ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [sf/os] smiles and tears ; Chanbaek

    ลำดับตอนที่ #22 : SF #เราชื่อบยอนแบค : End

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.88K
      83
      27 ก.พ. 61

    Epilogue

     

    ป๋า แล้วตระกูลเรามีภูติไหมฮันบยอล ลูกสาวตัวน้อยของปาร์คชานยอลเอ่ยถามขึ้นเมื่อเรื่องเล่าของชานยอลจบลง

     

    อืม..อาจจะมี แต่เราไม่เห็นเขาก็ได้นะชานยอลลูบหัวฮันบยอลก่อนจะห่มผ้าให้ดีๆ นอนได้แล้ว พรุ่งนี้คุณย่าจะเข้ามารับแต่เช้า

     

    อื้อ ฝันดีค่ะป๋าเจ้าตัวเล็กขานรับแล้วหลับตาพริ้ม ชานยอลมองอย่างเอ็นดูก่อนจะจุมพิตเข้าที่หน้าผากเล็กแล้วออกจากห้องไป

     

                หลังจากที่บยอนแบคถูกพาตัวกลับโลกภูติไป ก็ผ่านมาเป็นเวลา 15 ปีแล้ว เป็น 15 ปีที่ชานยอลชีวิตโดยปราศจากสิ่งที่เรียกว่าภูติ ชานยอลไม่ได้ข่าวบยอนแบคอีกเลยหลังจากนั้น เขาต้องพยายามทำใจยอมรับความจริง เพราะถึงแม้บยอนแบคจะยังอยู่กับเขา แต่เราก็รักกันไม่ได้

     

                ความรักระหว่างมนุษย์กับภูติน่ะ มันเป็นไปได้ที่ไหน

     

                ชานยอลเปิดใจให้คนอื่น หลังจากที่ถูกมินกิพูดเตือนสติ ใช่ เขาจะจมปลักกับคนที่หายไปจากชีวิตเขาไม่ได้ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลย ว่าเขารักบยอนแบคและยังคงเก็บบยอนแบคไว้ในใจ บยอนแบคยังคงชัดเจนในความทรงจำเสมอ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะมีลูกสาวตัวน้อยๆน่ารัก 1 คนแล้วก็ตาม

                ปาร์คฮันบยอล ลูกสาวที่เกิดจากเขาและภรรยาที่รู้จักกันหลังจากที่ชานยอลทำงานได้เพียงไม่กี่เดือน พวกเขาศึกษาดูใจกันอยู่ 2 ปี ก่อนตัดสินใจจะแต่งงานกัน และมีลูกด้วยกันหลังจากนั้นอีก 2 ปี ด้วยหน้าที่การงานและฐานะที่พร้อม ตอนนี้ฮันบยอลอายุ 8 ปี ส่วนภรรยานั้น เสียไปเมื่อ 3 ปีก่อนด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ เขาจึงกลายเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวไปโดยปริยาย แต่ก็ไม่ได้คิดหาแม่ใหม่ให้ฮันบยอล ชานยอลยอมรับอย่างลูกผู้ชายเลย ว่าเขารักภรรยาของเขาได้ไม่เท่าที่รู้สึกต่อบยอนแบค ถึงแม้จะรู้สึกผิดในใจ แต่ปาร์คชานยอลก็ทำหน้าที่สามีและพ่อได้ดี

                และเขาได้สัญญากับตัวเองแล้ว ว่านอกจากบยอนแบคและแม่ของฮันบยอล ชานยอลจะไม่รักใครอีก

     

    ♦♦♦

     

    “ฮันบยอล คุณย่ามาแล้วนะคะ” ชานยอลกระซิบข้างใบหูเล็กๆของลูกสาวที่หลับอยู่ และดูท่าทาจะฝันดีเสียด้วย

     

    “ป๋า หนูขออีก 5 นาทีนะคะ”

     

    “คำว่า 5 นาทีนี่ไปเอามาจากไหนคะเนี่ย” ชานยอลบีบจมูกลูกสาวอย่างมันเขี้ยว

     

    “เอามาจากป๋าแหละ” ฮันบยอลยู่ปากก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง พับผ้าห่มแล้วเข้าห้องน้ำไป

     

                เสร็จภารกิจปลุกลูกสาว ชานยอลก็เดินลงมาข้างล่างเพื่อจะไปหาแม่ของตนที่วันนี้จะพาหลานรักไปเที่ยว

     

    “อะไรน่ะครับ” ชานยอลชี้ไปยังกล่องที่วางไว้อยู่บนโต๊ะ

     

    “เค้กต๊อกน่ะ พอดีคนข้างบ้านเพิ่งย้ายเข้ามา” จางนารายิ้ม

     

    “หืม ในที่สุดผมก็มีเพื่อนบ้านเสียทีนะครับ” ชานยอลเอ่ยขำๆ บ้านชานยอลเป็นบ้านเดี่ยวอยู่ในท้ายซอย หน้าบ้านก็หันเข้ากำแพง ส่วนข้างบ้านก็ไม่มีคนอยู่ตั้งแต่ชานยอลย้ายเข้ามาแล้ว

     

    “ไปทักทายเพื่อนบ้านใหม่หน่อยไหม”

     

                ชานยอลถือจานผลไม้ที่แม่ของเขาเตรียมไว้มาให้เพื่อนบ้านคนใหม่ ดูเหมือนจะเพิ่งย้ายเข้ามา เพราะยังมีรถสำหรับขนย้ายของและกล่องลังใบใหญ่วางอยู่หน้าบ้านเต็มไปหมด

     

    “แทอู!! อย่าแย่งขนมเรา!!!” มือที่กำลังจะเอื้อมไปกดกริ่งก็ต้องชะงักลงเมื่อได้ยินเสียงดังลอดออกมาจากในบ้าน

     

                ทำไม..

                เหมือนเสียงที่คุ้นเคย

     

    “ก็มันวางอยู่ใครจะไปรู้ว่าของนาย..นั่น มีคนมากดกริ่ง ออกไปดูเลย” มีอีกเสียงที่ดังออกมา หลังจากที่เขากดกริ่งไป

     

                เจ้าของบ้านที่ก้าวขาออกมาจากประตูบ้านแล้ววิ่งตรงมาที่รั้ว ทำให้ชานยอลนิ่งไปสักพัก หัวใจจู่ๆก็เต้นรัว ซึ่งสาเหตุก็ไม่น่าพ้นคนตรงหน้า

     

    “บยอนแบค..” ชานยอลพึมพำออกมา สายตายังคงจับจ้องไปยังเพื่อนบ้านคนใหม่ตรงหน้า

     

                คนตรงหน้าฉีกยิ้มให้พร้อมส่ายหัว อ่า นั่นสินะ บยอนแบคจะมาอยู่ที่นี่ได้ไง ไหนจะมาเป็นเพื่อนบ้านอีก บ้าไปแล้วชานยอล ถึงจะเหมือนมากก็เถอะ เขาคงจะต้องคิดถึงบยอนแบคมากไปแล้วแน่ๆ

     

    “ฮยอน” ปากเล็กๆเปล่งเสียงออกมา

     

    “ฮะ..หืม?”

     

    “พูดให้ครบสิ บยอนแบคฮยอน” คนตัวเล็กตรงหน้ายิ้มกว้างกว่าเดิม “บยอนแบคฮยอน คือชื่อเรา”

     

    “แบคฮยอน...” ชานยอลรู้สึกร้อนผ่าวที่ดวงตา ทิวทัศน์ข้างหน้าเริ่มพร่ามัว เพราะน้ำตาที่มาจากไหนไม่รู้มันเอ่อขึ้นมา

     

    “จำเราไม่ได้หรอ เจ้าชานยอล มนุษย์ยักษ์” สิ้นเสียงเพื่อนบ้านคนใหม่ น้ำตาที่เอ่อล้นดวงตา มันก็หยดลงมาทีละหยด ชานยอลกลั้นน้ำตาไม่ได้เลย และพอๆกับที่กลั้นยิ้มไม่ได้เช่นกัน

     

    “แบคฮยอน..นายกลับมาแล้ว”

     

                เพล้ง!

     

                จานผลไม้ที่ชานยอลตั้งใจจะเอามาให้เพื่อนบ้านคนใหม่หล่นแตก เพราะจู่ๆเจ้าตัวเล็กตรงหน้าก็โผเข้ากอดโดยไม่ให้เขาตั้งตัว

     

    “อุ่ย..จานแตกเลยอ่ะชานยอล” บยอนแบค อ่า ไม่สิ แบคฮยอนพูดเหมือนจะรู้สึกผิด แต่น้ำเสียงยังคงขี้เล่นเหมือนเดิม

     

    “อืม นายนั่นแหละทำแตก” ชานยอลตอบกลับ แต่ไม่ได้สนใจจานที่แตกนั่นเท่าที่ควร ชานยอลกอดแบคฮยอนกลับ

     

                ชานยอลกอดแบคฮยอนแน่นเหมือนกลัวแบคฮยอนหายไป ความคิดถึงคนตัวเล็กในอ้อมกอดตลอด 15 ปี มันทำให้ชานยอลร้องไห้ออกมาโดยไม่อายใคร เขากอดแบคฮยอนอยู่แบบนั้น เสียงสะอื้นของคนตัวโตมันทำให้แบคฮยอนอดที่จะร้องตามไม่ได้ มือเล็กๆคอยลูบหลังชานยอลอยู่แบบนั้น

     

    “เรากลับมาแล้วนะ” แบคฮยอนพูดเสียงเบา เลื่อนมือจากแผ่นหลังกว้างไปยังหัวของคนตัวสูง แล้วลูบเบาๆ และนั่นมันก็ทำให้ชานยอลกอดแบคฮยอนแน่นขึ้นไปอีก

     

    ♦♦♦

     

                หลังจากเล่นบทโรแมนติกอยู่หน้าบ้านท่ามกลางสายตาของผู้ปกครองทั้งคู่ ก็ได้ฤกษ์ย้ายถิ่นฐานเข้ามาในบ้านของบยอนแบค จางนาราที่มีภารกิจติดพันดูแลหลานรักก็ขอตัวแล้วปล่อยให้ชานยอลอยู่ที่บ้านของแบคฮยอน เพราะความจริง การที่ครอบครัวของบยอนแบคย้ายเข้ามามันไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเสียเท่าไหร่

     

                หลังจากที่ปรับอารมณ์ได้ ชานยอลที่นั่งอยู่ท่ามกลางครอบครัวบยอนก็รู้สึกเกร็งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้จะเคยเจอพ่อแม่แบคฮยอนแล้ว แต่นั่นก็ยังอยู่ในร่างภูติ ไหนจะสมาชิกอีกคนที่เขาไม่คุ้นเคยอีกต่างหาก

     

                แคสเปอร์..พี่ชายของบยอนแบคใช่ไหม

     

    “ตกใจสินะ ที่จู่ๆพวกเราก็โผล่มาแบบนี้”พ่อของแบคฮยอนเป็นคนเปิดบทสนทนา

     

    “ครับ..นิดหน่อย” ชานยอลเอ่ยติดๆขัดๆ “แล้วเรื่องเป็นยังไงมายังไงหรือครับ”

     

                สิ้นคำถามชานยอล คนที่เริ่มเล่าเรื่องก็คือแม่ของแบคฮยอน

     

                หลังจากที่ซันนี่พาลูกชายคนเล็กของเธอกลับโลกภูติ สภาพร่างกายของบยอนแบคก็ไม่ได้ดีเท่าที่ควร เธอจึงตัดสินใจไปหาเทพสายฟ้า ท่านดูแลบยอนแบคมาตั้งแต่เด็ก เพราะเจ้าตัวเล็กมีปัญหาตั้งแต่เกิดจึงต้องดูแลอย่างใกล้ชิด และอาศัยพลังของเทพหลายองค์ช่วย อาจเพราะบยอนแบคโชคดีที่พ่อของเขามีเชื้อสายของเหล่าเทพ ถึงแม้จะเพียงน้อยนิดเท่านั้นแต่ก็นับว่าเป็นลูกหลาน

                เทพสายฟ้าที่เอ็นดูบยอนแบคเป็นพิเศษ คอยช่วยเหลืออยู่ไม่ห่าง จึงทำให้บยอนแบคใช้ชีวิตอยู่มาได้ถึง 18 ปี แต่โชคชะตามันก็เล่นตลก ไม่มีใครรู้ว่าถ้าบยอนแบคแปลงเป็นมนุษย์บ่อยๆ มันจะทำให้อายุขัยเขาสั้นลง กว่าจะรู้ตัวก็เกือบสายไปเสียแล้ว

                บยอนแบคนอนหลับอยู่ร่วม 2 วัน กว่าจะตื่นขึ้น เขาดูไม่ค่อยร่าเริงเท่าที่ควร ร่างกายอ่อนแรง เซื่องซึมทั้งวันจนกระทั่งเทพสายฟ้าได้รับรู้ถึงพลังชีวิตของเทพตัวน้อยได้ไม่เหมือนเมื่อก่อน มันเลือนราง จนเกือบจะหายไป บยอนแบคเอาแต่พูดถึงชานยอลตลอดเวลา เขาเอาแต่ถามพ่อกับแม่ว่าเมื่อไหร่จะหายป่วย เขาอยากไปหาชานยอล ยังไม่ทันได้บอกลาอะไรกันเลย

                บยอนแบคเศร้า ทุกคนก็เศร้า บยอนแบคเสียใจ ทุกคนก็เสียใจ บยอนแบคมีชีวิตได้เกือบอาทิตย์ จนกระทั่งเทพทั้งหลายรั้งชีวิตบยอนแบคไม่ได้ ความจริงอายุขัยบยอนแบคหมดไปตั้งแต่อายุ 15 แล้ว ยืดมาได้อีก 3 ปีก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว ทุกคนตกอยู่ในความเศร้า วันนั้นโลกภูติอึมครึมเพราะเหล่าเทพก็เสียใจกับการจากไปของบยอนแบค

                ไม่รู้ว่าจะเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นเรียกว่าปาฏิหาริย์ได้หรือไม่ เทพสายฟ้าใช้อำนาจและพลังที่มี ทำให้บยอนแบคมีชีวิตอีกครั้งในฐานะมนุษย์ โดยแลกกับการต้องกลับไปเป็นภูติสามัญชนธรรมดา ไม่มีอำนาจ ไม่มีพลังดังเมื่อก่อน ใช้เวลานานพอสมควรกว่าพิธีจะเสร็จสิ้น มันมีกระบวนการเยอะแยะมากมาย ไม่มีใครล่วงรู้ถึงวิธีการ ทุกคนรออย่างใจจดใจจ่อ จนถึงวันที่ทุกคนรอคอย

                เทพสายฟ้าอุ้มทารกน้อยคนหนึ่งออกมาจากวิหาร หลังจากหายไปเกือบอาทิตย์ แม้ว่าเทพสายฟ้าไม่ได้พูดอะไร ทุกคนก็รู้ได้ทันทีว่าทารกน้อยที่เอาแต่หัวเราะคิกคักนั้นเป็นใคร หน้าตาเหมือนบยอนแบคตอนเกิดไม่มีผิด ต่างกันตรงที่ทารกคนนี้ยิ้มแย้ม ไม่เหมือนตอนที่บยอนแบคเกิด ที่เอาแต่ร้องไห้เพราะทรมาน

                เทพสายฟ้าส่งบยอนแบคให้กับซันนี่ ผู้เป็นแม่รับลูกมาด้วยความปลื้มปิติ ซันนี่ร้องไห้ทันทีเมื่อได้อุ้มลูก ทุกๆคนรอบกายต่างพากันร้องไห้ แต่น้ำตาที่ทุกคนมี มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความโศกเศร้า แต่เป็นน้ำตาแห่งความสุข ถึงแม้บยอนแบคจะกลายเป็นมนุษย์ แต่ก็ยังดีกว่าโลกนี้ไม่มีบยอนแบคอยู่

                ตลอดระยะเวลา 15 ปี ของมนุษย์ ครอบครัวของบยอนแบคทำการเลี้ยงดูอย่างดีก่อนที่เทพแห่งผืนดิน ที่เลี้ยงดูบยอนแบคมาเช่นกัน ตัดสินใจส่งบยอนแบคและครอบครัวไปอยู่ที่โลกมนุษย์ เพราะให้มนุษย์อยู่โลกภูตินานเกินไปคงไม่ดี ทุกคนในครอบครัวยังคงเป็นภูติ ยกเว้นบยอนแบค มันอาจจะยากลำบากไปเสียหน่อยที่ต้องให้ภูติมาดูแลมนุษย์ เทพแห่งสายน้ำที่ก็เอ็นดูบยอนแบคไม่ต่างกัน ก็จัดการใช้ความรู้ที่ตนสะสมมาตลอดหลายร้อยปีทั้งเกี่ยวกับมนุษย์และภูติส่งผ่านไปยังบยอนแบค เพื่อให้มีพื้นฐานการใช้ชีวิตของมนุษย์ ก่อนจะย้ายไปโลกมนุษย์อย่างสมบูรณ์ และสุดท้ายเทพแห่งโลกภูติ เทพสูงสุดของโลกใบนี้ ก็มอบสิ่งๆหนึ่งให้เป็นของขวัญแก่บยอนแบค

                ความทรงจำที่มีตลอดการเป็นภูติในวันที่บยอนแบคอายุครบ 15 ปีมนุษย์ มันเป็นของขวัญที่มีค่าที่สุดตั้งแต่ที่บยอนแบคเป็นมนุษย์ เขาจำได้แล้วทุกอย่าง จำได้ว่าตนเคยเป็นภูติ จำได้ว่าคิมไคกับโอเซเป็นเพื่อนรัก ลาอีเป็นศัตรู และที่สำคัญ

                บยอนแบคจำชานยอลได้ ปาร์คชานยอล มนุษย์ผู้ที่เป็นความรักของเขา

                ก่อนจะย้ายไปโลกมนุษย์ ซันนี่และแมกซ์ได้ไปหาปาร์คจุนฮยอง และจางนาราหลังจากที่ไม่ได้ไปหานานมาก พวกเขาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง และจุนฮยองก็อาสาจะช่วยทุกอย่างเมื่อครอบครัวนี้จะมาอยู่ที่โลกนี้ ครอบครัวปาร์คมีอิทธิพลพอสมควร เขาสามารถทำเอกสารการมีตัวตนของทั้งครอบครัวนี้ขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย รวมทั้งค่าใช้จ่ายทั้งหมดในชีวิตประจำวัน มันอาจเป็นทางเดียวที่จะตอบแทนที่คอยช่วยเหลือตระกูลปาร์คมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ

                ทุกคนกลายเป็นตระกูลบยอน คู่ค้าของตระกูลปาร์ค บยอนชางมิน บยอนซุนคยู บยอนแทอู และสุดท้าย บยอนแบคฮยอน

     

    “เดี๋ยวนะครับ กำลังจะบอกว่าตอนนี้บยอนแบคเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์?” ชานยอลเอ่ยถามขึ้น

     

    “บยอนแบคฮยอน พูดให้ครบซี่ชานยอล” แบคฮยอนที่เห็นว่าชานยอลพูดชื่อตนไม่ครบก็ท้วงขึ้นมา

     

    “ใช่” ชางมินตอบ

     

    “แล้วอายุ 15 ?”

     

    “อ่าฮะ” แทอูพยักหน้า

     

    “เพิ่งขึ้นม.ปลาย” และจบด้วยซุนคยู

     

                ชีวิตชานยอลนี่เจอแต่เรื่องแฟนตาซีจริงๆสินะ

     

    “แฮ่” ชานยอลหันไปมองแบคฮยอนที่ยิ้มเผล่ มันอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปขยี้ผมจนยุ่ง

     

    ♦♦♦

     

     

    "เราชื่อบยอนแบคฮยอน"  ประโยคแรกของวันที่ชานยอลได้ยิน

     

                เมื่อคืนเขานอนอยู่บ้านคนเดียวเพราะว่าเจ้าหญิงตัวน้อยของเขาไปนอนกับคุณย่าหรือคุณแม่ของเขา และวันนี้เป็นวันหยุดชานยอลจึงตื่นสายได้ แต่เมื่อเดินลงมากะว่าจะมาหาอะไรใส่ท้องเสียหน่อย ก็ได้ยินเสียงใสๆพูดชื่อที่คุ้นเคยดังออกมาจากห้องนั่งเล่น

     

    "หนูชื่อปาร์คฮันบยอล" เมื่อขายาวของเจ้าของบ้านเดินไปถึงบันไดขั้นสุดท้าย ก็เห็นอดีตภูติตัวเล็กกับเจ้าหญิงตัวน้อยกำลังนั่งคุยกันอยู่บนโซฟา

     

                ชานยอลยืนพิงกับหัวบันไดแล้วกอดอกมองบทสนทนาที่จะเกิดขึ้นต่อไปของทั้งสอง

     

    "เราเรียนอยู่เกรด10" แบคฮยอนชูมือขึ้นมาแล้วกางออกทั้งสิบนิ้ว

     

    "หนูเรียนอยู่เกรด1" ส่วนฮันบยอลก็เลียนแบบแบคฮยอนบ้าง แต่ชูเพียงแค่นิ้วชี้นิ้วเดียว

     

    "เราเป็นเพื่อนกันได้ยัง" แบคฮยอนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม ชานยอลจึงขำเบาๆกับความน่ารัก

     

    "อื้อ เป็นเพื่อนกัน"

     

    "อ่ะ เราให้" แบคฮยอนล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของเจ้าตัว ก่อนจะยื่นขนมให้กับลูกสาวของเขา

     

    "ล่อลวงอะไรลูกฉันน่ะ" ชานยอลเอ่ยถามขึ้น เขาอยากมีส่วนรวมในวงสนทนาบ้าง

     

    "ฮันบยอลน่ารัก ไม่เหมือนชานยอล" เมื่อแบคฮยอนเห็นว่าชานยอลมาแล้วก็หันไปบึนปากให้คนที่ตื่นสาย

     

    "ฉันทำไม" ชานยอลเลิกคิ้วแล้วเดินไปหา

     

    "ชานยอลหล่อ" ชานยอลพยายามกลั้นยิ้มกับคำพูดและท่าทางของแบคฮยอน

     

                นี่จะทำให้หัวใจวายกันตั้งแต่เช้าเลยใช่ไหม

     

    "รู้จักเอาตัวรอดเหมือนกันนะนายเนี่ย"

     

    "เขาเรียกว่าอยู่เป็น" แบคฮยอนยืนขึ้นกอดอก แล้วยักคิ้วอย่างกวนๆส่งไปทางเจ้าของบ้านตัวสูง

     

    "เฮ่อ ไม่ชินเลยแฮะ กับนายที่ดูจะรู้เรื่องทุกอย่าง" ชานยอลถึงกับต้องถอนหายใจก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆฮันบยอล

     

    “ป๊ะป๋าตื่นสาย” ฮันบยอลพูด เพราะตนมาถึงบ้านนี้ตั้งแต่เช้าแล้ว และนี่มันก็ 11 โมง จวนจะได้เวลากินข้าวเที่ยงอยู่แล้ว

     

    "เอ๊ ชานยอลหมายความว่าไงเนี่ย!" แบคฮยอนขมวดคิ้วเพราะคำพูดของชานยอล ไม่ดีหรือไงที่แบคฮยอนไม่ได้ไร้เดียงสาแล้ว

     

    "จริงๆฉันแก่กว่านายตั้งหลายปีนะ เป็นพ่อนายได้เลย" ชานยอลพูดขำๆกับแบคฮยอน ก่อนจะหันไปตอบคำถามลูกสาว “วันหยุดทั้งทีก็ขอให้ป๊ะป๋าตื่นสายๆบ้างสิคะ”

     

    "แต่ชานยอลเป็นพ่อฮันบยอล"

     

    "ก็ใช่"

     

    "ถ้าชานยอลอยากเป็นพ่อเรา เป็นได้แค่พ่อทูนหัวนะ" แบคฮยอนหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ชานยอลก็ได้แต่กุมขมับ บยอนแบคภูติจอมไร้เดียงสาตนนั้นหายไปแล้ว เหลือแต่บยอนแบคฮยอน เด็กจอมแสบ

     

    แต่ก็นะ มันก็เป็นคนเดียวกันนั่นแหละ

     

    ชานยอลหมายถึง

     

    คนที่เขารักน่ะ

     

    “ป๊ะป๋าขา พ่อทูนหัวคืออะไร” เสียงเล็กๆของฮันบยอลถามขึ้นหลังจากที่ได้ยินบทสนทนาของผู้เป็นพ่อและเพื่อนใหม่ ชานยอลถึงกับต้องหันไปมองหน้าเจ้าของคำพูดเมื่อครู่ ส่วนแบคฮยอนก็ทำลอยหน้าลอยตา เหมือนตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้

     

                มันน่าจับมาตีก้นจริงๆ

     

    “ฮันบยอลหนูอยากมีพ่ออีกคนไหมลูก” สิ้นคำถาม แบคฮยอนทำเป็นไม่สนใจอะไรก็หันมามองหน้าชานยอลแทบจะทันที

     

    “หมายความว่าไง” และถามคำถามเร็วกว่าฮันบยอลที่ถูกถามเสียอีก

     

    “ใครหรือคะ”

     

    “นี่ไง” ชานยอลชี้ไปที่แบคฮยอน นั่นทำเอาเจ้าตัวเล็กหน้าแดงหูแดงไปหมด

     

    “ฮึ” ฮันบยอลส่ายหัว แบคฮยอนที่หน้าแดงเมื่อครู่ถึงกับหางลู่หูตก “แบคฮยอนเป็นเพื่อนหนู” ฮันบยอลยิ้มแฉ่งแล้วหันไปหาแบคฮยอน

     

    “ฮ่าๆ ครับๆ เป็นเพื่อนกัน สนิทกันไว้เนาะ” ชานยอลหัวเราะร่า

     

    “อ้าวตื่นแล้วเหรอเจ้าชาน มาๆ แม่เตรียมข้าวเที่ยงไว้แล้ว” นาราโผล่หน้าออกมาจากห้องครัวเมื่อได้ยินเสียงลูกชายของเธอ

     

    “ครับ ป่ะ กินข้าวกัน” ชานยอลลุกขึ้นแล้วยื่นมือเพื่อให้ฮันบยอลจับ

     

                หมับ

     

    “ป่ะ ไปกัน” แต่คนจับดันไม่ใช่ลูกสาวของเขา

     

                แบคฮยอนจับมือชานยอลไว้แน่น ส่วนฮันบยอลก็วิ่งไปหาคุณย่าเสียแล้ว เหลือแค่แบคฮยอนกับชานยอลสองคนในห้องนั่งเล่น แบคฮยอนยังคงไม่ปล่อยมือชานยอล ตาใสจ้องเข้าไปในดวงตากลมของคนตัวสูง เกิดเป็นความเงียบชั่วคราว ก่อนริมฝีปากบางของคนตัวเล็กจะเปิดออก

     

    “ไม่ได้จับมือชานยอลนานแล้ว คิดถึงจังเลย” ชานยอลไม่ได้ตอบอะไรกลับไปในทันที เพียงแต่ยิ้มตอบไปและกระชับมือไว้แน่น

     

    “งั้นอย่าหายไปไหนอีกนะ”

     

     

                มื้อเที่ยงมื้อนี้ เป็นมื้อแรกในรอบ 15 ปีของชานยอล ที่มีแบคฮยอนของเขามาร่วมโต๊ะด้วย ทำให้ชานยอลเจริญอาหารผิดปกติ ทำเอาจางนารา ผู้เป็นแม่อดจะดีใจไม่ได้ ใช่ว่าตลอดเวลาที่บยอนแบคหายไปชานยอลจะไม่มีความสุขเลย แต่เธอบอกได้เลยว่า พอบยอนแบคกลับมา วันนี้เป็นวันที่ชานยอลยิ้มกว้างที่สุดเลย อาจจะกว้างกว่าวันแต่งงานเสียด้วยมั้ง

                จางนาราได้แต่ส่ายหัวไล่ความคิดแล้วกล่าวขอโทษลูกสะใภ้ในใจ

     

                เสร็จจากมื้อเที่ยง จางนาราก็ขอตัวกลับก่อนเพราะต้องไปเคลียร์งาน และจะกลับมาตอนเย็นเพื่อรับฮันบยอลไปอยู่ด้วย เพราะเจ้าหนูน้อยยังไม่เปิดเทอม และชานยอลต้องไปทำงานในวันรุ่งขึ้น จึงไม่มีใครอยู่ดูแล ตอนนี้บ้านหลังไม่เล็กไม่ใหญ่นี้ก็เหลือแค่ชานยอลเจ้าของบ้าน ฮันบยอลเจ้าหญิงตัวน้อย และแบคฮยอนอดีตภูติจอมซนแค่นั้น ชานยอลเป็นคนอาสาล้างจานให้ ส่วนแบคฮยอนกับฮันบยอลก็ตรงดิ่งไปปักหลักอยู่ที่ห้องนั่งเล่น

                ชานยอลที่เสร็จจากการล้างจานก็เดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น ที่มีแบคฮยอนอ่านหนังสือให้ฮันบยอลฟังอยู่ นิทานภาษาอังกฤษหรือ ใช่ย่อยเหมือนกันนะแบคฮยอน

     

    “แบคฮยอน” ชานยอลเอ่ยเรียกแล้วเดินไปนั่งข้างๆ “เรียนโรงเรียนไหน”

     

                ชานยอลลืมถามเรื่องนี้ไปเลย รู้แค่ว่าแบคฮยอนอยู่แค่ม.ปลาย ส่วนเรื่องอื่นๆก็ไม่ได้ถามเลย

     

    “โรงเรียนชายล้วนไม่ไกลจากที่นี่หรอก” แบคฮยอนพูดถึงโรงเรียนมัธยมที่อยู่ในละแวกนี้  ซึ่งมันก็ทำให้ชานยอลรู้ได้ทันที เพราะมันใกล้ๆกับโรงเรียนของฮันบยอลเลย เพียงแต่โรงเรียนของฮันบยอลเป็นนานาชาติ

     

    “พรุ่งนี้เปิดเทอมวันแรกใช่ไหม”

     

    “อื้อ ตื่นเต้นอ่ะ ไม่เคยไปโรงเรียน”

     

    “แบคฮยอนทำไมไม่เคยไปโรงเรียน” ฮันบยอลที่นั่งดูหนังสือในมือก็เอ่ยถามขึ้น

     

    “เรียกพี่ด้วยสิคะฮันบยอล พี่แบคฮยอนเขาโตกว่าหนูนะ” ชานยอลปรามเมื่อได้ยินลูกสาวเรียกชื่อของแบคฮยอนห้วนๆ

     

                เอ คุ้นๆนะ เหมือนใครบางคนแถวนี้ก็เรียกชื่อเขาห้วนๆเหมือนกัน

     

    “ไม่เป็นไร เรียกแค่แบคฮยอนก็ได้” แบคฮยอนบอกออกมาอย่างไม่ได้ถือสาอะไร

     

    “เนอะแบคฮยอน”

     

    “เฮ่อ งั้นเรียกแค่แบคฮยอนคนเดียวนะคะ กับคนอื่นที่โตกว่าต้องเรียกว่าพี่นะ”

     

    “รับทราบค่า”

     

    “เข้าใจไหมคะ ต้องเรียกคนที่โตกว่าว่าพี่” ประโยคนี้ชานยอลหันไปพูดกับแบคฮยอน

     

    “ไม่คุ้นปากนี่”

     

    “เรียกบ่อยๆเดี๋ยวก็คุ้น”

     

    “เว้นชานยอลคนเดียวไม่ได้หรือ” แบคฮยอนช้อนตามองชานยอล “ชานยอลเป็นคนพิเศษนะ”

     

                ก็นั่นแหละ แค่นั้นชานยอลก็ยอมให้แบคฮยอนเรียกตนเองแค่ชื่อแล้ว

     

                ช่วงบ่ายวันนั้น ทั้งสามคนก็ใช้เวลาขลุกอยู่แต่ในห้องนั่งเล่นกับหนังสือ ฮันบยอลดูจะถูกใจแบคฮยอนเหลือเกิน เพียงแค่วันเดียวก็สามารถสนิทกันเหมือนรู้จักกันตั้งแต่เกิด

                ตอนเย็นจางนาราเข้ามารับฮันบยอล เจ้าหนูน้อยงอแงพอเป็นพิธีเพราะไม่อยากห่างจากเพื่อนใหม่ แต่สุดท้ายก็ยอมกลับไปด้วย เพราะคุณย่าดันเอาชื่อโธเฟ่น หมาสุดรักสุดหวงของครอบครัวปาร์คมาล่อ ถ้าแบคฮยอนเป็นเพื่อนสนิทของฮันบยอล โธเฟ่นก็คือเพื่อนรักของเธอนั่นล่ะ

     

    “อยู่กันสองคนแล้วเนอะ” ชานยอลพูดจบเมื่อส่งฮันบยอลเสร็จ

     

    “อื้อ งั้นเรากลับบ้านนะ” แบคฮยอนไม่ได้เดินตามชานยอลเข้าบ้าน แต่หยุดอยู่ตรงประตูแล้วชี้ไปที่บ้านตัวเอง

     

    “พ่อแม่กับแคสเปอร์ไม่อยู่ไม่ใช่หรอ” แบคฮยอนบอกตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าพ่อแม่และพี่ชายกลับโลกภูติไปแล้ว และจะกลับมาหาบ่อยๆ

     

                ยังไงสามตนนั้นก็ยังเป็นภูติ กลับไปใช้ชีวิตบนโลกภูติมันต้องดีกว่าเป็นไหนๆ อีกอย่างก็คือ แบคฮยอนมีชานยอลคอยดูแลแล้ว จึงไม่ต้องห่วงอะไรมากนัก

     

    “อื้อ”

     

    “ไม่เหงาหรอ” ชานยอลโน้มตัวลงมาให้หน้าอยู่ในระดับเดียวกับแบคฮยอน แล้วยักคิ้วลิ่วตากวนเจ้าตัวเล็ก

     

    “ถามตัวเองหรอ ฮึ?” แบคฮยอนยกมือขึ้นบิดแก้มคนตัวโตกว่าเบาๆ

     

    “งั้นถ้าบอกว่าเหงาจะมานอนด้วยกันไหม”

     

    “นอนดีไหมน้า” แบคฮยอนลูบคางทำท่าครุ่นคิด แต่ยังไม่ทันจะได้แกล้งต่อ ตัวแบคฮยอนก็ลอยขึ้นจากพื้นเสียแล้ว “เย้ย ชานยอลปล่อยเรา!

     

                ชานยอลที่เห็นท่าทางน่าตีนั่น ก็จัดการอุ้มแบคฮยอนพาดบ่าแล้วเดินเข้าบ้านไป ดูเหมือนว่าแบคฮยอนจะผอมลงกว่าเดิม หรือไม่ก็เขามีร่างกายที่แข็งแรงกว่าเดิม จึงไม่ลำบากเหมือนเมื่อ 15 ปี ก่อน ที่อุ้มแบคฮยอนได้อย่างทุลักทุเล

                เจ้าของบ้านเดินเข้าบ้านแล้วตรงขึ้นไปยังห้องนอน โดยมีเจ้าตัวเล็กตะโกนลั่นบ้าน ดิ้นเร่าๆว่าจะลงตลอดทาง

     

    “ไอ้มนุษย์ยักษ์” ทันทีที่เป็นอิสระ แบคฮยอนก็ชี้หน้าชานยอลแล้วบึนปากอย่างที่เจ้าตัวชอบทำบ่อยๆ

     

    “ก็คิดนานอ่ะ” ชานยอลยักไหล่แล้วทิ้งตัวลงนั่งลงบนเตียงข้างๆแบคฮยอน

     

    “ฮึ” แบคฮยอนกอดอกสะบัดหน้าหนี แต่สายตาก็เหลือบมองคนข้างๆ

     

                ทำไมชานยอลไม่ง้อ

     

    “แบคฮยอน...” ชานยอลพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ พร้อมตวัดแขนโอบกอดคนตัวเล็ก

     

                แบคฮยอนแอบยิ้มก่อนจะปรับสีหน้าเป็นเหมือนเดิม

     

    “อย่าคิดจะง้อเราเสียให้ยากเลยชานยอล”

     

    “คิดถึงจังเลย” คำพูดของชานยอลทำเอาแบคฮยอนพูดอะไรไม่ออก ใบหน้าเรียบนิ่งเผยยิ้มบางๆออกมา

     

    “เรากลับมาแล้วไง เจ้าซื่อบื้อ” แบคฮยอนแกะแขนชานยอลออก แล้วจับไหล่ทั้งสองข้างของชานยอลไว้

     

                แบคฮยอนมองหน้าชานยอลแล้วยิ้มให้ นิ้วเรียวไล้ไปตามโครงหน้าคนตรงหน้า แบคฮยอนก็คิดถึงชานยอลเหลือเกิน ทันทีที่แบคฮยอนได้รับความทรงจำกลับมา แบคฮยอนก็เอาแต่ร้องไห้คิดถึงแต่ชานยอล พร้อมทั้งต้องแบกความรู้สึกผิดที่จากมาโดยไม่ได้บอกลา จนกระทั่งวันนี้ที่ทั้งคู่ได้เจอกัน

     

    “แล้วจะไปไหนอีกไหม”

     

    “ไม่ไปแล้ว จะอยู่ให้ชานยอลเบื่อกันไปข้างนึงเลย” แบคฮยอนยิ้มเผล่ ก่อนจะเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ๆ

     

                จุ๊บ

     

                แบคฮยอนบรรจงจูบที่ริมฝีปากหนาของชานยอลเบาๆ

     

    “อย่าร้องไห้” ชานยอลใช้ข้อนิ้วเกลี่ยน้ำตาของแบคฮยอนที่ร่วงลงมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ออกให้ แล้วดึงคนตัวเล็กเข้ามาในอ้อมกอด

     

    “ฮึก..คิดถึง ชานยอลมากๆเลยนะ”

     

    “อืม”

     

    “ขอโทษนะที่กลับมาหาช้า”

     

    “ขอบคุณที่กลับมา”

     

    “ฮือ ไอ้ชานยอลบ้า ฮือ” จู่ๆแบคฮยอนก็พูดออกมาอู้อี้ ชานยอลยังไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย

     

    “หึหึ” เสียงทุ้มหัวเราะในลำคอแล้วใช้มือลูบหัวทุยๆที่เคยลูบบ่อยๆเมื่อ 15 ปีก่อน

     

    “ชานยอลยังรู้สึกกับเราเหมือนเดิมไหม” แบคฮยอนกลั้นใจถาม

     

                ยอมรับเลยว่าเมื่อรู้ว่าจะได้เจอชานยอลอีกครั้ง แบคฮยอนก็ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก แต่เมื่อได้มารู้ว่าชานยอลแต่งงานมีลูกแล้ว หัวใจก็ฟีบ รู้สึกห่อเหี่ยวอย่างบอกไม่ถูก ชานยอลไม่ได้มีเขาคนเดียวแบบเมื่อก่อนแล้ว

                ตอนนี้แบคฮยอนอยากรู้ ว่าความรู้สึกของชานยอลยังเหมือนเมื่อ 15 ปีก่อนไหม

     

    “หมายถึงรู้สึกอะไรล่ะ” ชานยอลผละออก แล้วเลิกคิ้วถาม เล่นเอาแบคฮยอนไปต่อไม่ถูกเลย “เฮ้ยๆ อย่าเบะสิ” ชานยอลรีบพูดเมื่อคนตรงหน้าเริ่มเบะปากเรา

     

    “จิตใจเราอ่อนไหว เราเพิ่งอายุ 15 เองนะ” แบคฮยอนยกมือทั้งสองขึ้นมาแนบหน้าตัวเองแล้วหลับตาพริ้ม และมันอดไม่ได้ที่ชานยอลจะจูบเบาๆลงบนจมูกเล็กๆ

     

                จุ๊บ

     

    “ฮึย แต๊ะอั๋ง!

     

    “รู้ไหม สิ่งที่ฉันเสียดายที่สุดเมื่อ 15 ปีก่อนคืออะไร”

     

    “เรายังไม่ได้บอกลากันเลย” คำตอบของแบคฮยอนทำให้ชานยอลยิ้ม แต่เขาก็ส่ายหัว มันยังไม่ใช่สิ่งที่เสียดายที่สุด

     

    “เรายังไม่ได้บอกรักกันเลย”

     

    “ชานยอล..” และนั่นแหละ มันก็ทำให้น้ำตาที่หยุดไหลแล้วเอ่อล้นขึ้นมาอีก

     

    “ขี้แยจังเลยนะนายอ่ะ”

     

    “ชานยอลบอกรักเรา”

     

    “มั่ว”

     

    “อ้าว” แบคฮยอนที่เตรียมจะปล่อยโฮออกมาก็ต้องฮึบไว้

     

                อะไรของเจ้ามนุษย์ยักษ์คนนี้กันแน่เนี่ย!

     

    “เมื่อกี้ยังไม่ได้บอก แต่จะบอกเดี๋ยวนี้แหละ” ชานยอลยิ้ม

     

    “หยุด!” แต่ยังไม่ทันที่ชานยอลจะได้พูด แบคฮยอนก็ยกมือขึ้นมาเชิงให้ชานยอลหยุด และนั่นมันก็ทำให้ชานยอลไม่เข้าใจ “เราเหนื่อย” คำพูดของแบคฮยอนเมื่อ 15 ปีก่อนถูกพูดออกมาอีกครั้ง

               

                ชานยอลหัวเราะออกมา แบคฮยอนไม่ได้เอ่ยถามอะไรถึงเหตุผลที่ชานยอลหัวเราะ เพียงแต่คว้ามือหนานั่นขึ้นมาทาบที่อกข้างซ้าย

     

    “เนี่ย ใจเต้นแรงมาก เราเหนื่อยแน่ๆ” ชานยอลไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ทำแบบเดียวกันกับแบคฮยอน

     

                ตอนนี้มือของทั้งคู่ต่างวางทาบที่ตำแหน่งหัวใจของกันและกัน และมือข้างที่เหลือ ก็วางทับอีกทีบนมือของคนตรงหน้า

     

    “ใจเราเต้นเป็นจังหวะเดียวกันหรือยัง” ชานยอลถาม แบคฮยอนจึงพยักหน้า

     

                ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแบคฮยอนเขินแค่ไหน เพราะหน้าแดง หูแดง แถมใจเต้นแรงอีกต่างหาก ส่วนชานยอลนี่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงไม่ต่างอะไรจากแบคฮยอนเท่าไหร่นัก

     

    “ชานยอล..เราจะบอกรักกันได้หรือยัง”

     

    “พร้อมหรือยัง”

     

    “พร้อมตั้งนานแล้ว ชานยอลล่ะ”

     

    “พร้อมตั้งแต่ 15 ปีก่อนแล้ว”

     

                และทั้งคู่ก็ยิ้มให้กัน อาจจะเป็นรอยยิ้มที่สวยที่สุดตั้งแต่ทั้งสองคนเกิดมา รอยยิ้มที่ทำให้เห็นว่า ทั้งแบคฮยอนและชานยอลมีความสุขกันมากแค่ไหน ระยะเวลา 15 ปี จะว่าน้อยก็น้อย จะว่ามากก็มาก แต่มันเป็นระยะเวลาที่นานแน่นอนสำหรับคนรอ ถึงแม้ว่าชานยอลจะรู้ว่าบยอนแบคจะไม่กลับมา แต่เขาก็ยังคงภาวนาให้เกิดปาฏิหาริย์อยู่ทุกคืน เขายังคงรอคอยความรักของเขาอยู่ทุกวัน จนมาวันนี้ ที่พระเจ้าคงจะได้ยินเสียงของเขา และส่งความรักของเขาให้กลับมาหาเขา

                และชานยอลสัญญา ว่าจะไม่ปล่อยให้ความรักที่ชื่อว่าบยอนแบคฮยอนหายไปไหนอีก ไม่ยอม จะไม่ยอมให้ไปไหนเด็ดขาดเลย

     

    “ฉันรักนาย แบคฮยอน”

     

    “เรารักเธอ ชานยอล”

     

                คำบอกรักถูกพูดขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนจะตามด้วยเสียงหัวเราะ

     

                มันไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการที่เราได้อยู่กับคนที่เรารักอีกแล้ว การที่ตื่นมาทุกเช้าแล้วเจอคนที่เรารักในอ้อมกอด มันเป็นอะไรที่วิเศษมากเลย ว่าไหม

     

    HAPPY

    .

    .

    .

    ยังไม่ END จ้า

    .

    .

    .

    แถมนิดนึง

     

                วันนี้ชานยอลเลิกงานเร็ว จึงขับรถมารอแบคฮยอนที่หน้าโรงเรียน เขาจัดการส่งข้อความไปบอกคนตัวเล็กแล้ว แต่ไม่เห็นมีอะไรตอบกลับมา แต่เขาจะถือว่าเขาบอกแล้วแล้วกันนะ

                ชานยอลยืนพิงรถของตัวเองที่จอดอยู่เยื้องประตูโรงเรียนออกไปนิดหน่อย เวลานี้เป็นช่วงที่เลิกเรียนพอดี เด็กนักเรียนต่างพากันเดินออกมาจากโรงเรียน มีบ้างที่จะมีสายตาหลายคู่จ้องมองมายังชานยอล ชานยอลนี่ยิ่งอายุเยอะ ก็ยิ่งหล่อ เรียกว่าไงดี ยิ่งแก่ยิ่งแซ่บ? อะไรทำนองนั้น อีกทั้งรถที่เจ้าตัวขับมาอีก แพงใช่เล่น ก็ไม่แปลกที่จะเป็นที่สะดุดตา แต่ชานยอลก็เอาแต่ชะเง้อรอยู่คนเดียวนี่แหละ

     

    “แบค--” ชานยอลกำลังจะตะโกนเรียกชื่อคนที่ตนมารอ แต่ก็ต้องกลืนเสียงลงไป เพราะภาพตรงหน้ามันชวนหงุดหงิดใจเสียเหลือเกิน

     

                แบคฮยอนเดินออกมาจากโรงเรียนเพียงคนเดียว แต่ไม่นานก็มีเด็กผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งวิ่งมากอดคอแล้วดันหัวทุยๆนั่นให้จมลงไปในอก และแทนที่แบคฮยอนจะขืนตัวออก แต่กลับหัวเราะชอบใจ แต่หัวเราะได้ไม่นาน แบคฮยอนก็หันมาสบตากับชานยอลที่ยืนทำหน้าถมึงทึงชวนให้น่าขนลุก

     

    “อ๊ะ ชานยอล!” แต่แน่นอน อาจจะเว้นแบคฮยอนไว้หนึ่งคน เพราะเจ้าตัวเล็กที่เห็นชานยอลมารอก็ยิ้มกว้างแล้วตะโกนเรียกชื่อเขาเสียงดัง พร้อมกับโลกมือไปมา

     

                แบคฮยอนเดินเข้ามาหาชานยอลพร้อมกับยังมีเด็กผู้ชายคนเดิมกอดคออยู่

     

    “สวัสดีครับ” เด็กคนนั้นโค้งทักทายก่อนจะหันไปถามแบคฮยอน “พ่อหรอแบค”

     

                ไอ้เด็กนี่.. เขาแก่ขนาดนั้นเชียวหรือ

     

    “ไม่ใช่ๆ” แบคฮยอนรีบปฏิเสธ

     

                ดีมากแบคฮยอน ชานยอลไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มให้เจ้าตัวเล็ก

     

    “ลุงข้างบ้านอ่ะ”

     

                ละ..ลุง งั้นเหรอ

     

    “อ้อ งั้นไปก่อนนะ เจอกันวันจันทร์” เพื่อนแบคฮยอนพยักหน้ารับรู้แล้วเอ่ยลา ก่อนจะขอตัวออกมาจากตรงนั้น

     

                เมื่อเหลืออยู่กันสองคน ชานยอลก็กอดอกแล้วมองหน้าแบคฮยอนอย่างหาเรื่อง

     

    “อุ่ย”

     

    “เมื่อกี้ว่าอะไรนะ ลุงเหรอ”

     

    “แฮ่ๆ ขำไงชานยอล ป้ะ กลับบ้านกัน โก้ๆๆ” แบคฮยอนพยายามเบี่ยงประเด็นแล้วจะเปิดประตู แต่ก็ถูกชานยอลขวางเอาไว้ก่อน

     

    “ลุงเหรอ ฮึ ลุงเหรอ” ชานยอลล็อคคอแบคฮยอนก่อนจะใช้มืออีกข้างขยี้หัวอย่างมันเขี้ยว

     

    “แง๊ อย่าแกล้งเรา ปล่อยเดี๋ยวนี้เลย!” แบคฮยอนแหวขึ้นมาเสียงดัง ทำเอาคนรอบข้างต้องหันมามอง จนสุดท้ายชานยอลก็ต้องปล่อยให้แบคฮยอนขึ้นรถไป

     

                บรรยากาศในรถแสนเงียบงัน ไม่มีแม้แต่เสียงเพลงจากวิทยุ เสียงที่ดังสุดคาดว่าจะเป็นเสียงแอร์ และมีเสียงไฟเลี้ยวที่ดังขึ้นเป็นครั้งคราว

     

    “ชานยอลโกรธเราหรอ”

     

    “...”

     

    “ชานยอลพูดกับเราหน่อย”

     

    “...”

     

    “ไม่พูดกับเราจริงๆหรอ”

     

    “...”

     

    “นี่ลุง”

     

    “ย๊า น้อยๆหน่อย ใครลุง”

     

    “ฮี่ๆ ยอมพูดแล้ว”

     

    “ขำเหรอ”

     

    “แหย่เล่นหน่าชานยอล”

     

    “แล้วฉันเล่นหรอ”

     

    “ชานยอลจะโกรธทำไมอ่ะ แค่ลุงเอง ชานยอลก็อายุไม่น้อยแล้วนะ”

     

    “ก็อายุไม่ได้มากขนาดนั้นไหมล่ะ!” ชานยอลหันมาแยกเขี้ยวใส่แบคฮยอน คนตัวเล็กก็ขำออกมาเพราะมันไม่ได้น่ากลัวเลย

     

    “แต่เป็นลุงก็ไม่ผิดนี่ สามสิบว่าแล้วหน่า..”

     

    “แล้วมันมีที่ไหนเรียกแฟนตัวเองว่าลุง” สิ้นคำพูดของชานยอล ก็ทำเอาแบคฮยอนต้องรีบส่ายหัว

     

    “โน๊วๆ ทำไมขี้มั่ว ใครแฟน” แบคฮยอนยกนิ้วขึ้นมาส่ายเล็กน้อยเชิงปราม

     

    “อ้าว--” ชานยอลแทบจะเหยียบเบรกทันทีที่ได้ยิน แต่ดีที่ยั้งเท้าได้ ไม่งั้นโดนคันหลังด่าพ่อแน่ กลัวคุณปาร์คจุนฮยองจาม

     

    “ไม่เห็นมีใครขอเลย” แบคฮยอนยู่ปาก ชานยอลถึงได้เข้าใจ

     

                เราบอกรักกันก็จริง แต่เขายังไม่ได้ขอแบคฮยอนเป็นแฟนเลย แต่ว่ามันต้องขอด้วยหรือ

     

    “งั้นเป็นแฟนกัน” ชานยอลพูดออกมาโดยไม่ทันให้แบคฮยอนได้ตั้งตัว แต่มีหรือที่แบคฮยอนจะชะงัก

     

    “อ้าว ไม่ได้อยากเป็นพ่อทูนหัวหรอกหรอ” เสียงหัวเราะคิกคักเรียกมะเหงกของชานยอลได้เป็นอย่างดี

     

                แบคฮยอนลูบหัวตัวเองป้อยๆแล้วหันไปหาชานยอลก่อนจะเลื่อนหน้าไปหอมแก้มชานยอลอย่างเร็วแล้วกลับมาที่เดิม ก่อนจะหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถ

     

    “ถือว่าเป็นคำตอบนะ” ชานยอลพูดขึ้นแล้วยิ้มให้กับท่าทาง

     

    “ฮู้ว อะไรเนี่ย ขับรถไปเลยไป” แบคฮยอนพูดแต่ก็ไม่ได้หันไปหาชานยอล

     

                แต่ชานยอลอยากจะบอกว่า ถึงแม้จะหันหน้าหนีเพื่อซ่อนหน้าแดงๆนั่น แต่ก็ซ่อนหูที่มันก็แดงไม่แพ้กันไม่ได้หรอกนะ อ้อแล้วอีกอย่าง

     

    “แบคฮยอน กระจกมันสะท้อนหน้านายอ่ะ ปากจะฉีกถึงหูแล้วมั้ง”

     

    “มนุษย์ยักษ์!!

     

    “ว่าไง ภูติจิ๋ว”

     

                ใครจะไปรู้ ว่าภูติจิ๋วอย่างบยอนแบคที่วันๆเอาแต่เล่นจะมีความรัก และความรักที่ว่าก็ดันเป็นมนุษย์ตัวโตอย่างปาร์คชานยอลเสียด้วย

     

    End

     

     

    จบแล้วค้าบ

    ขอบคุณที่ติดตามมาจนจบเน้อ

    รัก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×