ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [sf/os] smiles and tears ; Chanbaek

    ลำดับตอนที่ #14 : Awkward

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.75K
      155
      16 ก.ค. 60

    AWKWARD

     

                เพื่อนในกลุ่มเดียวกันน่ะ มันก็ต้องมีบ้างแหละ ที่จะมีคนใดคนหนึ่ง ที่เราไม่สนิทด้วย เหมือนเป็นเพื่อนทั่วไป แต่บังเอิญมาอยู่กลุ่มเดียวกัน แต่ถ้าถามว่าอึดอัดบ้างไหมน่ะเหรอ

                อืม ก็นิดนึงแหละ เหมือนที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้ไง

     

    “ชานยอล..กินอะไรไหม เดี๋ยวเราจะไปมินิมาร์ท” ผมยืนเต็มความสูง เอ่ยถามปาร์คชานยอลที่นั่งฟังเพลงอยู่ข้างๆ

     

    “ไม่ล่ะ ขอบคุณ” ผมพยักหน้ารับแล้วเดินออกมา

     

                ผม บยอนแบคฮยอน นักศึกษาชั้นปีที่ 2 และคนที่ผมเอ่ยถามเมื่อครู่ ปาร์คชานยอล เพื่อนกลุ่มเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้สนิทกันมาก ไม่รู้เพราะอะไร กับปาร์คชานยอล เหมือนเราสองคนจะมีเส้นๆหนึ่งที่แบ่งกั้นเราอยู่ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะกับคนในกลุ่มทุกคนผมก็สนิทปกติ

               

    “อ้าวแบคฮยอน มานานยัง” ผมเดินเข้าไปในมินิมาร์ท คิมจงแด เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยมัธยม และยังเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันตอนนี้ ทักผมขึ้น ในมือมีถุงขนมใบใหญ่ คาดว่าจะมาซื้อเป็นเสบียง

     

                วันนี้เพื่อนๆผมนัดกันมาทำงานที่มหาลัย แต่ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันหยุด ก็ยังคงมีนักศึกษาเยอะแยะเต็มไปหมด ผมเอ่ยทักทายจงแดครู่หนึ่ง แล้วบอกว่าชานยอลรออยู่ให้ไปก่อนเลย ผมเดินไปหยิบน้ำผลไม้มาสองกล่อง และไม่ลืมที่จะหยิบโค้กอีกหนึ่งขวดไปฝากคนที่ชอบกิน

                หลังจากจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย ผมก็เดินกลับไปที่ๆนัดกันไว้ ซึ่งตอนนี้เพื่อนก็มากันครบหมดแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้เริ่มทำงานเร็วๆนี้ เพราะคนที่มาใหม่อีก 2 คน หยิบข้าวกล่องขึ้นมาแล้วจ้วงไม่ยั้ง ราวกับไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว

                คิมจงอิน เพื่อนที่รู้จักกันตอนรับน้อง และ คิมแทอู เพื่อนของชานยอล ที่สนิทกันตั้งแต่มัธยมเพราะเรียนที่เดียวกัน กับ Triple Kim ผมก็สนิทนะ คุยกันได้ทุกเรื่อง แต่สนิทมากหน่อยเห็นทีจะเป็นจงแดนั่นแหละ แต่แปลก ก็อย่างที่ว่าแหละ กับปาร์คชานยอลจะแตกต่างจากพวกนั้นนิดหน่อย เราไม่ค่อยได้คุยกันมากเท่าที่ควร ถึงแม้ว่าจะอยู่หอเดียวกันแต่คนละชั้น ถ้าให้เทียบกับแทอูที่เป็นเพื่อนสนิทกันผมสนิทกับแทอูมากกว่าโขเลย

                แต่ชานยอลกับทริปเปิลคิมก็ดูสนิทกันดีนะ ไม่ได้มีท่าทีอึดอัดกันเหมือนผมกับชานยอล

     

    “แค่กๆ” ผมเดินมาที่โต๊ะ คิมจงอินก็ไอค่อกแค่ก คาดว่าจะเพราะรีบกินข้าวเกินไป เมื่อจงอินเห็นว่าผมถือโค้กมาด้วย เขาก็รีบดึงจากมือแล้วเปิดกิน

     

    "”อ่ะ คือ--” ผมกำลังจะแย้ง ว่าโค้กในมือไม่ได้จะซื้อมากินเอง แต่ก็ไม่ทัน เพราะครึ่งขวดมันไปอยู่ในท้องจงอินเสียแล้ว

     

    “ขอบใจมากเตี้ย ถ้าไม่ได้มึงกูต้องตายแน่ๆ” ผมกรอกตาให้จงอิน แล้วเดินกลับไปนั่งที่เดิม ซึ่งก็คือข้างๆชานยอล

     

    “อ่ะ ซื้อมาฝาก จริงๆขวดนั้นเป็นของนาย” เมื่อทิ้งตัวนั่งลง ผมก็หยิบน้ำผลไม้ที่ซื้อมาหวังจะกินเองให้ชานยอล เพราะโค้กที่จะซื้อมาให้น่ะ ถูกขโมยไปแล้ว

     

    “อือ ขอบคุณนะ” และก็จบแค่นั้น กับบทสนทนาของเราสองคน

     

                เมื่อแทอูกับจงอินกินข้าวเสร็จ เราก็เริ่มทำงานกัน ผมหยิบแม็คบุคเครื่องโปรดขึ้นมา พร้อมกับหนังสืออีกสองสามเล่มที่ไปยืมมาจากห้องสมุดเพื่อจะค้นเนื้อหาที่อยู่ในนั้น เรา 5 คน ต่างทำส่วนของตัวเองไม่พูดไม่จา จะมีแทอูกับจงแดที่เอ่ยถามขึ้นมาบ้างหากมีข้อสงสัย

     

    “แบคฮยอน” ผมหันไปหาเสียงที่เรียก ชานยอลสะกิดเบาๆที่ไหล่ แล้วชี้ไปที่แม็คบุคของตัวเอง

     

    “หือ ว่า?”

     

    “แบตจะหมดอ่ะ ลืมเอาที่ชาร์จมา ขอยืมหน่อยได้ไหม” ชานยอลเอ่ยขอยืมที่ชาร์จ เพราะทั้งกลุ่มมีแค่ผมกับเขาที่ใช้แม็คบุคเท่านั้น เพื่อนคนอื่นใช้โน็ตบุคกัน

     

    “อ้อ อือ เอาเลยๆ” ผมพยักหน้าแล้วยื่นที่ชาร์จไปให้

     

                ก็ไม่ได้อึดอัดกันมากเท่าไหร่หรอกนะความจริงนะ

     

                พวกเราใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายเพื่อทำงาน และมันก็คุ้มที่ยอมสละเวลาวันหยุดเพื่อมาทำงานนี้ ที่ถึงแม้จะมีกำหนดส่งอีกสองอาทิตย์ถัดไปก็ตาม ตอนนี้เสร็จไป 95% แล้ว เหลือแค่สรุป และหน้าที่นั้นก็เป็นของคิมจงแด ที่ถนัดด้านนี้ที่สุด

     

    “โอ้ยย เสร็จแล้วโว้ยย” จงอินส่งเสียงดังออกมาพร้อมบิดขี้เกียจ

     

    “ไปหาไรกินกัน เย็นแล้วอ่ะ” แทอูเสนอ จงอินที่รอประโยคนี้มานานก็พยักหน้ารัวๆ ถ้าเปรียบกับลูกหมา ก็เหมือนตอนที่มันส่ายหางนั่นแหละ จะดีใจอะไรเบอร์นั้น แค่ไปกินข้าว

     

    “หึหึ” เสียงหัวเราะในลำคอเบี่ยงเบนความสนใจของผมจากสิ่งตรงหน้า

     

                ผมหันไปหาชานยอล และชานยอลก็หันมาหาผม ก็แหงล่ะ ช่วงที่เขาหัวเราะ ผมก็หัวเราะออกมาเหมือนกัน และเราทั้งคู่ ก็ได้แต่ยิ้มให้กัน ก่อนจะเก็บของเตรียมไปหาอะไรกิน

     

                ทุกคนตกลงกันว่าจะไปกินอาหารญี่ปุ่นที่ห้างใกล้ๆมหาลัย ดังนั้นเราจึงต้องแยกย้ายเพราะเอารถกันมาเอง แต่ผมต้องไปกับชานยอล เพราะอยู่หอเดียวกัน เขาเลยชวนออกมาด้วยกัน

                อ่า จริงๆเราสองคนก็มีเวลาอยู่ด้วยกันค่อนข้างเยอะแหละ แต่ก็นะ เหมือนมีเส้นบางๆกั้นอยู่ ทำให้เราไม่สนิทกันสักที แต่พออยู่ด้วยกันบ่อยๆ ความอึดอัดก็มีน้อยลง แต่ก็ใช่ว่ามันจะหายไป ตราบที่ยังคุยเล่นเหมือนคุยกับจงแดไม่ได้ ยังเล่นหัวเหมือนที่เล่นกับจงอินไม่ได้ หรือแม้กระทั่งสกินชิพกันเหมือนที่ทำกับแทอูไม่ได้ เราก็ยังไม่มีทางที่จะสนิทกันหรอก

     

                ระหว่างทางที่ไปห้าง รถติดเล็กน้อย ในรถมีเพียงเสียงเพลงที่เปิดเบาๆแค่นั้น ไร้บทสนทนาใดๆ ซึ่งมันก็เป็นปกติ วันไหนเราสองคนคุยกัน นั่นแหละพายุต้องเข้าแน่ๆ ผมไม่ได้สนใจอะไรมากมาย หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแก้เบื่อ กดเข้าไปในแอพพลิเคชั่นอินสตราแกรม เลื่อนลงไปดูเรื่อยๆ ก็เห็นรูปที่ทริปเปิลคิมลงกันเมื่อตอนไปเที่ยวด้วยกันเมื่อสามวันก่อน จริงๆมันเป็นรูปมุมเดียวกัน ต่างกันแค่คนถือกล้อง ผมยิ้มขำให้กับรูปเพื่อน แล้วกดไลค์ แต่ก่อนจะกดไลค์ ก็เห็นว่าเพื่อนที่อยู่ข้างๆก็กดไลค์ด้วยทั้งสามรูป พร้อมกับคอมเม้นต์ที่โวยวายว่าทำไมไม่มีเขา พอเลื่อนลงไป ก็เป็นรูปที่ผมลงวันเดียวกัน แต่เป็นรูปที่ผมถ่ายทริปเปิลลคิมที่กำลังเซลฟี่กัน กับชานยอลที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

                แต่รูปนั้น คนข้างๆผมไม่ได้กดไลค์ และไม่ได้คอมเม้นต์ จริงๆอาจจะเพราะผมไม่ได้แท็ก เขาก็คงไม่เห็น แต่สามเกลอที่อยู่ในรูปเข้ามาไลค์นะ เข้ามาคุยกันในคอมเม้นต์ ซึ่งไม่เกี่ยวกับรูปเลย แต่ผมชินแล้วแหละ มันเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ผมลงรูป ชานยอลกดไลค์และคอมเม้นต์เพื่อนทุกคน ยกเว้นผม

                พอนึกมาถึงตรงนี้ ผมก็ล็อคหน้าจอแล้วหันออกไปมองข้างนอก ไม่รู้ทำไมถึงเป็นแบบนี้ นี่เราไม่สนิทกันถึงขนาดนี้เลยเหรอ แต่ยังดีที่ยังฟอลกันและกัน ให้รู้ว่ายังเป็นเพื่อนกัน

     

    “เป็นไรหรือเปล่า” เสียงทุ้มของคนข้างๆเอ่ยถาม ผมหันไปมองแล้วยิ้มกลับไป

     

    “เปล่า”

    ____

     

                ไม่นาน เราก็ฝ่ารถติดกันมาได้ ผมกับชานยอลมาถึงก่อน เราเลยไปจองโต๊ะกันก่อน เมื่อได้โต๊ะ ชานยอลก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ผมจึงนั่งอยู่ที่โต๊ะคนเดียว ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วไลน์บอกเพื่อนว่าอยู่โต๊ะไหน ก่อนจะเก็บไป

     

    “พี่แบคฮยอน!” เสียงคุ้นหูดังขึ้น เมื่อมองตามไป ก็เห็นผู้ชายตัวสูงในชุดโรงเรียนม.ปลายยืนยิ้มตาหยีให้ผมอยู่

     

    “อ่า เซฮุน ทำไมวันนี้ใส่ชุดนักเรียนล่ะ” ผมเอ่ยทัก โอเซฮุน น้องข้างบ้านที่สนิทกันในระดับหนึ่ง และแน่นอน สนิทกว่าที่ผมสนิทกับชานยอล

     

    “วันนี้ที่โรงเรียนพาไปทัศนศึกษามา เนี่ย เพิ่งกลับมา”

     

    “อ๋อ แล้วมากินข้าวหรอ”

     

    “ครับ กับเพื่อนน่ะ ตรงนู้น” เซฮุนชี้ไปที่มุมร้าน ที่ตอนนี้มีนักเรียนม.ปลายนั่งอยู่สองสามโต๊ะ ผมมองตามไปแล้วพยักหน้า “แล้วพี่มากับใครอ่ะ คนเดียวหรอ”

     

    “หึ มากับเพื่อน แต่เพื่อนยังไม่มา” ผมส่ายหัว เซฮุนยิ้มให้ผมอีกครั้งแล้วนั่งลงข้างๆผม

     

    “งั้นเดี๋ยวผมนั่งรอเป็นเพื่อนนะ”

     

    “เอ้า แล้วไม่ไปสั่งอาหารอ่ะ”

     

    “ฝากเพื่อนแล้ว ขอนั่งด้วยหน่อย ไม่ได้เจอตั้งนาน คิดถึ้งคิดถึง” พูดจบ เซฮุนก็โน้มตัวเข้ามากอด แล้วเอาหัวนั่นถูที่ไหล่ผมเหมือนเด็กๆ

     

                ไม่ว่าจะผ่านนานแค่ไหน เซฮุนก็ยังเหมือนเด็กเล็กๆ ที่ถึงแม้ว่าส่วนสูงจะนำผมไปแล้วก็ตาม

     

    “ฮะๆ เพิ่งเจอกันเดือนที่แล้วเอง”

     

    “เองหรอพี่ ใช้คำว่าเองได้ไง กลับบ้านบ่อยๆสิ คุณป้าคิดถึงนะ คุณลุงด้วย” เซฮุนเอ่ยถึงพ่อกับแม่ อ่าจะว่าไป ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านเลย เพราะงานเยอะมากต้องอยู่เคลียร์

     

    “อือ เคลียร์งานเสร็จหมดเดี๋ยวกลับเลย”

     

    “จริงนะ! ดีเลย ถ้าพี่กลับ--” เซฮุนยังไม่ทันจะพูดจบประโยค ก็หยุดพูดไป สายตามองไปยังคนที่เดินเข้ามา “เพื่อนมาแล้ว ผมไปนะ” เซฮุนกระซิบบอกผม แล้วหันไปโค้งทักทายชานยอลก่อนจะไปที่โต๊ะของตัวเอง

     

                ชานยอลเดินเข้ามาด้วยท่าทางนิ่งๆ เซฮุนบอกกับผมว่า เวลาเจอกับชานยอลนี่ให้ความรู้สึกชวนขนลุกแปลกๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าหมายความว่ายังไง สงสัยเป็นเพราะชานยอลเงียบเกินไป

     

    “น้องมาได้ยังไง” ชานยอลเอ่ยถามถึงเซฮุน

     

    “อ๋อ น้องเพิ่งกลับมาจากทัศนศึกษากับโรงเรียนน่ะ เห็นเรานั่งคนเดียวเลยนั่งอยู่เป็นเพื่อน”

     

    “อือ” ชานยอลพยักหน้ารับ “แล้วบอกสามคิมหรือยังว่านั่งไหน”

     

    “บอกแล้วๆ อ้อ สามคิมฝากสั่งอาหารเลย กำลังจอดรถ” ผมมองที่โทรศัพท์ ก็เห็นว่าจงแดไลน์มาพอดี ว่ากำลังจอดรถ ให้สั่งอาหารเลย พร้อมกับเมนูที่จะกิน

     

                ส่งมาเป็นเรียงความเลย ไปหิวมาจากไหนเนี่ย

     

                หลังจากนั้น ชานยอลก็เรียกพนักงานแล้วจัดการสั่งอาหารทั้งหมด โดยไล่อ่านจากโทรศัพท์ของผม และไม่ลืมสั่งที่ผมกับเขาจะกิน

                แต่ว่านะ ผมยังไม่ได้บอกเขาเลยว่าจะกินอะไร แต่สิ่งที่เขาสั่งไป มันก็คือสิ่งที่ผมจะสั่งนั่นแหละนะ

     

    “สั่งเหมือนเดิมให้นะ เห็นทุกทีกินเซ็ตนี้” เมื่อพนักงานรับออร์เดอร์เรียบร้อย ชานยอลก็หันมาพูด

     

    “อือ ขอบคุณนะ” ..รู้ใจเราตลอดเลย ผมพูดในใจ

     

                ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่ชานยอลทำอะไรแบบนี้ ดูๆแล้วเขาน่าจะเป็นคนที่ใส่ใจเพื่อนในระดับหนึ่ง ที่ถึงแม้ว่าเราสองคนจะไม่ได้สนิทกันมากมาย แต่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เขาจะจำได้เสมอ ทั้งของผม และทริปเปิลคิม

     

                ไม่ถึงห้านาที ทริปเปิลคิมก็มาถึง แทอูเดินตรงมานั่งข้างผมแล้วโผเข้ากอดเต็มๆ พร้อมกับพูดกรอกหูว่าคิดถึง วันนี้แทบไม่ได้คุยกัน

                อือ คิมแทอู มักจะโอเวอร์แอคติ้งตลอดเวลา เรื่องสกินชิพขอให้บอก ดูเหมือนจะเป็นสิ่งโปรดปราณที่สุดสำหรับคิมคนนี้ คนอื่นก็มีบ้าง แต่แค่เกาะไหล่ เกาะแขน จับหัว แต่คุณคิมแทอูนี่มาหมด ทั้งกอด ทั้งหอม หนักอีกนิดก็จะจูบแล้วแหละ

     

                ฟอด

     

                น่ะ พูดไม่ทันขาดคำ เอาจริงๆตอนแรกก็เกือบตีกันตาย เพราะจู่ๆเพื่อนผู้ชายก็มาหอมแก้ม เป็นใคร ใครก็ต้องตกใจ แต่เดี๋ยวนี้น่ะ ชินแล้ว ก็ผ่านมาปีนึงแล้วอ่ะ โดนบ่อยจนขี้เกียจห้าม จนบางครั้งใครหลายๆคนในคณะคิดว่าเราสองคนคบกัน ตลกดี

     

    “แทอู มึงเลิกเล่นก่อน นี่มันข้างนอก ไม่ใช่มหาลัย” ชานยอลเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ จ้องหน้าแทอูนิ่งๆ แต่กลับไม่หันมามองผมเลย

     

                แทอูส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอก่อนจะปล่อยผมให้เป็นอิสระ ชานยอลจะเตือนพวกผมเสมอเวลาที่แทอูเล่นเกินไป อ้างว่าจะทำให้คนอื่นมองมาไม่ดี ยิ่งเป็นผู้ชายแล้วด้วย มันไม่เหมาะ ถึงแม้ว่าทุกครั้งที่เตือน ชานยอลจะปล่อยรังสีแปลกๆออกมาก็เถอะ แต่เขาคงหวังดีกับเพื่อน ไม่อยากให้คนมองเพื่อนไม่ดี ซึ่งเพื่อนในที่นี้หมายถึงแค่ผม แค่แทอู หรือทั้งสองกันแน่นะ

     

                พวกผมทั้ง 5 คน หาประเด็นมาพูดคุยระหว่างอาหารมาเสิร์ฟ และก็ไม่พ้นเรื่องของเพื่อนตัวสูงที่สุดในกลุ่ม ปาร์คชานยอล ที่มีรุ่นน้องปี1 มาตามขายขนมจีบ และน้องที่ว่านั่นเป็นผู้ชาย แถมเป็นน้องรหัสของคิมจงอินเสียด้วย

                โดคยองซู น้องรหัสจงอิน ที่ชอบชานยอลตั้งแต่รับน้องวันแรก  คือชานยอลถูกใส่ชื่อในกลุ่มของพี่ว้าก แต่ไม่ได้ทำหน้าที่เหมือนคนอื่นเขา เพราะชานยอลไม่ค่อยพูดเท่าไหร่กับคนไม่สนิท เพื่อนเลยบอกให้ไปยืนหล่อๆ นิ่งๆ เพื่อเรียกน้องมาประชุมเชียร์แค่นั้น

                ไม่รู้หรอกว่าชานยอลชอบน้องเขาไหม แต่เวลาน้องชวนไปไหนเขาก็ไปด้วยตลอด และผมก็แอบมีอารมณ์อิจฉาอยู่บ้างบางครั้ง เพราะดูเหมือนว่าคยองซูกับชานยอลจะสนิทกันในระดับหนึ่ง เพราะบรรยากาศรอบตัวเวลาสองคนนั้นอยู่ด้วยกัน มันดูไม่อึดอัดเหมือนที่อยู่กับผม

                เป็นเพื่อนกันมาปีนึงแล้วแท้ๆ แต่ความสนิทยังไม่เท่ากับรุ่นน้องที่เจอกันแค่ 3 เดือนเลย เฮ้อ พูดแล้วก็น่าน้อยใจ หรือผมกับชานยอลเข้ากันไม่ได้จริงๆนะ ไม่ว่าจะทำอะไรชานยอลจะดูเกร็งๆเสมอเวลาที่ต้องเข้าใกล้ผม เหมือนไม่สนิทใจอะไรทำนองนั้น

     

    “ขมวดคิ้วทำไมอ่ะเตี้ย คิดไรอยู่วะ” บทสนทนาหยุดชะงักลงเพราะจงอินเอ่ยทัก ซึ่งผมก็ไม่รู้ตัวเลยว่าผมขมวดคิ้ว

     

    “อ่า..เปล่าอ่ะ ไม่รู้ตัวเลยว่าขมวดคิ้ว” ผมตอบ สายตาก็ชำเลืองไปมองชานยอลที่จ้องผมอยู่พอดี ผมยิ้มให้บางๆแล้วส่ายหน้าเบาๆ ชานยอลเห็นแบบนั้นก็พยักหน้านิดหน่อยเชิงรับรู้

     

                บทสนทนาเปลี่ยนจากเรื่องของชานยอล ไปเป็นเรื่องทั่วๆไป ไร้สาระตามประสา และการพูดคุยก็เริ่มจะน้อยลงจนหยุดไป เมื่ออาหารมาเสิร์ฟจนครบ

     

    “อะไรเนี่ย” ผมพึมพำทันทีเมื่อเห็นว่ามีแตงกวาในอาหารของผม ทุกทีไม่เห็นจะมี

     

    “งั้นกู--” จงแดที่นั่งเยื้องๆผมกำลังจะเอ่ยขอกินแตงกวา แต่ก็ช้ากว่าคนตรงข้าม

     

    “เดี๋ยวกินให้” ชานยอลยื่นช้อนมาตักเอาแตงกวาไปหมดแล้วเอ่ยขึ้น

     

    “อะไรวะ ทำไมกูไม่ทันอีกแล้วอ่ะ!” จงแดบ่นที่โดนแย่งแตงกวาไปอีกแล้ว

     

                อือ อีกแล้ว เพราะว่าทุกครั้งที่มีแตงกวาที่ผมไม่ชอบอยู่ในอาหาร ชานยอลจะเป็นคนคอยเอาไปกินเองทุกครั้ง และจงแดก็มักจะโวยวายบ่อยๆเพราะจงแดชอบกินแตงกวามาก และก็กินให้ผมมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่โรงเรียน แต่พอโวยวายบ่อยๆ ชานยอลก็บอกว่าชอบกินแตงกวาเหมือนกัน และจงแดช้าเองที่แย่งไม่ทัน

     

    “มึงไม่ทันไอ้ชานยอลหรอก มือมันไวมาแต่ไหนแต่ไร” แทอูพูดขึ้นพร้อมกลั้วหัวเราะ เมื่อเห็นจงแดทำปากเป็ด แสดงให้เห็นว่าไม่พอใจ(หลอกๆ)ที่โดนแย่งแตงกวา และโดนแย่งหน้าที่กินแตงกว่าในจานข้าวของผมไป

     

    “ขอบคุณนะ” ผมเอ่ยบอกคนตรงข้ามเบาๆ เบาเหมือนพูดกับตัวเอง

     

    “อือ” แต่คนตรงข้ามได้ยิน แล้วตอบกลับมา

     

                แน่นอนว่าทั้งคำพูดผมและชานยอล มีเพียงแค่เราสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน เพราะมีแค่เราที่สบตากันบนโต๊ะอาหารนี้

     

                ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะจัดการอาหารบนโต๊ะหมด ตอนหิวก็สั่งอย่างไม่คิด แต่พอเริ่มอิ่มก็เพิ่งมาสนึกได้ ว่าสั่งมาเยะขนาดนั้นน่ะ มันกินไม่หมด แต่ด้วยความที่เสียดาย ทุกคนจึงต้องช่วยกันยัดลงท้อง และหลังจากที่จัดการทุกอย่าง รวมถึงจ่ายตัง ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

     

     

    “ขอแวะซุปเปอร์เดี๋ยวนะ ของใช้ที่ห้องหมด” ชานยอลพูดขึ้น เราสองคนเลยเปลี่ยนเป้าหมายจากลานจอดรถเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นล่างแทน

     

                ผมที่ไม่ได้จะมาซื้ออะไร ก็ได้แต่เดินตามชานยอลต้อยๆ เขาเดินเข็นรถเข็นไปยังโซนเครื่องใช้ในห้องน้ำ แล้วยืนมองสบู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาถามความเห็นผม

     

    “แบคฮยอนว่ากลิ่นไหนหอม อยากเปลี่ยนสบู่”

     

    “อืม..เราใช้อันนี้--

     

    “เฮ้ย พี่ชานยอล!” ยังไม่ทันจะได้บอกว่ากลิ่นที่ผมใช้มันก็หอมดี ความสนใจของชานยอลก็ถูกเบนไปหาต้นเสียงเมื่อครู่

     

    “อ้าว คยองซู” ชานยอลเอ่ยทักรุ่นน้องร่วมคณะขึ้น

     

                โดคยองซูฉีกยิ้มด้วยความดีใจแล้ววิ่งตรงมาหาชานยอล

     

    “พรหมลิขิตแน่ๆเลย เจอพี่ที่นี่ด้วย” คยองซูเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง ชานยอลก็ได้แต่ยิ้มให้

     

    “แล้วมาทำอะไร”

     

    “มาซื้อของกับคุณแม่ พี่อ่ะ”

     

    “มาซื้อของใช้อ่ะ ที่ห้องหมดเกลี้ยงเลย”

     

    “อ๋อ..อ้าว พี่แบคฮยอน สวัสดีครับ” คยองซูพยักหน้าหงึกหงัก แล้วมองมาทางผมที่อยู่ข้างหลัง ก่อนจะเอ่ยทักทาย

     

    “ครับ” ผมยิ้มกลับไป

     

    “เลือกสบู่อ่อ”

     

    “อือ อยากเปลี่ยนกลิ่น แต่เลือกไม่ถูก”

     

    “เอ้า นั่นไงพี่ ที่ผมเคยบอกอ่ะ กลิ่นนั้นมันหอมๆ” คยองซูชี้ไปที่เชลฟ์วางของก่อนจะยืดตัวหยิบ แต่ดูเหมือนจะประเมินส่วนสูงตัวเองต่ำไป ทำเอาคยองซูเซเล็กน้อย

     

    “แค่ชี้ก็พอ เดี๋ยวหยิบเองก็ได้” ชานยอลพูดขึ้นแล้วยืนซ้อนหลังคยองซู

     

                มือของชานยอลจับเข้าที่ไหล่คยองซูเพื่อพยุงไม่ให้คยองซูล้ม มืออีกข้างก็เอื้อมไปหยิบขวดสบู่ ซึ่งชานยอลเป็นคนตัวใหญ่ พอทำแบบนั้น คยองซูที่ตัวเล็กก็จมเข้าไปในอกชานยอลเลย

     

    “อ่ะ..เอ่อ ครับ” หลังจากที่หยิบเสร็จเรียบร้อย ชานยอลก็ผละออก แต่คยองซูยังคงอยู่ในท่าเดิม และเอ่ยตะกุกตะกัก

     

                ผมแอบเห็นด้วยว่าน้องเขาหน้าแดง อย่างว่าแหละ คนมันมีใจ มาทำแบบนี้ก็ต้องเขินเป็นธรรมดา แต่มันรู้สึกขัดใจยังไงไม่รู้ เมื่อเห็นว่าชานยอลหัวเราะเบาๆแล้วเอื้อมมือไปยีหัวรุ่นน้องคนนั้น ผมที่ดูเหมือนเป็นส่วนเกินก็เฟดตัวออกจากตรงนั้นแล้วเดินไปรอชานยอลที่ทางเข้าซุปเปอร์

                อยู่กับคยองซูแล้วไม่เห็นนิ่งเหมือนตอนอยู่กับผมเลย นี่อึดอัดเวลาอยู่ด้วยกันจริงๆงั้นสินะ พอคิดแบบนั้นมันก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี ผมเลยเดินเข้าร้านกาแฟใกล้ๆเพื่อหาอะไรหวานๆดื่ม

                เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ ผมก็เดินกลับมาที่หน้าทางเข้าซุปเปอร์ พร้อมๆกับโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อฮู้ดสั่น และเมื่อหยิบมาดู ก็เห็นว่าคนที่โทรมาก็คือชานยอล

     

    “อือฮึ” ผมกดรับแล้วกรอกเสียงลงไป

     

    (อยู่ไหนอ่ะ ซื้อของเสร็จแล้วนะ)

     

    “ทางเข้าซุปเปอร์อ่ะ”

     

    (อือ เดี๋ยวเดินไป) พูดแค่นั้น ชานยอลก็วางสายไป

     

                ดูสิ คุยกันได้ห้วนมากไหมล่ะ สาบานสิว่าเพื่อนกัน

     

                ผมยืนเตะฝุ่นรอชานยอลเดินมา และก็เหลือบไปเห็นคนที่รอเดินมาพอดี แต่กลับเดินมากับคยองซู แถมยังมีรอยยิ้มเปื้อนหน้ามาอีก ฮึ!

     

    “ไปแล้วนะ” ชานยอลเอ่ยลาคยองซูแล้วเดินมาหาผม

     

    “กินไหม” ผมยื่นแก้วให้ชานยอล เขาเลิกคิ้วขึ้นเหมือนจะถามว่ามันคืออะไร “ช็อกโกแลตชิพ” ผมตอบ แล้วชานยอลก็โน้มหน้าลงมาดูดน้ำจากแก้วของผม

     

                เออ มันก็ไม่ได้อึดอัดขนาดกินน้ำแก้วเดียวกันไม่ได้หรอกหน่า

     

    “จะซื้ออะไรอีกไหม” ชานยอลหันมาถามผม ผมก็ได้แต่ส่ายหน้า คราวนี้เราจึงตรงกลับหอทันที

     

    ____

     

    “พรุ่งนี้ไปด้วยกันไหม” ชานยอลเอ่ยถามระหว่างเดินขึ้นบันได

     

                หอเรามีแค่ 5 ชั้น เลยไม่ทำลิฟต์ให้เปลืองงบประมาณ ดีที่ว่าผมอยู่แค่ชั้นสองชานยอลอยู่ชั้นสาม เลยไม่ต้องเดินให้เมื่อยนัก

     

    “ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เราต้องไปเอาชีทที่พี่อี้ชิงตอนเช้าน่ะ” ผมเอ่ยถึงพี่อี้ชิง พี่รหัสของผมที่นัดให้ไปเอาชีทช่วงเช้า

     

    “กี่โมง”

     

    “น่าจะประมาณ 10 โมงอ่ะ”

     

    “งั้น 9 โมงครึ่งเจอกันนะ” ชานยอลพูดจบก็เดินขึ้นบันไดไปอีกชั้น ผมที่กำลังจะเดินไปยังห้องของตัวเองก็ต้องเบรกขาตัวเองไว้

     

    “เอ้ย ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปเอง เรียนตั้งเที่ยง ชานยอลจะรีบไปทำไม” ผมแย้งขึ้นมา

               

                จริงๆผมก็มีรถ ไปเองได้สบายมาก แต่หลังๆมานี้จะติดรถชานยอลไปบ่อยๆ เพราะชานยอลบอกว่าจะได้ประหยัดน้ำมัน เพราะยังไงก็ไปที่เดียวกัน

     

    “ไม่เป็นไร เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าอยู่แล้ว เดี๋ยวไปเป็นเพื่อน”

     

    “แต่วะ--

     

    “เข้าห้องได้แล้ว พรุ่งนี้เจอกัน” ชานยอลพูดแล้วก็เดินขึ้นบันไดไป

     

    “ชานยอล!” เสียงเรียกของผมทำให้ชานยอลชะงัก เขาหันมามองหน้าผมนิ่ง ผมจึงพูดต่อ “ฝันดีนะ”

     

    “อือ ฝันดี” ชานยอลตอบกลับมาแค่นั้น แต่แปลก ทำไมผมต้องยิ้ม

     

     

                เช้าวันรุ่งขึ้น ผมเดินลงมารอชานยอลที่หน้าหอ โดยไม่ลืมที่จะหยิบกล่องใส่แซนวิชที่ทำไว้เมื่อเช้าลงมาด้วย ไหนๆก็ต้องรบกวนชานยอลแต่เช้า ก็มีของตอบแทนให้นิดหน่อยแล้วกัน

     

    “โทษทีนะ รอนานหรือเปล่า” ชานยอลเดินลงมาด้วยสภาพผมยุ่งๆ ผมยิ้มให้แล้วส่ายหัว

     

    “ไม่ได้หวีผมก่อนหรือเนี่ย” ผมเขย่งแล้วเอื้อมมือไปหมายจะจัดผมให้ แต่ชานยอลก็เบี่ยงตัวหลบออกไปก่อน

     

    “อือ รีบอ่ะ ขึ้นรถเถอะ” ชานยอลพูดขึ้นแล้วเดินไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ไกล

     

                ทำไมต้องเบี่ยงหลบอะไรขนาดนั้น แค่จะจัดผมให้เองนะ ผมพยายามไม่คิดอะไรแล้วเดินตามชานยอลไป เราออกจากหอมาได้ครู่หนึ่ง ผมก็ยื่นแซนวิชที่ทำให้ชานยอล เขาเหล่มองผมอย่างงงๆนิดหน่อย แต่ก็ยื่นมือมาหยิบแซนวิช

     

    “ฮื่อ ขับรถไป เดี๋ยวเราป้อน” ผมดึงแซนวิชกลับแล้วบอก ชานยอลเลยพยักหน้าน้อยๆ แล้วกัดแซนวิชเข้าปากคำใหญ่

     

    “ขอบคุณนะ”

     

    “เมื่อกี้น่ะ..โกรธหรอ” ผมเอ่ยถาม

     

    “เปล่า..แค่ไม่ชินให้ใครโดนหัว” ชานยอลตอบ ไม่ได้หันมามองหน้า ส่วนผมก็พยักหน้าตอบรับ ถึงแม้ว่าชานยอลจะไม่เห็น

     

     

                ไม่นานเราก็มาถึงมหาลัย ชานยอลจอดให้ผมลงตรงหน้าคณะ แล้วเจ้าตัวจะไปจอดรถ ผมเลยบอกให้เขาไปรอที่โรงอาหารเลย เพราะไปเอาของแค่แป๊ปเดียว  ผมเร่งทำเวลาเพราะไม่อยากให้รอนาน เมื่อเดินไปถึงที่นัดเจอกับพี่รหัส ผมก็ตรงดิ่งไปหาพี่อี้ชิงทันที

                เราสองคนคุยกันอีกนิดหน่อย ก่อนจะเป็นพี่อี้ชิงที่ขอตัวไปเรียนก่อน ผมจึงแยกออกมาแล้วเดินไปโรงอาหาร ใช้เวลามองหาชานยอลไม่นานก็เจอ เพราะตอนเช้าๆคนไม่ค่อยเยอะนัก แต่คิ้วก็ต้องขมวดขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าชานยอลไม่ได้นั่งคนเดียว

               

                โดคยองซู

     

                เด็กคนนี้อีกแล้ว ที่อยู่กับชานยอล และก็อีกแล้ว ที่ชานยอลมีรอยยิ้มบนหน้าผิดกับเมื่อเช้าที่นั่งรถมากับผม ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินไปหาชานยอล

     

    “รอนานหรือเปล่า” ผมถามขึ้น ชานยอลค่อยๆหุบยิ้มเมื่อหันมามองหน้าผม

     

    “อืม ไม่นานหรอก คยองซูมานั่งเป็นเพื่อนพอดี”

     

    “สวัสดีครับพี่แบคฮยอน” คยองซูกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงที่สดใสเช่นเคย

     

    “ครับ” และผมก็ยิ้มตอบกลับไปเหมือนทุกที

     

    “งั้นผมไปแล้วนะพี่ชานยอล” คยองซูเตรียมตัวจะลุกขึ้น แต่เสียงชานยอลก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

     

    “เดี๋ยวสิ ไม่อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนเหรอ”

     

    “ฮั่นแน่ อยากกินข้าวกับผมอ่าเด้” คยองซูเอ่ยหยอกๆ “ไว้วันหลังนะพี่ชานยอล ผมต้องรีบไปเรียนอ่ะ นี่แอบแวบออกมาหาขนมกิน”

     

    “อือ วันหลังก็ได้ ตั้งใจเรียนด้วยไอ้ตัวเล็ก” ชานยอลยิ้มให้คยองซู เด็กคนนั้นฉีกยิ้มกว้างแล้วิ่งออกจากตรงนี้ โดยไม่ลืมจะหันมาโบกมือให้ชานยอลแล้วขึ้นตึกไป

     

    “ชอบเหรอ” ผมถามแล้วทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามชานยอล

     

    “หืม?”

     

    “น้องคยองซูอ่ะ ชานยอลชอบเขาหรอ”

     

    “หึ เปล่าอ่ะ แค่เห็นว่าน่ารักดี” ชานยอลส่ายหัวเบาๆเชิงปฏิเสธ แล้วลุกขึ้น “เดี๋ยวไปซื้อข้าวให้นะ เอาอะไร เหมือนเดิมไหม?”

     

    “อื้อ เหมือนเดิม ขอบคุณนะ” ผมพยักหน้า

     

                ชานยอลเดินไปต่อแถวร้านข้าวที่เรามักจะกินประจำ ผมเท้าคางมองเจ้าคนตัวสูงนั่น พลางนึกในใจว่าทำไมเราไม่สนิทกันสักที ทั้งๆที่ในหลายๆเรื่องเราก็มีความเห็นตรงกัน มีความชอบคล้ายๆกัน ผมชอบร้องเพลง เขาชอบเล่นดนตรี แต่บางเรื่องเราก็อาจจะต่างออกไปหน่อย เขาชอบเที่ยว แต่ผมชอบอยู่บ้าน เขาใช้เวลาว่างในการทำเพลง แต่ผมใช้เวลาว่างในการเล่นเกม

                แต่จริงๆแล้ว เพื่อนกันน่ะ ไม่ว่าจะชอบอะไรที่ไม่เหมือนกัน มันก็จะสนิทกันได้ไม่ใช่เหรอ กับพวกทริปเปิลคิมน่ะ ก็ไม่ได้ชอบอะไรที่เหมือนๆกัน แต่กลับสนิทมากกว่าเสียอีก

     

    “นี่” เสียงทุ้มของชานยอล ทำเอาผมสะดุ้งเล็กน้อย เขากลับมาเมื่อไหร่กันนะ ทำไมไม่เห็นรู้ตัวเลย

     

    “อ่า เดี๋ยวไปซื้อน้ำให้นะ” พูดจบ ผมก็ลุกขึ้นเพื่อเดินไปซื้อน้ำทันที

     

                ผมกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับน้ำ 2 แก้ว ชานยอลเป็นคนที่ติดกินโค้กมาก ผมและเพื่อนเคยเอ่ยปรามๆอยู่บ่อยครั้ง เพราะมันไม่ดีต่อสุขภาพ แต่ผมก็เผลอซื้อน้ำโค้กให้ทุกครั้ง เพราะเวลาเห็นโค้กทีไร ความจริงที่ว่าชานยอชอบกินโค้กมันก็ลอยมา และทำให้พลั้งปากสั่งโค้กไปทุกที

                อะไรที่ชานยอลชอบ ผมมักจะอดใจไม่ได้ที่จะซื้อมันมา ไม่ว่ามันจะมีประโยชน์หรือไม่ก็ตาม

     

    “ไหนว่าไม่ให้กินโค้กไง ทำไมซื้อโค้กมาอีกแล้วล่ะ” ชานยอลรับแก้วน้ำจากผมไปแล้วถามขึ้น

     

    “เผลอสั่งน่ะ รู้ตัวอีกทีก็สั่งน้ำที่ชานยอลชอบไปซะแล้ว” ผมยิ้มบางๆให้คนตรงหน้า

     

    “จะพยายามไม่กินแล้ว”

     

    “หือ?”

     

    “โค้กนี่น่ะ จะพยายามไม่กินแล้ว แบคฮยอนก็พยายามอย่าเผลออีกนะ” ชานยอลกล่าวยิ้ม ๆ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ยิ้มตามได้ไม่ยาก

     

                ถึงแม้ว่าจะกินข้าวเสร็จแล้ว แต่ผมกับชานยอลก็ไม่ได้ลุกไปไหน นั่งรอเพื่อนที่ 3 คนมา และเป็นแทอูที่มาถึงคนแรก เขาไม่พลาดที่จะเข้ามากอดผมเหมือนอย่างเคยๆ แทอูเอาหน้ามาซุกคอผม ทำเอาผมต้องย่นคอหนีเพราะจั๊กจี้ สายตาผมเหลือบมองไปยังชานยอล ก็เห็นว่าเขาไม่ได้มองอยู่

                ไม่ได้คิดจะห้ามเหมือนทุกทีสินะ สงสัยเพราะอยู่ในมหาลัย ที่ใครต่อใครก็เข้าใจผิดว่าผมกับแทอูเป็นแฟนกัน อือ เอาเถอะ อารมณ์ของปาร์คชานยอลคนนี้น่ะ ผมตามไม่ค่อยทันอยู่แล้ว

     

    “แล้วไอ้จงอินล่ะวะ ไม่ได้มาด้วยกันหรอ” ชานยอลถามถึงจงอิน ที่อยู่หอเดียวกัน แปลกที่ไม่ได้มาด้วยกันเหมือนทุกที

     

    “ตื่นสายอ่ะดิ กูหิวเลยขี้เกียจรอ ไปซื้อข้าวแป๊ป” แทอูลุกขึ้นไปซื้อข้าว แต่ก็ไม่วายหันมาดึงแก้มผมจนย้วย

     

    “ฮึ่ย ไอ้บ้าแทอู” ผมบ่นตามหลัง

     

    “ถ้าไม่ชอบทำไมไม่ปฏิเสธไปบ้างล่ะ” ชานยอลถามขึ้นมา ผมทำหน้างงๆใส่ชานยอล เขาเลยพยักเพยิดไปยังแทอูที่ต่อแถวซื้อข้าวอยู่

     

    “อ๋อ ก็ไม่ได้ไม่ชอบ ก็เล่นขำๆอ่ะ” ผมหัวเราะเบาๆ

     

    “ไม่กลัวคนอื่นมองว่าเป็นแฟนกันหรอ”

     

    “ฮะๆ เขาก็คิดกันไปครึ่งมหาลัยแล้ว แต่ไม่เป็นไรหรอก ก็เพื่อนกันนี่นา” ผมฉีกยิ้ม

     

    เพื่อนกันเล่นกันแบบนี้ไม่เห็นแปลก จะแปลกก็ในกรณีผมกับชานยอลนั่นแหละ เพื่อนกันประสาอะไร แทบไม่เคยได้แตะเนื้อต้องตัวกัน เวลาเผลอแตะกันทีไรจะเป็นชานยอลที่รีบผละออกไปก่อนทุกที

     

    ชานยอลไม่ได้ตอบอะไรผมกลับมา เอาแต่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด เหมือนคิดอะไรสักอย่าง ผมเลยไม่ได้กวน ประจวบเหมาะกับแทอูที่ซื้อข้าวเสร็จ และอีก 2 คิมที่มาถึงพอดี จงแดกับจงอินแยกตัวไปซื้อข้าว ส่วนแทอูที่ไม่รู้หิวมาจากไหนก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างเดียว จะมีเงยหน้าขึ้นมาพูดบ้างเวลานึกเรื่องอะไรขึ้นมาได้

    เมื่อถึงเวลาเรียน ผมก็โยกย้ายถิ่นฐาน จากโรงอาหารไปที่ห้องเรียน ต้องอยู่ในห้องเรียน 3 ชั่วโมง เป็นอะไรที่น่าเบื่อจริงๆ สำหรับคนที่ไม่ชอบเรียนอย่างผม ในใจคิดเสมอว่าอยากให้อาจารย์มีประชุมด่วนแล้วรีบออกจากห้องไป

    แต่นั่นแหละ มันก็ได้แค่คิด ผมนั่งหงอยอยู่ในห้องครบ 3 ชั่วโมง แต่ดีที่วันนี้อาจารย์ใจดี ไม่มีการสั่งการบ้านใดๆทั้งสิ้น หลังจากที่ออกมาจากห้องเรียน จงอินก็ชวนไปที่ผับของลูกพี่ลูกน้อง บอกว่าวันนี้จัดปาร์ตี้ครบรอบวันเปิดร้าน ทุกอย่างลด 50% ซึ่งมีหรือที่เพื่อนผมจะยอมพลาด

     

    พวกผมแยกย้ายกันหลังจากนัดเวลาเรียบร้อย ผมกลับห้องมากับชานยอลเหมือนเดิม แต่แยกกันกลับห้องไม่นาน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เมื่อเปิดไปก็เห็นชานยอลยืนอยู่ และยังไม่ทันได้ถามข้อสงสัยไป ชานยอลก็บอกว่าที่ห้องแอร์เสีย ขอมาอยู่ด้วยก่อน ผมก็ได้แต่พยักหน้าแล้วหลีกทางให้เพื่อนตัวสูงเข้ามา

    มีไม่กี่ครั้งที่ชานยอลจะเข้ามาที่ห้องผม นอกจากนัดมาทำงานกลุ่ม ก็น่าจะเป็นตอนขอมาเข้าห้องน้ำเพราะท่อที่ห้องตันแค่นั้น ชานยอลเดินไปนั่งตรงที่นั่งหน้าทีวี แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่น ผมเองก็เดินไปนั่งขัดสมาธิลงบนเตียง

     

    “หิวไหมชานยอล ในตู้เย็นมีขนมนะ” ผมบอก ชานยอลหันมาหาผมแล้วส่ายหัว

     

    “ว่าจะไปกินข้าวเลย ไปด้วยกันไหม”

     

    “ตอนนี้หรอ”

     

    “อีกประมาณครึ่งชั่วโมง รอคยองซูเลิกก่อน” ชื่อของบุคคลที่3 ถูกเอ่ยขึ้นมา

     

    “อ่า ไปกับคยองซูหรอ งั้นไม่เป็นไร ชานยอลไปเถอะ” พูดจบผมก็เอื้อมมือไปหยิบแม็คบุคที่วางอยู่หัวเตียงมาเล่น

     

    “แล้วไม่หิวหรอ”

     

    “ก็เดี๋ยวกินขนมในตู้เย็นไปก่อน แล้วค่อยกินทีเดียวตอนไปเจอ3คิมอ่ะ”

     

                หลังจากนั้น เราสองคนก็ไม่มีบทสนทนาอะไรเลย เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผมเหลือบไปเห็นเวลาบนหน้าจอ ที่ผ่านมาจากตอนที่คุยกับชานยอลครึ่งชั่วโมงได้แล้ว เวลานี้เขาควรจะออกไปกินข้าวกับคยองซูไม่ใช่หรือไง

     

    “ไม่ออกไปหาคยองซูเหรอชานยอล” หลังจากที่เงียบมานาน ผมก็ตัดสินใจถามออกไป

     

    “ไม่ไปแล้ว ยกเลิกแล้วล่ะ”

     

    “อ้าว ทำไม--”

     

    “หิวยัง ไปกินข้าวกันนะ” ชานยอลยืนขึ้นมาเต็มความสูงแล้วบิดขี้เกียจ สายตาชานยอลเหลือบมามองเห็นผมที่มองอยู่พอดีจึงถามขึ้น “จะไปกินข้าวเป็นเพื่อนแบคฮยอนไง เลยยกเลิกไปแล้ว”

     

                คำตอบของคำถามที่ผมสงสัยในใจ ก็ถูกเฉลยจากคนตรงหน้า ผมลอบยิ้มแล้วพับแม็คบุคลง ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าตังแล้วเดินตามชานยอลออกไป

     

                ก็นะ ถึงจะไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่ แต่ชานยอลก็ไม่ค่อยปล่อยให้ผมไปกินข้าวคนเดียวแหละ ก็อย่างว่า ถึงจะอึดอัดกันไปบ้าง แต่ก็ยังเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันนะ

     

    หลังจากที่ชานยอลพาไปกินข้าวร้านที่ใกล้ๆหอ มันก็ใกล้ถึงเวลาที่นัดกับทริปเปิลคิมพอดี ผมกับชานยอลแยกกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และเตรียมตัวอีกนิดหน่อย แล้วนัดเจอกันหน้าหอเหมือนเดิม ผมไม่ได้แต่งอะไรมากนัก แค่เชิ๊ตดำและกางเกงยีนส์ดำขาดเข่า ผมลงมาข้างล่างก่อนชานยอลแล้วยืนเล่นโทรศัพท์รอ แต่สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นคนที่คุ้นเคยเดินลงมาด้วยลุคที่แปลกตา

    ชานยอลสวมเสื้อเชิ้ตสีดำผ้าซาตินและกางเกงยีนส์ขาดเข่าที่เหมือนแบคฮยอน เหมือนแต่งเป็นคัพเพิลเลย แต่ที่แปลกตาไปก็คือผมชานยอลที่ถูกเซตขึ้นไป มันกลับดูดีอย่างบอกไม่ถูก

     

    “อ่า แต่งเหมือนกันเลยแฮะ” ผมเอ่ยขึ้นมา ชานยอลมองหน้าผมนิ่งๆ ทำเอาผมต้องหันไปมองทางอื่น

     

    “กรีดตาอีกแล้วเหรอ” ชานยอลโน้มหน้าลงมามองผมใกล้ๆ ทำเอาประหม่านิดหน่อย

     

                เวลาไปเที่ยวอะไรพวกนี้ ผมมักจะกรีดตาประจำ เพราะผมชอบโดนแซวว่าตาตี่ พอกรีดแล้วมันก็ดูโตขึ้นมานิดหน่อย (อันนี้คิดเอง) แต่ชานยอลจะบอกเสมอว่าไม่ต้องกรีดก็ได้ ไม่ได้น่าเกลียดอะไร แต่ผมก็อยากดูดีบ้าง เหมือนๆกับพวกเพื่อนๆที่เหลือ

     

    “อือ ไป..ไปกันเถอะเนอะ” ผมเบี่ยงตัวหลบชานยอลแล้วเดินนำไปที่รถ

     

                แปลกอ่ะ ทำไมรู้สึกแปลกๆตอนที่ชานยอลก้มตัวลงมาขนาดนั้น หรืออาจจะเป็นเพราะเราไม่เคยเข้าใกล้กันอะไรขนาดนั้นหรือเปล่านะ และกลับมาอีหรอบเดิม ในรถไม่มีบทสนทนาใดๆจากผมและชานยอล แต่ครั้งนี้อาจจะแตกต่างไปบ้างเล็กน้อย ตรงที่ผมน่ะ

                แอบเหล่มองชานยอลบ่อยๆ

                ยอมรับเลยว่าวันนี้ชานยอลหล่อ ยิ่งทำผมทรงเปิดหน้าผากแบบนี้แล้วนั้น คยองซูน่าจะมีคู่แข่งเพิ่มเยอะขึ้นแน่นอนหลังจากที่กลับจากผับ เพราะด้วยหน้าตา ส่วนสูง ที่โดดเด่น ทำให้คนตัวสูงนี้กลายเป็นจุดสนใจได้ไม่ยาก

     

    “มีอะไรหรือเปล่า” เสียงที่ดังเข้าโสตประสาท ทำให้ผมหยุดคามคิดทั้งหลายแล้วมองต้นเสียง

     

    “หะ..ฮะ?”

     

    “เห็นมองหน้านานแล้ว มีอะไรหรือเปล่า” อ่า..นี่ผมมองหน้าเขานานไปหรือเนี่ย

     

    “อ้อ..ฮ่าๆ เรามองหน้าชานยอลหรอ” ผมแสร้งหัวเราะออกมา “แค่คิดว่า..วันนี้ชานยอลหล่อดี”

     

    “...” หลังจากคำพูดของผม ดูชานยอลจะชะงักเล็กน้อยแล้วกระแอมเบาๆในลำคอ

     

    “ต้องมีคนชอบชานยอลเพิ่มแน่เลย”

     

    “แล้วแบคฮยอนล่ะ”

     

    “หืม เราหรอ ไม่มีหรอก เราไม่น่ามีใครมาชอบ”

     

    “เปล่า หมายถึงที่แบคฮยอนพูด ว่าฉันต้องมีคนเพิ่ม แล้วแบคฮยอนชอบหรือเปล่า”

     

                แล้วก็เกิดเดธแอร์ชั่วขณะ ชานยอลเอ่ยถามออกมาโดยไม่ได้หันมามองหน้าผม สายตายังคงจับจ้องไปที่ถนนด้านหน้า

     

    “หมายถึง..”

     

    “หมายถึงเวลาฉันแต่งตัวทำผมอะไรแบบนี้ มันโอเคหรือเปล่า ไม่ได้ดูแย่ใช่ไหม” ชานยอลอธิบายออกมา ผมก็พยักหน้ารับรู้

     

    “อ๋อ..ชอบสิ ชานยอลแต่งแบบนี้แล้วหล่อดี แต่ชอบเวลาใส่ชุดธรรมดาปล่อยผมสบายๆมากกว่า” ผมพูดความจริงออกไป ไม่ได้หันไปมองชานยอล

     

                ถึงจะไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่ แต่ให้มาชมแบบนี้ มันก็แอบเขินนิดหน่อย แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย จนกระทั่งถึงผับ ชานยอลไม่ได้ให้ผมลงก่อนแล้วไปจอดรถ เขาบอกให้รอไปพร้อมกัน ทริปเปิลคิมจองโต๊ะรอไว้แล้ว

               

    กว่าจะหาที่จอดรถได้ก็นานพอสมควร เพราะรถเยอะมาก แต่ดีหน่อยที่จงอินโทรเข้ามาพอดี แล้วบอกให้ไปจอดตรงวีไอพี ถึงจะได้จอดรถ และเมื่อเดินเข้ามาในร้าน ก็ดูเหมือนจะอึดอัดไปเสียหมด จากร้านใหญ่ๆก็เล็กลงไปขนัดตา เพราะคนเยอะมาก อาจเป็นเพราะจัดปาร์ตี้นี้ก็ได้

    ผมค่อยเดินตามชานยอลไป แต่บางทีก็ต้องหยุดเดินเพราะคนเดินแทรก ไม่ก็เดินชนจนต้องหยุดเพื่อทรงตัว

     

    “มานี่สิ เดี๋ยวหลง” ชานยอลยื่นมามือกุมมือผมไว้ ทำเอาผมต้องรีบเงยหน้าไปมองหน้านิ่งๆของชานยอล

     

    “เอ่อ..”

     

    “เป็นเพื่อนกันจับมือกันได้ใช่ไหม”

     

    “อื้อ ได้..ได้สิ จับได้” ผมพยักหน้าให้แล้วเสมองไปทางอื่น

    เป็นครั้งแรกที่ผมกับชานยอลเราจับมือกัน มันรู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก อาจจะเพราะเป็นครั้งแรกที่จับมือกันมั้ง หัวใจเลยเต้นเร็วแบบนี้ ผมมองไปยังคนที่เดินนำหน้าอยู่ครึ่งก้าว พลางคิดในใจว่าชานยอลจะรู้สึกแบบเดียวกันไหม แต่ก็อาจจะไม่ เพราะหน้าชานยอลก็ยังคงนิ่งเหมือนเดิม

    ยิ่งเดินเข้าไปลึก คนก็ยิ่งเยอะ และเมื่อคนเยอะ ผมก็โดนเบียดมากขึ้นกว่าเดิม นั่นจึงทำให้มือจะหลุดออกจากชานยอลอยู่หลายที แต่ชานยอลก็จะกระชับมือแน่นขึ้นทุกครั้งเวลาโดนเบียด ชานยอลดึงให้ผมไปเดินข้างๆ ก่อนจะปล่อยมือที่จับกันอยู่ออก

     

    อ่า สงสัยเพราะคนแน่นเกินไป เขาคงไม่อยากจับแล้วแหละ

     

    แต่ก็ผิดคาด ชานยอลปล่อยมือผมก็จริง แต่กลับวาดแขนขึ้นมาโอบไหล่แล้วดึงเข้าหาตัว คิ้วเข้มขมวดนิดหน่อยเมื่อมองไปรอบๆข้าง ที่คนเยอะเหลือเกิน

    ทั้งผมและชานยอลไม่มีใครพูดอะไร เราเดินกันต่อไปแบบนั้น แต่ผมรู้สึกว่ามันเดินสบายกว่าเมื่อกี้เยอะเลย ไม่ต้องพะวงว่ามือจะหลุดแล้วหลงกันตอนไหน เพราะตอนนี้ ระยะห่างผมกับชานยอลเท่ากับศูนย์ พอลองสังเกตดีๆแล้ว ชานยอลสูงมากจริงๆ ผมหันไปข้างๆ ตาผมอยู่ตรงคอเขาพอดี

    เราเดินมาจนสุดร้าน เป็นโซนวีไอพีที่ต้องจองไว้เท่านั้น เมื่อกวาดสายตาไปก็เห็นทริปเปิลคิมนั่งอยู่ และในโต๊ะก็มีอีก 3 คนนั่งอยู่ด้วย มีทั้งคนที่เคยเห็นหน้าบ้างและเพิ่งเห็นครั้งแรก

     

    “เอ้า กลัวเพื่อนหายหรอวะนั่น” แทอูเป็นคนเอ่ยทักคนแรก แล้วชี้ไปยังแขนชานยอลที่โอบผมไว้ เขาชะงักนิดหน่อยแล้วรีบเอามือออก

     

    “เสือก” เอ่ยด่าไปทีแล้วทิ้งตัวนั่งข้างๆจงแด แต่ก็ไม่ลืมที่จะกระตุกข้อมือของผมให้นั่งลงข้างๆ

     

    “แล้วนี่..” ผมชี้ไปยังคนที่ผมไม่คุ้นหน้า

     

    “อ้อ เออลืมแนะนำ นี่เฮียคริส เพื่อนพี่จุนมยอนอ่ะ” จงอินเอ่ยแนะนำเพื่อนของญาติผู้พี่ คิมจุนมยอน

     

    “อู๋อี้ฟานครับ เรียกคริสก็ได้” คนที่จงอินแนะนำได้แนะนำตัวอีกรอบ

     

                อู๋อี้ฟานหรือเฮียคริสของจงอินนั้น จัดไปในทางที่หล่อมาก หน้าออกไปทางลูกครึ่งหน่อยๆ แค่นั่งก็รู้แล้วว่าสูง คาดว่าจะเป็นคนมีฐานะทีเดียว ประเมินจากเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับที่อยู่บนตัว ราคาแพงมากทีเดียว

     

    “ผมบยอนแบคฮยอนครับ” ผมแนะนำตัวบ้าง

     

    “ปาร์คชานยอลครับ”

     

    “แล้วนั่นก็แทมินเพื่อนมหาลัยอื่น พวกมึงคงคุ้นหน้าแล้ว แล้วก็นั่น ฮวางจื่อเทา ลูกพี่ลูกน้องเฮียคริส อายุเท่าเรา”

     

                เราทักทายกันพอหอมปากหอมคอ แต่จะมีอยู่คนนึงที่ออกจะถามเรื่องของผมมากไปหน่อย เฮียคริสนั่นน่ะ ผมก็ตอบบ้าง ไม่ตอบบ้าง บางทีก็เลี่ยงด้วยการชงเหล้าให้ดื่มแทน

     

    “ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ผมกระซิบที่หูชานยอล เขาก็พยักหน้า ดูเหมือนจะกรึ่มๆแล้วนะนั่น

     

                ดีหน่อยที่ห้องน้ำก็แยกโซนไว้ ไม่ต้องไปเบียดกับคนที่เยอะเหมือนฝูงปลานั่น ผมทำธุระเสร็จก็เดินออกมาจากห้องน้ำ แล้วขาก็ชะงักไว้ไม่เดินต่อเพราะคนที่เดินมาขวางทาง

     

    “อ่า เฮียคริส มาเข้าห้องน้ำเหรอครับ” เฮียคริสเป็นคนมาขวางไว้ เขายิ้มให้ผมแล้วส่ายหัวเบาๆ

     

    “มาหาแบคฮยอนนั่นแหละครับ”

     

    “หาผม?” ผมชี้นิ้วเข้าที่ตัวเอง “มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”

     

    “ก็ไม่มีอะไรมากครับ พอดีนึกได้ว่าลืมถามอยู่อย่างนึง” ผมพยักหน้ารับรู้ เฮียคริสจึงพูดต่อ “มีแฟนหรือยังครับ”

     

    “เอ่อ..” ผมอึ้งกับคำถามคนตรงหน้าสักพัก จริงๆก็พอรับรู้ได้แหละว่าเฮียคริสอาจจะสนใจผม แต่ก็ไม่คิดว่าจะเข้ามาถามตรงๆแบบนี้

     

    “แบคฮยอน” ผมหันไปหาเสียงสวรรค์ ก็เห็นว่าเป็นชานยอลที่เดินหน้าถมึงทึงเข้ามา

     

    “อ้าวชานยอล มาเข้าห้องน้ำหรอ” ผมใช้เวลานี้ปลีกตัวออกมาจากเฮียคริสไปหาชานยอล

     

    “เปล่า มาตามแบคฮยอน” ชานยอลพูด แต่ไม่ได้มองหน้าผม คนที่ชานยอลมองน่ะ เฮียคริสต่างหาก

     

                ผมยังไม่ทันจะได้พูดตอบอะไร ชานยอลก็จับที่ข้อมือให้เดินตามเขากลับไปที่โต๊ะ เมื่อถึงที่โต๊ะทุกคนก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนะ ชานยอลดันผมให้เข้าไปนั่งที่เดิมของเขา และเขาก็นั่งด้านนอก และจากที่ชานยอลจับข้อมือ ตอนนี้กลายเป็นมากุมมือไว้แทน ผมหันไปหาเขาอย่างต้องการคำตอบ แต่ไม่ได้รับอะไรกลับมา เพราะชานยอลเอาแต่กระดกแก้วในมือให้น้ำที่อยู่ในนั้นเข้าปาก

     

    “แทอูบอกว่าเฮียคริสไม่น่าไว้ใจ ให้ไปตามแบคฮยอนกลับมา” เขาก้มลงมาพูดข้างหู อ่า..เพราะแทอูหรอกหรอ

     

    “แล้วมือนี่..” ผมชูมือที่ถูกจับขึ้นมา ชานยอลมองตามก่อนจะหันไปสนใจแก้วที่อยู่ในมือเหมือนเดิม

     

    อยากจับ

     

                แล้วหลังจากนั้น เฮียคริสก็ไม่ได้เข้ามาหรือพูดคุยกับผมอีกเลย ส่วนมือนั้น ชานยอลก็ยังคงจับไม่ปล่อย ไอ้แค่คำว่า อยากจับ น่ะ มันทำให้ผมสงสัยอยู่มากมาย การที่เราแทบไม่สกินชิพ ไม่โดนตัวกันเลย พอมาเจอแบบนี้มันก็แอบแปลกหน่อยๆ ตอนแรกก็จับไว้ใต้โต๊ะ แต่ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้มันกลับไปอยู่บนตักชานยอลได้

                ซึ่งชานยอลตอนนี้ก็เหมือนจะกรึ่มๆได้ที่ เริ่มเอนหลังไปพิงกับโซฟา แต่ก็ยังไม่ปล่อยมือ ชานยอลหลับตาลงผมเลยพยายามจะดึงมือออก แต่ชานยอลก็ยังคงจับไว้แน่น

     

    “นี่ชานยอล ไหวหรือเปล่า กลับห้องไหม” ผมกระซิบถามข้างหู ชานยอลลืมตาข้างนึงแล้วพยักหน้า

     

    “แบคฮยอนขับรถให้หน่อยนะ ฉันขับไม่ไหว” ผมพยักหน้ารับรู้ แล้วหันไปบอกเพื่อนว่าขอกลับก่อน ชานยอลไม่ไหวแล้ว เพื่อนก็ได้แต่พยักหน้ารับส่งๆ จะมีก็แต่จงอินที่ถามว่าให้ช่วยแบกชานยอลไปที่รถไหม แต่ชานยอลก็ปฏิเสธก่อน บอกว่าไปได้

               

                เราลาคนอื่นในโต๊ะ รวมทั้งเฮียคริสด้วย เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แค่มองหน้าผมกับชานยอล แล้วมองไปที่มือที่ถูกชานยอลกุมอยู่แค่นั้น ผมพาชานยอลมาที่รถแล้วตรงกลับหอทันที โชคดีหน่อยที่ชานยอลไม่ได้เมาอะไรขาดนั้น ยังพอจะพยุงตัวเองมาที่รถ และพาตัวเองขึ้นหอได้โดยปลอดภัย

     

    “วันนี้ขอนอนด้วยได้ไหม แอร์ที่ห้องเสีย” เมื่อเดินขึ้นบันไดมาถึงชั้นห้องของผม ชานยอลก็เอ่ยถาม อ่า ลืมไปเลยว่าแอร์ที่ห้องเสีย

     

    “อื้อ มาสิ”

     

    “งั้นเดี๋ยวไปอาบน้ำก่อนนะ”

     

    “โอเค งั้นเราไม่ล็อคห้องนะ เข้ามาเลย”

     

    “ไม่ได้ ล็อคไปเลย ไว้แบคฮยอนทำอะไรเสร็จก็บอกฉัน เดี๋ยวลงมา” ชานยอลบอกเสียงแข็ง ผมก็ได้แต่พยักหน้ารับ แล้วชานยอลก็เดินขึ้นห้องไป

     

     

                ผมไม่ได้ใช้เวลานานเท่าไหร่ในการทำธุระทุกอย่าง เพราะไม่อยากให้ชานยอลรอนาน ดื่มไปเยอะขนาดนั้น ตอนนี้คงต้องอยากนอนมากแน่ๆ ผมไลน์ไปบอกให้ชานยอลลงมา ไม่นานเขาก็มาเคาะประตูห้อง ผมเดินไปเปิดให้เขาแล้วบอกให้ไปนอนที่เตียงเลย ชานยอลก็ทำได้แค่พยักหน้าหงึกหงัก สงสัยจะง่วงเต็มที

                ชานยอลเดินไปนอนลงบนเตียงแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มจนถึงครึ่งหน้า ไม่นานก็รู้สึกว่าลมหายใจชานยอลเริ่มสม่ำเสมอ คาดว่าน่าจะหลับไปแล้ว ผมจึงเดินไปปิดไฟแล้วเดินไปนอนข้างๆ

                รู้สึกแปลกหน่อยๆที่ได้มานอนกับชานยอล เป็นเพราะห้องเราอยู่ใกล้กัน เวลาทำงานที่ต้องอยู่ดึก ชานยอลก็กลับไปนอนห้องตัวเอง แต่อีกสามคิมจะนอนห้องผม อ่า รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยแฮะ แต่ไม่เป็นไรหรอก

     

    ____

     

                RRrr

     

                เสียงสั่นของโทรศัพท์ทำให้ผมตื่นขึ้นมา แต่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเพราะแรงรัดจากอะไรสักอย่าง เมื่อหันไปมองก็เห็นมีแขนพาดอยู่ที่เอว ก็ไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นใคร เพราะเมื่อคืนก็มีอยู่คนเดียวที่มานอนด้วย ผมค่อยๆเอาแขนออกจากเอวแล้วค่อยๆลุกเพื่อไม่ให้รบกวนชานยอล

     

    “อือออ” แต่ชานยอลก็ไม่ยอมให้ผมทำ เขาครางในลำคอหน่อยๆ ผมจึงนอนลงที่เดิมแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เพราะตอนนี้คนที่โทรมาวางไปแล้ว

     

    “ปล่อยก่อนชานยอล..” ผมบอกกับชานยอล เขาค่อยๆลืมตาขึ้นมา แต่หลังจากที่ลืมตาเต็มๆ ชานยอลก็รีบผละออกจากผมทันที

     

    “เฮ้ย ขอโทษ นึกว่าหมอนข้าง” ชานยอลเด้งตัวขึ้นนั่งแล้วรีบขอโทษด้วยสีหน้าตกใจ

     

    “อือ ไม่เป็นไร แทอูก็กอดเราอยู่บ่อยๆ” ผมพูดจบก็เดินเข้าห้องน้ำไป

     

                แค่กอดเพื่อนนี่ต้องตกใจขนาดนี้เลยหรอ ผมนึกในใจ แต่ก็ต้องพยายามไม่คิดอะไร ก็พอเข้าใจแหละ ความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างอึดอัดแบบนี้คงทำตัวไม่ถูก ผมจัดการล้างหน้าแปรงฟันแล้วออกไปข้างนอก ซึ่งผมเห็นชานยอลยังนั่งอยู่บนเตียงที่เดิม ผมเลยเดินไปนั่งบนเตียงฝั่งที่นอน

     

    “ไปอาบน้ำสิ ไปกินข้าวกัน” ผมชวน

     

    “เอ่อ นัดกับคยองซูไว้อ่ะ ไปนะ ไว้เจอกัน” ชานยอลพูดจบก็เดินออกจากห้องไปทันที ทิ้งให้ผมนั่งงงอยู่คนเดียว

     

                อะไรของชานยอลอ่ะ

     

     

                หลังจากที่ชานยอลออกจากห้องไป ผมก็โทรกลับไปยังเบอร์ที่โทรมา ก็ได้รู้ว่าเป็นจงอิน เอาเบอร์ของพี่จุนมยอนโทรมานั่นเอง เขาชวนผมออกไปกินข้าว ซึ่งผมก็ว่างๆอยู่แล้วเลยตอบตกลงไปด้วย แต่คราวนี้มีแค่2คิมเท่านั้น เพราะจงแดกลับบ้านไปหาญาติ

                2 คิมนัดผมออกมาที่ห้างที่ใกล้ที่สุด ด้วยเหตุผลที่ว่าหิวมาก ไม่อยากไปไหนไกลๆ และก็ไม่พ้นกินบุฟเฟ่ต์ชาบู ผมก็ได้แต่เออออไป ทันทีที่มาถึงร้าน 2คิมก็สลับกันเดินไปหยิบนู่นหยิบนี่ ผมเลยได้นั่งเฉยๆเพราะไปหยิบไม่ทัน เดี๋ยวเอามาเยอะเกินแล้วก็กินไม่หมดกันอีก

                นั่งกินไปได้สักพัก  จงอินก็เอ่ยทักใครสักคนที่เดินเข้ามาในร้าน ซึ่งผมมาเห็นเพราะนั่งหันหลัง แต่พอได้ยินชื่อผมก็เลือกที่จะกินต่อไปโดยไม่สนใจ

     

    “มากับใครอ่ะคยองซู” จงอินทักน้องรหัส คยองซูเดินเค้ามาแล้วทักทายทุกคน

     

    “พี่ชานยอลครับ พอดีว่าเขาให้ผมเข้ามาในร้านก่อน” คยองซูพูดจบผมก็เงยหน้าขึ้นมา ก็ได้เห็นว่าแทอูมองหน้าผมอยู่ ไม่รู้ว่าเขาจะสื่ออะไร ผมก็ตักนู่นตักนี่ใส่ถ้วยแทน

     

                ไม่แปลกใจหรอกที่คยองซูบอกว่ามากับใคร ก็ผมรู้อยู่แล้วนี่

     

    “อ้าว มากินร้านนี้กันหรอวะ” ยังไม่ทันไร คนที่มากับคยองซูก็เดินเข้ามาทักทาย และก็เหมือนเดิม ผมไม่ได้สนใจจะหันไปทักทายชานยอล ก็เพิ่งจะเจอกันเมื่อเช้า ทำไมต้องทักอ่ะ

     

    “เออ แล้วนี่อะไรวะ พัฒนามากินข้าวนอกมหาลัยด้วยกันแล้วหรอ” จงอินแซวเล่น คยองซูก็ยิ้มเขินอายแล้วเข้าไปกอดแขนชานยอลไว้

     

    “ไปเหอะพี่ชานยอล ผมหิวแล้ว” และชานยอลก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เดินตามคยองซูที่กึ่งจูงกึ่งลากไปที่โต๊ะที่เยื้องๆพวกผมไป

     

    “สงสัยจะคบกันในเร็วๆนี้มั้ง” จงอินพูดขึ้น

     

    “อะไรที่ทำให้มึงคิดงั้นวะ” แทอูหันไปถามทั้งๆที่ยังเคี้ยวเต็มปาก

     

    “ไม่รู้อ่ะ เดาเอา คยองซูมันก็น่ารักนะเว่ย ถ้ากูเป็นไอ้ชานกูก็ชอบ”

     

                และก็อีกหลายๆประโยคที่ทั้งสองคุยกัน ส่วนผมก็นั่งเงียบๆกินในส่วนของผมไป ไม่รู้เป็นอะไร ทำไมจู่ๆผมก็ไม่ชอบใจให้เพื่อนผมคุยถึงเรื่องคยองซูกับชานยอล คบหรอ? อืม ก็อาจจะเป็นไปได้มั้ง ก็ดูสิ สนิทถึงขนาดที่ว่าคยองซูสามารถจับผมของชานยอลได้ ในขณะที่ผมเป็นเพื่อนเขากลับเบี่ยงตัวหลบราวกับรังเกียจ

                ผมมองไปยังโต๊ะของทั้งสองคนนั้น คยองซูยื่นมือไปจับผมชานยอลเหมือนจะจัดทรงให้ ชานยอลก็ไม่ได้ดูขัดขืนอะไร แถมยังก้มหัวให้คยองซูทำได้ถนัดอีกด้วย

                แล้วอยู่ๆความรู้สึกหนึ่งก็ตีตื้นขึ้นมา เขาเรียกกันว่าอะไรนะ น้อยใจ ใช่ไหม อืม น่าจะเป็นแบบนั้นล่ะมั้ง ก็คงเป็นอารมณ์น้อยใจเพื่อนแหละ ผมเป็นเพื่อนในกลุ่มเขานะ เป็นเพื่อนกันก็เป็นปีแล้ว แต่ยังมีอะไรหลายๆอย่างที่ผมทำไม่ได้แต่คนอื่นทำได้ มีอะไรหลายๆอย่างที่ผมไม่ได้รับ แต่คนอื่นกลับได้เต็มๆ

     

    “เอ้าเตี้ย เป็นไรอ่ะ นิ่งเชียว” จงอินโบกมือตรงหน้าผม ผมจึงหลุดจากภวังค์

     

    “หึ เปล่า รีบกินดิ” ผมส่ายหัวแล้วลงมือจัดการของตรงหน้าต่อ แต่สายตาเจ้ากรรมก็ดันหันไปมองที่โต๊ะของสองคนนั้นอีกจนได้ แต่ครั้งนี้กลับมีสายตาหนึ่งที่จ้องมา

     

                ชานยอลกำลังมองมาทาง ประจวบเหมาะกับที่ผมมองไป เราจึงสบตากันพอดี แต่ตอนนี้ผมไม่ค่อยอยากจะมองหน้าชานยอลเท่าไหร่ เลยหลบตาแล้วทำเป็นไม่สนใจ ทำเป็นเหมือนเมื่อกี้ผมแค่มองผ่านเท่านั้น ทั้งๆที่เรามองตากันเกือบ 10 วิ

                เมื่อครบเวลาที่ทางร้านกำหนด พวกผมก็จัดการสิ่งของตรงหน้าหมดพอดี ทำเอา2คิมโอดโอย(อีกแล้ว) ว่าแน่นท้องเดินไม่ไหว บ่นประจำ แต่ทุกครั้งเวลาหิว ก็ลืมช่วงที่อิ่มแน่นท้องทุกที ไม่เข้าใจการใช้ชีวิตของพวกนี้จริงๆ เชื่อเถอะ ถ้าจงแดมาอีกคน ก็ลงอีหรอบเดิม

                เราเดินออกจากร้านโดยที่ไม่ได้ลาคยองซูและชานยอล อาจเพราะผมรีบเดินออกจากร้าน จงอินกับแทอูเลยรีบตามออกมา

     

    “นี่โกรธอะไรกับชานยอลป่ะวะ” แทอูเดินมากอดคอผมแล้วเอ่ยถาม

     

    “เปล่าอ่ะ ทำไมถามงั้น”

     

    “ก็เห็นเงียบๆใส่กันไง”

     

    “ก็เงียบเป็นปกติ แปลกตรงไหน”

     

    “เออ พวกมันมีความสัมพันธ์ที่น่าอึดอัดอยู่แล้ว ไม่แปลกหรอกที่จะไม่คุยกัน” จงอินที่เดินมาข้างๆบอกขึ้น

     

                เห็นไหม มันไม่ใช่แค่ว่าผมรู้สึกอึดอัดไปคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นคนอื่นที่มองมา ดูก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของเราสองคนมันน่าอึดอัดขนาดไหน

     

    “กูไม่เข้าใจเลยว่ะแบคฮยอน เป็นเพื่อนกันมาเป็นปีละ อยู่หอเดียวกันอีก ทำไมไม่สนิทกันสักทีวะ” แทอูเอ่ยถาม ผมก็อยากจะตอบคำถามด้วยคำถาม นั่นน่ะสิ ทำไมถึงไม่สนิทกันสักที

     

    “ไม่รู้เหมือนกัน บางทีกูก็พยายามชวนคุยแหละ แต่มันนิ่งใส่กูไง ให้ทำไงอ่ะ”

     

    “พูดยากว่ะ จริงๆมึงก็เป็นคนสนิทกับคนง่ายป่ะ ทำไมกับชานยอลยากจังวะ” จงอินถามบ้าง

     

    “เอ้า จะไปรู้เหรอ ถามเพื่อนพวกมึงสิครับ มาถามอะไรกู”

     

    “โอ้ยช่างแม่ง ไม่ทะเลาะกันเป็นพอ ป่ะไปกินของหวานดีกว่า” พูดจบ แทอูก็ลากผมเข้าร้านบิงซูทันที เดี๋ยวๆ แล้วที่บ่นว่าอิ่มเมื่อกี้คืออะไร

     

    ____

     

                ตอนนี้ผมอยู่หน้าหอ หลังจากที่แทอูมาส่งผม ชานยอลก็ไลน์มาบอกว่ากำลังกลับมีเรื่องจะคุยด้วย ผมเลยรอตรงหน้าหอมันนี่แหละ ยืนรอเกือบๆ 10 นาที รถของชานยอลก็เคลื่อนตัวไปจอดตรงที่จอดประจำ ไม่นานชานยอลก็ลงมาจากรถ แต่เหมือนว่าจะไม่ได้สังเกตว่าผมยืนอยู่ตรงนี้ ผมเลยตะโกนเรียก ชานยอลคิ้วขมวดนิดหน่อย แต่ก็เดินมาหาผม

     

    “ทำไมมาอยู่ตรงนี้”

     

    “รอชานยอลไง”

     

    “ทำไมไม่รอบนห้องล่ะ”

     

    “อือ ช่างมันเถอะ มีอะไรจะคุยกับเราอ่ะ” ผมรีบเข้าประเด็นทันที

     

    “โกรธหรือ”

     

    “หือ?”

     

    “ก็..เรื่องเมื่อเช้า ที่..กอด” ชานยอลเอามือขึ้นมาลูบท้ายทอยแล้วเสมองไปทางอื่น ท่าทางดูเก้งๆ กังๆ อึดอัดไม่น้อยเลยทีเดียว

     

    “อ่า..เปล่าหรอก ก็บอกแล้ว ว่าแทอูก็นอนกอดเราบ่อยๆ”

     

    “หมายถึง..เพื่อนกันก็นอนกอดกันเป็นธรรมดาหรอ”

     

    “อือ..คงงั้นมั้ง ก็เรากับแทอูสนิทกัน นอนกอดกันก็ไม่แปลก”

     

    “งั้น..ขอ กอด ได้ไหม” ชานยอลพูดตะกุกตะกัก แต่ก็ไม่ได้สบตาผม

     

                ขอกอดเหรอ? อะไรของชานยอลกันนะ แล้วทำไมใจต้องเต้นแรงด้วยเนี่ย แค่เพื่อนขอกอดเองนะ ผมมองชานยอลอย่างลังเลเล็กน้อย มาไม้ไหนกันนะ เมื่อวานก็จับมือ วันนี้ก็จะมากอด

     

    “อ่ะ..อืม กอด..สิ”

     

                ฟุบ

     

                หลังจากที่ผมอนุญาต ชานยอลก็เดินเข้ามากอดผม มือของเขาจับหัวผมอย่างเบามือ แล้วดันไปซุกอกของเขา หน้าของชานยอลโน้มลงมาอยู่ตรงไหล่ผมพอดี แต่ว่านะ..ผมได้ยินเสียงหัวใจของชานยอลเต้นแรงมาก แรงพอๆกับผมเลยมั้ง..

     

    “อย่าโกรธกันเลยนะ ฉันไม่ได้ชอบคยองซูจริงๆ ฉันเห็นเขาเป็นแค่น้องชาย” ชานยอลกระซิบข้างหูของผม และริมฝีปากของผมก็ยกยิ้มพร้อมๆกับมือที่ยกขึ้นกอดชานยอลกลับด้วย

     

    “อือ ไม่โกรธหรอก” ผมตอบกลับไป

     

                ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเขาจะบอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับคยองซูทำไม แต่คำพูดนั่นมันก็ทำให้โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก คืนนั้นชานยอลขอนอนที่ห้องอีกคืน เพราะลืมติดต่อช่างแอร์ให้เข้ามาดู ซึ่งผมก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องปฏิเสธ แต่วันนี้มันจะแตกต่างกับเมื่อวานอยู่อย่างสองอย่าง ก็คือชานยอลเตรียมทั้งชุดนอนและชุดนักศึกษาลงมาไว้ที่ห้องผม รวมทั้งผ้าเช็ดตัวและแปรงสีฟัน โดยให้เหตุผลที่ว่าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาขึ้นลง

                ผมก็คิดแหละ ว่ามันจะเสียเวลาขึ้นลงสักแค่ไหนกันเชียว เพราะพรุ่งนี้เรามีเรียนบ่าย ไม่ต้องรีบร้อนเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไรไป อย่างน้อยๆก็ได้มีโอกาสได้ใช้เวลากับชานยอล เผื่อความสัมพันธ์ที่แสนอึดอัดนี้มันจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นบ้าง

     

                เช้านี้ ผมตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดชานยอลเหมือนเดิม มันไม่ได้น่าตกใจเหมือนเมื่อวานแล้วล่ะ แต่มันมีความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งมาแทนที่

              รู้สึกดี

              ผมใช้คำนี้ได้ไหมนะ เพราะผมรู้สึกดีกับมันจริงๆ มันแตกต่างจากที่แทอูกอดออกไปนิดหน่อย เพราะตอนที่แทอูกอดผม ผมไม่ได้อยากอยู่ในอ้อมกอดของแทอูต่ออีก กลับกันพอตื่นมาในอ้อมกอดชานยอล กลับไม่อยากลุกไปอาบน้ำเลย

                ผมตัดสินใจพลิกตัวกลับมามองชานยอล ที่ตอนนี้กำลังหลับตาพริ้มอยู่ ที่ชานยอลกอดผมแบบนี้ ชานยอลอาจเป็นคนติดหมอนข้างก็ได้ จะว่าไป นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ผมได้มองชานยอลใกล้ๆแบบนี้ตั้งแต่ที่รู้จักกันมา หน้าเราตอนนี้ห่างกันไม่ถึง 1 ไม้บรรทัดด้วยซ้ำ

                อ่า แย่แล้วสิ ทำไมหัวใจถึงได้เต้นแรงนักนะ

                ผมยื่นมือไปปัดผมที่ปรกตาชานยอลออก ดูเหมือนว่าผมหน้าม้าเขาจะยาวแล้วนะ สงสัยต้องบอกให้ไปเล็มออกแล้ว คงจะรำคาญแย่ถ้ามันทิ่มตาอยู่ตลอดเวลา

     

    “อืออ..แบคฮยอนตื่นแล้วเหรอ”

     

    “อ่ะ..เราทำชานยอลตื่นหรอ ขอโทษนะ”

     

    “อือ เปล่าหรอก ขออยู่แบบนี้ต่ออีกสักพักได้หรือเปล่า” ชานยอลไม่ว่าเปล่า แต่ยังดึงผมเข้าไปให้ใกล้ขึ้น ตอนนี้หน้าผมเลยอยู่ตรงคอชานยอลพอดี

     

    “อืม นอนต่ออีกสักหน่อยก็ได้ เราเรียนตั้งบ่าย” ผมพูดแล้วหลับตาลง แต่มือเจ้ากรรมดันเผลอเอื้อมไปกอดชานยอลด้วย

     

    อยากกอดแบคฮยอนแบบนี้ทุกวันเลย

     

    “ฮื่อ พูดอะไรของชานยอล” ถึงแม้จะบอกแบบนั้นออกไป แต่ตอนนี้เหมือนหัวใจจะหลุดออกมาเลย เต้นแรงเกินไปแล้ว

     

     

                เรานอนกอดกันอยู่แบบนั้นสักพัก ก่อนจะเป็นผมที่ขอตัวไปอาบน้ำก่อน กลัวว่าจะไปเลทกัน ซึ่งชานยอลก็ยอมแต่โดยดี แต่เขายังคงนอนต่อ มันอาจจะดูแปลกกับการนอนกอดกันโดยที่ความสัมพันธ์เราค่อนข้างจะเบนไปทางอึดอัดต่อกัน แต่ก็อดยอมรับไม่ได้เลยว่า การที่เป็นแบบนี้ มันดีแค่ไหน

                เมื่อผมอาบน้ำเสร็จ ผมก็เรียกให้ชานยอลไปอาบน้ำต่อ เขางอแงนิดหน่อยแต่ก็ยอมเข้าห้องน้ำแต่โดยดี และนี่อาจจะเป็นครั้งแรกเลยมั้ง ที่ได้เห็นชานยอลทำท่างอแงใส่แบบนี้ เพราะปกติจะนิ่งใส่กันอย่างเดียว ผมเดินออกไปยังห้องครัว เปิดตู้เย็นเพื่อเช็คว่าผมสามารถทำอะไรกินได้บ้าง ซึ่งโชคดีที่อาทิตย์ที่แล้ว แม่ผมซื้อกุ้งแช่แข็งมาไว้ให้พอดี ผมจึงตัดสินใจทำข้าวต้มกุ้ง

     

    “ทำอะไรน่ะแบคฮยอน” ชานยอลที่อาบน้ำเสร็จแล้วเอ่ยถาม แต่เมื่อผมหันไป ก็แทบจะหันกลับไม่ทัน

     

                ชานยอลอยู่ใส่กางเกงนักศึกษาเรียบร้อย แต่ท่อนบนกลับไม่ใส่อะไรเลย ดูเหมือนเขาจะสระผม แล้วพาดผ้าขนหนูผืนเล็กไว้ที่บ่า

     

    “ทำไมไม่ใส่เสื้อก่อน”

     

    “อ่า..ก็สระผม ผมมันเปียก รอผมแห้งค่อยใส่”

     

    “อ่า..งั้นนั่งก่อนนะ เราทำข้าวต้มกุ้งไว้ จะเสร็จแล้ว”

     

    “อืม ทำอาหารเป็นด้วยเหรอ”

     

    “อือ บางอย่างน่ะ” ผมตอบชานยอลไป แต่ยังคงหันหลังให้เขาอยู่

     

                อือ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นชานยอลถอดเสื้อ ปกติที่เห็นมากสุดคือใส่เสื้อกล้ามตอนไปเที่ยวทะเลกันครั้งล่าสุด ไม่คิดว่าชานยอลจะหุ่นดีขนาดนี้ ผมพยายามไม่คิดอะไร เมื่อข้าวต้มได้ที่ผมก็จัดการตักใส่ถ้วยของผมและชานยอล ก่อนจะยกไปวางที่โต๊ะ

     

    “ขอบคุณครับ” ชานยอลเอ่ยแล้วตักข้าวต้มเข้าปาก

     

    “เป็นไงบ้าง”

     

    “อือ อร่อย” ชานยอลเงยหน้ามายิ้มให้ผม ผมเลยยิ้มกลับไป แต่ขณะที่ชานยอลจะก้มลงไปกินคำที่สอง ผมก็สังเกตเห็นว่า น้ำจากผมชานยอลกำลังจะหยดลงในข้าวต้ม

     

    “เช็ดผมก่อนซี่ชานยอล มันจะหยดลงไปในชาม” ผมทักบอก ชานยอลจึงเสยผมขึ้นไปลวกๆ

     

    “เดี๋ยวค่อยเช็ด กินก่อน หิว” เขาพูดแค่นั้นแล้วก้มกินต่อ ผมก็ได้แต่ส่ายหัวออกมา ผมเปียกๆนั่นมันทำให้รำคาญสายตาชะมัด คิดแบบนั้นผมก็ลุกขึ้นไปยืนข้างๆชานยอล

     

    “งั้นเดี๋ยวเราเช็ดให้” พูดเปล่า ผมหยิบผ้าขนหนูที่พาดบ่าไว้มาถือ เตรียมเช็ดให้

     

    “เอ้ย ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันเช็ดเอง” ชานยอลรีบปฏิเสธ แต่มีหรือที่ผมจะยอม

     

    “กินไปเถอะหน่า ฉันเช็ดให้” แล้วสุดท้ายชานยอลก็ยอมตกลง

     

                และข้าวต้มมื้อนั้น ดูเหมือนจะเป็นมื้อแรกที่ผมกับชานยอลคุยกันได้เยอะขึ้น เหมือนเราจะก้าวข้ามความอึดอัดมาได้เล็กน้อย หลังจากที่ชานยอลขอกอดผมเมื่อวาน ชานยอลอาสาจะล้างจานให้ ส่วนผมก็เข้าไปเตรียมตัว แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นเสื้อนักศึกษาที่ชานยอลกองไว้ตรงที่นั่งหนาทีวี และเมื่อผมหยิบขึ้นมาดู ก็ไม่ผิดจากที่คิดไว้ มันยับเอาเรื่องเลย ใครสั่งใครสอนให้กองเสื้อไว้แบบนี้นะ

                ผมส่ายหัวกับการกระทำของชานยอลก่อนจะเอาเสื้อไปรีดให้ และเมื่อชานยอลล้างจานเสร็จ ก็เดินมาเห็นผมกำลังรีดเสื้อให้เขา เล่นเอาโวยวายใหญ่บอกจะรีดเอง ผมก็ได้แต่หัวเราะเพราะพอเขาเดินมา ผมก็รีดเสร็จแล้ว

                วันนี้เราสองคนมามหาลัยด้วยรถของผม เพราะเริ่มจะเกรงใจชานยอลแล้ว แต่ก็เป็นชานยอลที่ขับอยู่ดี แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยๆก็ยังเป็นรถผม เรามาถึงมหาลัยโดยใช้เวลาไม่นาน เพราะการจราจรบนถนนไม่ได้ติดเท่าไหร่นัก

                เมื่อมาถึง ผมบอกให้ชานยอลไปหาเพื่อนก่อนเลย เดี๋ยวผมแวะมินิมาร์ทครู่หนึ่ง ผมเดินเข้าไปแล้วตรงไปโซนน้ำดื่ม หยิบน้ำผลไม้มาตามปกติ และเมื่อกำลังจะหยิบโค้กให้ชานยอล ก็ต้องชะงักมือไว้ นึกถึงที่ชานยอลบอกว่าอย่าเผลอ ผมจึงเลือกน้ำผลไม้อีกกล่องไปฝากชานยอล

     

                ผมเดินไปยังโต๊ะที่พวกผมนั่งประจำ ก็เห็นจงแดพูดใหญ่ สงสัยจะเล่าเรื่องที่ไปหาญาติให้ฟัง เอาจริงๆคนที่เหมือนจะพูดมากสุดน่าจะเป็นแทอู แต่ในความเป็นจริง ก็คิมจงแดนี่แหละ ไม่รู้สรรหาเรื่องอะไรมาเล่าได้ทุกวัน ผมเดินตรงไปนั่งข้างๆจงแดที่กำลังพูดอย่างออกรส แล้วหยิบน้ำผลไม้ยื่นไปให้ชานยอล แล้วเท้าคางฟังเรื่องราวของเพื่อนสนิท

     

    “เอ้า ดีกันแล้วหรอวะ” แทอูพูดแทรกขึ้นมา ทำให้จงแดที่กำลังเล่าเรื่องอยู่หยุดเล่าแล้วหันมามองผมกับชานยอล ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน

     

    “ทะเลาะกันหรอวะ”

     

    “ก็บอกไม่ได้ทะเลาะไง” ผมหันไปพูดกับแทอู

     

    “ก็เมื่อวานมันตึงๆใส่กัน ไม่ทักไม่ทาย” จงอินบอกกับจงแด แต่จงแดก็ไม่ได้มีทีท่าอะไร

     

    “ก็ปกติป่ะวะ อึดอัดเป็นปกติอ่ะ” แล้วจงแดก็หัวเราะออกมา ทำเอาอีก 2 คิมเออออไปด้วย ซึ่งผมกับชานยอลก็ได้แต่มองหน้ากันแล้วส่งยิ้มให้อย่างเงียบๆ ไม่มีใครสังเกต

     

                เรานั่งคุยกันได้อีกไม่นาน ก็ถึงเวลาที่ต้องเข้าเรียน ซึ่งวันนี้มันสร้างความหนักใจพวกเราได้ไม่น้อย เพราะจู่ๆอาจารย์ก็ให้จับคู่ทำรายงาน และประเด็นคือเรามีกัน 5 คน แบ่งไม่ลงตัว

     

    “เอาไงอ่ะมึง” จงอินเป็นคนถาม ผมก็นั่งเงียบ

     

    “กูคู่แบคฮยอนแล้วกัน” ผมกับอีก 3คิมหันไปมองคนพูดทันที จู่ๆชานยอลก็พูดออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

     

                เดี๋ยวนะ ชานยอลบอกจะทำงานคู่กับผม?

     

    “อ่ะ..เฮ้ย มึงสองคนเนี่ยนะ งานจะเดินไหมวะนั่น” จงแดพูดออกมาคนแรก

     

    “เดี๋ยวกูคู่แบคฮยอนให้ก็ได้นะ” ตามด้วยแทอู

     

    “เอ้า แล้วกูล่ะวะ” และจบด้วยจงอิน

     

                แต่ก็เถียงกันไม่นาน สุดท้ายก็ลงตัว เมื่อมีคนเดินเข้ามาขอจับคู่ด้วย ลู่หาน ที่เป็นคนจีน เดินเข้ามาบอกตัวเองไม่มีคู่ และไม่ต้องถามให้มากความ คิมจงอินก็อาสาคู่ลู่หานให้ สุดท้ายก็เป็น ผมคู่ชานยอล จงแดคู่แทอู และจงอินคู่ลู่หาน ซึ่งไม่รู้จะดีใจอะไรขนาดนั้น

                เมื่อสั่งงานเสร็จ อาจารย์ก็ปล่อยให้ไปทำงานกลุ่ม บางคนก็กลับไปเลย บางคนก็อยู่ทำงาน ซึ่งพวกผมอยู่ในกลุ่มที่สอง เห็นแบบนี้พวกผมก็ชอบทำงานให้เสร็จเลยนะครับ ไม่อยากค้างคา ฉะนั้นตอนนี้เราเลยมาอยู่ที่ห้องสมุด แต่ละคู่ก็ต่างแยกย้ายกันไปหาข้อมูล ผมกับชานยอลเดินมามุมในสุดของห้อง ที่มีจัดโซนเหมือนสไตล์ญี่ปุ่น ผมวางหนังสือที่หยิบมาตอนเดินมาลงบนโต๊ะญี่ปุ่นแล้วนั่งลง ส่วนชานยอลที่เดินตามมาก็นั่งลงข้างผมแทนที่จะนั่งตรงข้าม

                ผมหันไปมองชานยอลที่นั่งอยู่ข้างๆ เขายิ้มให้ผมก่อนจะยื่นหูฟังข้างหนึ่งมาให้ผม ผมก็ยิ้มกลับให้แล้วหยิบหูฟังนั่นมาใส่หู แล้วเราก็เริ่มทำงานโดยมีเสียงคลอจากเพลงที่ชานยอลเปิด

     

                เรานั่งไปสักพัก เพลงของชานยอลก็สุ่มมาเป็นเพลงสากล ที่ท่วงทำนองคุ้นๆ เรียกว่าอาจจะเป็นหนึ่งในเพลงที่ผมฟังบ่อยๆ

     

    .. Baby, life was good to me

    But you just made it better

    I love the way you stand by me

    Through any kind of weather

                I don't wanna run away, just wanna make your day

    When you feel the world is on your shoulders

    I don't wanna make it worse, just wanna make us work

    Baby, tell me I will do whatever

     

    It feels like nobody ever knew me until you knew me..” เมื่อถึงท่อนฮุค ผมก็ร้องออกมาด้วยความเคยชิน แต่นั่นเป็นจังหวะที่ชานยอลก็ร้องออกมาด้วย เราหันมามองหน้ากันแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับไปที่งานตรงหน้า แล้วร้องท่อนต่อไป

     

    ..Feels like nobody ever loved me until you loved me. Feels like nobody ever touched me until you touched me Baby, nobody, nobody until you

     

                หลังจากจบท่อนฮุค ผมไม่รู้ว่าคนข้างๆจะเป็นเหมือนผมหรือเปล่า ที่รอยยิ้มผุดขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ เราหยุดร้องแล้วให้เพลงมันเล่นไปเรื่อยๆ

     

    Baby, it just took one hit of you

    Now I'm addicted

    You never know what's missing

    Till you get everything you needed

     

    และไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ที่คิดว่า ระยะห่างของเรามันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

     

    I don't wanna run away just wanna make your day

    When you feel the world is on your shoulders

    I don't wanna make it worse just wanna make us work

    Baby, tell me, I will do whatever

     

    จนกระทั่งแขนทั้งสองข้างเราแตะกัน แต่คราวนี้ไม่มีใครออกห่างจากใคร ให้มันแตะกันอยู่แบบนั้น

     

    It feels like nobody ever knew me until you knew me

    Feels like nobody ever loved me until you loved me

    Feels like nobody ever touched me until you touched me

    Baby, nobody, nobody until you

    See it was enough to know, if I ever let you go

    I would be no one

    'Cause I never thought I'd feel all the things you made me feel

    Wasn't looking for someone, oh, until you

     

    It feels like nobody ever knew me until you knew me

    Feels like nobody ever loved me until you loved me

    Feels like nobody ever touched me until you touched me

    Baby, nobody, nobody

    It feels like nobody ever knew me until you knew me

    Feels like nobody ever loved me until you loved me

    Feels like nobody ever touched me until you touched me

    Baby, nobody, nobody, nobody, nobody

    (Until you - Shayne Ward)

     

                เราสองคนไม่ได้ร้องคลอกับเพลง จนมาถึงท่อนสุดท้าย

    Until you..” เสียงทุ้มเปล่งเสียงออกมา และนั่นมันก็ทำให้ผมยิ้มแบบไม่มีสาเหตุอีกครั้ง

     

                ผมเพิ่งรู้ว่า จริงๆแล้วชานยอลก็ร้องเพลงได้ ไม่ได้แค่ทำเพลงหรือเล่นดนตรีอย่างเดียว เสียงทุ้มๆมันชวนฟังโรแมนติกอย่างไรก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นเหมือนผมไหม แต่ผมชอบเสียงของชานยอล ไม่ว่าจะพูด หรือร้องเพลง และถ้าเป็นไปได้

                ผมก็อยากจะฟังชานยอลร้องเพลงในทุกๆวัน

     

                เวลาล่วงเลยมาจนกระทั่งฟ้ามืด รายงานเรายังไม่เสร็จดี เหลือเก็บรายละเอียดและสรุปอีกนิดหน่อย  ทริปเปิลคิมเดินมาหาเราสองคนด้วยสีหน้าอิดโรย แต่รู้เลยว่าประโยคแรกที่จะพูดคงไม่พ้นเรื่องของกิน

     

    “เอ้า สนิทกันถึงขั้นฟังเพลงด้วยกันแล้หรอวะ” อ่า อาจจะผิดคาดไปหน่อย

     

    “แล้วมันแปลกอะไรวะ” ชานยอลเอ่ยถามจงอิน แล้วดึงหูฟังออกจากหูผมอย่างเบามือ

     

    “เออๆ ไม่แปลก ลุกเว่ยลุก หิวข้าวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว” นั่น พูดผิดเสียที่ไหน ยังไงก็ไม่พ้นเรื่องกิน

     

                แทอูเดินมากอดไหล่ผมก่อนจะเอื้อมหยิบหนังสือในมือไปถือให้ แต่ก็นะ ช้ากว่าชานยอล เขาหยิบหนังสือจากมือผมไปถือแล้วเดินนำไปโดยไม่ได้พูดอะไร ผมหันไปมองแทอูที่หันมามองหน้าผมเหมือนกัน เขาทำได้แค่ยักไหล่แล้วเดินตามชานยอลไป

     

     

                แต่สุดท้าย ผมกับชานยอลก็ไม่ได้ไปกินข้าวกับทริปเปิลคิม เพราะชานยอลบอกว่าง่วงและขี้เกียจ อยากกลับไปกินที่ห้อง ผมเลยต้องกลับมากับชานยอล แต่ระหว่างทางชานยอลพาแวะซุปเปอร์ บอกว่าวันนี้จะทำอาหารให้กิน ไถ่โทษที่รีบกลับก่อนเลยไม่ได้กินกับเพื่อน ว่าแต่ชานยอลไม่ได้ง่วงหรอ

                ชานยอลเป็นคนเลือกวัตถุดิบในการทำอาหารทั้งหมด และแน่นอน ชานยอลเป็นคนจ่ายเงิน จะหารก็ไม่เอา อ้างว่าซื้อของเข้าห้องด้วย ผมเลยไม่ได้ค้านอะไร เราไม่ได้ใช้เวลามากนักในการซื้อของ ชานยอลเหมือนคิดมาอยู่แล้วว่าต้องซื้ออะไรบ้าง มันจึงเร็วกว่าที่คิด

     

                เมื่อมาถึงหอ ชานยอลก็บอกให้ผมไปอาบน้ำให้เรียบร้อย แล้วค่อยขึ้นไปบนห้องเขา ในระหว่างที่ผมทำธุระอะไรต่างๆ ในใจก็พลันคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมาช่วงสองสามวันนี้ ความสัมพันธ์ของผมกับชานยอลเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆอย่างประหลาด อีกทั้งยังมีความรู้สึกแปลกๆที่เริ่มเกิดขึ้น

                ผมรู้สึกดีทุกครั้งเวลาได้อยู่กับชานยอล ได้ทำอะไรร่วมกับชานยอล ตั้งแต่กินข้าวกันสองคน ทำงานกันสองคน และซื้อของกันสองคน หรือเป็นเพราะผมอยากสนิทกับชานยอลมานานแล้วนะ มันเลยรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกเวลาที่ได้ใช้เวลาร่วมกัน

     

    ____

     

                หลังจากวันนั้น มันก็ผ่านมาเดือนนึงแล้ว ระยะเวลาในช่วงนั้น เราได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น ได้พูดคุยกันมากกว่าเดิม เหมือนจะคุยกันมากกว่าระยะเวลาที่รู้จักกันรวมกันเสียอีก มีบ้างที่ผมจะไปนอนห้องชานยอล เพราะส่วนใหญ่แล้ว ชานยอลจะมานอนห้องผม หลังๆมาเรากินข้าวเย็นกับทริปเปิลคิมน้อยลง เพราะชานยอลอยากทำอาหารกินเองที่ห้อง ส่วนจงอินก็เทียวไล้เทียวขื่อจีบลู่หานไม่เว้นวัน จงแดก็กลับบ้านบ่อยๆเพราะติดหลานที่เพิ่งคลอด ส่วนแทอูก็ไปเจอเพื่อนเก่าที่อยู่ชมรมเต้น ตอนนี้ก็แท็กทีมกันซ้อมเต้นเพื่อจะไปประกวด ฉะนั้นเลยไม่ได้มีใครสงสัยเราทั้งสองคนมากนัก

                แต่ก็มีบ้างที่เพื่อนทักว่าพวกผมดูแปลกๆไป ดูไม่อึดอัดกันแล้ว อีกทั้งยังสนิทกันมากกว่าเดิม พวกผมก็ไม่ได้พูดอะไร ก็พาเปลี่ยนเรื่อง จริงๆเรื่องของเราสองคนมันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมาย อาจจะไม่ได้ตัวติดกันเหมือนผมกับจงแด ไม่ได้คุยกันเยอะเหมือนผมกับจงอิน และไม่ได้สกินชิพมากมายเหมือนผมกับแทอู แต่เวลาอยู่ด้วยกัน มักจะมีเรื่องราวต่างๆมาแชร์กันเสมอ

    ส่วนการสกินชิพนั้น เพิ่งรู้ว่าชานยอลเป็นคนชอบสกินชิพ เวลาอยู่ห้องชอบมาคลอเคลียตลอด และเราก็กอดกันนอนทุกคืน ยอมรับเลยว่าติดกอดชานยอลไปแล้ว ส่วนอยู่ข้างนอกก็ปกติ อาจจะไม่ค่อยปกติตรงที่ว่า เวลากินข้าวกัน ชานยอลจะนั่งใกล้ผม และชอบดึงมือผมไปกุม หรือแม้กระทั่งตอนดูหนังชานยอลขอเพื่อนนั่งนอกสุด และถัดมาเป็นผม พอในโรงมืด และทุกคนสนใจแต่หนังบนจอ ชานยอลก็จะเริ่มเลื้อยตัวลงมาซบไหล่ผม แล้วดึงมือไปกุม

    แต่การกระทำทั้งหมดนี้ มันอยู่ภายใต้คำว่า เพื่อนสนิท จริงๆมันเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว และอีกอย่างหนึ่งที่มันชัดเจนขึ้นมา คือความรู้สึกของผมที่มีต่อชานยอล รู้สึกมันจะมากกว่าคำว่ารู้สึกดี จนไปแตะคำว่าชอบแล้ว ซึ่งผมไม่รู้ว่าชานยอลคิดแบบเดียวกันหรือเปล่า แต่ทางที่ดีผมก็ควรเก็บคำนี้ไว้ ความสัมพันธ์ของเราอุตส่าห์พัฒนามาขนาดนี้แล้ว ไม่อยากให้พังเพียงเพราะเหตุผลที่ว่า ผมคิดไม่ซื่อกับเพื่อนสนิทของตัวเอง

    ส่วนเรื่องของโดคยองซู ชานยอลเล่าให้ฟังแล้วว่าปฏิเสธแบบชัดเจนไปตั้งแต่แล้ว แต่ที่ยังคุยกันอยู่เพราะแค่พี่น้องเท่านั้น เพราะตอนนี้ก็เหมือนว่ามีรุ่นพี่ต่างคณะมาขายขนมจีบให้ทุกวัน

     

    “แบคฮยอน” เสียงทุ้มของชานยอลเรียกชื่อผมขึ้น ผมจึงละสายตาจากหนังสือที่อ่านอยู่ไปมองคนที่นั่งซ้อนหลังผมอยู่

     

                ชานยอลชอบมานั่งแบบนี้ตลอด เขาจะให้ผมพิงตัวเขา และเขาก็จะกอดผมไว้ข้างหลัง อือ มันก็รู้สึกดีแหละ

     

    “ตอนนี้..เราอยู่ในสถานะไหนกันหรอ” คำถามของชานยอลทำเอาผมชะงัก ผมวางหนังสือแล้วกันไปประจันหน้ากับชานยอล

     

    “ไม่ใช่เพื่อน..สนิทหรอ” ผมถามเสียงแผ่ว ไม่รู้ว่าแบบนี้เรียกสนิทได้หรือเปล่า

     

    “เพื่อนสนิทเขานอนกอดกันทุกคืนเหรอแบคฮยอน”

     

    “อ่า..”

     

    “แน่ใจเหรอแบคฮยอนว่าเราเป็นแค่เพื่อนสนิทกันจริงๆ ไม่ได้เป็นมากกว่านั้น” ชานยอลถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจัง นั่นมันทำเอาผมไม่ถูก ให้ตายเถอะ ถ้าพูดมากกว่านี้ผมจะถือว่าชานยอลคิดเหมือนกับผมแล้วนะ

     

    “ก็..ยังเป็นเพื่อนกันจริงๆนี่ สถานะอ่ะ” ผมหลบตาชานยอล

     

    “งั้นฉันขอถามอะไรอย่างนึง”

     

    “อือฮึ”

     

    “เราจะเป็นมากกว่าเพื่อนกันได้หรือเปล่า” ขอระเบิดตัวเองตอนนี้ได้ไหม

     

    “ฮื่อ” ผมไม่ได้ตอบ ทำได้แค่ซุกหน้าลงไปบนอกชานยอลแค่นั้น

     

    “เป็นแฟนกันได้หรือเปล่าแบคฮยอน”

     

    “ตรงๆแบบนี้เลยหรอ” ผมถามเสียงอู้อี้ ชานยอลขำหน่อยๆแล้วใช้สองแขนกอดผมไว้

     

    “อื้อ ก็ชอบอ่ะ ต้องอ้อมหรอ”

     

    “โอ๊ย ชานย๊อล!” ทำไมต้องตรงขนาดนี้ ไม่แคร์หัวใจกันบ้างเลย จะหลุดออกมาอยู่แล้ว

     

    “แล้วแบคฮยอนอ่ะ ชอบไหม”

     

    “ชะ..ชอบอะไร..”

     

    “ชอบชานยอล..ชอบไหม”

     

    “โอ๊ย ปาร์คชานยอลชนะ ชนะเราไปเลย เราน็อคเอาท์”

     

    “ตอบก่อนสิค่อยน็อค”

     

    “ชอบสิ ชอบปาร์คชานยอล” แล้วแรงรัดจากแขนชานยอลก็แน่นขึ้น พร้อมๆกับที่ผมก็เอื้อมไปกอดชานยอลเช่นกัน

     

    “งั้นเป็นแฟนกันแล้วนะ”

     

    “ครับ”

     

                แล้วคืนนั้น เราก็นอนกอดกันทั้งคืนเหมือนเดิม แต่ที่เปลี่ยนไปก็คงเป็นสถานะของเรามั้ง ที่มันไม่ใช่แค่เพื่อนกลุ่มเดียวกันที่อึดอัดกันแล้ว กลายมาเป็นคนรักกันแล้วนะ

     

     

    “ยังไงอ่ะพวกมึง” เมื่อเรามาถึงมหาลัย ทริปเปิลคิมที่รออยู่ก็จับผมกับชานยอลมานั่งข้างกัน แล้วทั้งสามคนก็ยืนกอดอกมองเรา

     

    “อะไรเล่า” ผมถาม แต่ไม่ได้มองหน้าเพื่อน

     

    “ในไอจีอ่ะ ยังไง” จงแดถามถึงรูปในอินสตราแกรม

     

                เอาจริงๆผมก็ไม่รู้หรอกว่าชานยอลเอาโทรศัพท์ผมไปเล่นเมื่อไหร่ รู้อีกทีก็ตอนที่มีแจ้งเตือนรัวๆนั่นแหละ แจ้งเตือนไลค์ไม่เท่าไหร่ แต่แจ้งเตือนคอมเม้นนี่สิ มีแต่ที่ถามว่า อะไรยังไง หรือ ตั้งแต่เมื่อไหร่ และเมื่อผมเข้าไปดู ก็คือ รูปล่าสุดในแอคเค้าท์ของผมแทนที่จะเป็นรูปทริปเปิลคิมบวกชานยอลที่ถ่ายเมื่อเดือนที่แล้ว มันกลับกลายเป็นรูปที่ผมยืนทำอาหารเช้าในครัวเมื่อตอนเช้า ด้วยแคปชั่นที่ว่า

                ขอตื่นมาเจอแบบนี้ทุกเช้าเลยนะครับ babe

     

                ซึ่งในเมื่อในนั้นเป็นรูปของผม แสดงว่าผมไม่ได้เป็นคนถ่าย อีกทั้งยังแท็กปาคร์ชานยอลอีก แบบนี้ก็ไม่ต้องสงสัยให้มากความ ว่าใครเป็นคนถ่าย ใครเป็นคนตั้งแคปชั่น และใครเป็นคนลง

     

    “คบกันแล้ว” และเป็นชานยอลที่เป็นคนตอบคำถาม

     

    “โอ้โหเฮ้ย กูแค่ไปตามจีบลู่หานเดือนเดียว พวกมึงพัฒนาถึงขั้นนี้แล้วหรอวะ”

     

    “อือ”

     

    “โอ้ย อึดอัดกันมาตั้งนาน ใครจะไปคิดวะว่าจะมาลงเอยกัน” จงแดโอดครวญ ตลกดี

     

    “แล้วไปสปาร์คกันตอนไหนวะ” แทอูหันมาถามผม

     

    “ไม่รู้สิ รู้ตัวอีกทีก็ชอบไปแล้วอ่ะ” ผมตอบพลางเหลือบตาไปมองชานยอลที่นั่งข้างๆ

     

    “แล้วมึงอ่ะชานยอล อย่าบอกนะว่ารู้ตัวอีกทีก็ชอบเหมือนไอ้แบคอ่ะ” คราวนี้เป็นจงแดบ้าง

     

    “เปล่า” ชานยอลตอบออกมา ผมจึงหันหน้าไปมองชานยอลทันที “ก็..ชอบตั้งแต่ปี1แล้ว ก่อนจะมาเป็นเพื่อนกัน..” และคำตอบของชานยอล ทำเอาตาตี่ๆของผมโตขึ้นมาทันที

     

                ก่อนจะมาเป็นเพื่อนกัน..นี่มันความจริงหรอเนี่ย

     

    “เฮ้ย เอาจริงดิ” อย่าว่าแต่ผมเลยที่ตกใจ ทั้ง 3 คิมก็ตกใจ

     

                ไม่สิ ดูเหมือนจะมีหนึ่งคิมที่เฉยๆ คิมแทอู ที่ดูเหมือนจะไม่ตกใจกับคำพูดของชานยอลเท่าไหร่นัก

     

    “ก็..น่ารักดี เห็นแล้วก็ชอบ”

     

    “แล้วทำไมมึงถึงดูห่างเหิน อึดอัดกับแบคฮยอนจังวะ” จงแดถามด้วยความสงสัย ส่วนผมเองก็พยักหน้ากับคำถามนั่น

     

                ใช่ ผมก็อยากรู้ ถ้าชานยอลชอบผมตั้งแต่เมื่อตอนปี 1 ทำไมตอนเป็นเพื่อนกัน เราสองคนถึงได้มีท่าทีอึดอัดต่อกันนัก

     

    “ไม่รู้..”

     

    “หือ?”

     

    “ไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไง เวลาได้เป็นเพื่อนกับคนที่ชอบ กลัวจะทำอะไรที่มันมากเกินไป แล้วเกิดเป็นการอึดอัดมองหน้ากันไม่ติด เลยคิดว่ารักษาระยะห่างไว้น่าจะดีกว่า เพราะอย่างน้อยๆ..ก็ยังได้เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน อีกอย่าง..ต้องคอยห้ามตัวเองให้ยิ้มด้วย ตอนอยู่ใกล้แบคฮยอน มันเขิน” คำพูดที่ยาวเหยียดออกมาจากปากชานยอล ทำเอาผมต้องซบหน้าลงบนไหล่ของเจ้าของคำพูด จู่ๆหน้าก็ร้อนขึ้นมา

     

    “หูย พ่อพระเอกกกกก” จงอินลากเสียงล้อเลียน

     

    “กูก็ว่า ทำไมถึงดูอึดอัดกันจังวะ ที่แท้ก็ไม่บริสุทธิ์ใจนี่เอง” และตามด้วยจงแดเพื่อนรัก

     

    “ก็นึกว่าต้องแอบรักแบบนี้ไปตลอด” แทอูพูดออกมาด้วยเสียงเนือยๆ อย่าบอกน่ารู้อยู่แล้วงั้นเหรอ

     

    “แทอู มึงรู้อยู่แล้วเหรอ” เป็นผมที่เอ่ยถาม

     

    “อือ ดูด้วยครับว่ากูเป็นใคร สนิทกับไอ้ชานตั้งแต่มัธยมนะโว้ย” แทอูยักคิ้วหลิ่วตา ผมจึงขำออกมาเล็กน้อย

     

    “เออ พวกมึงเลิกอึดอัดแบบนี้ก็ดีแล้ว” จงแดตบไหล่ผมเบาๆ

     

    “เออ รักกันนานๆนะพวกมึง อย่าทะเลาะกัน” จงอินเดินอ้อมไปตบไหล่ชานยอลบ้าง

     

    “มีอะไรปรึกษาพวกกูได้เสมอ แต่ไม่รับประกันว่าจะช่วยได้หรือเปล่า” และแดท้ายด้วยแทอูที่ตบไหล่พวกผมทั้งสอง

     

                และพวกเราก็ขำกับคำพูดของแทอู วันนี้เป็นวันที่ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่สุดเลยมั้ง ได้ทั้งเพื่อนที่ดี และได้ทั้ง..แฟนที่ดี ผมหันไปมองหน้าชานยอลที่กำลังหัวเราะ แต่ดูเหมือนจะจ้องนานไป ชานยอลจึงหันมา แล้วจับหัวผมให้ไปซบกับไหล่กว้างนั่น

     

                สุดท้ายแล้ว ที่ดูเหมือนอึดอัดกันเนี่ย เพราะชานยอลไม่บริสุทธิ์ใจตั้งแต่แรกเนี่ยนะ อ่า..พูดแล้วก็เขินชะมัด

     

    “ขอบคุณนะ ที่ชอบเรา” ผมกระซิบบอกชานยอล และก็ได้รอยยิ้มที่ผมรู้สึกว่าอบอุ่นที่สุดกลับมา พร้อมกับเสียงทุ้มที่กระซิบข้างหูผมเช่นกัน

     

    “ขอบคุณที่ยอมเปิดใจให้กันนะครับ บยอนแบคฮยอน”

     

     

     

     

     

    #smatCB

    อยู่กับเราแบบนี้ไปเรื่อยๆเลยนะ : )



    B E R L I N ❀
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×