ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แว่วเสียงเอ้อหู

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่สอง

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ย. 56


    เฟยฟานั่งจิบชามองดูใบสีทองของต้นหยาเจียวที่ร่วงหล่น เสียงเอะอะของบ่าวที่นี่ไม่ได้ทำลายบรรยากาศการพักผ่อนของนาง เทียบกับยามราตรีแล้ว ตอนกลางวันหอนางคณิกาถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่สงบอันหาได้ยากในเมืองหลวง ทั้งการตกแต่งย่อมงดงามสมฐานะหอคณิกาอันดับหนึ่ง เฟยฟาจึงยึดถือสวนของหอบุปผาแย้มเป็นที่หย่อนใจของนาง

    นกตัวน้อยลงมาคุ้ยเขี่ยดินที่พื้นเพิ่มอีกตัว แต่กลับตัวใหญ่ผิดตัวอื่น อ้วนกลมคล้ายซาลาเปามีปีก มองแล้วน่าเอ็นดู นางยิ้มมุมปาก ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นสีทองส่องประกายที่ข้อเท้าเจ้านกน้อยตัวกลมนั่น

    เฟยฟาขมวดคิ้ว ก่อนจะลุกขึ้นจากม้าหินเดินเข้าไปหานกเหล่านั่น น่าแปลกที่นกน้อยตัวนั้นมิได้โบยบินหนีนาง มิหนำซ้ำยังบินมาเกาะที่มือของนางอีก นางได้แต่ทำหน้างุนงง ก่อนจะลูบตัวนกน้อย ยิ่งมันทำท่าคล้ายออดอ้อน เฟยฟายิ่งสงสัย นกอันใดอวบอ้วนขนาดนี้ มิหนำซ้ำยังมิกลัวคน ย่อมมีแต่นกเลี้ยง หากนางไม่เคยเลี้ยง แล้วเหตุใดเจ้าตัวน้อยนี้ถึงมาออดอ้อนนางกันเล่า?

    ที่แท้สีทองที่ส่องประกายที่ข้อเท้าเจ้านกเป็นคล้ายกระบอกเล็กๆที่ปิดอยู่  สลักลายดอกบัวอันวิจิตร นางชื่นชมดอกบัวนั่นจึงมิรู้ตนว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลัง ครั้นเฟยฟาหันไป กลับถูกดึงข้อมือที่นกน้อยเกาะอยู่ไป เห็นพี่สาวกำลังเปิดกระบอกทองนั่น หยิบจดหมายออกมาพร้อมรอยยิ้มดีใจจนน่าสงสัย

    “ท่านพี่ น้อง...”

    “ไปคุยกันห้องพี่เถิดเฟยฟา” เลี่ยงเฟิ่งตัดบท ในใจนางทั้งดีใจทั้งตระหนกจนตัวสั่นแทบเดินไม่ไหว ภาวนาว่าขอให้เป็นข่าวดี จนนางมิรู้เลยว่ากว่าที่ที่ขาสั่นๆของนางจะขึ้นมาถึงห้องกินเวลาไปเกือบสองเค่อ

    เลี่ยงเฟิ่งพยายามสงบสติอารมณ์ของนางให้คงที่ ก่อนปิดประตูลงกลอน เดินเข้ามาหาน้องสาวที่นั่งอยู่บนตั่งมองนางด้วยความสงสัย หญิงสาวยิ้มอบอุ่นเหมือนทุกครา ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ กุมมือเล็กแน่น เริ่มเล่าเรื่องอันน่าตระหนกด้วยน้ำเสียงที่สงบลง

    “ฟังนะเฟยฟา แท้จริงแล้ว พี่มิใช่พี่สาวเจ้า”

     

    เลี่ยงเฟิ่งเดิมแล้วเป็นบุตรสาวพ่อบ้านสกุลซาน มารดานางเป็นสาวใช้ของฮูหยิน ทั้งฮูหยินนายท่านนายน้อยล้วนเมตตาบ่าวทุกคนมิต่างจากคนในครอบครัว อาหารการกินบ่าวที่หลับนอนสกุลซานดีกว่าที่อื่น นางและพี่น้องย่อมรักและเทิดทูนนายเหนือหัวยิ่งกว่าชีวิตตน

    แซ่ซานของนายท่านซานนั้นมาจากอาจารย์ของท่าน เดิมทีนายท่านเป็นเด็กกำพร้าตัวน้อยที่เติบโตจนกลายเป็นชาวยุทธฝ่ายคุณธรรมอันเกรียงไกร หากไปตกหลุมรักเจ้าจินเหลียนศิษย์เอกพรรคมารจันทรา ชาวยุทธทั้งหลายศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองฝ่ายย่อมคัดค้าน สุดท้ายทั้งสองจึงล้างมือหนีตามกันมา เปลี่ยนชื่อเป็นซานจินเสียง ซานเพ่ยหลิน

    สองผัวเมียสกุลซานละทิ้งกระบี่หันมาทำการค้าสุจริต ไม่นานก็ตั้งตัวได้ ทั้งสองตัดขาดกับยุทธภพ เข้าสู่เส้นทางการค้าเต็มตัว ยิ่งหลังจากมีบุตรชายคนแรก การค้ายิ่งรุ่งเรือง ตระกูลซานกลายเป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมใหญ่สี่ที่ เป็นตระกูลใหญ่ในเมืองเล็กๆ มีผู้คนนับหน้าถือตาทั่ว

    บุตรชายเองล้วนเก่งกาจ เพียงสี่ขวบสามารถอ่านเขียน แต่งกลอนได้ ชมชอบการวาดรูป ส่วนทางบู๋เองแม้บิดามารดาไม่ได้สอนวรยุทธ์จริงจังแต่เหวินฟางน้อยกลับชอบแอบหนีไปท่องเที่ยวในป่านอกเมืองซ้ำยังใฝ่รู้ จนกระทั่งได้กราบจอมยุทธ์ท่านหนึ่งเป็นอาจารย์

    จอมยุทธ์ท่านนั้นจริงแท้คือซานไป๋เทียน อดีตเจ้าสำนักตะวันรอน อาจารย์ของซานหย่งสือ ที่สละตำแหน่งออกเดินทางท่องเที่ยว เด็กน้อยมิรู้ว่าใคร ยอดยุทธ์เองก็มิรู้ว่าใคร เพียงถูกชะตา จึงยอมรับเป็นศิษย์ ตกลงจะสอนวิชาให้ทุกยามค่ำ แต่ความลับย่อมไม่มีในโลก ผู้ที่ผ่านมาเห็นและรู้คนแรกโดยบังเอิญคือเจ้าเสวี่ยเฟิง นางมารร้ายแห่งเรือนจันทรา อาจารย์ของเจ้าจินเหลียน

    ความสัมพันธ์ของยอดยุทธ์สองคนแปลกประหลาด น้อยคนนักจะรู้ เจ้าเสวี่ยเฟิง ซานไป๋เทียน เป็นพี่น้องกัน พี่สาวใช้แซ่แม่ น้องชายใช้แซ่พ่อ แยกกันอยู่ตั้งแต่เด็ก เจอกันคราหลังก็อยู่คนละฝ่าย กระนั้นก็ยังลอบติดต่อกันเสมอ เจ้าเสวี่ยเฟิงรู้จากซานหย่งสือ เด็กน้อยนี่แท้แล้วเป็นลูกของศิษย์รัก ย่อมมิต่างจากหลานตน ทั้งสองตกลงกัน น้องจะสอนคนพี่ ส่วนพี่ให้สอนคนน้องที่ยังอยู่ในครรภ์

    มิมีใครคาดว่าหลังจากที่เด็กหญิงน้อยคลอดออกมามิถึงปี ตระกูลซานจะเกิดเรื่องร้าย...

    สำนักตะวันรอนเป็นสำนักธรรมะจริง แต่ใช่ว่าจะมีแต่คนดี มีหยินย่อมมีหยาง มีชั่วย่อมมีเลว ซานหย่งสือยึดมั่นคุณธรรม แต่ผู้ที่อิจฉาในตัวซานหย่งสือก็มีมาก บ้างก็เป็นความแค้นยากเข้าใจ

    ซานเพ่ยซานเป็นศิษย์พี่ของซานหย่งสือ เป็นเด็กกำพร้าเช่นกัน หากเข้าสำนักก่อนนับสิบปี แต่ฝีมือกลับด้อยกว่า จนกลายเป็นแผลในใจคล้ายปมด้อย กระทั่งตัดใจออกจากสำนัก ไปเข้ากับพรรคมาร ฝึกวิชาฝ่ายอธรรม จนได้เป็นถึงหัวหน้าตำหนักก็ลำพองใจ คิดอยากไปทดสอบฝีมือกับอดีตศิษย์น้อง แต่ซานหย่งสือกลับหนีออกไปเสียแล้ว ทั้งๆที่มีพรสวรรค์ขนาดนั้น กลับทอดทิ้งวรยุทธ์ ขณะที่ตนต้องตะเกียกตะกายต่อสู้ จึงเกิดเป็นความโกรธแค้นยากจะเข้าใจประการหนึ่ง

    คืนนั้นซานเพ่ยซานสืบทราบได้ที่อยู่ตระกูลซาน จึงได้พาพรรคพวกร่วมห้าสิบคนโพกผ้าดำ บุกเข้าบ้านสกุลซาน เข่นฆ่าจับผู้คน

    ตัวสองผัวเมียสกุลซานล้างมือแล้ว ตั้งใจจะไม่จับดาบชั่วชีวิต แต่จะให้สู้ย่อมมิเกินกำลัง ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะคิดหนี ทรัพย์สินใดย่อมไม่มีค่าเท่าชีวิตและคำสัตย์ หากพวกของซานเพ่ยซานกลับจับบ่าวไพร่เป็นตัวประกัน บุตรชายยามนั้นก็ยังมิกลับมา จะหนีก็เป็นห่วงลูกและบ่าวไพร่ จึงได้แต่กวัดไกวไม้กวาดแทนกระบี่เข้าต่อสู้กับคนร้าย

    นายท่านซานเข้าต่อสู้กับคนร้าย ในขณะที่ฮูหยินเข้าช่วยเหลือบ่าวไพร่ พ่อแม่ของเลี่ยงเฟิ่งกอดบุตรสาวบุตรชายแน่น แต่ไม่ก้าวขาวิ่งหนี ตัดสินใจแน่วแน่ จะปกป้องบ้านตระกูลซานจนสิ้นใจ หยิบมีดทำครัวโบกไปมา บังลูกทั้งสามที่กางแขนปกป้องเปลคุณหนูทั้งน้ำตา

    ซานจินเสียงโบกกระบี่ไปมา ฟาดฟันศัตรูไปได้สิ้น ครั้นเข้าโรมรันกับซานเพ่ยซาน ได้เปรียบอยู่หลายส่วน ได้แผลถลอกเพียงเล็กน้อย กลับตัดแขนอดีตศิษย์พี่ได้ ซานเพ่ยซานกัดฟันอย่างคัยดแค้น ครั้นจวนตัว ซานเพ่ยซานจึงจำใจใช้วิชาตัวเบาหลีกหนีไป

    มิคาดกระบี่ล้วนอาบยาพิษร้าย ซานจินเสียงทรุดลงกับพื้น ฮูหยินรีบเข้าไปดู กลับถูกเข็มพิษจากลูกน้องที่ยังไม่ตายซัดใส่จนล้มลง สองผัวเมียพยายามพยุงกายลุกขึ้น ฝากฝังลูกชายลูกสาวให้พ่อบ้านเฝิง พ่อบ้านและครอบครัวย่อมรับคำ มองผู้มีพระคุณที่กำลังจะสิ้นใจด้วยความแค้นต่อชายชุดดำก่อนจะรีบหลบหนีออกมา

    พ่อบ้านเฝิงฉวยสมบัติในบ้านให้ภรรยาตน พาบุตรชายคนโตและบุตรสาวคนเล็ก ใส่ชุดผ้าไหมหนีไปทางเหนือ ให้ภรรยาพาลูกสาวคนรองกับคุณหนูน้อยใส่ชุดเปื้อนถ่านหนีเข้าป่าไปอีกทาง ทั้งครอบครัวมองหน้ากันอย่างเศร้าสร้อยหากไม่เสียดายชีวิต ต่อให้ตายเป็นผี จะปกป้องสายเลือดผู้มีพระคุณ

    ซานเพ่ยซานรอเวลาเกือบเค่อ จึงกลับเข้าไปดู คาดพิษจะออกฤทธิ์ ตั้งใจจะใช้กำลังมากกว่า จัดการฮูหยินซานและลูกๆที่น่าจะยังอยู่ใกล้ศพหัวหน้าครอบครัว มิคาดว่าจะเหลือเพียงบ้านเปล่าที่มีเพียงซากศพ

    เวลานั้น มันคล้ายคนวิกลจริต หยิบกระบี่จ้วงแทงศพทั้งสอง เอาฝ่าเท้าเหยียบไปตามร่างอย่างบ้าคลั่ง ครั้นเริ่มสงบแล้วจึงสั่งให้ตามล่าหาคุณหนูตระกูลซานทั้งสอง ให้มันมาทรมาณให้สาแก่ใจ

     

    ซานเหวินฟางกระโดดไปมาด้วยวิชาตัวเบา ครั้นใกล้ถึงบ้านจึงเปลี่ยนมาเดินเท้า เห็นผู้คนชุดดำวิ่งไปมาบนหลังคาบ้านก่อนจะแยกเป็นสามส่วน จึงเกิดความสงสัยแอบกระโดดตามไปอยู่ห่างๆ

    เด็กน้อยมีพรสวรรค์ ฝึกไม่นานก็เก่งกาจใช่น้อย สามารถตามติดคนชุดดำเหล่านั้นไปได้ ครั้นเขาใกล้ป่า ยิ่งห่างบ้านไปเรื่อยๆ จึงชะงักฝีเท้าลง ครุ่นคิดว่าจะกลับบ้านดีหรือไม่ กลับได้ยินเสียงร้องของหวีดร้องของสตรีที่ฟังคุ้นหู จึงแอบซุ่มดูอยู่ในพุ่มไม้

    มิคาด นั่นคือป้าเฝิง นั่นย่อมเป็นเฝิงน้อย ส่วนเด็กในอ้อมแค้นคงมิพ้นเฟยฟา เหวินฟางขมวดคิ้ว ตั้งใจจะไปปรากฏกาย กลับมิทันที่ชายชุดดำตวัดดาบฟาดฟันท่านป้าเฝิง

    “พวกเจ้าจะทำอะไรกัน ทำร้ายท่านป้าเฝิงทำไม!?” เหวินฟางฝึกยุทธ์ในป่า เสื้อผ้าย่อมเลอะคราบโคลน ยิ่งออกมาจากพุ่มไม้ มองไปมิคล้ายลูกผู้ดี กลับทำท่าทางองอาจ พวกมันหัวเราะฮาๆ ตวัดดาบปลิดชีพป้าเฝิงไม่สนใจเด็กน้อยมอมแมมนั่น ก่อนจะย่างสามขุมเข้ามาหา

    เด็กน้อยเริ่มจับความรู้สึกอันตรายได้ ยืนบังเด็กหญิงทั้งสองไว้ แม้จะเคยฝึกยุทธ์แต่มิเคยจับกระบี่จริง ใช้เพียงแต่ไม้ไผ่เหลา ฆ่าคนยิ่งแล้วใหญ่ ครานั้นจวนตัว ตั้งใจจะป้องกันตัวด้วยหมัดมวย สัญญาณพลุกลับดังขึ้นบนท้องฟ้า ทำให้ชายชุดดำยั้งกระบี่ มองหน้ากันอย่างลังเล ก่อนที่จะพากันกลับ ไม่สนใจเด็กน้อยทั้งสามอีกต่อไป

    “ท่านแม่ๆ” เลี่ยงเฟิ่งเขย่าแขนผู้เป็นแม่ด้วยน้ำตาเปื้อนหน้า เหวินฟางดึงตัวเด็กน้อยจากร่างไร้ลมหายใจของผู้เป็นแม่ด้วยความอนาถใจ พยายามปลอบประโลมให้ได้สติเกือบครึ่งชั่วยาม จึงได้ฟังเรื่องราวจากเสียงปนสะอื้นของเด็กหญิง

    ตระกูลซานสิ้นชื่อเสียแล้ว...เหวินฟางได้แต่กอดน้องสาวในอ้อมแขนแน่นกัดฟันกรอดขณะที่ปลอบเลี่ยงเฟิ่งไปปลอบตัวเองไปด้วย หากมิมีน้อง จะมิลังเลจะเข้าไปหาไอ้ลูกหมานั่น! คอยดูเถิด ซักวันเจ้าพวกชั่วจะต้องคลานลอดหว่างขาบิดา!




    ปล.ต้นหยาเจียว คือต้นแปะก๊วย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×