ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [sf/os] smiles and tears ; Chanbaek

    ลำดับตอนที่ #3 : Ex

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.33K
      121
      4 เม.ย. 60

    ;เราเข้ามาแก้แท็กค่า;
    EX
     
     
    "เอาไงอ่ะ จะจีบพี่เขาจริงช้ะ" 
     
    "อือ ก็ว่าจะลอง"
     
    "งั้นกลับนะอยู่ไปก็ไม่ได้อะไรว่ะ"
     
              บทสนทนาของเพื่อนสนิททั้งสองมีอยู่แค่นี้ คนที่เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาเตรียมลุกเดินออกจากที่ตรงนั้น แต่ก็ยังไม่ได้เดินออกไปไหนสักก้าว เพราะถูกมือของเพื่อนสนิทรั้งไว้
     
    "มึงจะรีบไปไหนวะแบคฮยอน อยู่เป็นเพื่อนกูก่อนดิวะ" 
     
    "แล้วมึงจะให้อยู่เป็นก้างขวางคอมึงทำไมล่ะครับชานยอล มึงจะเข้าไปจีบพี่คยองซูอะไรของมึงก็ไปสิครับ ผมจะกลับบ้าน" คนที่ถูกรั้งข้อมือไว้สะบัดมือหนีแล้วรีบเดินออกจากตรงนั้น ไม่ทันที่ชานยอลจะรั้งไว้อีกครั้ง ร่างของแบคฮยอนก็ไปไกลเสียแล้ว
     
              คำเดียวที่ทำให้แบคฮยอนรีบออกมาจากตรงนั้น ก็คือ
     
              หิว
     
              เลิกเรียนมาเป็นชั่วโมงแล้ว หิวก็หิว แต่ก็ต้องไปนั่งส่องพี่คยองซูเป็นเพื่อนชานยอล ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิท ถ้าถามว่าอยากช่วยไหมมันก็อยากแหละ แต่ความหิวมันยิ่งใหญ่กว่าความรักเพื่อนไง ฉะนั้น บายนะ ขอตัวกลับบ้านไปกินข้าว
     
     
     
     
              จริงๆฝีมือการจีบสาวของชานยอลไม่เป็นสองรองใครหรอกนะ ฉะนั้นสบายใจได้ถ้าชานยอลจะจีบใครมันไม่มีคำว่ายากเกิน แต่คราวนี้คนที่ชานยอลจะจีบมันเป็นผู้ชายอ่ะดิ เด็กเรียนด้วยมั้งดูท่าทาง ถึงจะไม่เนิร์ดขนาดนั้น แต่ก็ไม่น่าจะใช่คนที่จะสนใจพวกเรื่องรักๆใคร่ๆ ชานยอลเลยต้องมานั่งหงอยอยู่ที่ห้องเพื่อนสนิทคนเดียวของเขา บยอนแบคฮยอน
     
    "ดึกแล้วครับ กลับบ้านสิครับ รอเหี้ยไร" แบคฮยอนกอดอกมองชานยอลที่นอนอยู่บนเตียงตัวเองเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วโดยที่ไม่ขยับไปไหนเลย
     
    "มึงว่ากูมีโอกาสที่จะจีบพี่คยองซูติดป่ะวะ" ดูเหมือนชานยอลจะไม่สนใจที่แบคฮยอนพูดแม้แต่น้อย เขาลุกขึ้นนั่งมาจ้องหน้าแบคฮยอนเขม็ง
     
    "มีมั้ง" ตอบส่งๆไปงั้น มือก็สไลด์หน้าจอโทรศัพท์ที่มีสายเข้ามาเมื่อกี้นี้
     
    "หรอวะ"
     
    "ครับพี่จงอิน" กรอกเสียงลงไปแล้วเดินออกไปตรงระเบียง ปล่อยให้ชานยอลบ่นกระปอดกระแปดอยู่อย่างนั้น
     
              แบคฮยอนใช้เวลาคุยกับคนในสายประมาณยี่สิบนาทีได้ ถึงแม้ดูเผินๆมันจะไม่นาน แต่สำหรับคนรอแล้ว มันนานยิ่งกว่าอะไร ชานยอลที่รอให้แบคฮยอนคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วจะได้ปรึกษาเรื่องคยองซูต่อก็เผลอหลับไป
     
    "หลับง่ายจริงๆนะมึงอ่ะ" ปากก็บ่น แต่มือก็ปัดผมที่ปรกตาออก เวลาหลับ ชานยอลก็เหมือนเด็กน้อยคนนึง ในอ้อมกอดมีตุ๊กตาริลัคคุมะตัวโปรดของแบคฮยอนอยู่ เจ้าของตุ๊กตามองอย่างเอ็นดูก่อนจะจัดให้นอนดีๆแล้วห่มผ้าให้
     
              เล่นมาครองเตียงแบบนี้จะให้กูไปนอนไหนล่ะวะ แบคฮยอนบ่นในใจ แต่ตัวก็นอนลงข้างๆชานยอลไปแล้ว เขานอนตะแคงมองหน้าชานยอล ที่ตอนนี้เห็นได้ลางๆจากแสงจันทร์ที่ลอดผ่านผ้าม่านมาแค่นั้น
     
    "หล่อแบบมึงยังไงพี่คยองซูก็ไม่มีทางหลุดมือไปหรอก สู้เขาดิวะ ไอ้โยดา"
     
     
     
             นี่ก็เกือบอาทิตย์แล้วที่ชานยอลตามจีบพี่คยองซู แบคฮยอนเลยต้องอยู่คนเดียวบ่อยขึ้น จะว่าอยู่คนเดียวก็ไม่เชิง เพราะในขณะที่เพื่อนสนิทเขาไปตามจีบหนุ่ม เขาก็มีหนุ่มมาตามจีบเหมือนกัน
     
    "วันนี้พี่ไม่มีเรียนหรอครับพี่จงอิน" แบคฮยอนเอ่ยถามจงอิน หนุ่มหล่อจากคณะศิลปกรรม ที่มายืนยิ้มแฉ่งอยู่ตรงหน้า
     
    "มีครับ ตอนบ่าย แต่ตอนนี้มาอยู่เป็นเพื่อนเราก่อน เห็นว่าอยู่คนเดียว"
     
    "อ่า..ครับ แต่อีกสักพักผมก็ต้องไปเรียนแล้ว"
     
    "พี่รู้ครับ แต่แค่อยากเห็นหน้าแบคฮยอนก็เท่านั้น"
     
    "เหอะๆ ครับ" ยิ้มแหยใส่ไปที ไม่ใช่ว่าไม่ชอบนะ แต่ก็ไม่ได้ชอบ คือมันเหมือนมีเส้นบางๆที่แบคฮยอนก้าวผ่านไปไม่ได้
     
              หรืออาจจะเป็นอดีตที่ทำให้แบคฮยอนไม่อยากจะเปิดใจให้ใคร หรือไม่ก็ ใจของแบคฮยอนไม่อยู่เพื่อเอาไว้มอบให้ใครอื่นแล้ว
     
    "ชานยอลนี่ครับ" จงอินชี้ไปด้านหลังแบคฮยอน ที่ตอนนี้มีชานยอลกับคยองซูเดินเข้ามา แบคฮยอนลอบถอนหายใจเฮือกนึงก่อนจะคว้าข้อมือจงอินให้เดินตามเขาไป
     
    "ไปหาไรกินเป็นเพื่อนผมหน่อยครับ หิว"
     
     
    “ไหนบอกว่าหิวไงครับ ข้าวของแบคฮยอนแทบจะไม่พร่องไปเลยนะ” จงอินเท้าคางมองหน้าชายหนุ่มตรงข้ามที่เป็นฝ่ายเอ่ยชวนทานข้าว แต่เจ้าตัวแทบไม่แตะข้าวตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
     
    “อ่า วันนี้รู้สึกว่ารสชาติไม่ค่อยถูกปากอ่ะครับ ขอโทษนะที่จู่ๆก็ลากพี่จงอินมาแบบนี้” แบคฮยอนทำหน้ารู้สึกผิด
     
    “ไม่เป็นไรครับ ไว้คราวหน้าให้พี่พาเราไปทานข้าวนะ พี่มีร้านที่อยากให้เราลองไปชิมดู” แต่จงอินไม่ได้คิดอะไรมาก กลับมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนส่งไปให้ด้วยซ้ำ
     
    “ครับ ไว้ถ้าเราว่างตรงกัน คงต้องรบกวนพี่จงอินให้พาไปสักหน่อยแล้ว”
     
    หลังจากที่ทั้งสองทานอาหารเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่แบคฮยอนต้องเข้าเรียน แต่อันที่จริงมันเลยเวลานั้นมา 10 นาทีเห็นจะได้แล้วล่ะ แต่แบคฮยอนก็ไม่ได้รีบอะไร เพราะวิชานี้เป็นวิชาชิวๆ มีเช็คชื่อตอนท้ายคาบ และเมื่อเข้ามาก็เห็นชานยอลนั่งอยู่ตรงที่ประจำเสียแล้ว
     
    “ไลน์ไปไม่ตอบอ่ะ” ชานยอลเอ่ยปากพูด แต่สายตาก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่หน้าจอสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่อยู่ในมือ
     
    “ไม่ได้ดูอ่ะ” 
     
    หลังจากจบบทสนทนานั้นก็ไม่มีการพูดคุยระหว่างเพื่อนสนิททั้งสองอีกเลยจนหมดคาบ อาจเป็นเพราะชานยอลเอาแต่ให้ความสนใจโทรศัพท์ แบคฮยอนจึงต้องนั่งจดเลคเชอร์แก้เบื่อ ถ้าให้แบคฮยอนทายก็คงไม่พ้นว่า ชานยอลคุยกับรุ่นพี่คยองซูที่ตามจีบอยู่ เอาเถอะ ริอาจจีบเด็กเรียนก็ต้องพยายามหน่อย แบคฮยอนเข้าใจ โตๆกันแล้ว จะมาโวยวายเรื่องเพื่อนไม่สนใจมันก็จะดูไร้สาระเกินไป
     
    การเรียนผ่านไปด้วยดี ตอนนี้แบคฮยอนแยกกับชานยอลเรียบร้อย และตอนนี้ตรงหน้าของเขาก็มีผู้ชายหน้าหมียืนฉีกยิ้มให้อยู่
     
    “ไหนว่ามีเรียนบ่ายไงครับ ทำไมเลิกเร็วจัง”แบคฮยอนเอ่ยถามจงอินที่ยืนยิ้มหน้าแป้นแล้นให้
     
    “อาจารย์แคนเซิลคลาสน่ะครับ แล้วพอดีว่าไม่รู้จะทำอะไรเลยมารอเราน่ะ”
     
    “อ่าครับ แล้วพี่จงอินมีอะไรรึเปล่า พอดีว่าผมรู้สึกว่าไม่ค่อยสบายจะกลับห้องแล้ว” จริงๆแบคฮยอนก็ได้ไม่สบายขนาดนั้น ก็แค่เซ็งๆแบบไม่มีสาเหตุ อยากจะกลับห้องแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง
     
    “หืม แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า”
     
    “ปละเปล่าครับ..” แบคฮยอนเบี่ยงตัวหลบมือของจงอินที่กำลังจะแตะเข้าที่หน้าผาก จงอินดูผงะไปนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมามาก
     
    “งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งที่ห้องนะ” จงอินระบายยิ้มออกมา แบคฮยอนก็ได้แต่พยักหน้าน้อยๆ
     
    ไม่นานนักจงอินก็พาแบคฮยอนมาส่งถึงห้อง แบคฮยอนเอ่ยขอบคุณและลาจงอินก่อนจะขอตัวขึ้นห้อง จงอินก็รอจนว่าคนตัวเล็กนั่นจะเดินเข้าลิฟต์ไป จนแผ่นหลังบางๆนั่นหายไปจากสายตาของเขา
     
    ใช่ว่าจงอินจะไม่รู้ ว่าแบคฮยอนนั้นไม่ได้คิดอะไรกับตนเลย แบคฮยอนอาจมีใครในใจ แต่จงอินก็ไม่สามารถรู้ได้ เพราะนอกจากชานยอลเพื่อนสนิทของแบคฮยอนแล้ว จงอินก็ไม่เห็นว่าคนตัวเล็กนั่นจะไปสุงสิงหรือพบปะกับใคร แต่เอาเถอะ เขาอาจจะคิดไปเอง แต่ได้คอยดูแลแบคฮยอนแบบนี้มันก็ดีนะ มีความสุขไปอีกแบบ อีกทั้งแบคฮยอนก็ไม่ได้ปฏิเสธความห่วงใยนั่น ถึงแม้เจ้าตัวจะรับความห่วงใยไปแล้วคิดแค่ในฐานะพี่น้องก็เถอะ
     
     
    “มาทำไรอ่ะ” แบคฮยอนยืนมองหน้าคนที่มาหาเขาในยามวิกาลแบบนี้อย่างงงๆ
     
    “เมื่อตอนค่ำเจอพี่จงอินที่ร้านกาแฟ เขาบอกว่ามึงไม่สบาย” ชานยอลที่ยืนอยู่หน้าประตูก็สอดตัวเข้ามาในห้องของเพื่อนสนิท เพราะรู้สึกว่าอากาศข้างนอกมันจะหนาวเกินไปแล้ว แบคฮยอนเบี่ยงตัวให้ชานยอลเดินเข้าไปก่อนตัวเองจะปิดประตูแล้วตามเข้าไป
     
    “ปวดหัวนิดหน่อย ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว”
     
    “เอายาไปกิน ยาหมดไม่ใช่ไง้” ชานยอลยื่นถุงยาให้แบคฮยอนที่ยืนหน้ามึนอยู่ ก่อนที่แบคฮยอนจะรับมาแบบไม่ค่อยเข้าใจนัก
     
    ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่า ซึ่งเป็นเวลาที่แบคฮยอนต้องนอนฝันอยู่บนเตียงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ต้องตื่นขึ้นมาเพราะได้รับสายจากเพื่อนสนิทตัวสูงว่าอยู่หน้าห้องแล้ว เอาจริงๆแบคฮยอนก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าทำไมชานยอลถึงมาที่นี่ เพราะยังงัวเงียอยู่ 
     
    “ขอบใจ มึงกลับได้ละ กูจะไปนอน--” คำพูดของแบคฮยอนถูกกลืนลงคอเมื่อฝ่ามือใหญ่ของคนตรงหน้าทาบเข้าที่หน้าผากของตน
     
    “อืม..ไม่มีไข้ แล้วปวดหัวหรือเปล่า” ชานยอลถามแต่ก็ยังไม่เอามือออกจากหน้าผากเพื่อนตัวเล็ก
     
    “ไม่ปวด” แบคฮยอนตอบแล้วเอี้ยวตัวหันหน้าหนีชานยอลแล้วเดินไปที่เตียงตัวเอง “กูง่วงมากเลยอ่ะ กลับไปก็ฝากปิดไฟล็อคประตูด้วยนะ” แบคฮยอนสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนหนา แต่ก็ยังไม่ทันที่จะได้ข่มตาหลับ ก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า
     
    ชานยอลไม่ได้มีท่าทางที่จะกลับบ้าน แต่กลับถอดเสื้อออกแล้วพาดไว้กับเก้าอี้แล้วเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวในตู้เสื้อผ้า ประหนึ่งที่นี่เป็นห้องตัวเอง แล้วหันไปหาเจ้าของห้องที่นอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่
     
    “คืนนี้นอนนี่แหละ ขี้เกียจขับรถกลับ ง่วง แล้วก็หนาวด้วย”
     
    แบคฮยอนไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่หันหลังให้ ชานยอลเห็นว่าคนตัวเล็กไม่ตอบอะไรก็เดินเข้าห้องน้ำไป ในเมื่อแบคฮยอนไม่ได้คัดค้านอะไร แสดงว่าเจ้าตัวก็อนุญาตให้นอนนี่ได้
     
     
    “อืออ..” เจ้าของห้องครางอื้ออึงในลำคอเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงกอดรัด แสงแดดที่ส่องผ่านม่านมา เมื่อลืมตาได้เต็มตา ก็เห็นว่าคนที่บอกจะนอนค้างกับเขาเมื่อคืนได้กอดเขาอยู่ แบคฮยอนไม่ได้ผลักออกในทันที แต่ค่อยๆแกะแขนที่รัดรอบเอวเขาเบาๆแล้วเดินลงจากเตียงไปยังห้องน้ำ
     
    ไม่แปลกหรอกที่เวลานอนกับชานยอลแล้วตื่นมาเห็นว่าตัวเองถูกกอด เพราะชานยอลติดหมอนข้างมาแต่เด็ก ถ้าไม่มีหมอนข้าง ก็จะนอนกอดคนข้างๆแทน ซึ่งส่วนมากคนที่นอนข้างๆก็จะเป็นแบคฮยอน อ่า..ไม่สิ ต้องพูดว่าเป็นแบคฮยอนทุกครั้งที่จะนอนอยู่ข้างชานยอลในวันที่ไม่มีหมอนข้าง
     
    หลังจากที่แบคฮยอนอาบน้ำเสร็จก็จัดการปลุกคนที่นอนอุตุอยู่ในห้องให้ไปอาบน้ำเพราะมีเรียน แบคฮยอนเดินเข้าครัวไปเทซีเรียลแล้วใส่นม ตามประสาคนทำอาหารไม่เป็น เขานั่งกินแบบมือนึงถือช้อน มือนึงจับโทรศัพท์ 
     
    “จะกินหรือจะเล่นเอาสักอย่างดิ”ชานยอลที่เดินออกมาในสภาพพร้อมไปเรียนแล้วพูดขึ้น ก่อนจะเดินไปหยิบซีเรียลมาเทใส่ชามบ้าง
     
    “ไม่เลือกอ่ะ เลือกไม่ได้” แบคฮยอนตอบ แต่สายตาก็จับจ้องไปที่หน้าจอโทรศัพท์นั่น ไม่มองมาที่ชานยอลเลยแม้แต่น้อย
     
    “กินให้เสร็จค่อยเล่น” ชานยอลเดินไปหยิบโทรศัพท์ออกจากมือแบคฮยอนแล้วมองไปยังหน้าจอที่ค้างหน้าต่างที่แบคฮยอนแชทกับใครสักคน “ไม่ต้องคุยกันตลอดเวลาก็ได้ พี่จงอินอะไรนี่น่ะ”
     
    “...” แบคฮยอนไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่เบะปากแล้วตั้งหน้าตั้งตากินซีเรียลให้หมด
     
    “พี่จงอิน..”
     
    “หือ” แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมามองชานยอลที่เอ่ยบางอย่างขึ้นมา
     
    “เขา..ดูแลมึงดีป่ะวะ” ชานยอลมองไปที่แบคฮยอน ในขณะที่คนตัวเล็กก็มองหน้าเขากลับเช่นกัน แบคฮยอนมองหน้าชานยอลนิ่งๆก่อนจะยิ้มออกมาน้อยๆ
     
    “อือ ก็ดี สม่ำเสมอดี” ชานยอลพยักหน้าหงึกหงักกับคำตอบของแบคฮยอน
     
    “ดีแล้ว..มึงโชคดีที่พี่เขาเข้ามาในชีวิต”
     
    “อือ แต่ดีไม่เท่าคนก่อนหรอกมั้ง”
     
    “...” ชานยอลหยุดการกระทำทุกอย่าง แล้วมองหน้าแบคฮยอน
     
    “ก็แค่มั้ง มั้งน่ะมั้ง อย่ามองแบบนั้นดิวะ” แบคฮยอนรีบพูดเมื่อเห็นคิ้วของชานยอลเริ่มขมวด
     
    “คนนี้ดีกว่าคนเก่าเยอะ เชื่อเถอะ”
     
    “อือ ดีก็ดี” แล้วความเงียบก็โรยตัวอีกครั้ง ทั้งสองไม่มีใครพูดอะไร พอทานอาหารเช้ากันเสร็จ ก็ต่างคนต่างออกไปเรียน ด้วยรถของตัวเองแทนที่จะไปรถคันเดียวกัน
     
     
     
    หลังจากจบคลาสเรียน เพื่อนทั้งสองก็แยกย้าย ชานยอลก็ไปตามจีบรุ่นพี่อย่างเคยๆ ส่วนแบคฮยอนก็มีรุ่นพี่มาตามจีบเหมือนเคยเช่นกัน ดูเหมือนช่วงนี้จงอินดูจะมีโอกาสทำแต้มบ่อยหน่อย เพราะแบคฮยอนไม่ได้ทำตัวติดชานยอลเหมือนเมื่อก่อน ก็อย่างว่าแหละ ชานยอลกำลังจะไปมีแฟน จะมาทำตัวติดกับเพื่อนก็ใช่เรื่อง
     
    “ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะฮึ?” จงอินเอ่ยถามคนตรงหน้าที่เอาแต่คิ้วขมวดมาสักพักแล้ว ไม่พอนะ คนตัวเล็กยังกัดปากล่างจนจงอินเองก็กลัวว่าจะเป็นห้อเลือดขึ้นมา
     
    “อ่า..แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะครับ” แบคฮยอนหันมายิ้มแห้งๆใส่จงอิน
     
    “นั่นคือคนที่ชานยอลจีบอยู่เหรอ” จงอินมองไปทางที่แบคฮยอนมองไปเมื่อครู่แล้วหันกลับมาถาม
     
    สิ่งที่แบคฮยอนมองแล้วทำให้คิ้วขมวดก็เป็นใครไม่ได้ นอกจากชานยอล เพื่อนสนิทตัวเองที่บังเอิญมาทานอาหารญี่ปุ่นด้วยกัน ถ้าชานยอลมาคนเดียวหรือมากับเพื่อนคนอื่นก็จะไม่มานั่งคิดอะไรแบบนี้หรอก แต่คนที่มาด้วยคือโดคยองซู ที่ชานยอลบ่นนักบ่นหนาว่าเขาไม่ค่อยสนใจอะไรเลยนอกจากหนังสือในห้องสมุด แต่ตอนนี้กลับมานั่งกินข้าวกับชานยอล แต่จริงๆที่แบคฮยอนคิ้วขมวดก็เพราะว่าแปลกใจเท่านั้นล่ะ แต่ใครเจอคำพูดชานยอลเข้าไป ก็ปฏิเสธยากทุกคน
     
    “ครับ คนนี้แหละ”
     
    รวมถึงตัวแบคฮยอนเองด้วย..
     
    ไม่ว่าชานยอลจะขอร้องอะไร เขาเองก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธมันลงเลยสักครั้ง รวมทั้งเรื่องเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่ทั้งเขาและชานยอลยังเป็นนักเรียนมัธยมปลายอยู่เลย
     
     
     
    3 ปีก่อน
     
    “แบคฮยอนอา เป็นแฟนกันนะ” หนุ่มแว่นตัวสูงเกาแก้มแก้เขิน พลางเหลือบตามองต่ำมองคนตัวเล็กกว่าที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าแก้มแดงมากกว่าคนพูดเสียอีก
     
    “...”
     
    “แบคฮยอน..”
     
    “ฮื่อ เราเขิน..” คนตัวเล็กหลับตาปี๋เมื่อคนตัวสูงกว่าโน้มหน้าลงไปเพื่อเค้นคำตอบ
     
    “คำตอบล่ะครับ” 
     
    “อือ..ตกลง”
     
    และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่เหมือนจะดูฉาบฉวยไปหน่อย อย่างว่าแหละ ชานยอลตามจีบแบคฮยอนมา 3 อาทิตย์เท่านั้น และแบคฮยอนก็ดูท่าจะแพ้คนอ่อนโยน เป็นคนหวั่นไหวง่าย และแน่นอน ชานยอลเป็นทุกอย่างที่แบคฮยอนนั้นหวั่นไหว 
     
     
    “แบคฮยอนอยากเข้าคณะอะไรเหรอ” ชานยอลถามแฟนตัวเล็กที่นั่งอ่านหนังสือนวนิยายอยู่ข้างๆ
    อีกสองอาทิตย์ ทั้งสองก็จะเรียนจบมัธยมปลายแล้ว และนั่น ก็หมายถึงทั้งคู่ต้องแยกย้ายไปเรียนในสิ่งที่ตัวเองใฝ่ฝันเอาไว้
     
    “อืม..” แบคฮยอนละสายตาจากนวนิยายตรงหน้า เขาวางหนังสือไว้ข้างตัวก่อนจะกอดอกขมวดคิ้วครุ่นคิด “เราอยากเรียนอักษร” แบคฮยอนหันไปฉีกยิ้มให้กับชานยอล ทำเอาคนตัวสูงต้องยิ้มตาม
     
    “เหมือนกันเลย”
     
    “จริงหรอ ชานยอลพูดจริงนะ” แบคฮยอนตื่นเต้นที่แฟนหนุ่มตัวสูงของเขานั้นอยากเรียนเหมือนตน อย่างว่าแหละนะ คนเป็นแฟนกันก็ต้องอยากอยู่ด้วยกันเป็นธรรมดา และหากว่า ทั้งสองเรียนคณะเดียวกัน ก็แปลว่าเขาจะได้อยู่ด้วยกันจนจบปีสี่
     
    และนั่นมันเป็นแค่อนาคต ที่พวกเขาได้วาดฝันไว้ แต่ใครจะรู้ล่ะ ว่าความจริงมันจะเป็นยังไง
     
    ชานยอลและแบคฮยอน ใช้ชีวิตอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยเข้าเทอมที่สองแล้ว ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะราบรื่นดี
     
    ..ล่ะมั้ง
     
    “ชานยอลอ่า เราอยากกินบิงซู มีร้านเปิดใหม่ด้วยที่--”
     
    “วันนี้มีเลี้ยงสายอ่ะ ไว้วันหลังนะ”
     
    ยังไม่ทันที่แบคฮยอนจะพูดจบประโยค ก็ถูกแฟนตัวสูงขัดขึ้นมาก่อน
     
    “อ่า ไม่เป็นไร”..ว่าแต่นิยามของชานยอล คำว่าวันหลังนี่มันเมื่อไหร่กัน
     
    มันเป็นสิ่งที่แบคฮยอนคิดแต่ไม่ได้พูดออกไป
     
    แต่ไม่เป็นไรหรอก แบคฮยอนเจอเหตุการณ์แบบนี้มาสามครั้งแล้วล่ะ รวมครั้งนี้เป็นครั้งที่4 แบคฮยอนจะพยายามทำตัวให้ชินแล้วกัน
     
    “เจอกันที่ห้องนะครับ” แบคฮยอนก็ได้พยักหน้ารับ แล้วมองแผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆห่างออกไป
     
    แบคฮยอนบอกหรือยังนะ ว่าแฟนของเขาน่ะ มีดีกรีเป็นถึงเดือนคณะเชียวนะ ก็ชานยอลน่ะ พอจบม.ปลาย ก็ถอดแว่นเปลี่ยนมาใส่คอนแทคเลนส์ เปลี่ยนสไตล์การแต่งตัว แล้วก็หล่อขึ้นมาทันที
    และแน่นอน เมื่อได้กลายเป็นเดือนคณะ ก็เป็นคนที่ทุกคนรู้จัก ไม่ว่าจะไปไหนก็มีคนทักทายตลอด อ้อ แบคฮยอนก็มีคนรู้จักเหมือนกันนะ เพราะตัวติดกับชานยอลตลอดเวลา
    ทุกคนรู้จักในฐานะ ‘เพื่อนสนิท’ ของปาร์คชานยอลน่ะ
     
    แบคฮยอนเข้าใจ พอเราเข้าสังคมใหม่ๆ เราก็ต้องรู้จักปรับตัว เราไม่รู้ว่าใครคิดอะไร และไม่รู้ว่าจะมีใครยอมรับในความสัมพันธ์ของพวกเขาไหม แต่ก็นั่นแหละ การไม่บอกใครดีที่สุด ให้ทุกคนคิดว่าเป็นเพื่อนสนิทน่ะดีแล้ว อย่างน้อยๆ ก็รู้ถึงความรู้สึกของกันและกัน
     
    ปาร์คชานยอลเขาว่ามาแบบนี้น่ะ
     
    [วันนี้ไม่กลับห้องนะ พี่ๆชวนไปกินต่อ จะค้างห้องพี่เลย]
     
    แบคฮยอนนั่งจ้องข้อความอยู่สักพัก ก่อนจะตอบกลับไป
     
    “ครับ ดูแลตัวเองด้วยนะ เป็นห่วง”
     
    [รับทราบ แบคก็นอนได้แล้วนะ ล็อคประตูหน้าต่างดีๆ พรุ่งนี้เจอกันนะครับ รักนะ]
     
    ข้อความจากปาร์คชานยอลตอบกลับมาในเสี้ยวนาที แบคฮยอนอมยิ้มเล็กๆ ก่อนจะบอกรักกลับไป
     
    “เฮ้อ..คิดถึงจังน้า เราไม่ได้นอนด้วยกันมาเกือบจะอาทิตย์นึงแล้วนะ ชานยอลอา” แบคฮยอนพึมพำกับหน้าจอโทรศัพท์ ที่เป็นรูปคู่เขากับชานยอล
     
    ปากบางยิ้มให้กับรูปหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะกดล็อคแล้ววางไว้ข้างหมอน
     
    “ฝันดีนะ ที่รัก”
     
     
     
    “ทำไมชอบกินเลอะจังครับเนี่ย เบื่อจะเช็ดให้แล้วนะ”
     
    แบคฮยอนนั่งมองคนตัวสูงที่นั่งฝั่งตรงข้าม กำลังใช้ทิชชู่เช็ดปากให้รุ่นพี่ที่กินเลอะเหมือนเด็ก 
     
    “งั้นก็อย่ามายุ่งสิ ฮื่อ” คนตัวเล็กหน้าหวานที่ถูกรุ่นน้องเช็ดปากให้ก็ทำท่าฮึดฮัด แต่มันดูขัดๆกับแก้มแดงๆนั่นเหมือนกันนะ
     
    “พูดมากหน่า นั่งดีๆสิ จะเช็ดให้”
     
    “ฮื่อ ชานยอล มาทำอะไรแบบนี้ อายแบคฮยอนบ้างสิ” คนถูกเช็ดปากหันมามองหน้าแบคฮยอนที่ลอบมองการกระทำของทั้งสองคนนี้มาสักพักแล้ว
     
    “ไม่ต้องอายหรอกครับพี่ลู่หาน คนกันเอง” แบคฮยอนฉีกยิ้มให้รุ่นพี่ตรงหน้า
     
    พี่ลู่หาน พี่เทคของชานยอล พี่เขามานั่งทานข้าวด้วยเป็นวันที่สามแล้วล่ะ และจะเป็นใครไปไม่ได้ที่ชวน ถ้าไม่ใช่ปาร์คชานยอล
    แต่ไม่ใช่วันที่สาม ที่แบคฮยอนต้องเห็นอะไรแบบนี้ เขาเห็นการกระทำของทั้งคู่มาร่วมอาทิตย์แล้ว และก็ได้ยินเสียงแซวทั้งคู่มาร่วมอาทิตย์แล้วเช่นกัน
     
    ‘นี่คือคบกันใช่ป่ะ’
    ‘เป็นแฟนกันก็บอกหน่า’
    ‘ดูแลดีขนาดนี้ อย่าลืมให้แม่ไปขอลู่หานนะเว้ยไอ้ชานยอล’
     
    และท่าทีของทั้งคู่ ก็มีขลาดเขินกันบ้าง แต่ชานยอลก็ไม่ยักจะปฏิเสธ รวมถึงพี่ลู่หานก็เช่นกัน ไม่เห็นจะทักท้วงกับคำเอ่ยหยอกล้อนั่นเลย
     
    ถ้าความสัมพันธ์ของเขากับชานยอล เปิดเผยได้บ้างก็ดีสิ ที่เขาแซวหยอกกัน ก็เพราะไม่รู้สินะ ว่าแฟนของชานยอลน่ะ คือแบคฮยอนคนนี้ ไม่ใช่พี่ลู่หาน
    แต่เอาเถอะ ก็เขาไม่รู้นี่นา จะไปว่าอะไรก็ไม่ได้
    ว่าแต่ ถ้ามีการแซวแบบนี้ แสดงว่าการที่เพศเดียวกันคบกัน เขาก็ไม่ได้ต่อต้านนี่เนอะ แล้วเมื่อไหร่ จะถึงเวลาที่เราต้องบอกคนอื่นล่ะ ว่าแบคฮยอนกับชานยอล เป็นแฟนกัน เป็นมานานแล้ว จะสองปีแล้วนะ
     
     
    “ชานยอล..เมื่อไหร่จะบอกคนอื่นหรอ ว่าเราเป็นแฟนกัน” แบคฮยอนเอ่ยถามแฟนของตนที่ตอนนี้ตระกองกอดตนไว้อยู่
     
    “หืม..อยากบอกคนอื่นเหรอ”
     
    “เปล่าหรอก เราแค่อยากรู้เฉยๆ เห็นพวกเพื่อนพี่ลู่หานแซวชานยอล ก็เลยคิดว่าเขาไม่น่าจะต่อต้านการคบเพศเดียวกันนี่”
     
    “จริงๆอยู่แบบนี้ก็ดีไม่ใช่เหรอ ยังไงเราก็รู้ว่าต่างคนต่างคิดยังไง” ชานยอลยกยิ้มให้กับคนตัวเล็กในอ้อมกอด
     
    “ก็ดี แต่..บางทีเราก็อยากเดินจับมือกับชานยอลบ้าง”..อย่างที่ชานยอลจับมือกับพี่ลู่หาน
     
    “...”
     
    “เราอยากกอดชานยอล โดยไม่ต้องแคร์สายตาคนรอบข้าง”..เหมือนกับที่ชานยอลกอดพี่ลู่หานใต้ตึกคณะ
     
    “...”
     
    “เราอยากให้ชานยอลจูบหน้าผาก แล้วบอกเราว่าไม่เป็นไร เราทำดีที่สุดแล้ว ตอนออกจากห้องสอบ”..แบบที่ชานยอลทำกับพี่ลู่หานตอนพี่ลู่หานสอบเสร็จ
     
    “...”
     
    “เรา..ฮึก.. เราอยากได้มัน อยากได้สิ่งที่ชานยอลกล้าทำกับพี่ลู่หานต่อหน้าคนอื่น ฮึก..ไม่ใช่แบบที่เราได้แค่ตอนเราอยู่กันสองคนเท่านั้น”
     
    ไม่ไหวแล้ว แบคฮยอนควบคุมน้ำตาตัวเองไม่ได้ ควบคุมไม่ให้สะอื้นไม่ได้ แย่แล้ว ชานยอลต้องไม่ชอบแน่ๆ
     
    “...” ชานยอลเงียบ และกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
     
    “ขะ..ขอโทษนะ เรา ฮึก ไม่ได้อยาก ฮึก จะร้องไห้ เราจะ ฮึก พยายามเงียบนะ” แบคฮยอนพูดไปก็สะอื้นไป พยายามห้ามไม่ให้น้ำตาไหลออกมามากกว่านี้
     
    “ชู่ว ไม่พูดแล้วนะ ไม่พูดแล้ว” ชานยอลได้แต่ลูบหัวแฟนตัวเล็กเบาๆ
     
    แบคฮยอนไม่ได้พูดอะไรออกมาแล้ว ไหล่บางสั่นระริก ชานยอลก็ได้แต่ลูบหัวแล้วกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเท่านั้น
     
    แบคฮยอนไม่สะอื้นแล้ว น้ำตาก็เริ่มเหือดหาย เขาผละออกจากอ้อมกอดของชานยอล เช็ดน้ำตาที่เปรอะใบหน้า ฉีกยิ้มให้แฟนตัวสูงแล้วเอ่ยขึ้น
     
    “ชานยอลมีอะไรจะบอกเรามั้ย”
     
    “...” ชานยอลทำได้แค่หลบตา ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา
     
    “อยากบอกเราหรือเปล่า ว่าเวลาที่ชานยอลให้เราไม่ได้ ก็เพราะเอาไปให้พี่ลู่หานหมดแล้ว”
     
    “...”
     
    “อยากบอกหรือเปล่า ว่าช่วงเวลาที่ไม่ได้นอนกอดเรา ชานยอลไปนอนกอดพี่ลู่หาน”
     
    “...”
     
    “อยากบอกหรือเปล่า ว่าที่ปิดบังความสัมพันธ์ของเรา ก็เพราะไม่อยากให้พี่ลู่หานรู้”
     
    “...”
     
    “อยากบอกหรือเปล่า ว่าหัวใจดวงนี้ มันไม่ใช่ของเราแล้ว”
     
    “...”
     
    “อยากบอกหรือเปล่า ว่าชานยอลไม่ได้รักแบคฮยอนแล้ว”
     
    “...”
     
    “แล้วอยากบอก..เลิกหรือเปล่า”
     
    “...”
     
    “ชานยอลอ่า พูดกับเราหน่อยสิ อย่าปล่อยเราพูดอยู่คนเดียว เราเหงานะ”
     
    “ขอโทษ..” เป็นคำแรกที่หลุดออกจากปากชานยอล หลังจากที่แบคฮยอนได้พูดในสิ่งที่ชานยอลไม่คิดว่าแบคฮยอนจะรู้
     
    “อื้อ มันเป็นคำที่ชานยอลต้องพูดอยู่แล้วล่ะ”
     
    “ขอโทษจริงๆแบคฮยอน ชานยอลขอโทษ” เสียงชานยอลสั่นเครือ ไหล่หนานั้นเริ่มสั่น ถึงแม้ชานยอลจะก้มหน้า แต่แบคฮยอนก็รู้ดีว่าชานยอลกำลังร้องไห้
     
    “ไม่เอาหน่า อย่าร้องไห้สิ เรายังไม่ร้องเลย อ่า ถ้าไม่นับเมื่อกี้นะ” แบคฮยอนโอบกอดร่างสูงเอาไว้ พลางลูบหลังเบาๆ
     
    “ฉันขอโทษนะแบคฮยอน ขอโทษที่ทำให้นายเสียใจ ฉัน..มันเลวจริงๆ”
     
    “แหะๆ ก็เสียใจแหละ แต่ชานยอลไม่เลวหรอก”
     
    “อย่าพูดแบบนั้น”
     
    “ชานยอลแค่เผลอใจไป..ใช่ไหม”
     
    “แบค..”
     
    “ชานยอลยังรักแบคฮยอนอยู่หรือเปล่า”
     
    “รัก..” 
     
    คำว่ารักของชานยอลกำลังทำให้แบคฮยอนยิ้ม
     
    “...”
     
    “แบบเพื่อน” 
     
    และคำต่อมา ก็มาทำลายรอยยิ้มนั้นลง
     
    แบคฮยอนหุบยิ้ม ตาเรียวเล็กที่แห้งไปแล้ว ตอนนี้กลับถูกเติมเต็มด้วยน้ำที่เอ่อล้นอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆหยด ลงบนมือของเจ้าของน้ำตานั้นเอง
     
    “แล้ว..ยังไงต่อ” แบคฮยอนพยายามกลั้นเสียงไม่ให้สั่น 
     
    เรียวแขนเล็กที่โอบกอดชานยอลอยู่นั้นค่อยๆคลายออก
     
    “เรากลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมนะ”
     
    และได้ผละออกจากชานยอลในที่สุด
     
    “...” แบคฮยอนจ้องหน้าชานยอล ที่ตอนนี้เลือนรางเต็มที 
     
    ก็ตอนนี้น้ำตามันเอ่อเต็มตาเลยนี่นา
     
    “กลับไปเป็นเพื่อนกัน..ได้ไหม”
     
    มือหนาของชานยอลประคองหน้าเล็กๆของแบคฮยอนไว้
     
    “อื้อ ได้สิ กลับไปเป็นเพื่อนกัน”
     
    แบคฮยอนพยักหน้า เอื้อมมือไปจับมือที่ประคองหน้าตัวเองไว้ พร้อมส่งยิ้มบางๆไปให้
    ทั้งที่ในใจแบคฮยอน มันพังยับเยินไปหมดแล้ว
     
    แต่ถ้าการได้เป็นเพื่อนกัน มันยังทำให้แบคฮยอนสามารถอยู่ในชีวิตชานยอลได้ เขายอม จะเป็นอะไรก็ได้ ขอแค่ไม่ต้องเสียชานยอลไป
    ต้องโทษชานยอลคนเดียวเลย ที่เข้ามาดูแลแบคฮยอน เข้ามาทำให้รัก จนทำให้แบคฮยอนถอนตัวไม่ขึ้น ทำให้แบคฮยอนขาดชานยอลไปไม่ได้
     
    แต่สุดท้าย ความสัมพันธ์ของชานยอลกับลู่หาน  ก็ไม่ได้พัฒนาไปมากกว่าพี่น้อง แต่แบคฮยอนกับชานยอล ก็ไม่ยักจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม อาจเพราะชานยอลยังคงรู้สึกผิด
    แค่แบคฮยอนยอมเป็นเพื่อนกับชานยอล มันก็ดีมากแล้วล่ะ
     
    ปัจจุบัน
     
    “มึง..กูว่ากูกับพี่คยองซูไม่น่าไปรอดว่ะ” ชานยอลพูดกับแบคฮยอน ที่ตอนนี้นั่งเล่นเกมโทรศัพท์อยู่บนเตียง
     
    “ทำไมอ่ะ ก็เห็นเข้ากันได้ดีหนิ”
     
    “กู..ไม่ได้รู้สึกกับพี่เขาขนาดนั้นว่ะ แบบ..”
     
    “...” แบคฮยอนวางโทรศัพท์ แล้วหันมามองเพื่อนตัวเองที่ทำหน้าเครียด
     
    ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ที่ห้องแบคฮยอน หลังจากที่แบคฮยอนไปทานข้าวกับพี่จงอินเสร็จ และชานยอลก็ไปส่งคยองซูที่บ้าน
    ตั้งแต่ชานยอลเข้ามาในห้อง ก็เงียบ ไม่พูดไม่จา สนใจแต่โทรศัพท์ จนกระทั่งเขาวางโทรศัพท์ไว้ แล้วเปิดประเด็นขึ้นมา
     
    “กูรู้สึกเหมือนกูยังเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ หัวใจกู..ยังอยู่กับคนเก่าอยู่เลย”
     
    เอาเถอะ อยากพูดอะไรก็พูดมา ตอนนี้หัวใจแบคฮยอนแข็งแรงขึ้นมาแล้วนะ ถึงแม้ความรักที่มีให้ชานยอลจะยังคงเหมือนเดิมก็เถอะ
     
    “พี่ลู่หานน่ะหรอ ไหนๆตอนนี้พี่เขาก็เลิกกับแฟนแล้ว ทำไมไม่--”
     
    “ไม่ใช่” ชานยอลขัดขึ้น แบคฮยอนคิ้วขมวด ราวกับไม่เข้าใจในสิ่งที่ชานยอลจะสื่อ
     
    “...”
     
    “กูหมายถึง หัวใจกู เหมือนจะยังอยู่กับแฟนเก่าอยู่เลย”
     
    “...”
     
    “มึงรู้ใช่ไหม ว่ากูกับพี่ลู่หานไม่เคยคบกัน และแฟนเก่ากูคือมะ--”
     
    “ลองคุยไปเรื่อยๆสิ อาจจะใช่ก็ได้นะ พี่คยองซูน่ะ” แบคฮยอนรีบพูดขัดขึ้น
     
    เขารู้ว่าชานยอลจะพูดอะไร เขารู้ว่าชานยอลจะสื่อถึงอะไร แต่เขาไม่พร้อมฟังในตอนนี้ ขอร้องเถอะ ถึงเขาจะเข้มแข็งขึ้นแล้ว หัวใจแข็งแรงขึ้นแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าแผลมันจะหายแล้วนะ
     
    “กูรู้ว่ามึงรู้ กูว่าเราน่ะ--”
     
    “อย่าพูดออกมาเลยนะ ถือว่าสงสารกู”
    “แต่ว่า--”
     
    “ขอร้องนะชานยอล เราเป็นแบบนี้มันก็ดีแล้ว ถึงกูจะเจ็บที่เห็นมึงไปชอบคนอื่น ไปเอาใจคนอื่น ไปจีบคนอื่น แต่กูก็เจ็บในสถานะที่กูไม่มีสิทธิ์..”
     
    “...”
     
    “อย่าให้กูกลับไปมีสิทธิ์แล้วเจ็บแบบเดิมเลย มันไม่โอเค กูไม่โอเค กว่ากูจะผ่านมาได้ มันยากนะ"
     
    “กูสัญญาว่าจะไม่ให้เป็นแบบเดิม เรากลับมาคบกันได้มั้ย”
     
    “อยะ..อย่าพูด”
     
    “มึงยังรักกูอยู่ใช่หรือเปล่า”
     
    “....”
     
    “ใช่ไหม แบคฮยอน”
     
    “รัก..”
     
    “งั้น--”
     
    “แต่ไม่อยากกลับไปแล้ว”
     
    “แบค..”
     
    “เป็นเพื่อนกันนะ อย่าทำให้ความพยายามทั้งหมดของกูสูญเปล่า”
     
    “...”
    แบคฮยอนได้แต่ยิ้มให้ชานยอล มือเรียวเอื้อมไปเช็ดน้ำตาให้คนตรงหน้า
     
    “อย่าร้องไห้สิชานยอล กูรักมึงนะ”
     
    ถึงแม้จะเอ่ยห้ามไม่ให้คนตรงหน้าร้องไห้ แต่คนพูดนั้นก็ไม่ต่าง น้ำตาที่เอ่อล้นในตอนแรก ตอนนี้ได้ไหลลงมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
     
    “แบคฮยอนนา”
     
    “เป็นเพื่อนกัน..อย่างที่มึงบอกเมื่อสองปีก่อนเถอะนะ”
     
    และชานยอลก็ได้รู้ ว่าจริงๆแล้วการตัดสินใจเมื่อสองปีก่อนมันคือความผิดพลาด มันทำให้เขาต้องเสียแบคฮยอนในฐานะคนรักไป และถึงแม้เขาจะอยากได้แบคฮยอน คนรักคนเดิมของเขากลับมาเพียงใด มันก็เป็นได้แค่ความคิด เพราะทุกอย่างมันพังลงแล้ว
    มันพังเพราะความเห็นแก่ตัวของเขาเอง
     
     
     
    แหะ ความรักก็ไม่ได้สมหวังทุกครั้งไปหรอกเนอะ
    ฝากด้วยนะคะ #smatCB
    B E R L I N ❀
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×