ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กรรมพยากรณ์( ตอนชนะกรรม )

    ลำดับตอนที่ #6 : บ้านแสนสุข

    • อัปเดตล่าสุด 27 ม.ค. 53


    มื้อเย็นผ่านไปด้วยความอิ่มอร่อย เมื่อมาวันทาจ่ายค่าอาหารเสร็จก็เดินนำลานดาวออกมา
    ด้านหน้าซึ่งเป็นที่จอดรถ แพทย์สาวหันบอกคนเดินตามเมื่อถึงรถตน
    “ขับตามพี่มาแล้วกันนะ”
    “ค่ะ”
    ลานดาวเหลือบมองยานยนต์แดนซามูไรของอีกฝ่ายเพียงแวบเดียวเพื่อหมายตา แล้วเดินแยกไป
    ทางที่จอดของตน มาวันทาเข้ารถสตาร์ทเครื่อง ถอยออกมารอ พอเห็นรถยุโรปคันหนึ่งเคลื่อนเอื่อยมาต่อท้าย
    และกะพริบไฟก็เริ่มออกนำ
    มองผ่านกระจกหลังเห็นกระจังหน้ารถของลานดาวแล้วยิ้มเงียบ รุ่นนั้นเพียงคันเดียวถอยรถ
    หล่อนได้สามคันทีเดียว พาหนะคู่กายสาวสวยเป็นอะไรหลายอย่าง เช่นเป็นเครื่องประดับที่ช่วยเสริมความ
    งามให้อลังการยิ่งขึ้น เป็นเครื่องเสริมนิสัยให้ชมชอบความปราดเปรียวร้อนแรงมากขึ้น รวมทั้งเป็น
    เครื่องช่วยยกระดับความยากในการเข้าถึงตัวให้หนักขึ้นไปอีก!
    นึกถึงดวงหน้าลานดาวขณะปรายตามองน้ำพุและรำพึงแผ่วให้หล่อนร่วมรับรู้ ว่าจนป่านนี้ยัง
    ไม่เจอคนถูกใจสักที แม้มีตัวเลือกมากมายก็ไร้ความหมาย มาวันทาคิดอยู่ในใจว่าจะไปเจอง่ายๆได้อย่างไร
    ในเมื่อคุณเธอเลอเลิศไร้ที่ติถึงปานนี้!
    ฐานะดอกฟ้ารอบรรดาชายมากหน้ามายื้อแย่งชิงดีนั้น มาวันทาพอเข้าใจอยู่ ว่าระคนกันทั้งสุข
    และทุกข์ประมาณใด แต่เหล่าดอกฟ้าก็ยังมีระดับชั้นแบ่งซอยสูงต่ำซ้อนกันยิ่งๆขึ้นไปอีก หล่อนยอมรับโดย
    ดีด้วยมาตรวัดทางความรู้สึกว่าลานดาวอยู่ในชั้นที่สูงกว่า สัมผัสเพียงครู่ก็รู้ได้
    ชั่วชีวิตสาวของมาวันทาไม่เคยต้องริษยาหญิงใด ด้วยเหตุที่ถูกปลูกฝังให้มีนิสัยสงบเสงี่ยมไม่
    แข่งดีบีฑาใครหนึ่ง กับเพราะคุณสมบัติของตนยากจะเป็นรองใครในทุกด้านอยู่แล้วอีกหนึ่ง ตลอดเวลาที่
    ผ่านมานับว่าหล่อนมีความสุขพอดีๆ มีคนถูกอัธยาศัยมาก ขณะที่มีคนหมั่นไส้ความเป็นตัวหล่อนน้อย
    วันนี้หล่อนพบผู้หญิงที่น่าอิจฉา ทั้งสาวกว่า ทั้งสวยกว่า แถมยังรวยกว่ามาแต่เกิดเสียด้วย ทว่า
    นอกจากจะไม่อิจฉาแล้ว หล่อนยังปลาบปลื้ม สุขสม ชื่นชมแทนในความพรั่งพร้อมดุจเสกเอาตามอำเภอใจ
    เช่นนี้ แบบเดียวกับพี่สาวที่มีมุทิตาจิตอย่างแท้จริงต่อน้องสาวคลานตามกันมา สมัครสมานรักใคร่กลมเกลียว
    กันจนเหมือนใครได้อะไร อีกฝ่ายก็พลอยได้ไปด้วย อิ่มเอมเท่าเทียมกัน
    ความแตกต่างอย่างโอฬาริกระหว่างมนุษย์ ทำให้มาวันทากระเดียดจะเชื่อเรื่องบุญทำกรรมแต่ง
    ที่เชื่อนั้นหาใช่เพราะเป็นคนไทยซึ่งถูกปลูกฝังให้เชื่อตามกัน แต่เชื่อเพราะถูกวิทยาศาสตร์สอนว่าผลย่อม
    ไหลมาแต่เหตุ ทั้งจักรวาลเต็มไปด้วยเหตุและผล เมื่อมีต้นย่อมมีปลาย ก่อนถึงท้ายย่อมมีตอนหน้า แม้หล่อน
    เห็นความแตกต่างระหว่างสรรพสิ่งด้วยความไม่รู้ ก็ไม่อยากยอมรับเลยว่าเบื้องหลังความแตกต่างทั้งหลาย
    คือความบังเอิญ หรือด้วยความมีอคติของผู้สร้างจักรวาลใดๆ
    และหากลานดาวเป็นอย่างที่เป็นเพราะบุญทำกรรมแต่ง ก็เท่ากับหล่อนกำลังเสวยผลของตนเอง
    แล้ว ยุติธรรมตามกฎแห่งกรรมดีแล้ว ควรหรือที่ใครจะมองด้วยอารมณ์ริษยา?
    ขับตามกันกระทั่งมาถึงบ้านสองชั้นในเนื้อที่ ๑๐๐ ตารางวาหลังหนึ่ง มาวันทาเปิดไฟเลี้ยวเป็น
    สัญญาณให้อีกฝ่ายชิดขวาตาม ที่นั่นคือรังรักของหล่อนกับลัดธีร์
    เข้าบ้าน เจ้าของนิวาสสถานเปิดไฟสว่าง กดสวิทช์เครื่องปรับอากาศต้อนรับอาคันตุกะคนสวย
    ลานดาวมองไปรอบๆแล้วชม
    “แต่งบ้านน่ารักจังค่ะพี่เอิน”
    “ช่วงนี้รกหน่อยแหละ ลูกจ้างเพิ่งลาออก”
    ลานดาวหันขวับไปสวมกอดและหอมแก้มมาวันทาดื้อๆ
    “ให้จ๊ะเป็นน้องสาวพี่นะ”
    คนถูกนับเป็นพี่หัวเราะ แล้วยกแขนวาดโอบไหล่คนขอเป็นน้อง
    “คิดอยู่เหมือนกัน”
    พูดจบก็จุมพิตศีรษะลานดาวด้วยสัมผัสอันเปี่ยมเมตตา
    “แล้วจ๊ะจะมาช่วยถูบ้านให้”
    “โถ… อย่าเลยค่ะน้องขา เดี๋ยวดูลายมือแล้วจะเห็นเส้นคุณหนูเลือนลง”
    “ให้มันเลือนไปเถอะ จะใช้ให้เก็บขี้หมาก็ยอมนะคะ”
    มาวันทาหัวเราะเอ็นดู
    “เอาเข้าไป”
    “กอดพี่เอินแล้วเย็นดีจัง คนใจดีเท่านั้นถึงเนื้อเย็นได้อย่างนี้”
    ลานดาวกล่าวด้วยสัมผัสลึกซึ้งอย่างประหลาด จู่ๆก็ตื้นตันในอกเหมือนอยากร้องไห้ขึ้นมา
    เฉยๆ มาวันทายืนนิ่งให้กอด เกิดความสุขเอ่อท้นแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้เช่นกัน คล้ายพบญาติแสนรักที่จากพราก
    กันช้านาน บัดนี้ถึงเวลาโคจรมาพบอีกครั้ง เป็นใจตรงกันที่สื่อผ่านผัสสะละเมียดละไมทางกายนั้นเอง
    เนิ่นนานกระทั่งมาวันทานึกอะไรได้ก็ดึงตัวออกโดยละม่อม
    “เมื่อกี้ยังไม่ทานของหวานกัน เอาไอติมหรือเค้กไหม?”
    ลานดาวสั่นหน้า
    “ไม่ค่ะ อยากฟังพี่เอินเล่นฟลุตมากกว่า”
    “ก็ได้ งั้นไปกัน”
    มาวันทาจูงมือน้องสาวมาที่ห้องหนึ่งซึ่งตกแต่งไว้เล่นดนตรีและฟังเครื่องเสียงโดยเฉพาะ แต่
    วัตถุที่เตะตาลานดาวก่อนเพื่อนได้แก่รูปในกรอบขนาดใหญ่บนผนังเหนืออัพไรต์เปียโน
    “ว้าว! เจ้าชายเจ้าหญิงในวันวิวาห์!”
    หญิงสาวตะโกนดังๆด้วยพลังเสียงคมใสหนักแน่น มาวันทาสะดุ้งเล็กน้อยเพราะอยู่ห่างจากอีก
    ฝ่ายแค่สามคืบ จึงเหมือนมีหอกแหลมพุ่งปรี๊ดจากเบื้องหลังเข้าบาดแก้วหู ฉิวนิดๆจนต้องเอี้ยวตัวมาผลัก
    หน้าคนโว้กเว้กเบาๆพลางกระซิบดุ
    “ตะโกนเข้าไป”
    “พี่อ๋องก็หล่อดีนี่คะ อย่างกับริชาร์ด เกียร์ ไหงพี่เอินว่าธรรมดา แล้วไหนว่าลงพุง”
    “บอกแล้วแค่ลงพุงตอนเจอกันแรกๆไง… ที่เห็นหล่ออย่างในรูปก็ฝีมือช่างกล้องราคาแพงนั่น
    แหละ สมัยนี้ต่อให้ตัวจริงหน้าเหมือนนกแขกเต้า ก็บิดเบือนจนดูละม้ายพญาหงส์ได้”
    ลานดาวหัวเราะร่วน สองมือเกาะไหล่มาวันทา โก่งคอพินิจเค้าหน้าชายผู้โชคดีคนเดียวในโลก
    ที่มีวาสนาได้ตระกองกอดมาวันทาในชุดเจ้าสาว เครื่องหน้าเจ้าบ่าวราบเรียบแบบลูกจีน ทว่าความสะดุดตา
    อยู่ที่มาดเท่ของชายเก่งมากกว่าอย่างอื่น บุคลิกของเขามองปราดเดียวทราบได้ทันทีว่ามีดีตรงสมอง
    “รูปนี้พี่เอินดูเหมือนนกน้อยในมือเจ้าของเลยล่ะ ขออนุญาตเลียนแบบพี่อ๋อง…”
    ว่าแล้วก็เอาคางวางเกยไหล่ขวา ตระกองกอดพี่สาวเต็มอ้อมจากเบื้องหลัง
    “ตื่นมาพี่อ๋องคงบอกรักพี่เอินทุกเช้า”
    “เปล่าเลย หลังๆนี้นานครั้งหรอกเขาถึงจะพูดให้ได้ยิน”
    “อ้าว! อย่างนี้ถือว่าบกพร่องในหน้าที่”
    “คงว่าไม่ได้หรอก เพราะพี่ยิ่งน้อยกว่าเขามาก บางทีรู้สึกผิดเหมือนกันที่เขาต้องออดแทบตาย
    กว่าดอกพิกุลจะร่วง”
    “ทำไมล่ะคะ? ถ้าจ๊ะรักใคร จ๊ะจะบอกเขาบ่อยๆ แล้วก็เป็นฝ่ายฟังได้บ่อยโดยไม่เบื่อด้วย”
    “พี่เป็นคนขี้อายในเรื่องพรรค์นี้มั้ง อยากแสดงความรักผ่านความอาทรที่สะท้อนความจริงใจ
    ชัดกว่าคำพูด”
    “แต่คำพูดก็สำคัญนะคะ ถ้าเรากล้าพูดตรงกับความรู้สึกชนิดชัดถ้อยชัดคำ วันหนึ่งเขาจะเห็น
    ความรักของเราตรงไปตรงมา มีพลัง มีความน่าเชื่อถือ”
    “ไหนว่าไม่เคยเจอคนถูกใจ ทำไมรู้ดีนัก บอกรักใครมากี่ครั้ง?”
    “อิอิ เป็นฝ่ายฟังน่ะค่ะ ไม่ใช่ฝ่ายบอก… จ๊ะฟังผู้ชายบอกรักมาจนแยกออกตั้งแต่อ้าปากเห็นลิ้น
    ไก่ ว่าใจคิดอัปมงคลแค่อยากเจี๊ยะเรา หรือตั้งความปรารถนาพาวิวาห์สวามิภักดิ์ยังไง ความแรงและน้ำหนัก
    พลังที่ทุ่มออกมาจากหัวใจทั้งหมดของใครบางคนฟังดูมีค่าจนจ๊ะเสียดายที่เขายังไม่ใช่คนถูกใจ”
    “จะรอให้ใช่ไปถึงไหนล่ะ? การโดนบอกรักบ่อยๆอาจสร้างความชินชา และแยกยากว่าตกลง
    เรายินดีกับใครหรือยัง เขาอาจผ่านมาแล้วก็ได้ แต่เรามองไม่เห็น เพราะม่านความชินชาบดบังอยู่”
    “จ๊ะเป็นคนช่างฝัน ชอบแสวงหา แล้วก็รู้ใจตัวเองดีค่ะพี่เอิน สิ่งที่จ๊ะรอคอยคือความรักหวาน
    ซึ้งในใจตัวเอง แบบเดียวกับที่ดูเทพนิยายแล้วรู้สึกถึงประกายกรุ๊งกริ๊ง อย่างเห็นในรูประหว่างพี่เอินกับพี่อ๋อง
    น่าอิจฉาที่พี่เอินมีใครคนหนึ่งให้พูดออกมาจากใจจริงทั้งดวงว่ารัก ชนิดที่แม้กำลังพูดอยู่หน้ากระจกเงาก็
    มั่นใจว่าเราไม่ได้ฝืนหลอกตัวเอง…”
    ทีแรกลานดาวพูดจ๋อยๆดี แต่นานไปชักแผ่ว มาวันทายินหางเสียงอ้อยสร้อยสุดท้ายนั้นแล้วอึ้ง
    รางวัลของความเป็นคนเลอเลิศคือการหาคู่ยากเช่นนี้เอง แต่แทนการปลอบ มาวันทาเลือกสัพยอกติดตลกเสีย
    “คนเราหาเรื่องสงสารตัวเองได้เรื่อยนะ ถึงแม้จะมีชีวิตเหมือนเพิ่งรับพรเกินสามประการจาก
    ยักษ์ในตะเกียงวิเศษมาหมาดๆ”
    ลานดาวยิ้ม เลิกใช้สำเนียงเศร้า เปลี่ยนเป็นสำเนียงสดใส
    “พี่เอินโชคดีกว่าจ๊ะจริงๆนะ ที่เจอตัวจริงตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง จ๊ะกำลังจะถูกปลดระวางจากความ
    เป็นสาววัยเรียนอยู่รอมร่อแล้ว ยังไม่โป๊ะเชะเสียที วัยสาวผ่านหายไปเร็วเหมือนบั้งไฟพญานาค คิดไปคิดมา
    ชักหนาวแฮะ อีกสิบปีหน้าตาจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ ลิงเห็นยังอาจเมิน”
    มาวันทาถอนใจสั้น ก่อนแกะมือลานดาว หันหลังกลับมาสบตาตรง ยกมือประคองดวงหน้า
    งามสะอางแล้วกล่าวประโลม
    “ขอพี่พูดเถอะ ชักห่วงว่าจ๊ะเจอผลข้างเคียงด้านลบของการดูหมอเข้าแล้วล่ะ ท่าทางจ๊ะมีความ
    กระวนกระวายเอาจริงๆนะ ปากบอกไม่เชื่อ แต่ก็เก็บคำทำนายของเขามาเป็นอารมณ์ตลอด พูดไปพูดมาก็วน
    อยู่กับเรื่องเดิมนี่เอง”
    ลานดาวเริ่มรู้สึกตัวเมื่อถูกสะกิด และนั่นก็ทำให้หงุดหงิดหมอดูอุปการะขึ้นมาอีก ถึงขนาด
    กระทืบเท้าเบาๆ
    “จ๊ะแค้นชะมัดเลยพี่เอิน มาแช่งเราได้”
    “ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างนี้ ไม่ต้องรอสิบปี ลิงที่ไหนเห็นก็เปิดหมด”
    ลานดาวเผลอหัวเราะ ค่อยคลายกิริยากระฟัดกระเฟียด มาวันทากะพริบตาคิด ก่อนตัดสินใจให้สติผู้เป็นน้อง
    “คุณของการรู้อนาคตล่วงหน้าเมื่อถูกทายว่าดี คือความหวังรอ โทษของการรู้อนาคตล่วงหน้า
    เมื่อถูกทักว่าแย่ คือความกลัดกลุ้ม คนเราเป็นกันอย่างนี้ อยากรู้ในสิ่งไม่ควรรู้ และเมื่อรู้เพียงครึ่งๆกลางๆ ก็
    ปักใจยินดีหรือว้าวุ่นล่วงหน้า จ๊ะน่าจะลองย้อนกลับมาสำรวจปัจจุบันอย่างที่นักปราชญ์ว่าไว้ เรามีหน้าที่
    ดูแลแค่วันนี้ แล้วปล่อยให้พรุ่งนี้ดูแลตัวมันเอง”
    ลานดาวฟังพลางคิดตาม ถึงกับสว่างไปทั้งใจ
    “ขอบคุณค่ะพี่เอิน จ๊ะนี่แย่จัง… ขอฟังเสียงฟลุตจากพี่เอินให้ใจสงบๆดีกว่า เอาแบบพระอภัย
    มณีเลยนะ แม้นฟลุตเราเป่าไปให้ได้ยิน ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา”
    พูดจบก็กวาดตาสำรวจไปทั่วห้อง กระทั่งเห็นกล่องไม้เมเปิ้ลยาวประมาณฟุตครึ่งวางอยู่บน
    หลังเปียโน ก็ทราบว่านั่นคือกล่องเครื่องดนตรีคู่ใจของมาวันทา จึงเดินไปหยิบกลับมายื่นให้ด้วยใบหน้า
    เปื้อนยิ้มแทนการคะยั้นคะยอขอฟัง
    มาวันทาไม่เล่นตัวอิดเอื้อน เปิดฝากล่องในมือลานดาว หยิบชิ้นส่วนขึ้นมาสวมประกอบต่อกัน
    ครบสามปล้อง จนได้ฟลุตเงินเลาหนึ่งที่ขึ้นเงาสง่างามตลอดทั่วทั้งลำและกระเดื่องกด สมค่าความเป็น
    อุปกรณ์เนรมิตเสียงประจำตัวคนรักดนตรีเครื่องลมเป็นชีวิตจิตใจ
    ศิลปินโฉมสะคราญใช้สองมือยกฟลุตเลายาวขึ้นเกือบขนานกับพื้น ยืนเด่น ศีรษะตั้งนิ่ง จรดริม
    ฝีปากจ่อปากเป่าที่หัวฟลุต นัยน์ตาเล็งเบื้องหน้าด้วยสมาธิอันแหลมคมในการกำหนดใจส่งลมผ่านรูปริม
    ฝีปากซึ่งทำมุมเหมาะลงไปในเลาฟลุต นิ้วมือกดกระเดื่องเพื่อบังคับลมให้ก่อเสียง G เบาๆ ลากยาวเนิ่นนาน
    เป็นการอุ่นเครื่อง แสดงทักษะความสามารถในการส่งลมต่อเนื่องไม่ขาดสายด้วยการสลับแรงดันระหว่าง
    กะบังลมกับกระพุ้งแก้ม คือใช้กะบังลมขณะรีดลมหายใจออก และใช้ลมจากกระพุ้งแก้มขณะต้องหายใจเข้า
    เมื่อลมหายใจเข้าที่ มาวันทาก็ปิดเปลือกตาลง เริ่มวาดลวดลายลีลาอื่น นับแต่ไล่เสียงจากต่ำไป
    หาสูงเร็วรี่ เก็บทุกเม็ดเสียงชัด ด้วยกลุ่มโน้ตที่ก่อความรู้สึกเหมือนการมาของแสงอรุณรุ่งบรรเจิดจ้า ค้างนิ่ง
    อยู่ที่โน้ต C สูงอันคมชัด ทรงพลัง แบบเดียวกับอาทิตย์เต็มดวงกลางฟ้า พาคนฟังเบิกตาตื่นเพริดตาม แล้ว
    พลิ้วเปลี่ยนเป็นเสียงไหลลงต่ำเลียนแตรรถวิ่งสวน ตบท้ายด้วยการรัวลิ้นเร็วสร้างสะเก็ดเสียงถี่ยิบติดกันเป็น
    พืดเหมือนปืนกลที่ส่งกระสุนออกรวดเดียวหมดแม็กฯ
    จบจากการโหมโรงชุดเล็กแล้ว มาวันทาก็เบี่ยงกายเล็กน้อยเหมือนแปลงบทจากพนักงานเปิด
    ฉากมาเป็นนักแสดงตัวจริง โดยเลือกพรีลูดอันเป็นงานหมายเลข ๑๐๐๘ ของคีตกวีเยอรมันนามโยฮัน ซีบา
    สเตียน บาค ที่ฟังคล้ายการพรรณนาความเปล่าเปลี่ยววังเวงของป่าแห่งความฝันอันรกชัฏด้วยภาพมายา
    มลังเมลือง หรือคล้ายสะกดให้เคลิ้มไปว่ากำลังเดินเอื่อยไล่เงามัวมนที่ไม่เคยมีอยู่จริงในสถานที่ที่แปลกแยก
    เป็นคนละมิติกับโลกความจริง
    ลำเสียงกลมยาวที่ส่งจากฟลุตของมาวันทามีกังวานแตกต่างจากเสียงฟลุตธรรมดาทั่วไป ทำ
    ความตื่นใจแก่ลานดาวยิ่ง คือนอกจากอิ่มพลังนุ่มแน่นเหมือนเอากำมะหยี่มาไล้หูแล้ว ยังไหลรื่นสละสลวย
    ด้วยการป้อนกำลังอัดหนักเบาเยี่ยงผู้เข้าถึงศิลปะเครื่องลมถ่องแท้ เมื่อผนวกกับโลหะผสมชั้นดีของตัวฟลุต
    เอง รวมกันจึงกลายเป็นเอกลักษณ์ทางดนตรีของมาวันทาที่โดดชัดออกมาจากบรรดานักฟลุตอื่น
    ฟลุตเป็นเครื่องดนตรีที่ต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวสูงมาก คุณภาพลมหายใจของแต่ละคน
    ผิดแผกแตกต่างกัน ความมีกระแสจิตผสานสนิทเป็นอันหนึ่งอันเดียวเข้ากับฟลุตก็ใช่จะหาได้ง่ายๆ ผู้เข้าถึง
    วิญญาณแห่งฟลุตอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดนั้น อาจเนรมิตเสียงด้วยอำนาจนึกที่เกินธรรมดา คือถ้าพอใจ ก็อาจ
    สร้างข่ายคลื่นความแจ่มชัดปลุกให้คนฟังมีจิตตื่นขึ้นรับรู้โลกกระจ่างแจ้งตามตน หรือสามารถสร้างวังวนฝัน
    รันทดบีบคั้นผู้สดับให้อยากหลั่งน้ำตาโดยไร้ต้นสายปลายเหตุในความเป็นจริงประกอบ
    ลานดาวกะพริบตาทีหนึ่ง ความงามละมุนของเสียงในอากาศ ความอ้อนแอ้นอรชรแห่งเรือน
    กายมาวันทาที่พลิ้วไหวดุจขนนกตามจังหวะจะโคนอันเหมาะสมของเพลง กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวจนทำให้
    ลานดาวรู้สึกเสมือนเสียงเพลงถูกขับออกมาจากวิญญาณอันโดดเดี่ยวเป็นเอกมติของฟลุตเอง หาได้มีบุคคลผู้
    หนึ่งผู้ใดอวดบรรเลงขึ้นด้วยความเข้าไม่ถึง
    จบเพลงของจอมคีตกวียุคบาโรกเป็นครู่ ลานดาวจึงถอนจากอาการจ้องค้าง แปรเป็นยิ้มหวาน
    และใช้คมรังสีตาอันเกิดจากความเลื่อมใสรุนแรงแทนเสียงตบมือและคำชม นักฟลุตสาวสบสานตอบ เกิด
    กระแสเชื่อมโยงต่อตรงจากใจถึงใจสื่อความยินดีในกันและกันเปี่ยมล้น
    “คราวนี้ถึงตาจ๊ะเล่นให้พี่ฟัง”
    ลานดาวเลิกคิ้วสูง
    “เล่นอะไรคะ?”
    “นักเรียนดุริยางคศิลป์ ต้องเล่นอะไรเป็นมั่งแหละ ห้องนี้มีให้เลือกเยอะ ถึงตาพี่นั่งฟังแล้ว”
    พูดจบก็ก้าวมาลงนั่งโซฟา ไขว่ห้างวางฟลุตลงข้างกาย ลานดาวยิ้มเบะหน่อยหนึ่ง ก่อนหัน
    สำรวจรอบ ที่มาวันทาบอกว่ามีเครื่องดนตรีให้เลือกเยอะนั้น ได้แก่เปียโน กีตาร์คลาสสิก กับฟลุตที่วางสงบ
    อยู่ข้างกายมาวันทาเอง
    “เล่นด้วยกันได้ไหม? ขอจ๊ะเล่นเปียโนคลอให้พี่เอิน”
    “เป็นนางเอกฉายเดี่ยวก่อนซี”
    “อยากเล่นกับพี่เอินนี่คะ”
    มาวันทาลุกขึ้น ก้าวมายืนข้างเปียโน
    “เอาก็เอา เพลงอะไรดีล่ะ?”
    ลานดาวมาเปิดฝาครอบและลงนั่งประจำที่ กระทำจิตเสมอกับบรรยากาศขณะนั้นแล้วใช้หัวใจ
    สรรเลือกเพลงเหมาะ นิ้วก้อยมือซ้ายแตะเสียงเบส G แล้วกระโดดเนิบมาลงคอร์ดเมเจอร์เซเวน ซึ่งนักดนตรี
    คลาสสิกจำนวนหนึ่งฟังแล้วรู้ทันทีว่านั่นคือห้องแรกของ Gymnopedie หมายเลขหนึ่งอันโด่งดัง เพราะถูก
    เล่นซ้ำไปซ้ำมาในละครและภาพยนตร์นับไม่ถ้วน หล่อนเลือกมาเล่นอีกครั้ง ณ มุมนี้ของโลก เพื่อให้เข้ากับ
    ศานติและความผาสุกอันครองทั่วอาณาบริเวณอยู่
    ราวกับ อีริก แซตี้ ประพันธ์เพลงนี้ให้ง่าย แม้มือหัดใหม่ก็เล่นได้ และเมื่อเล่นแล้วก็จะพบกับ
    ความสงบล้ำลึก มั่งคั่งด้วยอารมณ์สุนทร คล้ายดำดิ่งลงสู่ใต้ท้องสมุทรอันเงียบนิ่งตระการตา
    มาวันทายิ้มน้อยๆ ยกเลาฟลุตขึ้นจรดปากส่งลมแรกเมื่อลานดาวบรรเลงทำนองพื้นหลังมาถึง
    ห้องที่ ๕ อันเป็นจังหวะเริ่มต้นลำนำหลักของเพลง แรงลมจากทรวงอกมาวันทาที่ผ่านเข้าลำโลหะเงินก่อ
    เสียงหวานซึ้งเหมือนการเปิดฉากแสงทองที่สาดยิ้มไปทั้งฟ้า ดุจเจตนากล่อมโลกให้สงบ สยบความวุ่นวาย
    นานัปการภายนอกให้ชะลอลงสู่ความยุติ
    สองสาวประสานดนตรีได้กลมกลืนดุจร่ายรำในจังหวะวอลซ์ไปด้วยกัน ร่วมระบาย
    จินตนาการแห่งเพลงอย่างเข้าใจ คือปล่อยให้สำเนียงต่างๆย่างกรายปรากฏออกมาจากม่านหมอกแห่งอารมณ์
    เงียบ สร้างส่ำเสียงกระทบหูเพื่อให้เกิดความเงียบเชียบภายในจิตใจ หางเสียงลากยาวอ้อยอิ่งแต่ละครั้งของฟ
    ลุตพลิ้วไหวเป็นลอนคลื่นเสนาะโสตเสียจนฟังแล้วนึกถึงนางนวลกระพือปีกเหนือแผ่นน้ำเรียบดุจกระจก
    ลำนำทำนองอันก่อความถวิลถึงดุษณีภาพได้คลี่คลายตามลำดับมากระทั่งห้องสุดท้ายด้วยความ
    เอมอิ่มของสองนักดนตรี ลานดาวหันมาแย้มยิ้มเยือกเย็นกับมาวันทา
    “ปกติเล่นเพลงกับพี่อ๋องแนวไหนคะ?”
    นาทีนั้นมาวันทารู้สึกเหมือนได้ตัวแทนลัดธีร์แล้ว ไม่ต้องเหงาอีกต่อไปแล้ว
    “ส่วนใหญ่ก็เล่นเรื่อยเปื่อยนะ บางทีไปดูหนังเรื่องไหนเห็นเพราะดีก็เอามาเล่น
    กระท่อนกระแท่น บางทีดาวน์โหลดสกอร์เพลงแต่งใหม่อย่างแนวพวกเซลติกจากอินเตอร์เน็ตมาลองก็ได้
    บรรยากาศไม่ซ้ำแบบดี หรือบางทีวันไหนนึกสนุกก็ฝึกแจซบ้าง ไปทางไทยเดิมบ้าง สะเปะสะปะตาม
    อารมณ์ เป็นวิธีหนึ่งที่ใช้ตามใจกัน คือใครอยากเล่นอะไรก่อน อีกคนก็ยอมช่วยเล่นโดยไม่เกี่ยงงอน เหมือน
    อยู่คนเดียว เล่นคนเดียวตามอำเภอใจ แต่เป็นคนเดียวที่เล่นฟลุตกับเปียโนได้สองชิ้นพร้อมกัน… คล้ายกับที่
    เธอเล่นแล้วให้พี่ตามอย่างนี้แหละ”
    ตอบจบมาวันทาก็เดินไปหยิบสมุดโน้ตดนตรีสี่ห้าเล่มจากชั้นวางใกล้ๆ กลับมายื่นให้ลานดาวดู
    “พี่อ๋องบินไปไหนก็มักซื้อสกอร์ดูเอทของฟลุตกับเปียโนมาอยู่เรื่อย จ๊ะน่าจะลองเอากลับไปฝึก
    แล้วมาเล่นกัน”
    ลานดาวรับมาดูทุกปก ก่อนลุกก้าวไปเยี่ยมชมโน้ตบนชั้นวางด้วยตนเอง
    “ท่าทางพี่เอินชอบบาคนะคะ”
    “พี่เหมือนหลายคนที่เข้าใจดนตรีก็ด้วยงานของบาค แล้วก็อินกับโลกที่สวยงามสไตล์เขา อีก
    อย่างถ้าพูดถึงคลาสสิกฟลุต พี่ว่าก็มีบาคกับเทเลมานน์นี่แหละที่น่าเอามาเล่นกว่าเพื่อน”
    ลานดาวเลือกงานของบาคออกมาเล่มหนึ่ง เป็นเล่มที่สังเกตว่ามีร่องรอยถูกเปิดใช้มากครั้ง
    แสดงให้เห็นว่าสองสามีภรรยาน่าจะนำมาเล่นร่วมกันบ่อยสุด พลิกดูหน้าสารบัญ เลือกโซนาต้าอันเป็น
    ชิ้นงานหมายเลข ๑๐๓๑ ที่หล่อนพอคุ้นหูอยู่บ้าง แล้วชวนว่า
    “เล่นเพลงนี้ไหมคะ?”
    “เคยเล่นเหรอ?”
    ลานดาวส่ายหน้าเล็กน้อย
    “ขออนุญาตมั่วๆไปแล้วกันค่ะ ถือว่าทำหน้าที่เป็นตัวแทนพี่อ๋องพลางๆ”
    มาวันทากะพริบตาทีหนึ่ง ใช่ว่าหล่อนหัวสูงขนาดจะยอมเล่นก็ต่อเมื่อคู่ดนตรีพรักพร้อมหรือ
    ซ้อมมาบ้าง แต่สำหรับเพลงที่หล่อนเล่นได้ดีแล้ว ก็ไม่อยากรอคู่เล่นที่มะงุมมะงาหราเงอะงะ หรือเล่นอยู่
    เพลินๆแล้วต้องสะดุดชะงักบ่อย ชวนให้เสียอารมณ์เปล่า
    ทว่ามาวันทาก็ไม่อยากขัดคู่ซ้อมหน้าใหม่ พยักพเยิดตอบตกลงแบบกัดฟันหน่อยๆ ลานดาวนำ
    สมุดโน้ตมาวางบนไม้คั่น ลงนั่งจดจ้องกลุ่มโน้ตหน้าแรกอึดใจเดียวก็เริ่มพรมนิ้วลงบนคีย์ขาวดำ วาดลีลาร่า
    เริงตามบทบาทแนวเปียโนในเพลง การประสานระหว่างสองมือไหลรื่นในอัตราเร็วปกติ หาใช่ผ่อนจังหวะ
    ลงช้าดังที่ควรเกิดขึ้นในการเล่นครั้งแรก ซึ่งหมายความว่านิ้วกับสมองและสองตาต้องประสานงานอย่าง
    แคล่วคล่องว่องไวเอาเรื่อง จึงสามารถเล่นเพลงที่โน้ตมือขวาส่วนใหญ่เป็นเขบ็ตสองชั้น ในอัตราจังหวะเคาะ
    ประมาณกว่า ๘๐ ครั้งต่อนาทีได้อย่างถูกต้องเช่นนี้
    มาวันทาปรายตาชำเลืองสาวน้อยบนม้านั่งเปียโนด้วยความตะลึงทึ่งยิ่งขึ้นทุกที หากลานดาวไม่
    เคยเล่นเพลงนี้มาก่อน ก็แปลว่ากำลังอ่านสด บรรเลงสด ซึ่งจะทำได้ต้องทั้งมีทักษะสูง กับทั้งมีสายตาคม
    กริบ ผนวกกับหยักสมองมากกว่าคนธรรมดา หล่อนพบมือเปียโนมาเยอะ ก็เพิ่งเจอสาวน้อยมหัศจรรย์ราย
    แรกนี่เองที่เล่นสดได้ถูกต้องแม่นยำดุจซ้อมหลายรอบ แม้โซนาต้าตรงหน้าจะถือว่ายากเพียงระดับปานกลาง
    แต่ก็ไม่ใช่ของเคี้ยวง่ายสำหรับใครๆแน่นอน คีย์เปียโนขาวดำทั้ง ๘๘ แท่งจะต้องปรากฏเป็นของเล็กในกำ
    มือที่ไม่มีคีย์ใดหลุดไปไหนรอด ขอเพียงใจสั่ง เสียงก็ออกมาตามนั้น ทำนองเดียวกับนักพิมพ์ดีดสัมผัสที่
    ขยับนิ้วกดปุ่มบนคีย์บอร์ดได้ครอบคลุมทั่วถึงแบบไม่ต้องคิด เพียงรู้ว่าจะต้องเขียนข้อความอย่างไร มือก็
    ทำงานพรวดๆแทบแซงหน้าใจแล้ว
    นักดนตรีคู่หูเพลิดเพลินกับการเล่นสดอย่างต่อเนื่อง จบจากเพลงหนึ่ง ต่ออีกเพลงหนึ่ง แล้ว
    โดดไปอีกเพลงหนึ่ง ยิ่งตอกย้ำให้เห็นทั้งทักษะความสามารถและพรสวรรค์อันเป็นของจริงของลานดาวมาก
    ขึ้นเรื่อยๆ การอ่านเพื่อเล่นสดยากตรงที่ต้องเก็บรายละเอียดสองชั้นภายในพริบตาเดียว คือกลุ่มโน้ตมือขวา
    หนึ่ง และกลุ่มโน้ตมือซ้ายอีกหนึ่ง เมื่อสมองเก็บข้อมูลดนตรีได้ก็ต้องถ่ายทอดลงสู่ปลายนิ้วทั้งสิบให้ครบ
    และขณะกำลังพรมนิ้วในห้องปัจจุบันนั้นเอง สายตาก็ต้องย้ายไปเก็บข้อมูลของห้องถัดมาเพื่อให้เล่นต่อได้
    ทันท่วงทีเปรียบเทียบคร่าวๆคล้ายคนได้รับคำสั่งทีละชุด ให้วาดวงกลมด้วยมือขวา และวาดสามเหลี่ยม
    ด้วยมือซ้าย ขณะวาดก็ต้องฟังคำสั่งชุดต่อไปด้วยว่าจะให้มือขวาและซ้ายวาดรูปทรงใดอื่นอีก
    “เก่ง!”
    มาวันทาชมสั้นๆหลังจากช่วยกันบรรเลงงานของเทเลมานน์เพลงหนึ่งจบ ลานดาวเล่นผิดน้อย
    มาก และเมื่อพลาดตรงไหนก็แก้ขัดได้พลิ้วจนเกือบไร้การสะดุด เพราะมีความแม่นยำในเรื่องบันไดเสียง
    การคุมนิ้ว รวมทั้งการพลิกแพลงด้วยปฏิภาณในจุดที่เหลือวิสัยจะฉายสดตามคำสั่งของสกอร์
    “พี่เอินก็เก่ง” พูดเสร็จก็หัวเราะใส “เล่นดนตรีจบแล้วเรามายอกันไป ยอกันมา เพื่อความอิ่มเอม
    เปรมปรีดิ์ยิ่งๆขึ้นกันเถิด”
    มาวันทาหัวเราะตาม ลานดาวมีอารมณ์ขันแบบหนึ่งที่เป็นเสน่ห์เฉพาะตัว อยู่ใกล้แล้วเหมือน
    อยากยิ้ม อยากหัวเราะ อยากละล่องไปในความหฤหรรษ์ตลอดกาล
    “ถ้าจ๊ะเป็นดารานี่คงมีแฟนๆติดเกรียวกราว”
    “ถ้าพี่เอินเป็นนางเอกละครหลังข่าว คงมีคิวยาวขอลายเซ็น”
    แล้วสองสาวก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก มาวันทานึกครึ้มสนุกอยากหาลูกยอมาป้อต่อ แต่แล้วก็นึกกระดากเพราะขัดกับนิสัยดั้งเดิม จึงเสดึงแขนลานดาว
    “ไปนั่งพักกันก่อนเถอะ”
    มานั่งจมลงในโซฟานุ่มด้วยอิริยาบถผ่อนพักเหยียดแขนเหยียดขาตามสบายของคนสนิทสนม
    กันแรมปี ลืมสิ้นว่าเพิ่งเจอหน้ากันได้วันเดียว
    “เครื่องเป่านี่เป็นศัตรูกับจ๊ะมานาน เพิ่งวันนี้แหละที่เกิดแรงบันดาลใจอยากเรียน”
    “ก็เรียนสิ”
    “พี่เอินสอนจ๊ะนะคะ ไว้เรามาเป่าฟลุตคู่กัน”
    “ได้”
    ลานดาวเอนศีรษะมาอิงไหล่มาวันทาหน่อยๆ
    “พี่เอิน”
    “หือม์?”
    “เราคงเคยเป็นพี่น้องกันมาจริงๆเนอะ”
    “คงงั้นมั้ง”
    “ถ้าภพชาติเป็นเรื่องจริงก็น่าแปลก ธรรมชาติให้เรารู้จักตัวเองแค่ตัวตนเดียว แต่ก็อนุญาตให้จำ
    ใครบางคนได้รางๆเมื่อเจอกัน เหมือนให้โอกาสจำตัวตนอีกแบบหนึ่งในวันวาน… อันนี้ไม่ได้พูดเพราะปลื้ม
    ชั่ววูบนะคะ แต่จ๊ะรู้สึกเหมือนเคยรักและเทิดทูนพี่เอินมาก่อน”  มาวันทาทอดตาคิดตาม ทว่าครู่หนึ่งก็เอ่ยไปอีกทาง
    “ไม่เคยเห็นใครเล่นไซต์รีดดิ้งดีเท่าจ๊ะเลย ทั้งแม่น ทั้งใส่หนักเบาถูกตามคำสั่งขนาดนี้”
    “เล่นจนอยู่มือมาตั้งแต่ห้าขวบก็ธรรมดาค่ะ เคยไปแข่งไซต์รีดดิ้งบ่อยๆด้วย เลยต้องตั้งสมาธิฝึกมากหน่อย”
    “ที่หนึ่งประจำเลยซี”
    “ถ้าในไทยก็มีบ้างค่ะ แต่ถ้าทางโรงเรียนส่งไปแข่งที่อื่น บางทีตกกระป๋องด้วยซ้ำ ตอนเจอโน้ตหินๆกับคู่แข่งเขี้ยวๆ”
    “อือม์…”
    มองลานดาวอย่างผิวเผินแต่แรกเหมือนแม่งามงอนที่หลงตัวอย่างฉาบฉวย หรือชอบคุยโม้โอ้
    อวดเอาอัตตาไปวันๆ แต่พอเริ่มสัมผัสมากขึ้นก็เห็นทั้งสมอง ทั้งความสามารถ ทั้งความรู้ลึกในด้านที่หล่อน
    จะก้าวไปสู่ความเป็นมืออาชีพ แถมผ่านสนามประกวดจนรู้จักตนเองตามจริงว่ากำลังอยู่ตรงไหน เข้าขั้นใด
    ไม่ใช่มีแต่ความรู้สึกดิบๆแบบหูตาคับแคบว่าข้าแน่ ข้าวิเศษวิโสที่สุด หรือเกิดมาเพื่อเป็นหนึ่งสำเร็จรูปตลอดกาล
    “ว่าแต่พี่เอินสอนจ๊ะเป่าฟลุตแน่นะค้า?”
    ลานดาวทำเสียงอ้อน
    “แน่ซี”
    “งั้นจ๊ะจะมาเรียนที่นี่บ่อยๆ”
    “ทุกวันเลยก็ยังได้ ถ้าว่างตรงกัน”
    “วันเสาร์นี้จ๊ะจะไปเลือกซื้อฟลุตเลย”
    “พี่ไปช่วยเลือกให้ก็ได้… จ๊ะจะได้พาพี่ไปดูหมอด้วย”
    “เอ้อ! ใช่ ฮิฮิ ขอบคุณมากๆค่า… ว่าแต่ราคาฟลุตนี่ยังไงคะ?”
    “อย่างถูกก็หลักพัน อย่างกลางหลักหมื่น อย่างแพงหลักแสน ประเภทครึ่งล้าน ซื้อแกรนด์
    เปียโนได้ทั้งหลังก็มี”
    “โห! อะไรจะขนาดนั้น?”
    “อย่างแพงนี่จะทำมือ แล้วสูตรผสมก็พิเศษหน่อย แต่พี่ว่าฟลุตนี่ขึ้นอยู่กับลมหายใจและการฝึก
    ของเรา คนเก่งอาจเป่าฟลุตหลักพันให้ฟังเหมือนของราคาหลายหมื่นได้ง่ายๆ ขณะเดียวกันหลายคนอาจ
    เป่าฟลุตหลักแสนแล้วฟังคล้ายหลักพันนะ”
    “อย่างพี่เอินไง จ๊ะฟังแล้วหลงทันที ถึงขนาดอยากซื้อฟลุตมาเรียนเร็วๆ เป็นแรงบันดาลใจจ๊ะแท้ๆ”
    “เริ่มเดี๋ยวนี้เลยก็ได้”
    “อุ้ย! ไม่รังเกียจหรือคะ?”
    ลานดาวทำตาโต เพราะรู้ว่านักเล่นเครื่องเป่าส่วนใหญ่หวงสมบัติส่วนตัว อยากสงวนไว้รับ
    น้ำลายและลมหายใจของตนเพียงลำพัง ทำนองเดียวกับคนทั่วไปหวงแปรงสีฟัน แต่ใจส่วนลึกก็นึกปลื้ม
    เพราะท่าทีของพี่สาวบ่งชัดอยู่แล้วว่ายินดีปันของรักให้หล่อนร่วมใช้
    “ไม่หรอก”
    มาวันทากล่าวตามความรู้สึก แล้วหยิบฟลุตมาวางใส่มือน้องสาวเป็นการยืนยันความเต็มใจ
    ลานดาวยิ้มหวาน ก้มหน้ามองฟลุตเงินในมืออันเปรียบเสมือนสัญญาณบอกความรัก ความสนิทใจ ไม่รังเกียจกันแม้แต่น้อย
    คุณครูยืนขึ้นแล้วพยักหน้าให้นักเรียนยืนตาม
    “ทำตัวตรงเงยหน้าไว้ จะได้หายใจสะดวก ฝึกเป่าลมเปล่าก่อน หายใจเข้าลึกๆ พ่นลมอัดแก้ม
    ป่องๆทีหนึ่ง ให้ลมเล็ดลอดออกมาหน่อยเดียว อือ… หายใจเข้าแล้วพ่นลมอีกที อย่าให้มีส่วนไหนของหน้า
    เกร็ง คราวนี้ให้ลมออกมาส่วนหนึ่ง เหมือนพ่นน้ำเล่นจากรูปากเล็กๆ สังเกตไว้นะ อย่าพ่นลมมากเกินไป
    แล้วหายใจให้เพียงพอทุกครั้ง ไม่งั้นจะหน้ามืดวิงเวียน”
    ลานดาวยิ้มให้คุณครู ฝึกเป่าลมปากเปล่าตามคำสั่งทุกประการโดยดี เมื่อมาวันทาเห็นลมหายใจ
    และร่างกายลูกศิษย์เริ่มเข้าที่แล้ว จึงจัดท่าถือฟลุตทั้งแขน มือ และนิ้วให้ถูกกับตำแหน่งเริ่ม ริมฝีปากบนของ
    ลานดาวแบบบาง ริมฝีปากล่างอิ่มเต็มแต่ไม่หนาเกิน จึงสร้างรูปปากให้ส่งลมเป็นลำได้ง่าย
    “ยังไม่ต้องกดอะไร ถือไว้เฉยๆก่อน ริมฝีปากล่างเกยกับขอบปากเป่า ทำเหมือนยิ้มหน่อยๆให้
    มุมปากแยกออกมา ริมฝีปากบนยื่นนิดหนึ่ง… อย่างนั้น… หายใจเต็มๆแล้วส่งลมคล้ายผิวปากลงไปเป็นลำ
    ตรง กะให้แทงเข้าไปทางขอบบนของรูเป่า… ไม่ต้องแรงขนาดนั้นจ้ะ แรงอย่างนั้นเป่าฟลุตกับเป่าสากมีค่า
    เท่ากัน… เอ้อ… นั่นแหละ เสียงออกมาแล้วเห็นไหม คราวนี้ก็จำรูปปากกับกำลังลมไว้นะ พอเป่าบ่อยๆจะคงที่เอง”
    การคุมรูปปากให้เป็นรูส่งลมเหมาะเจาะคงเส้นคงวานั้น นับว่ายากลำบากสำหรับคนเพิ่งเริ่มฝึก
    โดยเฉพาะเมื่อกล้ามเนื้อยังไม่แข็งแรงเข้าที่ แต่ด้วยความตั้งอกตั้งใจ ลานดาวก็แสดงให้เห็นความฉลาดคุม
    รูปปากและความฉลาดส่งลมผิวฟลุตโดยปราศจากข้อผิดพลาด เพียงเมื่อจับทางถูกครั้งเดียว รู้แม้กระทั่งว่า
    เมื่อใดควรหยุดพักหายใจเพื่อป้องกันการใช้ลมมากเกินควร อันเป็นเหตุให้มือใหม่เกือบร้อยทั้งร้อยหน้ามืดวิงเวียน
    โน้ตแต่ละตัวของฟลุตต้องกดกระเดื่องหลายอันเหมือนต้องจดจำรหัสซับซ้อนให้ถูก วิธีเป่าแต่
    ละโน้ตก็แตกต่างกันออกไป บางคนต้องใช้เวลาฝึกเป็นวันๆหรือนานกว่านั้น จึงสามารถคุมโน้ตยากๆให้
    ออกเสียงเต็ม ไม่พร่า ไม่ปร่าแปร่ง แตกต่างอย่างมากจากการเล่นเปียโนที่ผู้ฝึกทุกคนกดกระเดื่องเดี่ยวๆแล้ว
    ได้เสียงคมชัดทันที ทว่าลานดาวก็หัวไว หนเดียวจำได้หมดว่าโน้ตไหนต้องกดกระเดื่องใดบ้าง ทำให้คน
    สอนไม่เหนื่อยแรง และเห็นผลงานสร้างนักฟลุตของตนรวดเร็วน่าชื่นใจ คือเริ่มเป่าเพลงฝึกหัดง่ายๆที่มีการ
    ใช้โน้ตสองสามตัวได้บ้างแล้ว
    เวลาล่วงเลยไปจนลานดาวเริ่มเหนื่อยจากการใช้ลม พอหมดเสียงสั่งสุดท้ายก็ทิ้งตัวลงนอน
    กอดฟลุตนิ่ง ยิ้มแต้หลับตาพริ้ม หายใจรวยรินแสดงท่าหมดเรี่ยวหมดแรง
    “เป็นไง?”
    มาวันทาลงนั่งตาม และใช้มือตบศีรษะมนเบาๆ ลานดาวสูดลมหายใจลึก ก่อนเปิดเปลือกตาบ่น
    “เคยได้ยินว่าระหว่างฟลุตกับแซกโซโฟน ฟลุตใช้กำลังมากกว่า เล่นแล้วเหนื่อยมากกว่า แต่
    ก่อนนึกไม่ออกเพราะถูกหลอกหูหลอกตา ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทำไม”
    “ก็แล้วแต่จะพูดกัน บางคนที่เล่นเป็นทั้งสองอย่าง บอกว่าแซกฯเหนื่อยกว่าก็มี บางคนบอกว่าแล้วแต่ถนัดก็มี”
    “แซกฯกับเครื่องลมอื่นที่มีลิ้นช่วยสร้างความสะเทือนผลิตเสียงนี่เราเอาปากงับเอา น่าจะใช้ลม
    น้อยกว่าเยอะนี่คะ นี่ต้องพ่นปู้ดๆตลอด ใครไม่หน้ามืดก็เก่งแล้ว”
    “เดี๋ยวพอคุมลมได้อยู่ตัว จ๊ะจะมีความสุขกับลมหายใจที่แข็งแรง ไม่เหนื่อยอย่างนี้หรอก”
    ลานดาวมองหน้ามาวันทาด้วยนัยน์ตาทอประกายแจ๋ว
    “ค่ะ” แล้วหล่อนก็เหลือบมองนาฬิกาบนผนัง “ดึกแล้ว จ๊ะกลับบ้านดีกว่า เดี๋ยวพ่อตี”
    มาวันทาหัวเราะ
    “ว่าจะบอกอยู่เหมือนกัน”
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×