้อยตัวนั้นไม่แคล้วจะเป็นองค์ชายนอกสมรสที่ไม่มีความหมาย สนมเอกจึงทำทุกอย่าง ทั้งหาขุนนางเป็นขั้วอำนาจ หรือแม้กระทั่งกำจัดองค์รัชทายาท
แผนการของนางนั้นง่ายๆแต่คนที่ลุ่มหลงมีหรือจะดูออก พระราชาสั่งให้ข้าไปทำภารกิจ ซึ่งข้าก็ยังดวงแข็งรอดมาได้ ผิดจากที่สนมเอกคาดไปหน่อยคือข้าทำภารกิจสำเร็จ เอาสร้อยไข่มุกเม็ดเท่าไข่นกกระจอกเทศมาถวายให้พระราชาปรนเปรอสนมใฝ่สูงได้ ...เพียงแต่ปีกข้าซ้ายของข้าก็ทิ้งไว้ที่สุสานโกเลมหินต้องสาป
ข้ายังจำได้ดีภาพที่องค์ราชาในร่างแปลงมนุษย์ทรงทอดพระเนตรข้าอย่างไร้ความปราณี ยามนั้นมิใช่สายตาของบิดาที่ทอดมองบุตรแล้ว ทรงทอดมองข้าราวเศษสวะ ทรงหยิบดาบข้างวรกายขึ้นมาหลังจากฟังคำยุยงต่างๆ โดยไม่ลังเล
‘ว้าย! ทอดพระเนตรที่ปีกสิเพคะ องค์ชายทรงไม่สามารถบินได้แล้วแน่’
‘ทรงเสียปีกไปเช่นนี้ ต่อไปจะทรงปกครองปวงประชาได้เยี่ยงไร?’
‘จะทรงเป็นจุดอ่อนสำหรับเดเกรเซียนะพะยะค่ะ’
‘หากปล่อยให้ศัตรูสังหาร มิสู้ทรงปลิดชีพด้วยองค์เอง’
ข้าที่เหนื่อยล้าจากภารกิจ อย่าว่าแต่จะหลบหนี แค่เปล่งเสียงห้ามพระองค์ก็ไม่ไหว ตอนนั้นข้าได้ตั้งคำถามกับตัวเองในใจ โดยไม่ได้รับคำตอบใด
‘ข้าผิดหรือที่ทำตามพระบัญชา?’
‘ถึงไม่มีปีก ข้าก็ยังมีเวทย์ มีปัญญา มีสองเท้า ข้าจะเป็นตัวถ่วงของบ้านเมืองขนาดนั้นจริงหรือ?’
‘นี่คือสิ่งที่บิดาปฏิบัติต่อบุตรผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขหรือ?’
‘ทรงไตร่ตรองหรือไม่ก่อนที่จะลงดาบ หรือเพียงเพื่อสนองความต้องการของเมียน้อยนั่น?’
ข้าหลับตาลง ยิ้มอย่างสมเพชตัวเองที่มีพ่อเช่นนี้ ข้าไม่มองคนในท้องพระโรงต่อให้เสนียดติดลูกตา ไม่ฟังเสียงวี้ดว้ายน่ารำคาญของนังเมียน้อย ข้าทำเพียงรอรับดาบที่จะปลดปล่อยวิญญาณของข้าออกจากร่างมังกร รอยมทูตพาข้าไปสู่อ้อมอกมารดาที่คงรอคอยในยมโลก
โลหะที่ฟาดลงมากลางหลังปราศจากความลังเล คมดาบเล่มยักษ์ตัดปีกงามพร้อมกับเรียกหยดเลือดสีใสราวน้ำเปล่า...
“อึก..”เสียงกัดฟันกลั้นเสียงร้องเมื่อความเจ็บแล่นผ่านกาย ทำให้ข้าต้องลืมตาขึ้น เมื่อเสด็จพี่เข้ามารับดาบแทนข้าในเสี้ยววินาที จนดาบที่เบี่ยงไม่ทันตัดปีกคู่ใหญ่สีขาวบริสุทธิ์จากกายของร่างกึ่งมังกรตรงหน้า
“ไม่เป็นไรนะ ทาเนรัส?” เสด็จพี่ถามข้าเสียงสั่น ดวงตาสีเงินทอดมองข้าอย่างอ่อนโยน ในขณะที่มังกรทั้งท้องพระโรงกำลังตระหนกกับการปรากฏตัวขององค์หญิงผู้เป็นที่รักของปวงประชา เสด็จพี่ไม่ลังเลทรงฝืนความเจ็บปวด วางปีกขององค์เองที่หลังน้อยๆของข้าแทนปีกซ้ายที่สูญเสียไป
“จะทรงทำอะไร?”ข้าเอ่ยถามเสด็จพี่อย่างอ่อนแรง หากเสด็จพี่กลับไม่สนใจเสียงหวานพึมพำร่ายเวทย์ชั้นสูงหยุดเวลาคนทั้งห้องในขณะที่ขุนนางคนหนึ่งกำลังตรงเข้ามากระชากร่างบางออกไปอย่างทันท่วงที
“ยี่สิบนาที เหลือเฟือน่า” เสด็จพี่บอกเบาๆคล้ายพูดกับตนเองก่อนจะวางมือทั้งสองข้าเหนือปีก เตรียมร่ายเวทย์สายแสงชั้นสูง ของไลทาเรส“เชื่อใจพี่ อดทนหน่อยนะทัน”
“ฮะ” ข้าตอบรับเบาๆ เลิกสงสัยชั่วครู่ก่อนหลับตาลงเมื่อรู้สึกถึงไออุ่นที่ไหลเข้ากายพร้อมกับหยดของอะไรบางอย่างที่ให้ความรู้สึกสบายๆทุกครั้งที่สัมผัสกาย ความอบอุ่นนั้นค่อยๆมากขึ้นเรื่อยๆจนเริ่มร้อนจนข้าต้องกัดฟันเพื่อที่ไม่ให้เสียงของข้าทำลายสมาธิเสด็จพี่ แต่ความร้อนนั่นกับเพิ่มอุณหภูมิเรื่อยๆ ร้อน...ร้อนราวกับกระดูกจะละลาย
ความร้อนนั่นค่อยๆหายไป พร้อมกับความเจ็บปวดบริเวณปีกซ้ายที่บรรเทาลง ข้าฝืนร่างกายที่อ่อนแรงลุกขึ้นมองไปยังเสด็จพี่ที่มีร่างแปลงสูงกว่าร่างมังกรน้อยห้าขวบอย่างข้าเสียอีก เสด็จพี่ที่ดูเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยหันมาพร้อมกับบีบปากข้า ทำให้ข้าได้แต่ดิ้นเมื่อรู้ว่าเสด็จพี่จะทำอะไร
เลือดสีใสจากข้อมือเรียวถูกกรอกปากข้าทำให้ร่างกายของข้าสบายขึ้นพร้อมกับกำลังที่เริ่มกลับมา เสด็จพี่เอานิ้วชี้จรดที่ปากเป็นสัญลักษณ์ว่าอย่าเพิ่งพูดใดๆ ก่อนจะกอดร่างมังกรน้อยที่ตอนนี้มีปีกสองสีอย่างข้าจนแน่น
ข้าอยู่นิ่งๆตอบรับความอบอุ่นจากพี่สาว กลิ่นดอกลูมินาร์อ่อนๆลอยเข้าจมูก จนกระทั่งบุคคลรอบข้างที่เริ่มขยับตัวได้ช้าๆ เสด็จพี่ทำหน้าเครียด ก่อนจะยื่นดาบประจำพระองค์ พร้อมกับผูกสร้อยคอที่คล้องแหวนวงเล็กๆที่ข้าจำได้ว่าเป็นของตระกูลไลทาเรเซียทางฝั่งเสด็จแม่
“ยามนี้เจ้ามีสองสายเลือด มีปีกสองสี แหวนนั่นใช้ฝึกเวทย์ของไลทาเรส พี่ไม่แน่ใจนักว่าจะฝึกได้หรือไม่ แต่เจ้าต้องลองอ่านมนตร์ตรงแหวน แล้วหนังสือจะปรากฏ จงฝึกทั้งเวทย์และดาบให้แข็งแกร่งน้องพี่ อย่าหวนคืนมาที่นี่จนกว่าจะแข็งแกร่งกว่าผู้ใด จงสัญญากับพี่ พี่ฝากที่นี่ ..ดินแดนที่พี่และเสด็จแม่รัก ....พอคนพวกนี้เริ่มขยับได้ รีบหนี....จำไว้ทาเนรัส พี่รักเจ้า น้องชายเพียงหนึ่งเดียวของพี่” เสด็จพี่กระซิบช้าๆที่ข้างหูข้า
“น้องสัญญา.......แล้วพี่ล่ะ? พวกเขาไม่ปล่อยท่านหรอกหนีไปกับน้องเถอะ” ข้าพูดเบาๆ ก่อนที่เสด็จพี่จะยิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมส่ายหน้า
“เจ้านี่นะ กว่าจะยอมใช้คำสามัญกับข้าก็อาจเป็นวันสุดท้ายที่อยู่ด้วยกัน พี่ไปกับเจ้าไม่ได้หรอก พี่ไร้ปีกแล้วอย่าลืมสิ” เสด็จพี่บอกเบาๆพร้อมกับกอดข้า
“ทำไมถึงต้องเสียสละขนาดนี้ พี่เป็นคนสำคัญของทุกคนนะ คิดไหมใครจะร้องไห้เพื่อพระองค์? ใครจะเสียใจ?” ข้าถามเสียงสั่น พร้อมกับกอดเสด็จพี่แน่น การมองเห็นเริ่มพร่ามัวจากน้ำที่เอ่อล้นในดวงตาสีดำ
“เพราะเจ้าก็เป็นคนสำคัญของพี่ เจ้าเป็นของขวัญที่เสด็จแม่ทิ้งไว้ให้พี่ เป็นทุกอย่างของพี่ หากพี่ไม่ปกป้องน้องแล้วจะปกป้องใคร?” เสด็จพี่เอ่ย ก่อนที่จะยื่นกระดาษบางอย่างให้ข้า
“คนพวกนี้ไว้ใจได้ ไปหาสามคนแรกก่อน ไปได้!!!” เสด็จพี่พูดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะโยนตัวข้าออกจากหน้าต่าง พร้อมๆกับคนทั้งห้องที่เริ่มขยับได้แล้วตรงเข้ามาจับเสด็จพี่
ข้าใช้ปีกข้างใหม่ที่ใหญ่กว่าปีกเก่าเกือบสามเท่าจนข้าตัวเอียง ก่อนจะผ่อนแรงจนบินตรงๆได้ น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาแบบไม่อายใคร ข้าเหลียวมองไปด้านหลังเสด็จพี่ส่งยิ้มมาให้ ก่อนที่จะถูกบังด้วยขุนนางที่แย่งกันออกมาจากท้องพระโรงทางหน้าต่างจนติดกัน
ข้าหันหลังกลับฝืนความรู้สึกอยากไปช่วยเสด็จพี่แล้วบินตรงออกไปจากพระราชวังทันที
“นางคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ จึงได้ให้พระองค์กินโอสถทิพย์ที่นางปรุงตั้งแต่ก่อนทำภารกิจเพื่อที่พระองค์จะได้รอดชีวิตกลับมา” เสียงทุ้มบอกข้าเรียบๆ แต่ก็ยังพอจับกระแสความเศร้าจากดวงตาได้
“พอนางรู้ว่าพระองค์เสียปีกนางก็วางแผน” พระสหายคนหนึ่งของเสด็จพี่เอ่ยต่อจากอีกคนพลางหันมามองข้าที่นิ่งเงียบก้มหน้าปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาโดยไม่ตอบอะไร
“ต้องทรงเข้มแข็ง ยามนี้จะไม่มีใครมาปกป้องพระองค์แล้ว”คนแรกเอ่ยบอกพร้อมกับปาดน้ำตาของข้าอย่างอ่อนโยน ข้ามองคนตรงหน้านิ่งๆ ก่อนจะปาดน้ำตาออกเอง
“สายภายในบ้างก็อ้างว่านางถูกขัง บ้างก็ประหาร ไม่แน่นอน พรุ่งนี้ข้าจะไปสืบดู” ผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นพระสหายของเสด็จพี่เอ่ยกับข้า
“ข้าไปด้วย” ข้าเอ่ยพร้อมกับเงยหน้าขึ้นทันที แต่คนทั้งสามกลับส่ายหน้า ทำให้ข้าได้แต่กัดฟัน หากข้าไปรังแต่จะเป็นตัวถ่วง ทำไมข้าถึงอ่อนแออย่างนี้...ทำไม?
…
…
“เสียใจด้วย นางจากเราไปแล้ว” เสียงหวานบอกข้าที่เอาแต่ก้มหน้าเงียบหลังจากที่นางกลับมาจากการสืบข่าวที่พระราชวัง ข้ากัดฟันกลั้นสะอื้น ก่อนที่จะนึกถึงคำของเสด็จพี่
... จงฝึกทั้งเวทย์และดาบให้แข็งแกร่งน้องพี่ อย่าหวนคืนมาที่นี่จนกว่าจะแข็งแกร่งกว่าผู้ใด จงสัญญากับพี่ พี่ฝากที่นี่ ..ดินแดนที่พี่และเสด็จแม่รัก...จำไว้ทาเนรัส พี่รักเจ้า น้องชายเพียงหนึ่งเดียวของพี่
น้องจะรักษาแผ่นดินนี้เอง น้องจะทำตามคำพี่ น้องสัญญา
ความคิดเห็น