ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กรรมพยากรณ์ 2 (เลือกเกิดใหม่)

    ลำดับตอนที่ #3 : ผู้บุกรุก

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.พ. 53


    บ่ายคล้อย ณชะเลออกมานั่งที่ซุ้มชิงช้า โดยมีเจ้าอุ๊ยโหย สุนัขพันธุ์ยอร์กเชียร์ เทอเรียนั่งหน้าตั้งตาแป๋วอยู่เคียงกาย เด็กสาวกำลังอ่านหนังสือธรรมะให้สุนัขคู่ใจฟังด้วยความเชื่อว่านั่นจะเป็นนิสัยปัจจัยส่งมันให้ไปเกิดภพหน้าในสุคติภูมิได้
    ความจริงสุนัข โดยเฉพาะที่แสนรู้อย่างยอร์กเชียร์นั้น มีบุญเก่าส่งให้มาเกิดในเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดและตื่นตัวในการรับรู้มากกว่าสัตว์อื่นอยู่แล้ว หล่อนสังเกตสังกามาแต่ไหนแต่ไร เมื่อเปรียบเทียบระหว่างอุ๊ยโหยกับสุนัขทั่วไปตามท้อง
    ถนน จะพบรายละเอียดข้อแตกต่างหลายต่อหลายประการ เช่นอุ๊ยโหยออกท่าเหม่อลอยน้อยกว่า มีท่าทีอยากรู้อยากเห็น อยากเคลื่อนไหวทำโน่นทำนี่มากกว่า
    เมื่อทดลองอ่านธรรมะให้มันฟังนั้น แรกๆเจ้าอุ๊ยโหยทำท่าแปลกใจที่หล่อนไม่เจ๊าะแจ๊ะเล่นหัวคลอเคลียกับมันอย่างเคย และพอเห็นหล่อนก้มหน้าก้มตาพูดกับหนังสือท่าเดียวอยู่พักหนึ่ง ไม่หันมามองมันเลยแม้จะพยายามนัวเนียหรือเห่าเรียกอย่างไรก็ตาม ในที่สุดก็ออกท่าหลุกหลิก หันเหความสนใจไปทางอื่น
    แต่เมื่อหล่อนอดทนอ่านหนังสือธรรมะให้อุ๊ยโหยฟังหลายครั้งเข้า ก็ดูเหมือนมันจะรับทราบผ่านกระแสเสียงตั้งแต่เริ่มอ่าน ว่าหล่อนกำลังทำบางสิ่งที่พิเศษ ก่อให้เกิดบรรยากาศเยือกเย็นผิดแผกแตกต่างจากธรรมดา สมควรสงบเสงี่ยมรับฟังโดยดี มันเริ่มมองหล่อนเขม็งด้วยอาการตั้งใจจริงจังนานขึ้น นั่นทำให้เด็กสาวดีใจ และมีกำลังใจทำเพื่อมันยิ่งขึ้นเรื่อยๆไปด้วย
    “ไฟร้อนมีอำนาจเผาผลาญ ระเบิดเวลามีอำนาจทำลาย แต่กรรมชั่วมีอำนาจเผาผลาญและทำลายสมบัติต่างๆในชีวิตผู้ก่อกรรมโดยไม่จำเป็นต้องใช้ไฟร้อนหรือระเบิดเวลาใดๆ…
    “อกุศลกรรมที่ทุกคนก่อไว้ ไม่ต้องการพื้นที่จัดเก็บ ไม่ต้องอาศัยสิงสู่อยู่ในกายเรา ไม่ต้องแทรกตัวอยู่ในอากาศ แต่เหมือนเงามืดไร้ตนที่สามารถติดตามจิตวิญญาณเราไปทุกหนแห่ง ประดุจศัตรูผู้คอยจดจ้องเล่นงานกันในจังหวะโอกาสเหมาะ…
    “เราก่อกรรมได้พิสดารเหลือแสน และวิบากกรรมก็ปรากฏแสดงได้หลากหลายเหลือคณานับ ทั้งแบบตรงไปตรงมาเหมือนกับที่เราทำ และทั้งแบบอ้อมๆคล้ายไม่เกี่ยวเนื่องกันกับที่เราทำลงไปเลย อีกทั้งการให้ผลก็ไม่เรียงลำดับแน่นอนเหมือนตอนเราเข้าคิวชมมหรสพ…
    “ไม่มีใครสามารถรู้กฎแห่งกรรมได้ละเอียดเหมือนพระพุทธเจ้า รู้แต่ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ผู้สั่งสมบุญย่อมเสวยสุขกับการลอยคอในทะเลบุญ ผู้สั่งสมบาปย่อมเสวยทุกข์กับการจมปลักในหล่มบาป ตัวเราย่อมรู้ความจริงนี้อยู่แก่ใจ ไม่จำเป็นต้องให้ใครยืนยันว่าทำบุญเป็นสุข ทำบาปเป็นทุกข์ ความรู้สึกที่ปรากฏอยู่ตลอดเวลาย่อมชัดเจนพอ เว้นแต่จะไม่ใส่ใจสังเกต…
    “หลายบางครั้งบุญกับบาปอาจไม่ปรากฏเป็นแสงสว่างหรือความมืดทึบตรงไปตรงมา โดยเฉพาะในขณะที่ต้องตัดสินใจเลือกก่อกรรมอะไรสักอย่าง สถานการณ์บีบคั้นเฉพาะหน้าอาจทำให้เรามึนงงว่าเส้นคั่นแบ่งระหว่างความดีกับความชั่วอยู่ที่ตรงไหน และการกระทำซ้ำๆจนเคยชินเป็นนิสัยก็มักทำให้เราเข้าข้างตัวเองว่าอย่างนี้ไม่ผิด อย่างนี้ไม่ใช่ความเลว อย่างนี้ไม่น่ารังเกียจ หากปราศจากการไตร่ตรองด้วยปัญญาแล้ว คนเราอาจหลงเห็นกงจักรเป็นดอกบัวได้ง่ายๆ เพียงเพราะไม่เคยเห็นเปรียบเทียบให้ชัดๆว่ากงจักรเป็นอย่างไร และดอกบัวเป็นอย่างไร…
    “เมื่ออ่านหรือฟังธรรมะสักพักหนึ่ง ขอให้สังเกตเถิด แม้จะจำไม่ได้ทั้งหมดว่ารับเนื้อหาธรรมะประการใดเข้าไปบ้าง แต่อย่างน้อยที่สุดความรู้สึกเป็นสุข ความรู้สึกโปร่งเบา ความรู้สึกสว่างจากประกายศรัทธาจะค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละน้อยในดวงจิต เสมือนน้ำที่เอ่อขึ้นจนเต็มสระ นั่นแหละตัวอย่างของกุศล นั่นแหละตัวอย่างของดอกบัวที่พร้อมจะบานขึ้นเหนือน้ำ เป็นตรงข้ามกับกงจักรที่ยิ่งหมุนก็ยิ่งผันตัวลงต่ำไปถึงก้นเหวแห่งความหายนะ…”
    อ่านมาถึงตรงนั้น ณชะเลเกิดความเห็นจริงตามด้วยกระแสจิตอันว่างเบาเบิกบานในภายใน จนต้องปิดหนังสือวางข้างตัวชั่วคราว เพื่อเอื้อมมือลูบขนอันละเอียดนิ่มนวลดุจแพรไหมของเจ้าอุ๊ยโหย ด้วยความปรารถนาจะฝากปัญญาทางธรรมในจิตตนผ่านสัมผัสละเมียดละไมไปถึงมันให้ถนัดขึ้น
    เด็กสาวรู้สึกถึงสนามพลังอันเป็นกุศลสว่างรอบๆตัว ซึ่งแน่นอนย่อมเกิดจากต้นแหล่งคือดวงจิตอันดื่มด่ำรสธรรมของหล่อนนั่นเอง นาทีที่รับรสธรรมปรุงแต่งจิตใจให้เป็นมหากุศลนั้น ดวงจิตมีคุณภาพพอจะหยั่งรู้ได้ว่าสัตว์เลี้ยงของตนพลอยรับอานิสงส์ไปด้วยอย่างแน่นอน คือมันมีใจยินดีในคำพูดและสัมผัสอันเป็นธรรมของหล่อน ดุจเดียวกับผู้เดินทางกลางเปลวแดดย่อมยินดีในร่มเงาของไม้ใหญ่ และผู้อยู่ใต้ร่มไม้ย่อมคิดอ่านก่อกรรมบนพื้นฐานของความเยือกเย็นใจเสมอ
    ทว่าในบัดนั้นณชะเลก็มาถึงความตระหนักประการหนึ่ง คือเรื่องของธรรมะนี้ ต้องสื่อกันด้วยภาษามนุษย์จึงพัฒนาเป็นปัญญาขั้นสูง จะสื่อผ่านกระแสจิตตรงๆไม่ได้ เพราะแม้มนุษย์ด้วยกัน ก่อนเปิดหูเปิดตารับข้อมูลใดๆ ใจต้องสนหัวข้อนั้นๆเป็นอันดับแรก และแม้เมื่อสนแล้วก็ใช่จะรับข้อมูลได้ครบหมดทุกก้อน บางก้อนเด่นหน่อยก็รับรู้ง่ายและถูกจดจำได้สนิท บางก้อนปรากฏเพียงพร่าเลือนก็รับรู้ยากและถูกหลงลืมไปสิ้น ขึ้นอยู่กับพื้นหลังของแต่ละคน ว่าส่งเสริมให้เห็นข้อมูลส่วนไหนรับยาก ส่วนไหนรับง่าย ส่วนไหนน่าจดจำ ส่วนไหนน่าทิ้งขว้าง
    เช่นนี้จะหวังให้สัตว์ฟังหล่อนสาธยายธรรมะเข้าใจทุกคำ จดจำได้ทุกตอนล่ะหรือ? คงเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้สุนัขพันธุ์ฉลาดขนาดเทียบไอคิวได้กับเด็ก ๕ ขวบหรือ ๑๐ ขวบ อัตภาพของสัตว์ก็ย่อมกีดกันปัญญาระดับสูงไว้ไม่ให้เกิดขึ้น มีแต่อัตภาพมนุษย์นี่แหละที่เหมาะแก่การเรียนรู้และยอมรับธรรมะเข้ามาประดิษฐาน ณ ดวงจิตเต็มร้อย
    เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เหม่อมองปุยเมฆขาวเบื้องบน แล้วลดสายตาลงมามองแค่ระดับหลังคาบ้านตรงข้าม จับจ้องจานรับสัญญาณดาวเทียม พึมพำรำพึงกับเจ้าอุ๊ยโหยไม่ดังนัก
    “บ้านคนมีแต่จานรับสัญญาณภาพเสียงสร้างความบันเทิง ถ้าใครประดิษฐ์จานรับกระแสความดีจากสรวงสวรรค์ได้โดยตรงก็คงวิเศษเลยเนอะอุ๊ยโหย ทุกคนจะได้รู้ทางสว่างไปเกิดในที่ดีกว่านี้กัน”
    เจ้าอุ๊ยโหยครางอิ๋ง ราวกับตอบว่าเพียงฟังเสียงหล่อนแค่นี้ก็คล้ายรับกระแสความดีจากฝั่งฟ้าแดนสรวงอยู่แล้ว
    ขณะนั้นเอง ผีเสื้อสองสามตัวบินเรี่ยพื้นหญ้าใกล้ๆ สายตาเจ้าอุ๊ยโหยถูกดึงไปมองจ้อง แล้วเสียงครางอิ๋งก็แปรเป็นเสียงเห่าแหลมๆทันที มันโดดแผล็วจากแทบตักเจ้านายไปทางกลุ่มผีเสื้อ และใช้เท้าตะปบอย่างจะขอเล่นด้วย
    ปกติยอร์กเชียร์จะสนใจสัตว์เล็กเคลื่อนที่เร็วจำพวกหนูมากกว่าอย่างอื่น แต่แปลกที่คราวนี้เจ้าอุ๊ยโหยลงไปเล่นกับผีเสื้อ คงน่าจะเป็นเพราะถึงคราวฆาตของสัตว์ปีกตัวน้อย เพราะพอเจ้าอุ๊ยโหยตะปบทีเดียว ชีวิตผีเสื้อตัวหนึ่งก็ถึงกาลอวสานทันที
    ณชะเลเหลือบตาตามไปเห็นแล้วตกใจแทบสิ้นสติ กรีดร้องลั่น ถลันร่างไปย่อลงตีเจ้าอุ๊ยโหยดังป้าบ ยังผลให้สุนัขแสนรักร้องเอ๋งด้วยความเจ็บปวดและตระหนกยิ่ง
    “อย่านะ! ไปฆ่ามันทำไม?”
    เด็กสาวตวาดเสียงเกรี้ยวหวังยับยั้งฆาตกรรมก่อนสายเกินการณ์ แต่ช้าไปเสียแล้ว ผีเสื้อดวงกุดกลายเป็นแผ่นกระดาษเล็กๆสีสวยที่ขาดวิ่นออกจากกันด้วยแรงฉีกของมือซน ร่างที่เคยบินได้บัดนี้ไร้วิญญาณครองเสียแล้ว
    ณชะเลหน้าซีดเผือด อุ้มเจ้าอุ๊ยโหยชูขึ้นระดับสายตา จ้องตาลุกราวกับกำลังจะเค้นคอมัน
    “อยากเป็นหมาไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดหรือไง?”
    สุนัขตัวน้อยอกสั่นขวัญแขวน ด้วยเพราะไม่เคยเห็นเจ้านายทำหน้าดุราวกับนางยักษ์เยี่ยงนี้มาก่อน มันร้องงี้ดๆหัวหดด้วยความหวาดกลัวลนลาน พยายามดิ้นหนีให้หลุดรอดจากเงื้อมมือนายผู้กำลังแผ่รังสีอำมหิตปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ ท่าทางเจ้าอุ๊ยโหยยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แต่ว่ามันอาจโดนอาญาร้ายแรงได้ทุกเมื่อ
    พอเห็นสุนัขหัวแก้วหัวแหวนตัวสั่นเทา เอาแต่ดิ้นขลุกขลัก ไม่พยายามใช้เล็บหรือเขี้ยวกับเจ้านายแม้อาจเป็นวาระสุดท้าย ณชะเลก็กลับสติ เปลี่ยนจากโกรธสุดขีดเป็นสงสารแทบขาดใจแทน เด็กสาวเบะปากร้องไห้โฮ ดึงร่างเจ้าตัวน้อยเข้ามากอดถนอม สำนึกผิดที่ตนทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ สุนัขพันธุ์เปราะบางเช่นยอร์กเชียร์อาจช็อกตายได้ง่ายๆเพียงเพราะถูกตีและตะคอกคุกคามแรงๆ ปกติวิธีลงโทษสถานหนักก็แค่ดีดปากและตวาดห้ามคำเดียวเท่านั้น ที่ผ่านมาหล่อนก็ทำกับมันแรงสุดเพียงม้วนหนังสือพิมพ์เคาะกะโหลก เพราะมันเชื่องและเชื่อฟังหล่อนขนาดเรียกชื่อทีเดียวก็หยุดทำอะไรทุกอย่างหมดแล้ว
    เมื่อครู่หล่อนขาดสติเอาจริงๆ ด้วยความกลัวบาปแทนมันนั่นเอง แต่หล่อนกลับแก้ไขบาปด้วยการเพิ่มบาปอื่นให้มันเข้าไปอีก คือป้อนกระไอร้ายแห่งโทสะเข้าสู่หัวจิตหัวใจมันตรงๆ ยามนี้พอกลับสติได้ก็เจ็บยิ่งกว่ามันถูกตีชนิดคูณสิบเข้าไป ณชะเลกอดอุ๊ยโหยแน่นแนบชิดอกด้วยความอยากใช้ความอบอุ่นจากเลือดเนื้อของตนถ่ายถอนความเจ็บออกจากกาย ละลายความกลัวออกจากใจมันเร็วที่สุด
    “แม่ขอโทษ…”
    พึมพำแบบจ่อริมฝีปากแนบใบหู ครู่หนึ่งเนื้อตัวสั่นเทาของเจ้าอุ๊ยโหยก็สงบนิ่ง มันพลิกหน้ายื่นปากแลบลิ้นเลียคางเจ้านายเป็นสัญญาณว่ามันเข้าใจความอาทรและเป็นสุขอยู่ในอ้อมกอดของหล่อนแล้ว ณชะเลหัวเราะแผ่ว ก้มลงจูบหน้าผากมันทีหนึ่งแล้วอุ้มกลับไปนั่งที่ซุ้มชิงช้าตามเดิม พูดประโลมราวกับมันเป็นมนุษย์
    “แม่ไม่อยากให้ลูกก่อบาปก่อกรรมเป็นเวรภัยติดตัวต่อไปอีก ลูกจะเกิดเป็นอย่างนี้เพียงครั้งสุดท้าย แม่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกพ้นจากกำเนิดเดรัจฉาน”
    น้ำตาค่อยๆไหลรินลงมา ทว่าน้ำเสียงเรียบนิ่งนุ่มนวลปราศจากความสั่นเครือแม้แต่น้อย
    “หนูต้องรู้ว่าการฆ่าสัตว์เป็นกรรมดำ กรรมดำจะทำให้จิตวิญญาณของหนูมืดบอด กรรมดำจะเป็นแรงยึดเหนี่ยวให้หนูต้องวนเวียนอยู่กับอบายภูมิ โดยเฉพาะขณะที่หนูมีภพชาติแบบนี้ ก็ยากที่จะมีกรรมขาวมาฉุดให้ขึ้นสูงได้อยู่แล้ว ถ้าหนูยิ่งทำกรรมดำซ้ำเติมตัวเองเข้าไปอีก ก็จะถูกขังให้ติดอยู่กับความเป็นอย่างนี้ไม่รู้จบรู้สิ้น”
    อยากให้มันเข้าใจทุกถ้อยคำ เป็นแรงปรารถนาที่ยิงตรงจากจากก้นบึ้งหัวใจหล่อนสู่จิตใจมันอย่างแน่วแน่ และโดยทางใดทางหนึ่งที่อธิบายให้เชื่อได้ยาก ณชะเลก็รู้ว่าเจ้าอุ๊ยโหยสามารถรับสารจากหล่อน แม้จะไม่ใช่แบบที่มนุษย์สื่อสารกัน อย่างน้อยเหตุการณ์ตามขั้นตอนทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็ต้องทำให้มันซึมซับรับรู้แน่ๆว่าการพรากชีวิตสัตว์อื่นเป็นเรื่องต้องห้าม และมันจะต้องไม่ทำอย่างนี้อีกอย่างเด็ดขาด
    เด็กสาวลูบหัวลงไปตลอดหลังสัตว์เลี้ยงที่ใจนับเป็นบุตรในอุทรด้วยความทะนุถนอม สัมผัสนั้นทำให้หล่อนเพลิน แล้วก็รู้ว่ามันเพลินตาม เพราะเจ้าอุ๊ยโหยหมอบนิ่งอยู่กับตักหล่อนราวกับกำลังทำสมาธิฉะนั้น
    ต่างฝ่ายต่างเพลินในอาการเป็นดุษณีอยู่นานหลายนาที กระทั่งเกิดเสียงตุ้บใหญ่ที่ข้างกำแพง ทั้งคนทั้งสัตว์ต่างสะดุ้งโหยง สะบัดหน้าขวับไปทางต้นเสียงพร้อมกันทั้งคู่ พอเห็นเป็นหนุ่มแปลกหน้าก็ลุกพรวดขึ้นยืนตรงทันที
    เด็กหนุ่มผู้บุกรุกยืดตัวจากอาการยองขึ้นยืน ณชะเลไม่กรีดร้องอย่างที่น่าจะเป็น อาจเพราะแปลกใจมากกว่าหวาดกลัว เมื่อเห็นชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้น หลังสะพายเป้ กับถุงเท้ารองเท้านักกีฬา บวกกับหน้าตาท่าทางหอบเหนื่อยของหนุ่มแปลกหน้าแล้วรู้สึกในพริบตาเดียวว่าเขาหนีร้อนมาพึ่งเย็นมากกว่าเข้าบ้านด้วยประสงค์ร้ายอันใด
    จองฤกษ์เองก็ทำหน้าคาดไม่ถึงเมื่อเห็นเด็กสาวยืนอุ้มสุนัขตัวเล็กเหมือนตุ๊กตาห่างไปไม่ถึงสิบก้าว ต่างฝ่ายต่างจ้องจังงังครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มก็เอ่ยขึ้นก่อนแบบหอบระหว่างคำ
    “ขอโทษครับ ผมหนีนักเลงมา พวกมันตามทำร้าย ขอหลบเดี๋ยวเดียวก็จะไป”
    เขาขอเช่นนั้นทั้งที่สามารถข้ามบ้านไปได้อีก อาจเป็นเพราะความรู้สึกบางอย่างบอกตนเองว่าพึ่งหล่อนคนนี้ได้
    เจ้าอุ๊ยโหยเริ่มเห่าและคำรามขู่ ท่าทางอวดศักดาเกินตัวตามนิสัยประจำเผ่าพันธุ์ของยอร์กเชียร์ ณชะเลยกมือเช็ดคราบน้ำตาที่อาจตกค้าง ปรับสติให้เข้าที่ได้แล้ว และตบหัวสุนัขของตนเบาๆ กระซิบสั่งให้หยุดเห่า ซึ่งก็ได้ผลทันใจ เพราะเจ้าอุ๊ยโหยถูกฝึกให้เชื่องและปฏิบัติตามคำสั่งของณชะเลเสมอ
    เงยหน้าขึ้นสำรวจร่างโทรมเหงื่อของเด็กหนุ่ม เนตรงามฉายแววระแวงภัย เอ่ยถามแบบค่อนข้างคาดคั้น
    “คุณไปทำอะไรเขาถึงตามทำร้าย?”
    “รับรองว่าผมไม่ได้ก่ออาชญากรรมอะไร ผมเพิ่งเล่นแบดกับเพื่อนเสร็จ…” เขาพลิกเป้สะพายหลังมายืนยัน “โชคไม่ดีเดินไปเหยียบเท้านักเลงใหญ่เข้า เขาเลยยกพวกวิ่งตามมากระทืบอยู่นี่”
    เล่าแบบรวบรัดชนิดมีเค้ามูลความจริงแต่ขาดรายละเอียด
    “มาคนเดียวเหรอ?”
    “มากับเพื่อน แต่เขาขอตัวกลับก่อนจะเกิดเรื่อง”
    “เอ๊ะ…” ณชะเลเอียงคอย่นคิ้วฉงนด้วยความคลับคล้ายคลับคลา “นี่… ฤกษ์หรือเปล่าน่ะ?”
    จองฤกษ์ตาเบิกโพลง ที่คุ้นแต่แรกเปลี่ยนเป็นนึกออกทันที
    “ทรายใช่ไหม?”
    แม้ห่างหายจากกัน ๕-๖ ปี ก็ยังมีเค้าหน้าแบบเดียวกับที่เคยร่วมห้องเรียนสมัยประถมปลายพอให้ระลึกถึงกันได้
    เด็กหนุ่มยิ้มกว้างขวางขณะที่เด็กสาวทำท่าตะลึงแปดตลบ ทั้งสองหัวเราะพร้อมกัน เหลือเชื่อที่เรื่องประจวบเหมาะขนาดพาเขาและหล่อนมาพบกันอีกในสถานการณ์ชนิดนี้ เหมือนม่านแห่งกาลเวลากระชากวูบเดียว เจอกันอีกทีต่างฝ่ายต่างก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นคนละคนแล้ว เพียงแต่ยังคงจำได้ว่าเป็นเพื่อนกันอยู่
    “ขอหลบแป๊บเถอะนะทราย”
    “อือ… มากกว่าแป๊บก็ได้ ไปเหยียบเท้านักเลงมาจริงๆหรือ?”
    จองฤกษ์เดินเข้ามาใกล้ เพราะบัดนี้ไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกันอีกแล้ว เขารู้สึกโล่งอกและหายเหนื่อยไปกว่าครึ่ง
    “ยิ่งกว่าเหยียบเท้าหน่อยหนึ่ง เราเปิดประตูห้องน้ำไปชนเขา ท่าทางคงคะมำไปโดนโถฉี่ เห็นโกรธจนลมออกหูเลย”
    ยังคงขยักไว้ ไม่เล่าให้แจ่มแจ้งแทงตลอดว่าตนไปกวนประสาทส่วนล่างของฝ่ายนั้นอย่างไร แต่ก็ทำเอาณชะเลหัวเราะกิ๊กได้เมื่อจินตนาการตาม เห็นฉากสั้นๆคือเขาซุ่มซ่ามเปิดประตูชนหลังนักเลงโตจนหัวเสียและวิ่งไล่ตามมาเหยียบทันที
    “นั่งก่อนสิ”
    เด็กหนุ่มนั่งลงพร้อมกับหล่อนตามคำเชิญ
    “ทรายสบายดีเหหรือ?”
    “อือ… ก็โอเค” เด็กสาวขี้เกียจถามกลับตามธรรมเนียม เพราะทราบว่าเพื่อนชายกำลังอยู่ในระหว่างดวงไม่ดีแน่ๆ “ก่อนวิ่งพ้นมือพ้นเท้ามาได้นี่โดนไปตุ้บสองตุ้บหรือเปล่า?”
    “ยัง”
    “ตามมาหลายคน?”
    “สักห้าหกคนได้มั้ง แต่เราลัดเลาะปีนเข้าบ้านคนมาเรื่อยๆ น่าจะพลัดกันเด็ดขาดแล้ว แต่กลัวพวกนั้นอาจด้อมๆมองๆคุมเชิงตามทางออกอยู่ เลยอยากขอทรายหลบภัยสักเดี๋ยวหนึ่ง”
    “เอาเถอะ ไม่ต้องห่วง ทรายมีองครักษ์พิทักษ์ความปลอดภัยให้”
    ณชะเลพูดยิ้มๆพลางก้มมองสุนัขแสนรักของตน จองฤกษ์มองตาม พอจ้องมันก็โดนเห่าบ๊อกหนึ่งเป็นการประกาศว่าอย่าได้ลองดีคิดกล้ำกรายเจ้านายของมันเชียวนะ เด็กหนุ่มรู้สึกขบขันและเห็นว่าแม้แต่สัตว์ก็มีความเชื่อเฉพาะตัว ถึงแม้ตัวกระจิ๋วหลิว โดนตบทีเดียวก็แด่วดิ้นแล้ว ยังอุตส่าห์เชื่อว่ามันมีหน้าที่ปกป้องเจ้านายซึ่งตัวโตกว่าเป็นสิบๆเท่าได้อย่างนี้อีก นึกแล้วน่าฉงนนักว่ามันเอาความเชื่อพรรค์นี้มาจากท้องแม่หรืออย่างไร
    “น่ารักดีนะเจ้านี่”
    “ฤกษ์เรียนอยู่ที่ไหนเนี่ย?”
    “ไผทพัฒน์”
    เด็กสาวพยักหน้าอย่างพอจะเคยได้ยินชื่อโรงเรียนมัธยมเอกชนแห่งนั้นมาบ้าง
    “กะเอ็นฯคณะอะไร?”
    “ยังไม่คิดเลย”
    “จำได้สนิทว่าตอนเด็กๆเธอหมกมุ่นกับคอมพ์มากที่สุดในโรงเรียน น่าจะเลือกเรียนคอมพ์นะ”
    จองฤกษ์เหยียดยิ้ม คร้านที่จะตอบว่าถ้าเลือกเรียนคอมพ์ ก็กลัวว่าตนจะต้องเป็นฝ่ายไปสอนอาจารย์แทน!
    ต่างฝ่ายต่างพักเงียบ อาการจุกเสียดจากการวิ่งยาวเริ่มแผลงฤทธิ์ เด็กหนุ่มงอตัวหน่อยๆก่อนยืดกายตรงและหายใจลึกๆ ณชะเลนึกได้ว่าเพื่อนอาจกระหายน้ำก็เบิกตานิดหนึ่ง
    “วิ่งมาไกลคงเหนื่อยแย่ เดี๋ยวทรายเข้าไปเอาน้ำมาให้ดีกว่า”
    “ไม่ต้องหรอกทราย ความจริงเพิ่งกินอิ่มมาหยกๆ ต้องวิ่งยาวเลยจุกแอ้ด นั่งพักเฉยๆเดี๋ยวก็หาย”
    เด็กสาวยิ้มให้ และเขาก็ยิ้มตอบ เป็นฝ่ายถามหล่อนบ้าง
    “ทรายล่ะ ตั้งใจไว้หรือยังว่าจะเลือกอะไร?”
    “ก็คงจะคอมพ์นี่แหละมั้ง รู้สึกว่าวิศวคอมพ์ดึงดูดใจดี”
    เด็กหนุ่มจ้องหน้าเพื่อนสาวด้วยแววทึ่ง เค้าหน้าเรียว นัยน์ตาดำกลมโตส่องประกายสวย รูปทรงองค์เอวแบบบางแต่ไม่ถึงกับผ่ายผอม รวมแล้วชวนฝันเหมือนรูปการ์ตูนญี่ปุ่น โตขึ้นหล่อนยิ่งน่ารักกว่าที่เขาเคยชอบแอบมองตอนเด็กๆเสียอีก แต่พอได้ยินว่าหล่อนจะเลือกเรียนวิศวคอมพิวเตอร์ ก็ทำให้ประหวัดคิดถึงคำปรามาสของตนเองเมื่อหยกๆ ที่ว่า
    ตามสถิติผู้หญิงสวยมักปัญญาอ่อนในเรื่องคอมพิวเตอร์ ยังไม่ทันข้ามวันเขาก็มาสะดุดเข้ากับ ‘ความจริง’ ที่ขัดกันกับ ‘ความเชื่อ’ ของตนเองเสียแล้ว
    จองฤกษ์ชอบบุคคลที่เป็นข้อยกเว้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นข้อยกเว้นที่ค้านกับความเชื่อส่วนตัวของเขา
    ณชะเลเป็นเพื่อนในยามเยาว์วัยเพียงคนเดียวที่เขาระลึกถึงเสมอมา เคยนึกอยากรู้มาตลอดว่าป่านนี้ชีวิตหล่อนจะยังเหมือนเขาอยู่ไหม และเสียดายเสมอว่าสมัยประถมไม่ตีสนิทให้มากกว่านั้น อย่างน้อยสืบถามที่อยู่หรือเบอร์โทรศัพท์ติดต่อไว้เสียหน่อยก็ยังดี จะได้ไม่ต้องเอาแต่คิดถึงอย่างสูญเปล่าอยู่ตามลำพัง
    หล่อนเป็นใครบางคนในชีวิตที่เขาจดจำได้อย่างแม่นยำด้วยเหตุผลหลายข้อ ข้อแรกคือดวงหน้าชวนพิสมัยไม่เหมือนใคร ข้อสองคือต่างฝ่ายต่างเป็นเด็กเงียบขรึม ไม่สุงสิงกับเพื่อนๆเท่าไหร่ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำธุระของตัวเอง ซึ่งไม่ค่อยสมวัยเท่าไหร่นัก คุณสมบัตินี้ทำให้เขามองหล่อนเสมอตน เหมือนสิ่งที่เข้าคู่กันได้ดี เสียแต่ครั้งอดีตนั่งห่างกันเกินไป
    เพื่อนหญิงคนนี้ยังมีความพิเศษอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้โดดเด่นไม่เหมือนใคร นั่นคือชื่อ ‘ณชะเล’ ซึ่งหล่อนเคยลุกขึ้นตอบครูภาษาไทยว่าคุณพ่อคุณแม่ตั้งให้เพราะเกิดที่โรงพยาบาลชายทะเล พอคุณครูติดใจถามต่อว่าพี่สาวหรือน้องสาวมีที่มาของชื่ออย่างไรอีก หล่อนก็ตอบว่ามีพี่สาวชื่อละอองฝนเพราะวันเกิดคุณพ่อต้องพาคุณแม่เข้าโรงพยาบาลขณะสายฝนเริ่มโปรยลงมาเย็นฉ่ำ จองฤกษ์ฟังที่มาของชื่อหล่อนแล้วจำสนิท เพราะนึกถึงทีไรจะเห็นหล่อนยืนเด่นสดใสที่ชายทะเลวันฟ้าโปรยฝนทุกครั้ง
    ที่พิเศษสุดคือหล่อนมีวันเดือนปีเกิดตรงกับเขา เพียงแต่ไม่แน่ใจนักว่าห่างกันกี่ชั่วโมง ชั่วชีวิตคนเรามีโอกาสพบปะและรู้จักกับผู้เป็นสหชาติได้น้อยนัก ตามสถิติคนส่วนใหญ่ไม่เจอเลย หรือเจอก็แค่รู้จักกันห่างๆอย่างเขากับหล่อน จึงเคยนึกอยากเห็นกับตาประสาเด็กชอบตั้งโจทย์แปลกๆ ว่าถ้าเกิดวันเดือนปีเดียวกัน ทุกอย่างในชีวิตจะต้องเดินตามรอยเดียวกันไปด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอยู่ร่วมกัน จะเกิดเรื่องดีร้ายพร้อมกัน หรือว่ายิ่งคูณสองเข้าไปอีก?
    วันที่ชะตาลากเขากับหล่อนมาพบกันควรเรียกอะไร วันแห่งความบังเอิญมหาวินาศ วันแห่งโชควาสนา หรือว่า… วันแห่งความสมหวัง? เขาน่าจะรู้มาตลอดว่าวันหนึ่งต้องเจอหล่อนอีก เป็นความเชื่ออยู่ในส่วนลึก และมันก็กลายเป็นความจริงในบัดนี้แล้ว!
    “ลูกสมุนของทรายจ้องเราจัง ท่าทางหวงเจ้านายน่าดู ยังเป็นลูกหมาอยู่รึเปล่าเนี่ย?”
    “โตแล้ว แต่จะดูเหมือนลูกหมาไปตลอดชีวิตนั่นแหละ พันธุ์นี้สังเกตง่ายๆ ถ้าเป็นลูกหมาจะขนสั้น ไม่ลากยาวเป็นไม้กวาดอย่างที่เห็น”
    “พันธุ์อะไร?”
    “ยอร์กเชียร์ เทอเรีย”
    “อ้อ… คุ้นๆหูนะ ท่าทางเพาะไว้ขายลูกสาวเศรษฐีโดยเฉพาะ”
    แค่ดูด้วยตาเปล่าใครก็รู้ว่ามันเป็นหมาไฮโซไว้ประดับบารมี แต่ณชะเลรีบปฏิเสธพัลวัน
    “ทรายเอาความน่ารักเป็นหลักหรอก ไม่ได้กะไว้อวดใครนะ แล้วคนขายก็เป็นญาติกัน เลยซื้อได้ถูกกว่าราคาจริงในตลาดมากด้วย”
    “ชื่อมันล่ะ?”
    “อุ๊ยโหย!”
    จองฤกษ์อมยิ้ม
    “ดูหุ่นกับฟังชื่อแล้วนึกถึงตุ๊กตาของเล่นมากกว่าอย่างอื่น”
    “เขาถึงเรียกเจ้าพวกนี้ว่าเป็นพันธุ์ตุ๊กตาหรือพันธุ์ของเล่นไง เห็นแล้วมันเขี้ยว”
    พูดจบก็ประคองเจ้าตัวเล็กขึ้นใกล้ใบหน้า ย่นจมูกทำท่าคล้ายอยากฟัดให้สมใจ ซึ่งมันก็กระดกลิ้นเลียปลายจมูกหล่อนด้วยความจงรักภักดี จองฤกษ์มองนายบ่าวด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย สัมผัสได้ถึงสายใยผูกพันแน่นแฟ้นระหว่างมนุษย์กับสัตว์ หายสงสัยว่าทำไมธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงจึงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ดูตัวอย่างจากเพื่อนสาวตรงหน้าเขาแล้ว ก็เชื่อเลยว่าคงยอมเทหมดกระเป๋าให้กับสิ่งที่หล่อนพิศวาสแทบขาดใจขนาดนี้
    ธรรมชาติของสัตว์เลี้ยงบางพันธุ์เอื้อให้จับตัดนั่นแต่งนี่จนเก๋ไก๋ดังใจนึก เจ้าชีวิตผู้มีสิทธิ์ผูกขาดสามารถกำหนดชะตากรรมของพวกมันย่อมเกิดความผูกพัน ยอมทุ่มเวลาดูแลรับผิดชอบยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะถ้าได้รับคำชมจากใครต่อใครว่ามีสุนัขน่ารักน่าอุ้มเหลือเกิน หรือเป็นที่หนึ่งในการประกวดสุนัขแสนสวยสักครั้ง ก็รับประกันว่ามีอะไรเป็นต้องประเคนให้มันหมด
    ส่งยิ้มผูกไมตรีกับเจ้าอุ๊ยโหย รู้สึกอ่อนโยนลงมากพอจะยื่นมือไปใกล้มัน ซึ่งก็ยังความแปลกใจให้กับณชะเลเป็นล้นพ้น ที่เห็นหมาจอมหยิ่งของตนยื่นปากเลียมือเพื่อนหนุ่มแผล็บๆ ทั้งที่เพิ่งเจอกันแค่ห้านาที
    “ประหลาดแฮะ มันยอมเลียมือฤกษ์ด้วย สงสัยเสน่ห์แรง”
    “ท่าทางทรายรักมันมากนะ”
    “เหมือนลูกเลยล่ะ”
    “แสดงว่าต้องหวงน่าดู ขออุ้มคงไม่ให้”
    “ทรายน่ะให้ฤกษ์อุ้มมันได้ แต่อุ๊ยโหยมันจะไม่ยอมให้อุ้มน่ะซี แม้แต่คนในบ้านจะแตะหรืออุ้มมันก็ไม่ยอม ยอมทรายคนเดียว ลองสิ”
    หล่อนยื่นให้ และจองฤกษ์ก็ทำท่าจะยื่นมือมารับ แต่ผลก็อย่างณชะเลบอกไว้ล่วงหน้า เจ้าอุ๊ยโหยรีบม้วนตัวหันหน้ากลับเข้าสู่อ้อมอกนายสาวทันที แถมเห่าบ๊อกหนึ่งเป็นเชิงตวาดว่าอย่ามายุ่งกับชั้น ซึ่งนั่นค่อนข้างเป็นธรรมชาติวิสัยของหมาไฮโซจำพวกนี้
    เด็กหนุ่มหัวเราะหึหึอย่างไม่ติดใจถือสา
    “พ่อแม่ทรายยอมลงทุนซื้อเป็นเครื่องดึงดูดให้อยู่ติดบ้านมั้ง ตอนทรายไม่อยู่ มันก็คงไม่เล่นกับใครและเหงาน่าดู อย่างนี้ทรายจะยอมตัดใจห่างมันไปนานๆได้ไง จริงไหม?”
    “อิอิ แม่ทรายรู้อย่างนี้ แล้วก็คิดอย่างนี้จริงๆแหละ เคยเปรยด้วยซ้ำว่าพวกหมาของเล่นนี่เหมือนเกิดมามีหน้าที่เป็นโซ่ทองคล้องข้อมือลูกสาวไว้อยู่ติดบ้านช่อง ไม่ต้องเร่ออกไปติดยาอีที่ไหน”
    ณชะเลคุยให้ฟังเรื่องเจ้าอุ๊ยโหยด้วยสุ้มเสียงของคนมีความสุข ท่าทางชีวิตหล่อนคงเหมือนไข่ในหิน เติบโตท่ามกลางความรักความอบอุ่นในบ้านที่เต็มไปด้วยบรรยากาศปรองดอง จองฤกษ์นิ่งมองด้วยสายตาเล็งแลลึกซึ้ง เขาเกิดวันเดือนปีเดียวกับหล่อน แต่ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ในระดับเดียวกันเลย ดูหน้าตัวเองในกระจกกี่ครั้งก็ไม่เคยมีรังสี ‘คุณหนู’ ฉายเด่นเฉกเช่นที่เห็นจากณชะเลแม้แต่น้อย
    ทว่านั่นไม่ได้ทำให้เกิดความริษยาแต่อย่างใด ตรงข้าม เขากลับมองหล่อนอย่างชื่นชมยินดี และมีความรู้สึกคล้ายได้ร่วมส่วนแบ่งความอบอุ่นในชีวิตหล่อนมา เหมือนณชะเลเป็นต้นธารแห่งความสุขที่ใครๆเข้ามาในรัศมีแล้วพลอยได้ลอยคอสำราญไปด้วย
    “ท่าทางชีวิตทรายเป็นสุขดีนะ”
    เอ่ยทักอย่างใจคิด ณชะเลเหลือบแลเขาด้วยแววฉงน
    “เราเกิดวันเดือนปีเดียวกัน ชะตาก็น่าจะให้เป็นสุขพอๆกันไม่ใช่เหรอ?”
    จองฤกษ์ตาโตด้วยความคาดไม่ถึง
    “ทรายจำได้ด้วยว่าเราเกิดวันเดียวกัน?”
    “จะลืมได้ไง คนเกิดวันเดือนปีเดียวกันมีผ่านมาให้รู้จักซักกี่ราย”
    เด็กหนุ่มหัวเราะยินดี อย่างน้อยเขาก็มีความหมายพิเศษในความทรงจำของหล่อนมากกว่าแค่เป็นเพื่อนนักเรียนประถม
    “ชีวิตเราสนุก แต่ไม่เคยเป็นสุขเท่าทรายหรอก อย่างน้อยพ่อแม่เราก็ไม่เอาใจใส่ลูกๆเท่าพ่อแม่ทรายแน่นอน นี่ก็สะท้อนนะว่าแค่บังเอิญเกิดวันเดือนปีเดียวกันยังวัดไม่ได้ว่าจะโชคดีหรือโชคร้ายกว่ากัน”
    เด็กสาวชะงักเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าเขาเอ่ยด้วยอารมณ์ไหน จึงไม่กล้าปลอบประโลมเหมือนจะแสดงความเห็นใจใดๆ ได้แต่เบี่ยงประเด็นไปอีกทาง
    “เจอฤกษ์แล้วทำให้นึกถึงโรงเรียนเก่ากับพวกคุณครูจัง”
    “นั่นสิ บังเอิญจริงๆนะที่เรามาเจอกันอีก”
    ณชะเลยิ้มแบบคนที่คิดอีกอย่าง
    “ทรายถูกสอนให้เชื่อว่าความบังเอิญไม่มีในโลก มีแต่เหตุผลที่เราไม่รู้”
    จองฤกษ์ยิ้มแบบคนที่เคยครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้มาแล้วอย่างละเอียด
    “ถ้าพูดแบบคนขี้เกียจคิดมากก็เรียกว่าบังเอิญ ถ้าคิดแบบศาสนาอื่นก็ต้องบอกว่าฟ้าเป็นผู้ลิขิต ถ้าคิดแบบพุทธก็ต้องบอกว่ากรรมเป็นตัวกำหนด อย่างนั้นใช่ไหม?”
    เด็กสาวยิ้มพรายอย่างสบอารมณ์ รู้สึกว่าเขาเป็นเพื่อนคุยที่ถูกคอดี
    “ใช่!” ชั่งใจครู่หนึ่งก่อนหยิกนิดๆ “คนเราอยากมองแบบไหนก็มีความจริงให้เห็นตามนั้น อย่างจะมองว่าฤกษ์ ‘บังเอิญ’ ต้องเป็นผู้บุกรุกก็ได้ หรือ ‘ฟ้าขีดชะตา’ ให้จำนนจนยอมเป็นผู้บุกรุกก็ได้ หรือ ‘เจตนาก่อกรรมทางกาย’ ปีนป่ายกำแพงบ้านคนอื่นจนตกอยู่ในฐานะผู้บุกรุกก็ได้ สำหรับทรายสมัครใจเชื่อว่าคนเราอยู่ในฐานะอะไรก็ด้วยกรรมที่ตนก่อ”
    เด็กหนุ่มหัวเราะเอื่อย เพิ่งตระหนักว่าเพื่อนสาวนอกจากน่ารักแล้วยังฉลาดพูดด้วย
    “ถ้าเล็งกันในเรื่องกรรม ก็ต้องว่าเมื่อกี้เราเพิ่งวิ่งหนีกรรมที่ไปทำให้เขาโกรธมา แต่ถ้าคิดย้อนไปก่อนหน้าที่เราจะก่อกรรมล่ะ อะไรทำให้เราผลักประตูไปโดนลูกพี่เขาในจังหวะนั้นพอดี? แล้วหลังจากวิ่งหน้าตื่นใช้กรรมอยู่พักหนึ่ง อะไรล่ะที่ส่งทรายมานั่งรอรับเราพอเหมาะพอเจาะในบ้านหลังนี้?”
    “แรงดึงดูดที่มองไม่เห็นไง”
    คำตอบนั้นทำเอาจองฤกษ์ชะงักอึ้ง และถึงกับครางทวนคำ
    “แรงดึงดูดที่มองไม่เห็น?”
    ณชะเลแปรสายตาไปมองกราดสิ่งแวดล้อมรอบด้าน
    “ทุกวัตถุเหมือนมีแรงแม่เหล็กดึงดูดอยู่รู้ไหม ตอนกำลังวิ่ง ฤกษ์ไม่มีทางสังเกตหรอกว่าตัวเองกำลังแล่นมาตามการนำร่องของบางสิ่งที่อยู่เหนือการรับรู้”
    เด็กหนุ่มขมวดคิ้วจ้องมองเพื่อนสาวด้วยแววทึ่ง
    “แล้วเราจะพิสูจน์ได้ยังไงว่าแรงดึงดูดนั้นมีจริง ไม่ใช่แรงผลักของความบังเอิญ?”
    “เอาอย่างนี้ก่อน…” เด็กสาวขยับตัวตั้งตรงด้วยความกระตือรือร้นเหมือนคนที่เพิ่งค้นพบความลับแล้วอยากบอกต่อ “เธอว่าฝ่ามือเธอมีแรงดึงดูดแบบแม่เหล็กได้ไหม?”
    จองฤกษ์หรี่ตาแยกยิ้มมุมปากข้างหนึ่ง ก่อนส่ายหน้าอย่างไม่มั่นใจนัก ท่าทางณชะเลเหมือนรู้ว่ากำลังพูดอะไร ในขณะที่หัวของเขาเต็มไปด้วยความว่างเปล่า และเขาก็ต้องการทราบคำเฉลยมากกว่าจะยอมรับว่าเขาไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องมือของตัวเอง
    “อย่างนั้นทรายจะให้ทดลองอะไรง่ายๆที่ฤกษ์จะได้อะเมซิ่งทันที ลองนะ”
    “โอเค!”
    “ถูมือแรงๆสองสามหนจนรู้สึกร้อน”
    ณชะเลบอกเป็นขั้นๆ ซึ่งจองฤกษ์ก็ทำตามทันทีอย่างจะเอาใจ
    “นั่นแหละ พอแล้ว แรงมากเดี๋ยวไฟลุก” ห้ามเขาหัวเราะๆ “คราวนี้แนบมือประกบกัน”
    เด็กหนุ่มประกบมือพนม เค้าหน้าสงบเหมือนไหว้พระ เด็กสาวเห็นแล้วยิ้มขำเล็กๆ
    “ค่อยๆแยกมือออกห่างกันสักฟุตหนึ่ง ช้าๆนะ สังเกตไอร้อนระหว่างฝ่ามือที่ยังตกค้างอยู่นิดๆ ถึงออกห่างกันแล้วก็ยังชาๆนั่นแหละ… ทีนี้ค่อยๆเคลื่อนเข้าหากันใหม่ช้าๆ สังเกตด้วยนะว่าระหว่างฝ่ามือเหมือนเกิดแรงกระทำขึ้นมาอ่อนๆ”
    จองฤกษ์ยังไม่รู้สึกชัดนักในรอบแรก แต่พอแยกมือแล้วเคลื่อนกลับมาอีกหนจนเกือบประกบชิด ก็เริ่มตระหนักว่ามีพลังกระทำบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างฝ่ามือจริงๆ
    “รู้สึกไหม?”
    เด็กหนุ่มพยักหน้า
    “อือม์… รู้สึกแล้ว”
    “ทำความรู้สึกไว้ที่สนามพลังระหว่างฝ่ามือนั่นนะ คราวนี้ตั้งให้ห่างกันคงที่สักครึ่งฟุต นั่นแหละ แค่นั้นแหละ… แล้วนึกกำหนดให้มันเป็นแรงดึงดูดที่เข้มข้นขึ้น คราวนี้จะรู้ว่าเธอมีอำนาจควบคุมพลังที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน”
    เพียงณชะเลพูดนำนิดเดียว จองฤกษ์ก็พบด้วยความอัศจรรย์ใจว่าฝ่ามือตนเกิดแรงดึงดูดราวกับมีกระแสแม่เหล็กเหนี่ยวนำให้เคลื่อนเข้าหากัน หน่วยตาของเขาเบิกกว้างขึ้นอย่างทึ่งๆ ริมฝีปากเผยอยิ้มงงงัน เคลื่อนฝ่ามือเข้าออกทีละน้อยอย่างเห็นเป็นการค้นพบที่แปลกใหม่
    “เป็นไง?”
    เด็กสาวถามกลั้วหัวเราะ สมใจที่เห็นประกายตาเย็นชาเป็นนิตย์ของเพื่อนหนุ่มทอแววจรัส
    “เหมือนเล่นกลเลยนะ”
    เขาพึมพำ และรับทราบด้วยตนเองว่าอาจกำหนดนึกให้สนามพลังอัดกันเป็นก้อนใหญ่ก็ได้ เป็นแรงดึงดูดก็ได้ เป็นแรงผลักก็ได้ เร่งให้แรงก็ได้ ผ่อนให้เบาก็ได้
    “นี่แหละ พวกฝึกรักษาโรคด้วยพลังจิตบางสายก็เริ่มต้นจากการรู้จักแรงดึงดูดระหว่างฝ่ามือแบบนี้ ถ้าเธอรู้สึกถึงพลังได้แล้วเอาไปจ่อหน้าผากคนปวดหัว เขาก็อาจหายปวดหัว ศาสตร์เกี่ยวกับปราณจะอธิบายว่าเป็นการเอาปราณของเธอไปชดเชยปราณที่ขาดไปของคนไข้”
    จองฤกษ์เม้มปากยิ้มและวางมือลงตัก เงยหน้ามองเพื่อนสาว
    “ไม่เจอกันนาน ทรายกลายเป็นแม่มดไปแล้ว”
    ณชะเลหัวเราะเสียงใส
    “ความจริงนี่ไม่ใช่ศาสตร์ลี้ลับอะไรเลย เป็นเรื่องธรรมดาที่เปิดเผยอยู่ตลอดเวลา ทุกคนมีเครื่องมือรักษาโรคติดตัวมาแต่เกิด แต่เราก็ไม่รู้จนกว่าจะมีใครบอกให้ลองใช้”
    เด็กหนุ่มผงกศีรษะยอมรับ
    “น่าทึ่งดี เพิ่งรู้ว่ามีพลังแฝงซ่อนอยู่ในฝ่ามือเราด้วย นึกว่ามีแต่ในหนังจีนกำลังภายใน”
    “นั่นแหละ อำนาจกรรมน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้น มันดึงดูดเธอไปเจอกับนักเลงได้ มันผลักเธอพ้นจากอันตรายแล้วดึงดูดมาถึงบ้านทรายได้”
    ชั่ววูบนั้น จองฤกษ์ขนลุกแปลกๆ รู้สึกเหมือนภาพที่ปรากฏตรงหน้าทั้งหมดเป็นการแสดงตัวของพลังบางอย่าง ใบหน้าอันเป็นที่รู้จักดวงนี้มิได้ปรากฏในยามคับขันโดยบังเอิญ บุคคล กาล สถานที่ต่างมีสายใยถักทอเข้าหากัน ส่วนจะส่งแรงผลักไสหรือแรงดึงดูด ก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหนุนหลังที่ลึกลับเหนือการรับรู้ เขาเป็นแค่ตัวอะไรตัวหนึ่งที่ถูกคลื่นกรรมซัดไปทางโน้นทีทางนี้ทีโดยไม่ทราบเหตุผล แล้วพยายามเรียกความประจวบเหมาะทั้งหลายว่า ‘ความบังเอิญ’
    สั่นศีรษะสลัดวูบความเห็นอันประหลาดนั้นทิ้ง ก่อนวกกลับไปถามจุดเดิม
    “แล้วอำนาจกรรมอะไรดึงดูดให้เราไปเจอนักเลง? คนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแท้ๆ อยู่ดีๆทำไมต้องมีเรื่องกัน?”
    “ไม่รู้” เด็กสาวตอบพลางยิ้มละไม “ทรายไม่มีญาณสัมผัสว่ากรรมในอดีตชนิดไหนส่งฤกษ์ไปเจอเขา ทรายแค่รู้ว่าการถูกตามไล่ล่าครั้งนี้ต้องมีพลังอกุศลกรรมบางอย่างอยู่เบื้องหลัง เพราะผลคือความเดือดร้อนใจ และหวุดหวิดจะเจ็บปวดกาย”
    จองฤกษ์ก้มหน้าหลบ แวบนึกยอมรับว่าถ้าเพียงเขาขอโทษขอโพยหมอนั่นดีๆโดยไม่มีทิฐิก็คงสิ้นเรื่องที่หน้าประตูห้องน้ำนั่นเอง แต่จะให้เขายิ้มรับหน้าชื่นว่าเป็นฝ่ายผิดคงยากหน่อยล่ะ เจ้าเบื๊อกนั่นเสือกตะคอกคุกคามเขาก่อนทำไม
    “จะบาปแต่หนหลังปางไหนก็ดีแล้ว เพราะในที่สุดก็ทำให้เราได้มาเจอเพื่อนเก่า ทรายอาจเป็นเหตุผลแท้จริง การประสบเหตุให้โดนไล่กวดคงเป็นเพียงตัวแปรต้อนเรามา”
    “ถ้าชะตาจะต้องเจอกัน ถึงวันนี้ไม่วิ่งหนีนักเลง พรุ่งนี้ก็ต้องเดินชนกันในห้าง” ณชะเลแย้งด้วยความเชื่อมั่น “ทุกคนบนโลกต่างเป็นกลไกอยู่ในเครื่องจักรขนาดมหึมา และทุกกลไกก็พร้อมจะทำงานตามการควบคุมดูแลของกรรมเสมอ”
    “ทรายรู้เรื่องอะไรพวกนี้เยอะจังนะ ถ้ากรรมวิบากมีจริง เขาบอกไว้ไหมว่ามันแฝงอยู่ในรูปพลังแบบไหน?”
    “บอก…” แล้วหล่อนก็สาธยายเสียงเรียบสม่ำเสมอคล้ายอ่านเอาตรงๆจากหนังสือ “พลังของดินอยู่ในรูปของความแข็ง พลังของน้ำอยู่ในรูปของความเอิบอาบ พลังของไฟอยู่ในรูปของความร้อน พลังของลมอยู่ในรูปของความพัดไหว แต่พลังกรรมจะอยู่ในรูปของ ‘ความจริง’ ที่เคยมีเหตุเป็นกุศลหรืออกุศล”
    จองฤกษ์เม้มปากก่อนทวนคำแบบคิดตาม
    “พลังที่อยู่ในรูปของความจริง?”
    “ใช่แล้ว พวกเรารู้จัก ‘ความจริง’ กันน้อยไป ความจริงเป็นสิ่งไม่กินพื้นที่ ไม่มีขนาดรูปทรง และความจริงใดเกิดขึ้นแล้วจะไม่บิดเบี้ยวตามเวลาที่ผ่านไป แม้ความทรงจำของเราแปรปรวนเป็นอื่น จำกรรมเก่าไม่ได้แล้วก็ตาม”
    เด็กหนุ่มพยักหน้าช้าๆอย่างคนเข้าใจอะไรเร็ว
    “อือม์…”
    “ขอเพียงมีเจตนาก่อเหตุการณ์ และมีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงตามเจตนา เหตุการณ์นั้นๆจะกลายเป็น ‘สัจจะ’ ขึ้นมาทันที พลังแห่งสัจจะนั้นเองถืออำนาจดลบันดาลสูงสุด และทำงานทำนองเดียวกับกระจกเงา ใครก่อภาพความสงบสุขแก่ผู้อื่น วันหนึ่งย่อมเห็นภาพสะท้อนเป็นความสงบสุขของตนเอง ใครก่อภาพความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น วันหนึ่งย่อมเห็นภาพสะท้อนเป็นความเดือดร้อนของตนเอง”
    จองฤกษ์กะพริบตาปริบๆ หนาวสันหลังยะเยือกชอบกล
    “น่ากลัวนะ…” เอ่ยแล้วหัวเราะแปร่งๆ “ความจริงคือเกิดมาเราไม่ค่อยทำให้ใครมีความสุขบ่อยเท่าไหร่”
    “บ่อยเหมือนกันแหละน่า” หล่อนรีบให้กำลังใจ “ฤกษ์เคยสอนเลขเพื่อนๆเป็นประจำไง ทรายเองก็เคยต้องถามฤกษ์สองสามหน จำได้สนิทว่ารู้สึกขอบคุณมากๆ เวลาออกจากทางตันได้นี่คนเราจะปลอดโปร่งโล่งอกมากนะ วิทยาทานที่เธอเคยทำน่ะ ขอให้รู้เถอะว่าสร้างความสุขกับเพื่อนๆไว้ไม่ใช่น้อย”
    ความดีในวัยเด็กย้อนกลับมาสู่ความทรงจำ เขาไม่เคยนึกถึง อาจเป็นเพราะช่วงหลังค่อนข้างหวงวิชา หรือไม่อยากเสียเวลาเพื่อคนอื่นนัก คนเราพอประพฤติอย่างใดนานเข้าก็ลืมความประพฤติที่เป็นตรงข้ามกันในอดีตได้สนิท แต่ยามนี้เมื่อเพื่อนสาวเตือนให้ระลึกถึง ‘ทาน’ อันเป็น ‘ความจริง’ ที่เคยทำ ก็บังเกิดความอิ่มอกอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก
    “แค่ความดีเล็กๆน้อยๆตอนยังเด็กเท่านั้น ทรายอุตส่าห์จำได้ด้วย”
    ณชะเลยื่นหน้ายิ้มหวานให้ราวกับยื่นดอกไม้แสนสวยเป็นรางวัล
    "เป็นเด็กก็ทำดียิ่งกว่าผู้ใหญ่ได้นี่ ใครแบ่งล่ะว่าเล็กน้อยหรือใหญ่โตแค่ไหน อาจเป็นเพราะผลกรรมดีข้อนี้ก็ได้ที่เบรกฤกษ์ไว้ที่บ้านทราย ทรายเคยคิดจริงๆนะว่าอยากตอบแทนฤกษ์บ้าง แต่สมัยเรียนด้วยกันไม่มีโอกาสเลย”
    “ขอบใจนะที่ทำให้ระลึกถึงความดีเก่าๆ เราเองลืมไปแล้วด้วยซ้ำ”
    เด็กสาวเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความรู้สึกแปร่งๆกับคำพูดและท่าทีของเขา นาทีนั้นณชะเลพบว่าหล่อนและจองฤกษ์ไม่เคยสนิทสนม ไม่เคยรู้จักมักจี่กันจริงจังเลย และช่วงเวลาที่ห่างเหินมานานก็ไม่ทราบว่าเขาก่อกรรมดีร้ายมากมายเพียงใดด้วย
    ทั้งสองตกอยู่ในความงันนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนที่จองฤกษ์จะเหลือบไปเห็นหนังสือข้างกายหล่อน จึงได้เรื่องทักทำลายความเงียบ
    “ก่อนเรามาถึงนี่ทรายกำลังทำอะไร อ่านหนังสือธรรมะเหรอ?”
    แม้อักษรกลับหัวในมุมมองของเขาก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการรับรู้แต่อย่างใด เห็นถนัดว่าชื่อหนังสือคือ ‘เลือกเกิดใหม่’
    “ใช่… คงไม่หาว่าทรายแก่แดดนะที่อ่านหนังสือธรรมะ”
    จองฤกษ์หัวเราะเบาๆ
    “ทรายพูดจนเราเลื่อมใสได้ขนาดนี้ ถ้าไม่มีความชอบใจฝักใฝ่อ่านหรือฟังธรรมะก็คงแปลกไปล่ะ… ขอเราดูหน่อยได้ไหม? ชื่อหนังสือน่าสนใจดี”
    ณชะเลหยิบและยื่นหนังสือให้เขาตามคำขอทันที มันเป็นพอคเกตบุคหนาประมาณ ๒๐๐ หน้า ปกอ่อนรูปประตู ๑๐ บาน เรียงกันเป็นวงกลม ประตูแต่ละบานมีสีสันและลวดลายแตกต่างกัน ทั้งสดใสเป็นแก้วเจียระไน ทั้งขาวสว่างสาดรัศมีกระจ่าง ทั้งแดงเขียวลายพร้อย ทั้งทาเทาทึบทึม ไปจนกระทั่งดำมืดขรุขระประดุจถ่าน ตรงใจกลางเป็นคำโปรยปกสองบรรทัดสั้นๆว่า
    ใช้ชีวิตมาถึงไหน
    คือเลือกเกิดใหม่ไปถึงนั่น
    จองฤกษ์พลิกดูปกหลังเพื่ออ่านขยายความตามวิสัยทัศน์ของผู้เขียนอีก
    ชาติหน้ามีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้
    ผู้ใดต้องพะวงกับเรื่องเกิดใหม่?
    ไว้ใกล้ตายค่อยคิดกันทีหลังไม่ดีหรือ?
    ใช่! เรื่องนี้เหมาะสำหรับคนใกล้ตาย!
    เช่นชายหญิงวัยทะนงในข่าวอุบัติเหตุ
    หรือเด็กน่าสังเวชในข่าวเชื้อโรคร้าย
    และอาจรวมได้ถึงคนอ่านข้อความนี้
    ที่ไม่อาจพยากรณ์การมาถึงของมัจจุราช
    ว่าพลาดเมื่อวานแล้วจะเป็นวันไหน!
    ขนลุกอีกระลอก ปิดหนังสือเงยหน้ามองณชะเลแล้วพูดจากความรู้สึก
    “น่าสนใจเหมือนกันนะ”
    “เอากลับไปอ่านสิ ทรายให้”
    “แต่เหมือนทรายอ่านค้างไว้ ยังไม่จบไม่ใช่เหรอ?”
    “จบแล้ว แค่เอามาอ่านซ้ำเพราะชอบน่ะ ฤกษ์เอาไปเถอะ”
    หล่อนคะยั้นคะยอด้วยรอยยิ้มของคนอยากให้ด้วยความเต็มใจ จองฤกษ์สัมผัสกระแสความปรีดาจากการคิดให้ของณชะเลชัดกระจ่าง ขณะหล่อนเอ่ยคำสุดท้ายคล้ายมีประกายรัศมีสุขสว่างวาบออกมา ราวกับแสงฟ้าที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า เพิ่งทราบจากประสบการณ์ตรง ว่าคนที่ให้อย่างไม่เสียดาย ให้อย่างไม่มีเงื่อนไข ให้โดยหวังความเจริญรุ่งเรืองแก่ผู้รับนั้น มีความน่าอบอุ่นชวนพิศวงเพียงใด
    และประสบการณ์พิเศษเพียงชั่วขณะเดียวก็จุดประกายความคิดได้มากมาย จองฤกษ์เพิ่งเห็นประจักษ์ว่าแม้แต่การให้ทานก็มีระดับสมัครเล่นไปจนถึงระดับมืออาชีพ ณชะเลเพิ่งสอนเขาผ่านความเป็นตัวหล่อนเอง นั่นคือผู้ให้ย่อมเป็นสุข และผู้ให้ย่อมไม่เป็นผู้ขาด
    “ขอบใจมากนะทราย…”
    เอ่ยได้เพียงสั้น ความจริงเขาอยากต่อให้มากกว่านั้น ทว่าเต็มตื้นกับคำว่า ‘ขอบใจ’ ของตนเองว่ากลั่นออกมาจากน้ำจิตบริสุทธิ์ลึกซึ้งปานใด เขายังไม่เชื่อเรื่องกฎกรรมในธรรมชาติ แต่เขานี่แหละจะเป็นผู้สร้างกฎแห่งกรรมให้กับณชะเล หล่อนให้เขาหลายสิ่งในวันเดียว วันหน้าเขาจะให้หล่อนมีทุกสิ่งตามปรารถนาไปทั้งชีวิต!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×