ลำดับตอนที่ #21
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : ร่วมฝัน
“พร้อมจะนอนตอนนี้เลยหรือเปล่าล่ะ?”
“พร้อมเลยค่ะ!”
หล่อนตอบทันทีอย่างสุดกระตือรือร้น
"ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวจ๊ะนอนลง ถือโทรศัพท์ไว้แล้วฟังพี่พูดไปเรื่อยๆ ไม่ต้องโต้ตอบอะไร ตัด
ความรับรู้จากโลกภายนอกออกให้หมด ให้เหลือแค่ความรู้สึกว่ามีร่างของจ๊ะทอดนอนอยู่และฟังเสียงพี่
เท่านั้น"
ลานดาวทอดกายนอนยาวตามคำสั่ง มือยังถือกระบอกโทรศัพท์แนบหู
“ฟังเสียงพี่แล้วสังเกตไปด้วยนะ ว่าจิตของพี่นิ่งหรือสั่นไหว”
หญิงสาวรู้สึกถึงสภาวจิตอันมั่นคงสว่างไสวของเขา ซึ่งพลอยทำให้จิตหล่อนรับส่วนความตั้ง
มั่นตามไปด้วย
"เอาล่ะ ตอนนี้พี่ก็เอนตัวลงนอนด้วยแล้วเหมือนกัน เดี๋ยวพอพี่พูดจบ ให้จ๊ะวางกระบอก
โทรศัพท์ไว้ข้างตัวทางด้านซ้าย ปิดตาลง แล้วให้นึกถึงโทรศัพท์ หากไม่มีอะไรผิดพลาดจ๊ะจะรู้สึกสัมผัสจิต
พี่ราวกับมีพี่นอนอยู่ด้วยข้างๆ ให้ประคองรักษาความเห็นทางใจว่ามีเงาร่างของพี่ไว้เรื่อยๆ พร้อมกำหนดใจ
ว่าพอหลับลง เราจะลุกขึ้นคุยกัน... เข้าใจนะ?"
"ค่ะ เข้าใจ"
"โอเค เกาะจิตพี่ไว้อย่าให้คลาด นานแค่ไหนก็อย่าพะวง อย่าเร่งรัดให้ต้องหลับเร็วๆนะ เดี๋ยว
เจอกัน... วางโทรศัพท์ลงข้างตัวได้"
ลานดาวปฏิบัติตามด้วยความระทึกเล็กๆ แม้วางกระบอกโทรศัพท์ไร้สายลงข้างกาย ซึ่งเป็นการ
ตัดการเชื่อมต่อระหว่างประสาทหูกับสุ้มเสียงของอมฤตแล้วก็ตาม ทว่ายังรู้สึกว่ามีเขาใกล้ชิดอยู่เคียงข้าง
นั่นเอง เหมือนจริงเสียจนต้องเม้มปากนิดๆด้วยความจั๊กจี้ ได้แต่บอกตนเองว่านี่เป็นแค่การเล่นสนุกทางจิต
กายเนื้อของอมฤตอยู่ห่างถึงมุมไหนของเมืองก็ไม่ทราบ ความอยากรู้อยากเห็นของหล่อนพุ่งสูงเสียจนทะลุ
เพดานความหวาดระแวงทั้งปวง และฝากความเชื่อมั่นทั้งหมดไว้ที่เขาคนเดียว
หญิงสาวเกาะกระแสจิตของอมฤตไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นก็ไม่ลืมลมหายใจเข้าออก ซึ่งเมื่อทอด
ร่างเหยียดยาว ก็เหมือนหายใจได้ลึกและสบายขึ้นกว่าตอนนั่งด้วยซ้ำ สำนึกรับรู้ผัสสะภายนอกเบาบางลง
เรื่อยๆ เหลือแต่ความรู้สึกสมจริงภายในที่เชื่อว่าตนกำลังนอนเคียงข้างอมฤต
แทนที่จะหลับ กลับกลายเป็นเหมือนนอนแข่งทำสมาธิให้นิ่งเท่าเขาไป ลานดาวกังวลขึ้นมา
เล็กน้อยว่าถ้าจิตตื่นโพลง ตาแข็งทื่ออย่างนี้ กว่าจะหลับอาจเช้าเสียก่อน หญิงสาวกระสับกระส่ายเป็นระยะ
เมื่อผุดระลอกความฟุ้งซ่านขึ้นแทรกแซงสมาธิ แต่นึกได้ว่าอมฤตสั่งไว้แล้ว คือนานแค่ไหนก็อย่าพะวง อย่า
เร่งรัดให้หลับ จึงประคองสภาพทั้งหมดไว้เรื่อยๆ เมื่อเริ่มหลุดลอยเป็นฟุ้งก็ดึงใจกลับมาจ่อจิตเขาใหม่พลางรู้
ลมหายใจตนเองไปด้วย กับทั้งไม่ลืมเป้าหมายว่าหลับเมื่อใด จะรู้สึกตัวลุกขึ้นคุยกับอมฤตเมื่อนั้น
อิริยาบถนอนเอื้อต่อการไหลลงหลับอยู่ในตัวเอง ดังนั้นเกือบยี่สิบนาทีต่อมา จังหวะที่เกิด
รอยต่อระหว่างความรู้ตัวกับความหลุดลอยเลื่อนหลง ลานดาวก็ก้าวลงสู่ห้วงนิทราด้วยความเพลียจากการใช้
กำลังงานคุมสมาธิ
การจดจ่อกับจิตที่ทรงกำลังเหนือกว่า กับทั้งจิตของอีกฝ่ายเปิดรับและยอมเชื่อมต่อด้วย ทำให้
นิทรารมณ์ครั้งนั้นของลานดาวแตกต่างจากเคย คือเมื่อเคลิ้มเข้าสู่ภวังค์มืดครู่หนึ่ง ก็ถูกสัญญาณเดิมที่กำหนด
ไว้ก่อนหลับปลุกสติขึ้นเล็กๆ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการเชื่อมต่อได้ติดกับจิตอีกขั้วหนึ่ง
คล้ายถูกดูดผลุบจากฐานกายเดิมเข้าไปอยู่ที่ฐานใหม่ สำนึกแรกลานดาวลืมตาดึงกายขึ้นนั่งด้วย
ความแช่มชื่น สำนึกต่อมาคือความพิศวงใจกับสัมผัสรู้สึกแปลกใหม่ แตกต่างเป็นคนละโลกกับเมื่อครู่ มอง
ตรงหน้าก็พบอมฤตในชุดเดิมที่เห็นเมื่อกลางวัน เขานั่งขัดสมาธิกลางพื้นห่างไปประมาณ ๕ ก้าว และกำลัง
ทอดสายตารอรับหล่อนด้วยรอยยิ้ม อะไรอย่างหนึ่งในกระแสตาของเขาบอกว่าอมฤตช่วยปลุกสติและเป็น
คนเรียกหล่อนมาอยู่กับเขา ณ ที่นี้ หล่อนกำลังอยู่ในฝัน อยู่ในความคุ้มครอง และอาจจะอยู่ในกำมือของเขา
พูดง่ายๆคือมีตัวตนอยู่ภายใต้อาณัติอมฤตชนิดเบ็ดเสร็จเด็ดขาด!
หญิงสาวยิ้มตอบอย่างตะลึงทึ่ง ประหลาดนักที่สติยามหลับกลับคมคายแจ่มชัดเสียยิ่งกว่ายาม
ตื่น สายตาหล่อนรู้ละเอียดกว่าเดิมทั้งสีสัน รูปทรง และกระทั่งผัสสะทางกายที่ขยับไหวได้ครบถ้วนเสมือน
กายเนื้อแท้ๆ ก้มมองก็เห็นร่างหล่อนเป็นปกติสมบูรณ์ในชุดเสื้อกางเกงนอนเดิม เมื่อเหลือบสำรวจก็พบว่า
รอบด้านคือแผ่นแก้วสามเหลี่ยมใสที่เรืองแสงวิจิตรได้ในตัวเอง หล่อนกำลังนั่งอยู่ในพีระมิด คือพื้นเป็น
ขอบเขตจัตุรัสประมาณ ๑๐x๑๐ เมตร มุงด้วยผลึกแก้วน้ำงามสามเหลี่ยมด้านเท่าทั้งสี่ด้าน แหงนมองเบื้อง
บนเห็นเรียวขึ้นสู่ความเป็นยอดแหลมอันเกิดจากจุดสุดของสามเหลี่ยมบรรจบกัน
แม้จะอยู่ในขอบเขตปิดทึบ แต่ทว่าบรรยากาศภายในกลับปลอดโปร่งเสมือนอยู่บนเขาสูง ให้
ความรู้สึกกว้างขวางเวิ้งว้าง ลานดาวหายใจด้วยความสดชื่นตื่นเต็ม กลิ่นหอมระรวยชวนอภิรมย์แตะต้อง
ฆานประสาท ก่ออารมณ์ละเมียดละไมลึกซึ้งอย่างยากจะพรรณนาด้วยโวหารเชิงเปรียบเทียบใดๆ
เหลียวกลับมาสบสานตา รูปกายนั่งสงบนิ่งของอมฤตเข้ากันได้สนิทกับความเงียบสงัดภายใน
พีระมิด นึกไว้ใจเขาเหมือนเห็นฤาษีสักตนที่ประพฤติพรหมจรรย์อยู่
“นี่ที่ไหนคะ?”
รู้สึกถึงพลังเสียงคมใสเหนือธรรมดาของตน ตระหนักว่าหล่อนกำลังมีรูปลักษณ์และคุณสมบัติ
ต่างๆภายใต้ขอบเขตการเนรมิตและอำนาจบันดาลของเขาโดยแท้
“เป็นพีระมิดที่เกิดจากการกำหนดสร้างนิมิตขึ้น สิ่งที่จ๊ะกำลังเห็น ก็คือส่วนหนึ่งของจิตพี่ พี่ก้าว
ลงสู่อาการหลับด้วยสติอย่างใหญ่ ความสามารถของจิตขณะนั้นอาจกำหนดอะไรขึ้นก็ได้ตามปรารถนา และ
พี่ก็ปรารถนารูปพีระมิดอย่างนี้ นักกีฬาทางจิตหลายคนรู้ดีว่าถ้าลงหลับโดยมีรูปทรงนี้ครอบตัว ก็จะเกิดสติ
รู้ตัวชัดเจนเหมือนตื่นขึ้นในอีกโลกหนึ่ง”
“จ๊ะงงจนพูดไม่ออก นี่เหมือนชีวิตใหม่ในอีกโลกจริงอย่างพี่แตรว่าเลยค่ะ”
“ช่วงนี้ได้สัมผัสชีวิตใหม่หลายแบบหน่อยนะ” อมฤตกล่าวพลางยิ้มกว้างขึ้น “เห็นแล้วใช่ไหม
ล่ะว่าชีวิตไม่ได้มีแค่มิติเดียว ไม่ได้มีตัวตนแบบเดียว”
“ค่ะ สุดพิสดารพันลึกเหลือเกินเลย ข้างนอกพีระมิดคืออะไรคะ?”
“ความฝัน”
“แล้วนี่ไม่ใช่ความฝันหรอกหรือคะ?”
“ฝันที่มีพี่เป็นเจ้าภาพ ไม่ใช่ฝันของจ๊ะเอง สำหรับจ๊ะแล้ว นี่คือภาวะที่เกิดขึ้นภายใต้การหลับ แต่
ไม่ใช่สภาพจิตใจแบบฝัน เห็นไหมว่าจ๊ะมีสติเต็มเสียยิ่งกว่าตอนตื่นอีก”
“ถ้าจ๊ะจะลองออกไปข้างนอกพีระมิด จะเกิดอะไรขึ้น?”
“ลองดูสิ”
“ไม่หูหนาตาเหล่ ปากเบี้ยวเหมือนถูกไฟช็อตนะคะ?”
อมฤตหัวเราะ
“เอาเถอะ ไม่เป็นอันตรายหรอก”
ลานดาวขยับกายลุกขึ้น ต้องเดินหลายก้าวกว่าจะถึงผนังเอนด้านใกล้สุด หล่อนยื่นแขน
นำออกไปก่อน เห็นมือตนเองทะลุผนังไปเฉยๆ และยังเห็นคงรูปเดิมเป็นปกติ มิใช่ยื่นผ่านผนังแล้วหายหน
แต่อย่างใด จึงค่อยรวบรวมความกล้าได้มากขึ้น ก้าวเทา้ เอาตัวทะลุผนังออกไปทั้งหมด
ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด เหมือนแสงสว่างหรี่ลงเหลือเพียงมลังเมลือง วินาทีแรกแห่งการ
ย่างกรายออกสู่ภายนอก ยังคงทรงสติรู้ว่าหล่อนเป็นลานดาวผู้กำลังพ้นเขตพีระมิด แต่เพียงอึดใจต่อมา
สำนึกคิดอ่านที่คมชัดอยู่ดีๆก็พร่าเลือนลง กลายเป็นเมฆหมอกมัวมนแบบเดียวกับคนง่วงนอนจัดที่กึ่งเคลิ้ม
กึ่งรู้สึกตัว และเริ่มปรากฏภาพฝันมัวมนขึ้นในมโนทวาร
ด้วยอัตตายามนี้ หล่อนเป็นนางอะไรนางหนึ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในห้องรับแขกบ้านใครบาง
คน เจ้าของบ้านคือชายหนุ่มที่ทำให้เกิดความยินดีเมื่อเห็น เขานั่งยิ้มต้อนรับในบุคลิกที่คุ้นเคย หล่อนรู้สึกตัว
ว่าเป็นอาคันตุกะผู้มาเยือน สำนึกรางๆแต่แรกเริ่มชัดขึ้น จำได้ว่าตนเองคือลานดาว ถัดมาจึงนึกออกว่าเขาคือ
อมฤต จากนั้นเกิดความสับสนกับสภาพตรงหน้า ขมวดคิ้วตรึกนึกทบทวนว่าเมื่อครู่ตนมาจากไหน
“ถอยกลับไปเถอะ”
เจ้าของบ้านคล้ายช่วยให้หล่อนระลึกได้เร็วขึ้น เมื่อนั้นเองลานดาวจึงถอยเท้ากลับหลังอย่างนึก
ออกว่าอะไรเป็นอะไร
กลับคืนสู่สภาพทรงสติแจ่มชัดภายในเขตพีระมิดแก้วคล้ายทะลึ่งตัวพรวดจากก้นบาดาลสุดลึก
ขึ้นสู่อากาศโปร่งเหนือน้ำ กะพริบตาถี่ๆเหลียวมองอมฤตผู้ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ ณ ตำแหน่งเดิม การสลับจาก
สติรู้ชัดเป็นฝันหลง แล้วแปรจากฝันหลงกลับคืนเป็นสติรู้ชัดภายในช่วงเวลาอันสั้นนั้น ทำให้เกิดความพิศวง
งงงวยกับความรู้สึกในตัวตนเป็นอย่างยิ่ง
“พี่แตรเรียกจ๊ะกลับมาหรือคะ?”
“เปล่านี่ ได้เห็นได้ยินอะไรหรือ?”
“จ๊ะเห็นพี่แตรในห้องรับแขก และพี่แตรบอกให้จ๊ะถอยกลับมา”
“อ๋อ ตัวพี่ในฝันของจ๊ะ ก็คือจ๊ะเองเตือนสติให้กลับมาที่นี่นั่นแหละ ถ้ากำลังเต็มตื่น จะปรากฏ
ในรูปความคิดสั่งตัวเองเป็นภาษาพูดในหัว แต่เมื่อกำลังฝัน ก็ต้องอาศัยรูปนิมิตอื่นบอก”
“แปลว่าจิตคนทั่วไปเชื่อมต่อกันได้ระหว่างฝันจริงๆโดยไม่รู้ตัวใช่ไหมคะ?”
“ใช่ แต่โอกาสเกิดขึ้นน้อยสักหนึ่งในพันมั้ง แล้วเหตุการณ์ในฝันก็จะมั่วมาก สื่อสารอะไรเลอะ
เทอะวุ่นวายแบบพูดกันคนละเรื่องเป็นส่วนใหญ่ เพราะไม่มีกำลังสติจากฐานสมาธิจิตช่วยค้ำ จนต่างฝ่ายต่าง
นึกว่าฝันไปเองคนเดียว ต่อเมื่อตื่นนอนแล้วเผอิญฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคุยให้ฟังว่าฝันถึง ก็อาจต้องตื่นเต้น
ประหลาดใจเมื่อพบว่าอีกฝ่ายก็ฝันแบบเดียวกัน ร่วมเหตุการณ์และฉากแวดล้อมใกล้เคียงในคืนเดียวกันนั้น”
“จ๊ะเคยอยู่สองสามหนกับเพื่อนสนิทค่ะ พอรู้ว่าอีกคนฝันด้วยก็วี้ดว้ายกระตู้วู้กันใหญ่ แต่ไม่
ทราบจะทำให้เกิดขึ้นอย่างใจได้อย่างไร”
พักหัวเราะนิดหนึ่งก่อนเอ่ยสืบต่อ
“ปกติจ๊ะเป็นคนฝันสนุก แล้วก็รู้สึกว่าฝันของตัวเองชัดเป็นส่วนใหญ่ แต่ตอนนี้เปลี่ยนมุมมอง
ไปเลยค่ะ ฝันทั้งหมดที่ผ่านมาคือภาพและเสียงพร่ามัว เลอะเทอะเลื่อนเปื้อน แม้แต่เนื้อตัวก็แหว่งวิ่นไร้
น้ำหนัก สะท้อนให้เห็นเลยว่าตอนไร้สตินี่คนเราคิดอ่านและพูดจาได้มั่วขนาดไหน”
“อยากลองอีกทีไหมล่ะ? คราวนี้ลองกระโดดขึ้นไปให้ทะลุออกทางยอด ภาพเสียงและสัมผัสจะ
ชัดขึ้น”
“มะ ไม่ล่ะค่ะ อยู่กับพี่แตรปลอดภัยกว่าเป็นไหนๆ เดี๋ยวโดดทะลุยอดแล้วภาพเสียงชัด แต่
กลายร่างเป็นอีแร้งขึ้นมามันจะยุ่ง”
อมฤตหัวเราะขำ ลานดาวสำรวจเนื้อตัวอีกครั้ง พบความเต็มตึง อวัยวะครบถ้วนแล้วกังขา
“ถ้าอย่างนี้อะไรกันแน่คะที่เรียกว่า ‘ความจริง’ ? ที่จ๊ะกำลังสัมผัสและรู้สึกตัวอยู่เดี๋ยวนี้มันชัด
เสียยิ่งกว่าโลกมนุษย์ตอนลืมตาตื่นเสียอีก”
“ถ้ายึดจิตเป็นหลัก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามากระทบให้เรารับรู้ได้ก็เป็นจริงหมดนั่นแหละจ๊ะ
แม้แต่ความฝันไร้สติที่จ๊ะออกไปสัมผัสเมื่อครู่ก็คือความจริงในชั่วขณะนั้นสำหรับจ๊ะ ความฝันอาจเป็น
รูปแบบวิธีสนองความต้องการที่หาไม่ได้ขณะลืมตาตื่น หรือสำหรับบางคนอาจเป็นรหัสใบ้อนาคต จำลอง
สถานการณ์ที่ยังมาไม่ถึงเพื่อเป็นการเตรียมตัวเตรียมใจซักซ้อมเอาไว้”
ลานดาวตาสว่าง
“แปลว่าจิตเท่านั้นหรือเปล่าคะที่เป็นความจริง?”
“ถ้าถกกันในเชิงปรัชญาแนวพุทธ แม้แต่จิตก็ ‘ไม่จริง’ ด้วยซํ้า เหตุผลตามมุมมองของ
พระพุทธเจ้าคือสิ่งใดต้องเลอะเลือนเสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมไม่ใช่ของจริง จิตเราเป็น
ธรรมชาติที่แปรปรวน อยู่ในสภาพตื่นแล้วกลายเป็นสภาพหลับ มีสำนึกแบบเด็กเพื่อเติบโตขึ้นเป็นสำนึก
แบบหนุ่มสาวก่อนจะหยุดที่สำนึกแบบคนแก่ และถ้ามองเป็นขณะๆ การรับรู้หนึ่งดับไปก็คือจิตสลายตัว
แปรเป็นอื่นแล้ว ที่ยังนึกว่ามีตัวเดิมเพราะธรรมชาติความจำยังสืบสายอยู่ไม่ขาด แต่ความทรงจำเองก็ต้อง
เสื่อมลงอยู่ดี”
“ฟังไปฟังมาไม่มีอะไรจริงซักอย่าง”
“ก็มีอยู่นะ เรากำลังอยู่ในจักรวาลของเหตุผล เหตุดีคือผลดี เหตุร้ายคือผลร้าย แต่ทั้งดีและร้าย
เกิดแล้วดับไปเรื่อย ไม่มี ‘ตัวเรา’ แบบที่เรากำลังสำนึกและรู้สึกอยู่เดี๋ยวนี้อย่างถาวรเท่านั้น”
หญิงสาวฟังแล้วอึ้งไปพักหนึ่ง
“เข้าใจแง่มุมของชีวิตกับศาสนาขึ้นเยอะเลยค่ะ พี่แตรคะ พีระมิดมีอำนาจพิเศษจริงหรือ?”
“เรียกว่าเป็นเงื่อนไขลี้ลับของธรรมชาติที่เราไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็แล้วกัน พีระมิดมาจาก
คำกรีกคือ Pyramidos แปลว่า ‘เปลวไฟตรงกลาง’ ซึ่งน่าแปลกที่เครื่องมือวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า ณ ตำแหน่ง
ใจกลางพีระมิด ที่ความสูงหนึ่งในสามจากกึ่งกลางฐานถึงยอด เป็นจุดรับพลังจากสนามแม่เหล็กโลกและ
รังสีคอสมิก และคายพลังออกมาจากจุดโฟกัสนั้นคล้ายเปลวไฟจริงๆ”
“หมายถึงจะใช้วัสดุแบบไหนก็จะเกิดปรากฏการณ์ทางพลังแบบเดียวกันหรือคะ?”
“ใช่ ด้วยธรรมชาติลู่ขึ้นสู่ยอดแหลมจากฐานจัตุรัส แมแ้ ต่โครงเหล็กแท่งๆที่ประกอบกันเป็น
พีระมิดโปร่ง หรือก้อนหินธรรมดาที่นำมาเรียงเป็นพีระมิดทึบ ก็จะคายอนุภาคไอออนประจุลบออกมา ยิ่งถ้า
มวลสารโดยรวมของพีระมิดเป็นอัญมณีอย่างควอทซ์คริสตัล ทองคำ หรือเงิน ก็จะยิ่งให้พลังมากขึ้นอย่าง
มหาศาล มีคุณกับกายมนุษย์ เช่นทำให้สนามแม่เหล็กในร่างอยู่ในภาวะสมดุล และมีผลแม้กับวัตถุ เช่นทำให้
มีดโกนกลับจากทื่อเป็นคม”
“แปลกจัง แค่รูปทรงวัตถุก็ทำให้เกิดการคายพลังออกมาได้”
“เป็นกฎธรรมชาติที่ปราศจากการอธิบาย เรารู้เพียงว่ารูปทรงพีระมิดจะดูดพลังงาน
สนามแม่เหล็กโลกและรังสีจากดวงอาทิตย์ ทำให้โมเลกุลในอากาศเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรวดเร็ว รีด
ประจุไฟฟ้าสถิตที่เป็นลบจากมวลสารของพีระมิดออกมา ทำนองเดียวกับที่เราหวีผมแรงๆเร็วๆในหน้า
หนาว ศักย์ไฟฟ้าทำให้เกิดแรงเคลื่อนประจุขึ้นสู่จุดยอดเบื้องบนเกลียววน และนั่นเองทำให้ถ่ายรูปพีระมิด
ด้วยกล้องเกอร์เลียนแล้วเห็นเหมือนเปลวเทียน”
“อย่างที่จ๊ะเคยได้ยิน ว่าทำสมาธิในพีระมิดจะสงบง่ายนี่ก็จริงใช่ไหม?”
“เป็นอย่างนั้น ธรรมดาคลื่นสมองคนเราตอนคิดๆจะกระเพื่อมยุ่งเหยิงเพราะถูกกระตุ้นให้
ทำงานอยู่เรื่อยๆ เรียกว่าคลื่นเบต้า ลักษณะคลื่นจะมีความถี่มาก แต่ความสูงของคลื่นจะต่ำ ยิ่งเวลากำลังคุย
เคร่งเครียด ค่าของคลื่นเบต้าก็จะยิ่งมากขึ้น ต่างจากตอนกำลังพักผ่อน หรือช่วงที่ทำงานสำเร็จลุล่วงสบายใจ
แล้ว คลื่นสมองจะมีความถี่น้อยลง แต่ความสูงของคลื่นจะมากขึ้น คลื่นแบบนี้เรียกว่าอัลฟ่า ถ้าเข้าไปนั่ง
ในพีระมิดซึ่งมีการคายอนุภาคไอออนประจุลบออกมา มีผลกับสนามแม่เหล็กในร่างกาย คลื่นสมองจะปรับ
มาเป็นคลื่นอัลฟ่าโดยแทบไม่ต้องลงทุนลงแรง จึงทำให้ไม่คิดมาก ไม่เปะปะไร้ระเบียบอย่างปกติ กำหนด
เข้าสมาธิลึก คือเป็นคลื่นระดับต่อๆไปเช่นเธต้าได้ง่าย”
“ทำนองเดียวกับแว่วเสียงระฆังที่มีกังวานหวานๆหรือสูดกลิ่นธูปที่หอมเย็น แล้วเหมือนถูก
กล่อมให้สงบ ผ่อนคลายความตึงเครียดลงอย่างนั้นหรือเปล่าคะ?”
“ทำนองเดียวกัน แต่อันนั้นเป็นการกระทบประสาทหยาบแล้วมีผลกับการทำงานของสมอง
สำหรับพีระมิดจะส่งผลกระทบกับสนามแม่เหล็กโดยตรง”
“ตอนกลุ้มๆ พอได้ยินเสียงแมวอ้อนก็สงบลงได้ อย่างนี้แปลว่าแมวสงบกว่าเราหรือเปล่า?”
“เสียงบางเสียงไม่ได้กล่อมให้สงบโดยตรง แต่กระตุ้นให้เกิดเมตตาจิตคิดเอ็นดู ตัวเมตตาจิตนั่น
แหละความสงบ”
“แล้วถ้าเป็นพีระมิดที่สร้างขึ้นจากจิตนี่ล่ะคะ จะให้ผลกับผู้เข้ามาอาศัยอย่างจ๊ะยังไง?”
“มันก็จะคายพลังจากจิตของพี่ออกมาเต็มอัตรา และอย่างที่จ๊ะกำลังเห็น เราอยู่ในฝันได้โดยไม่
ไหลลงสู่ภวังค์หรือความเลอะเลือน ตัวพี่เองก็อาศัยพลังเลี้ยงสติจากพีระมิดอยู่เหมือนกับจ๊ะนั่นแหละ”
“อ้าว! ไม่ใช่ว่าพีระมิดเป็นสิ่งที่พี่แตรต้องใช้กำลังจิตรักษาไว้หรือคะ? จ๊ะก็สงสัยอยู่ทีเดียวว่ามัน
ค้างรูปอยู่ได้ยังไง เห็นพี่แตรก็คุยกับจ๊ะเป็นปกติ”
“นี่เป็นคุณวิเศษของจิตขณะหลับ พี่ต้องผ่านขั้นตอนการฝึกยุ่งยากมากทีเดียวกว่าจะได้กุญแจไข
พลังลับดอกนี้มา เริ่มต้นคือก่อนหลับต้องสร้างพีระมิดขึ้นครอบทั้งร่าง จากนั้นสะกดจิตตัวเองเข้าสู่ภาวะ
หลับได้ทันทีชนิดกดปุ่มเปิดปิดดังใจ เมื่อหลับแล้วก็ต้องรู้สึกตัวขยับออกจากภาวะแช่แข็งได้ถูกด้วย จากนั้น
จึงฝึกดึงความจำเกี่ยวกับนิมิตพีระมิดที่สร้างไว้ก่อนหลับ พอนอนด้วยวิธีนี้ทุกคืนเป็นสิบปี พีระมิดก็
เหมือนบ้านที่สอง มีตัวตน มีความเป็นจริงเป็นจัง และเหมือนมันสามารถรักษาตัวเองโดยพี่ไม่ต้องออกแรง
ประคองเหมือนตอนเข้าสมาธิขณะตื่น”
“รูปทรงที่เห็นก็คือจิตอีกภาคหนึ่งของพี่แตรที่คงสภาพตกผลึกแล้วใช่ไหมคะ?”
“เรียกว่าเป็น ‘รูปแบบหนึ่งของความคิด’ ก็แล้วกัน ไม่ใช่จิตหรอก สิ่งที่จิตสร้างขึ้นจะไม่
หายไปไหน ถ้าสะสมพลังเพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็เข้าสู่สภาพตกผลึกอย่างจ๊ะเรียก”
“อย่างถ้าตอนนี้ใครไปนอนเตียงพี่แตร ก็จะได้ผลเหมือนนอนในพีระมิดแก้ว?”
“ใกล้เคียงมั้ง”
“แล้วทั้งหมดที่จ๊ะกำลังเห็นอยู่เดี๋ยวนี้ คือสิ่งเดียวกับที่พี่แตรกำลังเห็นไหมคะ? พูดง่ายๆเรากำลัง
เห็นสิ่งเดียวกันอยู่หรือเปล่า?”
อมฤตส่ายหน้า
“แตกต่างกัน”
ลานดาวอ้าปากหวอ
“นึกแล้วเชียว เดานะคะ จ๊ะเห็นตัวเองในชุดเสื้อกางเกงนอน แล้วก็เห็นพี่แตรในชุดเดิมเมื่อ
กลางวัน อันนี้ก็คือสัญญาณความจำที่ติดมาก่อนหลับ ผิดจากของจริงที่พี่แตรกำลังเห็นใช่ไหม?”
“ใช่ แต่ในโลกของจิตนั้น ‘ของจริงแท้ๆ’ ไม่มีหรอกจ๊ะ มีแต่เห็นมาจากระดับจิตแบบไหน
ระดับจิตนั่นเองทำให้เกิดมุมมองไปต่างๆ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นก็คือเราคุยกันด้วยใยเชื่อมโยงสัมพันธ์ทางจิต ซึ่ง
ต่างฝ่ายต่างเปิดรับ จ๊ะเห็นจากความจำของจริงในโลกวัตถุ ส่วนพี่เห็นจากภูมิจิตที่เป็นตัวของตัวเองใน
ปัจจุบัน ตามฐานะเจ้าของพีระมิด”
“จ๊ะมีสิทธิ์เลื่อนชั้นการเห็นบ้างไหมคะ?”
“มี!”
ปุบปับลานดาวก็เห็นเสาแก้วต้นหนึ่งปรากฏขึ้นใกล้กายด้านขวา นั่นทำให้หล่อนตกใจพอควร
เพราะที่นี่มิได้คล้ายความฝันหรือโลกจำลองแต่อย่างใด เหมือนอยู่ในโลกความจริงแล้วจู่ๆเกิดวัตถุ
แปลกปลอมโผล่มาเฉยๆ
แต่เมื่อหายตกใจและหันไปมอง ก็พบกระจกเงาบานใหญ่แปะติดเสา เห็นเงาระหงของร่างตน
ปรากฏที่นั่น
“เงานี้คือสิ่งที่จ๊ะเชื่อว่าจ๊ะเป็น และจดจำไว้อย่างนั้น”
อมฤตบอก ซึ่งลานดาวก็ค่อยๆขยับเข้าไปใกล้ ยิ้มเล็กน้อยก่อนยื่นหน้าสบตากับเงาตนเอง
กะพริบตาปริบๆ มองทั่วกรอบหน้า แล้วพินิจละเอียดกระทั่งรูขุมขนบนผิวแก้มด้วยความสนเท่ห์ เพราะหา
สิ่งผิดเพี้ยนจากที่เคยคุ้นไม่เจอแม้แต่น้อย
“จ๊ะจะไม่พบพิรุธเท่ารอยแมวข่วนหรอก กายหยาบเป็นอย่างไร กายนิมิตก็จำลองมาอย่างนั้นทุก
ประการ ตราบใดที่ความรับรู้ยังเป็นตัวเดิม และไม่เสื่อมจากความปักใจเชื่อ”
ฟังเช่นนั้นลานดาวก็ลองกำหนดจิต บังคับให้เค้าหน้าเปลี่ยนแปลง สะกดให้ตนเองเชื่อมั่นว่าทำ
ได้เหมือนควบคุมเงาฝันให้บิดรูปตามปรารถนา แต่พยายามเท่าใดก็ยังเห็นเงาสะท้อนของตนเป็นตัวเดิม
“ถ้าเป็นโลกความจริง จ๊ะเชื่อไหมว่าตัวเองสั่งเงาในกระจกเปลี่ยนรูปทรงได้?”
อมฤตทักอย่างรู้ความคิด
“ไม่เชื่อ แต่นั่นเพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้นี่คะ”
ลานดาวตอบ เบนสายตามาสบกับเขาด้วยแวววอนขออุบาย
“ความรู้สึกนึกคิดและสภาพจิตใจของจ๊ะขณะนี้ เหมือนปกติสามัญเท่ากับตอนตื่นทุกประการ
ใช่ไหม?”
“ค่ะ รู้สึกอย่างนั้น ถ้าต่างบ้างก็คือสติเต็มแน่นไม่ขาดสายผิดปกติ อยู่ในพีระมิดของพี่แตรจ๊ะ
ไม่เหม่อเลย”
“แล้วโลกความเป็นจริง จ๊ะเชื่อไหมว่าคนเราสามารถเปลี่ยนสภาพจิตใจให้ผิดแผกไปจากเดิม
เช่นให้เป็นกุศลมากขึ้น สุขสดชื่น อิ่มบุญ แปลกไปเหมือนเป็นคนละวิญญาณ?”
หญิงสาวร้องอ๋ออยู่ในใจอย่างตื่นเต้นลิงโลดเพราะเข้าใจทันที หล่อนถูกทำให้เชื่อมาตลอดว่า
กายเป็นของเสถียร ขณะที่จิตอาจแปรปรวนได้ในชั่วลัดนิ้วมือ และในโลกของวิญญาณนั้น อัตภาพที่ปรากฏ
น่าจะสัมพันธ์กันโดยตรงกับสภาพจิตนั่นเอง
เร็วเท่าความคิด ลานดาวปิดตากำหนดจิตเป็นสมาธิด้วยการถอนใจยาวตามสบาย แล้วทดลอง
นึกถึงการตักข้าวใส่บาตรพระในครั้งหนึ่งที่บันดาลกระแสสุขเบิกบานเอ่อขึ้นเต็มหัวใจ ครั้งนั้นปีติตื้นตัน
ขนาดสยายยิ้มค้างเนิ่นนานอยู่หลายนาที
บัดนี้ปีติสุขชนิดนั้นหวนคืนกลับมาอีกครั้ง สัมผัสเหมือนปีตินั้นเป็น ‘ดวงกรรม’ ดวงหนึ่งที่
ขาวสว่าง ให้ความเอิบอาบชุ่มเย็นราวกับชุบวิญญาณลงในอ่างกุศลขนาดใหญ่ ในพีระมิดของอมฤตแห่งนี้
ความชื่นใจในบุญเป็นสิ่งที่ประคองง่าย และขยายขอบเขตให้กว้างขวางออกไปสะดวกดายยิ่ง
ลืมตาขึ้นมองเงาในกระจกอีกครั้งอย่างจะดูว่า ‘กรรมขาว’ ให้ผลเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง ภาพสะท้อนตรงหน้าถึงกับทำให้ขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง
รูปทรงและเค้าหน้ายังคงเป็นลานดาวคนเดิม ทว่าผิวพรรณผุดผ่องสดใสเสียจนเรืองรัศมีอำพัน
อาภาแบบที่ไม่เคยเห็นตนเองเป็นเช่นนั้นมาก่อนทั้งในโลกความจริงและโลกความฝัน เสื้อผ้าอาภรณ์ก็
ผลัดเปลี่ยนจากชุดนอนสามัญเป็นชุดกระโปรงฟ้าสดใสแปลกตา แม้ไม่ทรงเครื่องพิลาสขนาดเป็นนางฟ้า
แดนสวรรค์ ก็ทำให้ตื่นใจห่อปากครางออกมาเบาๆได้ชนิดไม่รู้ตัว
เพิ่งพบผลลัพธ์ของการเป็นคน ‘ใจบุญ’ อย่างรวดเร็วทันใจก็คราวนี้เอง อย่างน้อยนี่คือครั้งแรก
ในชีวิตที่เห็นรัศมีเหลืองใสแกมทองละเลื่อมเป็นวงกว้างออกมาจากตัวเอง และเกิดความตระหนักว่าหล่อนก็
เคยเห็น ‘รัศมีคนใจบุญ’ ที่มีความสุกสว่างอย่างนี้มามากในโลกความจริง หากแต่เพราะจิตหล่อนยังหยาบ
ต้องพึ่งประสาทตาเป็นหลัก จึงเหมือนแค่อะไรหลอกตา ไร้ตัวตนให้จับต้องเป็นสีสันชัดเจน ถ้าถามก็อาจ
บอกได้เพียงเห็นวงขาวใสในสัมผัสทางใจมากกว่าเป็นสีวัตถุอย่างที่เห็นด้วยประสาทตาเนื้อ
ผันกายจากกระจกเงา อาการนึกคิดชนิดเป็นกลุ่มก้อนหยาบๆสลายลง ความเด่นชัดของจิตผุด
ขึ้นแทน เป็นความเห็นจากภายในว่าจิตตนเรืองแสงทอง มองทางไหนจึงสดใสลออตากว่าเคย จึงเข้าใจเรื่อง
การจำแนกมิติด้วยสภาพจิต ลานดาวมาทราบภายหลังว่าสีของจิตยังมีมากกว่านี้ ทำนองเดียวกับที่
นักวิทยาศาสตร์ใช้แท่งปริซึมแยกแสงอาทิตย์เป็นรุ้ง ๗ สี จิตที่ละเอียดพอก็เหมือนแท่งปริซึมที่เห็นสี
กระจายจากตนเองเป็นต่างๆ ตามสภาพอารมณ์ ระดับพลัง ตลอดจนกระทั่งแบบแผนความนึกคิด
เหลือบชำเลืองแลอมฤต บัดนี้เขากลายเป็นบุรุษร่างใหญ่ขึ้น เครื่องแต่งกายเปลี่ยนจากเสื้อเชิ้ต
กางเกงยาวเดิมมาเป็นผ้าลินินสี่เหลี่ยมที่ห่อพันกายและผูกคาดเอวสไตล์ปราชญ์กรีกโบราณ จากระดับจิต
ของลานดาวขณะนั้น หล่อนเห็นขอบรัศมีจิตของเขาเรื่อเหลืองแกมทองเช่นกัน แต่มีความสุกสว่างเด่นดวง
เยี่ยงราศีพลังสูง สดใสเย็นตา และกว้างขวางใกล้เคียงกับขอบเขตของพีระมิด
“ตอนนี้จ๊ะเห็นแบบที่พี่แตรเห็นหรือยังคะ?”
“ยัง”
“พี่แตรรู้ได้ไง? จ๊ะยังไม่ทันบอกเลยว่าจ๊ะเห็นอะไรบ้าง”
“พี่ไม่รู้ว่าจ๊ะเห็นอะไรบ้าง รู้แต่ว่าจิตจ๊ะยังหยาบกว่าพี่ มีอะไรหนาๆห่อหุ้มอยู่ คงคล้ายกับถ้าจ๊ะ
เห็นคนใส่แว่นดำข้างแดงข้าง จ๊ะก็จะรู้ว่าเขาเห็นโลกไม่เหมือนเราที่ปราศจากแว่น”
“ตอนนี้จ๊ะเห็นพี่แตรสวมเสื้อผ้าแบบอริสโตเติ้ลตอนกำลังจะสอนปรัชญาให้เด็กเมื่อวานซืนน่ะ
ค่ะ ไม่ตรงหรือคะ?”
อริสโตเติ้ลหัวเราะเบาๆ
“ไม่หรอก พี่ไม่ได้เห็นตัวเองเป็นอย่างนั้น นั่นเป็นสิ่งที่จ๊ะคิดว่าพี่เป็นต่างหาก”
“แต่จ๊ะไม่เคยนึกว่าพี่แตรเป็นพวกนักปรัชญากรีกเลยนะ”
“ถ้าสืบลงไปลึกๆก็จะพบเค้าเองแหละ เหมือนอย่างในฝันทั่วไป เราอาจจดจำใครบางคนไปปรุง
ปั้นให้เป็นทหาร ทั้งที่ขณะตื่นไม่เคยเห็นเขาเป็นทหารเลยสักครั้ง ตอนเราหลับอยู่ จิตจะทำงานเร็วมาก และ
ฉายภาพที่ฟ้องความรู้สึกแท้ของเราออกมาได้มากมาย”
“แล้วทำยังไงจะได้เห็นตรงกันกับพี่แตรได้ล่ะนี่?”
“ก็ต้องทำจิตให้ใสเบาเสมอกันกับพี่”
ลานดาวเลิกคิ้วสูงด้วยความฉงน
“สมาธิก่อนหลับไม่ทำให้ใสเบาพอหรือคะ?”
“สมาธิช่วงนั้นเหมือนแค่บัตรผ่านประตูเข้ามาที่นี่ พอมาอยู่ในนี้ก็ฟุ้งเหมือนเดิม”
“ว้า! เรื่องของจิตนี่ลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน มหัศจรรย์พันลึกเสียเหลือเกิน งั้นพี่แตรสอนที
นะคะว่าทำอย่างไรจะเห็นแบบที่พี่แตรเห็น”
“ได้ มานั่งตรงหน้าพี่สิ”
หญิงสาวก้าวตรงเข้าหาผู้เป็นประธาน ณ ใจกลางปีระมิด พอมาหย่อนร่างนั่งขัดสมาธิตรงหน้า
อมฤต ก็เกิดความระย่อคร้ามเกรงอย่างประหลาด ขัดแย้งในตัวเองที่ทั้งอยากเขยิบถอยออกห่างรัศมีแรงสูง
และทั้งอยากเข้าประชิดรับไออุ่นยิ่งใหญ่ให้ใกล้กว่านี้
“ถ้าต้องการเห็นแบบที่พี่กำลังเห็น ก็ต้องทำสมาธิในรูปแบบเดียวกัน คือสร้างปีระมิดขึ้นมาอีก
หลังหนึ่ง!”
“อย่างจ๊ะจะทำอะไรยากๆขนาดนั้นได้หรือ?”
“ถ้าตอนกำลังตื่นก็คงต้องฝึกอีกนาน แต่ขณะอยู่ในปีระมิดของพี่แบบนี้ ทำครั้งแรกก็สำเร็จง่ายๆ
เพราะทั้งปีระมิดก็คือกระแสสมาธิช่วยหนุนให้อยู่แล้ว”
“โอเคค่ะ ฟังแล้วค่อยใจชื้นหน่อย”
“เอาล่ะ ปิดตาลงนะ”
เมื่อลานดาวทำตาม เขาก็สั่งต่อตามลำดับ
“หายใจเข้าด้วยอาการสำเหนียกความสดชื่น เหมือนหายใจด้วยรอยยิ้ม จิตที่ชื่นชมยินดีกับลม
หายใจจะเห็นลมหายใจชัดได้เอง ตอนระบายลมออก ก็สำเหนียกถึงความผ่อนคลายสบายใจให้มีความสุข
เสมอกัน นั่นแหละ กำหนดลมหายใจด้วยอาการอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา ดูความหนักแน่นของจิตระหว่างกลาง
การรับรู้ จะเห็นมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ”
ลานดาวเคยทำสมาธิแบบตามรู้ลมมาก่อน ทว่าได้ผลแตกต่างจากขณะที่กำลังอยู่ในปีระมิดนี้เป็น
คนละเรื่อง หล่อนพบกับความประหลาดใจยิ่งที่พบว่าจิตของตนไม่ซัดส่าย ไม่กระโดดไปเกาะสิ่งอื่น ไม่
คำนึงถึงอดีต ไม่แล่นล่วงหน้าหาอนาคต อาจจะเพราะความพอใจลมบริสุทธิ์สดชื่นที่ผ่านเข้าสู่ทรวงอกใน
ปัจจุบันอย่างล้นเหลือ จึงไม่มีใจเผื่อให้กับอะไรข้างหน้าหรือข้างหลังอีกต่อไป
จิตมีน้ำหนักพลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และผนึกนิ่งสว่างโพลนเต็มดวงกว้างออกมาจากกลางอก
สภาพนึกคิดแบบบุคคลหายหน เหลือเพียงสภาวะยินดีปรีดา รู้เห็นสายลมหายใจเข้าออกเหยียดยาว สำนึก
ข้องเกี่ยวกับสถานที่และบุคคลลดลงแทบเหลือศูนย์ ทุกอย่างมลายกลายเป็นความขาวใส ทะลุความทึบตัน
ออกสู่ความโล่งละลิบ
หูได้ยินครูผู้คุมสมาธิบอกบทต่อ
“คราวนี้จินตนาการว่าเรานั่งอยู่กลางห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวเท่ากัน”
ลานดาวนึกตาม ในขณะแห่งสมาธิจิตมั่นคงกระจ่างใสนั้น น้อมนึกอะไรก็ชัดกริบเป็นจริงเป็น
จังไปหมด เหมือนพลิกผันมาอยู่อีกสถานที่หนึ่งจริงๆ จิตเห็นเหมือนมีผนังจัตุรัสปิดกั้นทั้งสี่ทิศ
“เอานะ ตอนนี้พี่เห็นจัตุรัสปรากฏแล้ว ให้จ๊ะทำความรับรู้ถึงผนังทั้งสี่ด้าน สัมผัสรู้สึกถึง
อากาศรอบตัวที่อยู่ในขอบเขตจำกัดระหว่างผนังกั้น สังเกตความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยในเขตมุงบัง รู้สึกถึง
ความเงียบสงบไม่ไหวติงภายในนั้น สำรวจผนังทีละด้านจนแน่ใจว่ามันมีอยู่จริงเป็นตัวเป็นตน คราวนี้
สำคัญนะ นึกให้ผนังทั้งสี่ด้านล้มเข้าหากัน แต่ละด้านกลายเป็นสามเหลี่ยมด้านเท่า บรรจบยอดสุดเป็นปลาย
แหลมอย่างปีระมิด ตรงกับกลางกระหม่อมเราพอดี”
ขณะนั้นจิตลานดาวปักหลักมั่น คุมนิมิตได้ตามปรารถนา และจดจ่อแน่วแน่ขนาดได้ยินเสียง
ล้มกระทบประกบกันระหว่างผนังที่แปลงเป็นสามเหลี่ยมด้านเท่าทุกทิศ ทั้งซ้าย ขวา หน้า หลัง พอเกิด
สามเหลี่ยมปีระมิดขึ้นเต็มสภาพ ก็สำเหนียกถึงความแปลกเปลี่ยนทันที คล้ายรูปทรงที่เพิ่งก่อตัวขึ้นนั้นประจุ
ขุมพลังมหึมาไว้เต็มแน่นราวกับเอาไปใช้ระเบิดภูเขาได้ทั้งลูก
ผนังเนรมิตตกผลึกเป็นแก้วใสแบบเดียวกับควอทซ์คริสตัลที่เรืองแสงสว่างอบอุ่นได้ในตัวเอง
อันนี้หล่อนเห็นมาก่อนจากปีระมิดของอมฤต ทว่ามิได้จงใจสร้างเลียนแบบแต่อย่างใด
“พี่เห็นปีระมิดของจ๊ะแล้วนะ เป็นรูปเป็นร่างชัดทีเดียว จ๊ะจะรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ แล้วก็
สามารถควบคุมให้ขนาดของมันเปลี่ยนได้ดังใจ ลองนึกให้ใหญ่เท่าปีระมิดของพี่ดู”
ลานดาวปฏิบัติตาม กระทั่งปรากฏเป็นความเห็นทางใจ ว่าพื้นที่จัตุรัสขยายออกเท่าพื้นที่ปีระ
มิดของอมฤต ซึ่งก็พลอยทำให้สามเหลี่ยมด้านเท่าที่มุงอยู่ทุกด้านแปรผันตาม ซ้อนกันได้สนิท
“ภาวะของจ๊ะตอนนี้แม้จะมั่นคงพอสมควร แต่ถ้าลืมตาขึ้นมา หรือกระทั่งคิดจะโต้ตอบพูดคุย
กับพี่ ปีระมิดจะหายไป เพราะฉะนั้นจ๊ะต้องหลับซ้อนลงไปอีกครั้ง เป็นการฟอกจิตให้สะอาดเกลี้ยงเกลาขึ้น
เรียกว่าลอกคราบหยาบที่เกาะกุมภาวะประณีตเราออกเสีย พอตื่นขึ้นอีกหนกายละเอียดใหม่จะสามารถ
ออกมาเคลื่อนไหวและพูดคุยกับพี่ได้”
พอลานดาวเกิดคำถามในใจว่าจะหลับได้ด้วยวิธีใด ก็เผอิญอมฤตกล่าวขึ้นพอดี
“วิธีหลับครั้งที่สองนะ ให้ทรงความรู้สึกในนิมิตปีระมิดไว้ดีๆ ค่อยๆเอนตัวลงนอน เอาเลย
นอนเลย หันหัวมาทางพี่ก็ได้ ทำความรู้สึกเหมือนแผ่นน้ำที่มีแรงตึงผิวราบเรียบพอดี กำหนดไว้ในใจ
คล้ายเราลอยตัวแผ่เสมอกับผิวน้ำนั่นแหละ เพ่งหนักไปนิดหนึ่ง คลายลงหน่อย อย่างนั้น คราวนี้น้อม
นึกว่านิมิตปีระมิดทั้งหมดคือพลังที่ค้ำจุนสภาพหลับนิ่งลึกซึ้งของเราไว้ พี่จะช่วยนับถอยหลังจาก ๕ ถึง ๑
ให้นะ”
ตรงจุดนี้อมฤตใช้หลักสะกดจิตแบบจิตแพทย์มาเสริม ด้วยการพูดช้า แช่มชัด โน้มน้าวให้เกิด
อาการทางจิตตามเสียงสั่ง ผนวกเข้ากับความสามารถรู้วาระจิตตรงตามจริงของเขาด้วย
“๕ จ๊ะรักษาความราบเรียบเต็มตึงของจิตเตรียมเข้าสู่การหลับได้ดีแล้ว ๔ จ๊ะกำลังหมดความ
นึกคิดนอกเหนือจากปีระมิด ๓ จิตของจ๊ะยุติการทำงานทั้งหมดเพื่อให้ปีระมิดทำงานแทน ๒ เหลือแต่
ความสว่างสบายผ่อนคลายไปทั่ว ๑ จงหลับ!”
คำสุดท้ายอมฤตอธิษฐานเรียกพลังจากปีระมิดของเขาเข้าสะกดให้ลานดาวก้าวลงสู่นิทราสนิท
ซึ่งก็มีผลให้สติของหญิงสาวดับวูบลงทันทีชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยแปรเป็นความรู้สึกเหมือนจมดิ่งลงสู่
ทะเลทิพย์อันแสนสุขที่ปราศจากการรับรู้อื่นใด ไม่มีตัวตน ไม่มีบุคคล มีแต่ความลึกโอฬารของก้นสมุทร
แห่งความหลับชั่วนิรันดร์
แล้วด้วยกลไกการทำงานอันแสนพิสดารของจิต ลานดาวก็เหมือนผลุดโพล่ง ดีดตัวพลุ่งขึ้น
เหนือนํ้า รับรู้ความปลอดโปร่งขีดสุด ทั้งเบาดุจไร้น้ำหนัก ทั้งซาบซ่านด้วยการอาบชะโลมแห่งสายลม
ศักดิ์สิทธิ์ หล่อนลืมตารู้สึกตัวตื่นขึ้นในอีกภาวะหนึ่งที่แปลกใหม่เหนือคำบรรยายใดๆ ทุกอย่างสว่างกระจ่าง
แจ้งผิดธรรมดา ทุกอณูประจุด้วยรสเกษมล้ำลึก จิตสว่างโร่ สำเหนียกถึงรัศมีสีเงินยวงที่เจิดจ้าจากความว่าง
ตรงกลางไปสาดประกายระยิบระยับที่ขอบวง
เหมือนจิตถูกไล้ด้วยสัมผัสอ่อนละมุนโดยตรง เพราะอาภรณ์ที่ห่อหุ้มยามนี้ละเอียดเสียจนคล้าย
แสงเงินแสงทองเสียมากกว่าจะเป็นลักษณะของเนื้อผ้า ส่วนผิวกายก็สุขุมจนเหมือนไร้สัมผัสหยาบใดๆ เป็น
ความลออองค์อีกชั้นหนึ่งเหนือรูปลักษณ์ทั้งหมดในประสบการณ์ชั่วชีวิต แม้กระทั่งจินตนาการถึงเทพธิดา
บนสรวงสวรรค์ยังอาจแพ้!
เหลียวหาผู้เหนี่ยวนำจิตวิญญาณหล่อนมาถึงสภาพนี้ เขาอยู่ในภาวะพอดีกัน คืออยู่ในอาภรณ์สี
ทอง เป็นเงามัน เปล่งประกายระยิบระยับที่เกล็ดเพชรนับแสนรวมกันยังต้องอาย อมฤตยังเป็นบุรุษรูปงาม
คนเดิม แต่เค้าโครงรูปร่างหน้าตาดูอ่อนละไมผิดมนุษย์ และมีรัศมีจิตจัดจ้าเสียจนหล่อนไม่กล้ามองตรงๆ
“นี่คือจิตแท้ๆของเราหรือคะ?”
หล่อนว่าหล่อนเปล่งเสียงออกไปเพียงแผ่ว ทว่ากลับได้ยินชัดลึก ไพเราะประณีตคล้ายก้องอยู่ใน
จิตมากกว่ากระจายผ่านอากาศอย่างที่เคยคุ้น
“ครั้งแรกพี่ก็นึกอย่างนั้น ภายหลังพอมาถึงตรงนี้บ่อยๆ พิจารณาแลว้ ถึงรู้ว่านี่เป็นแค่แบบแผน
ภาวะสุขุมชนิดหนึ่ง จิตจริงๆเป็นธาตุรู้ไร้นิมิต แต่ก็เป็นผู้สร้างสรรค์รูปลักษณ์ทั้งหลายขึ้นจากภาวะกุศลและ
อกุศลของตน”
น้ำเสียงของเขากังวานคลอเคลียอยู่ในโสต เท่าๆกับกังวานอย่างน่าพิศวงอยู่ในอากาศลึก
“งั้นนี่คือภพของพรหม?”
เป็นความทรงจำเล็กๆที่ติดตัวมา หล่อนทราบว่าสูงเหนือมนุษยภูมิขึ้นมาคือเทวภูมิอันยังข้อง
เกี่ยวอยู่กับกามคุณ ๕ และเหนือจากนั้นขึ้นมาอีกคือพรหมภูมิซึ่งตัดขาดจากกามคุณทั้งหลาย เหลือเพียง
สภาวะอันเอื้อให้เสพปีติด้วยจิต แม้ผัสสะทางกายก็หายไป
“จ๊ะลองสำรวจตัวเอง จะเห็นยังมีเพศหญิงอยู่นะ เพราะฉะนั้นกล่าวไม่ได้ว่านี่เป็นพรหมโลก
หรอก ที่นี่เป็นเพียงอีกภพหนึ่งที่จิตสร้างขึ้นจากการหลับซ้อนหลับเท่านั้น เค้าความเป็นมนุษย์ยังคงอยู่ ไม่ใช่
เทวดา ไม่ใช่พรหม”
“แล้วจะทำอะไร ใช้ประโยชน์อะไรได้จากที่นี่นอกเหนือจากเสพสุขคะ? จ๊ะมีความสุขเสียจน
อยากให้ทุกคนมารู้จักกับภาวะนี้พร้อมกันทั้งโลกเลย!”
“นั่นแหละ ธรรมชาติของภพนี้ ใครมาถึงก็จะอยากแผ่เมตตา เผื่อแผ่ความเยือกเย็นไปทั่ว
จักรวาล เพราะการส่งสุขเป็นอนันนต์ ก็คือการมีสุขเป็นอนันต์”
ลานดาวรู้จักกับรสปีติตื้นตันสุดพรรณนา เข้าใจแจ่มชัดและจดจำไว้
ส่งสุข จึงมีสุข!
“ขอจ๊ะลองแผ่เมตตาร่วมกับพี่แตรนะคะ”
“เอาซี”
ทั้งอิริยาบถยืนนั่นเอง อมฤตยื่นสองมือให้ลานดาววางประกบ ซึ่งความละเอียดอ่อนระดับนั้น
เหมือนจิตผสานเป็นอัตตาหนึ่งเดียวกันมากกว่าแยกเป็นสอง
“ปิดตาลง แล้วทำความรู้สึกให้ทั่วถึงทั้งปีระมิดที่ซ้อนกันสองหลังของเรา เห็นในใจตามจริงว่า
มันร่วมกันทอแสงใสเย็น และส่งแรงสะเทือนอันน่าพิสมัย เต็มไปด้วยพลังคุ้มครอง พอแจ่มชัดก็น้อมนึกให้
ความสะเทือนนั้นแผ่เป็นรัศมีขยายออกไป ให้มันเบ่งบานขึ้นเองด้วยน้ำใสใจจริงของเรา”
หญิงสาวได้เห็นการขยายตัวของพลังสว่างที่ไม่เคยพบพานมาก่อน หล่อนสัมผัสชัดว่านั่นคือ
ขอบเขตรัศมีเมตตาที่แผ่ออกด้วยดวงจิตอันเป็นหนึ่งเดียวกับปีระมิด ยิ่งนานยิ่งเบ่งบานกว้างออกไป กระทั่ง
ถึงสิ้นสุดที่เขตหนึ่ง ซึ่งจิตบอกว่าเริ่มไปพ้นจากการประมาณวัดเป็นขนาดเสียแล้ว ตรงนั้นเองคือนิยามขอ
งอนันตภาพ
ณ จุดนั้นเสียงอมฤตดังขึ้นคล้ายเสียงความคิดของหล่อนเองปรากฏอยู่ในใจ
“ขณะที่เราอาศัยอยู่ในปีระมิดนี้ มีใครบางคนกำลังสร้างปีระมิดขึ้นมา มีใครบางคนกำลัง
อาศัยอยู่ในปีระมิดคล้ายเรา อาจจะอยู่ในสมาธิ หรืออาจจะอยู่ในฝันทั้งทรงสติแบบนี้ บรรดาผู้มีพลังอิ่มตัว
แล้วจะพากันเชื่อมปีระมิดของตนเข้าหากันเป็นหนึ่งเดียว ปราศจากการแบ่งแยก เพราะฉะนั้นง่ายที่เราจะขอ
เป็นหนึ่งหน่วยเชื่อมต่อกับเครือข่ายขนาดยักษ์นี้ เพื่ออาศัยพลังกันและกันค้ำจุน ใครเพลี่ยงพล้ำก็ถูกผอง
เพื่อนฉุดหรือเหนี่ยวไว้ไม่ให้ตกต่ำ”
คำพูดของอมฤตทำให้ปรากฏนิมิตปีระมิดนับพันเรียงรายดุจหมู่ดาวในห้วงเอกภพ ปีระมิด
เหล่านั้นมีกระแสใจเชื่อมโยงเข้าด้วยกันเป็นเอกภาพคล้ายใยแมงมุม นั่นเองหล่อนจึงเข้าใจภาวะของภพที่
ร่วมกันสร้างโดยหมู่จิตชนิดเดียวกัน ทำสมาธิสร้างนิมิตขึ้นแบบไหน ก็มารวมกลุ่มกับจิตวิญญาณอัธยาศัย
เดียวกันแบบนั้น
เนิ่นนานกระทั่งถึงจุดยุติที่ต่างฝ่ายต่างรู้ จึงลืมตาขึ้นพร้อมกัน ลานดาวยิ้มกระจ่าง เนตรทิพย์
เชื่อมกันสนิทกับเขา
“จวนเวลาปีระมิดของพี่เสื่อมลงแล้ว เตรียมตัวตื่นได้”
“เป็นกำหนดเวลาตายตัวหรือพี่แตรทราบจากไหนคะ?”
อมฤตชี้ให้ดูผนังแก้ว
“แสงสว่างลดลงเหมือนต้นไม้ที่เริ่มเหี่ยวเฉา เห็นไหม?”
“อ๋อ อย่างนี้เอง นึกว่าจะทรงสภาพได้นานตราบเท่าที่พี่แตรต้องการเสียอีก”
“มันเสื่อมเพราะถึงเวลาต้องเสื่อม สั่งอย่างไรก็ไม่สำเร็จหรอก จ๊ะต้องตื่นสองครั้งนะ ตอนนี้
ในโลกความจริงจ๊ะอยู่ในภาวะหลับลึกมาก ถ้าตื่นทันทีจะมึนงง มีผลกระทบกับสมองได้ ทำนองเดียวกับคน
ดำน้ำลึกแล้วพุ่งขึ้นผิวน้ำพรวดพราดโดยไม่มีช่วงคั่นพักปรับสมดุลในร่างกายเสียก่อน”
“ไม่อยากออกจากมิตินี้เลย ”
หญิงสาวส่งเสียงละห้อย
“วันหลังเอาใหม่ ให้เก่งแค่ไหนก็ไม่มีใครชนะกฎแห่งความเสื่อม”
“ค่ะ ”
“เอาล่ะ เดี๋ยวพี่จะช่วยปลุกให้ตื่น ปิดตาลง”
ลานดาวทำตามเขาสั่งทั้งยืนอยู่เช่นนั้น อมฤตใช้หลักถอนการสะกดจิตเข้ามาชว่ ยอีกครั้ง
“พี่จะนับถอยหลังไปสู่ความตื่นครั้งแรก ๓ จ๊ะอยู่ในอาการหลับสบาย ๒ จ๊ะคลายออกจาก
ห้วงหลับ ๑ จงตื่น!”
คล้ายกับมายากล หล่อนตื่นขึ้นชั้นหนึ่งจริงๆ ลานดาวเพิ่งตระหนักว่าส่วนหนึ่งของจิตตกอยู่
ภายใต้อำนาจสะกดของอมฤต หล่อนกะพริบตาถี่ๆ เพราะเห็นตนเปลี่ยนจากอาการยืนเมื่อครู่เป็นอาการนอน
กลางพื้นปีระมิด ศีรษะวางใกล้ตักเขา ลมหายใจของหล่อนหยาบขึ้น เนื้อตัวมีน้ำหนักมากขึ้น
“นอนต่ออย่างนั้นแหละ เดี๋ยวจะช่วยปลุกอีกครั้ง”
“จ๊ะพอจะรู้วิธีตื่นแล้วค่ะพี่แตร ให้จ๊ะลองเองบ้างไหม? เผื่อคราวหน้าจะได้จำทางเข้าออกถูก”
“โอเค”
“พี่แตรยังไม่วางโทรศัพท์ใช่ไหมคะ? ถ้าตื่นพร้อมกัน ให้จ๊ะคุยด้วยเพื่อความแน่ใจว่าไม่ได้
ละเมอเพ้อพกไปคนเดียวนะ”
“ได้ซี”
ลานดาวปิดตาลง ระลึกถึงสภาพบนเตียงนอนในโลกความจริง ทุกคนมีสัญชาตญาณในการเอาตัวเองออก
จากภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่แล้ว และหล่อนก็คิดว่าสามารถประยุกต์วิถีทางจิตลักษณะนั้นมาใช้ได้ โดยไม่
จำเป็นต้องนับถอยหลังแต่อย่างใด
“พร้อมเลยค่ะ!”
หล่อนตอบทันทีอย่างสุดกระตือรือร้น
"ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวจ๊ะนอนลง ถือโทรศัพท์ไว้แล้วฟังพี่พูดไปเรื่อยๆ ไม่ต้องโต้ตอบอะไร ตัด
ความรับรู้จากโลกภายนอกออกให้หมด ให้เหลือแค่ความรู้สึกว่ามีร่างของจ๊ะทอดนอนอยู่และฟังเสียงพี่
เท่านั้น"
ลานดาวทอดกายนอนยาวตามคำสั่ง มือยังถือกระบอกโทรศัพท์แนบหู
“ฟังเสียงพี่แล้วสังเกตไปด้วยนะ ว่าจิตของพี่นิ่งหรือสั่นไหว”
หญิงสาวรู้สึกถึงสภาวจิตอันมั่นคงสว่างไสวของเขา ซึ่งพลอยทำให้จิตหล่อนรับส่วนความตั้ง
มั่นตามไปด้วย
"เอาล่ะ ตอนนี้พี่ก็เอนตัวลงนอนด้วยแล้วเหมือนกัน เดี๋ยวพอพี่พูดจบ ให้จ๊ะวางกระบอก
โทรศัพท์ไว้ข้างตัวทางด้านซ้าย ปิดตาลง แล้วให้นึกถึงโทรศัพท์ หากไม่มีอะไรผิดพลาดจ๊ะจะรู้สึกสัมผัสจิต
พี่ราวกับมีพี่นอนอยู่ด้วยข้างๆ ให้ประคองรักษาความเห็นทางใจว่ามีเงาร่างของพี่ไว้เรื่อยๆ พร้อมกำหนดใจ
ว่าพอหลับลง เราจะลุกขึ้นคุยกัน... เข้าใจนะ?"
"ค่ะ เข้าใจ"
"โอเค เกาะจิตพี่ไว้อย่าให้คลาด นานแค่ไหนก็อย่าพะวง อย่าเร่งรัดให้ต้องหลับเร็วๆนะ เดี๋ยว
เจอกัน... วางโทรศัพท์ลงข้างตัวได้"
ลานดาวปฏิบัติตามด้วยความระทึกเล็กๆ แม้วางกระบอกโทรศัพท์ไร้สายลงข้างกาย ซึ่งเป็นการ
ตัดการเชื่อมต่อระหว่างประสาทหูกับสุ้มเสียงของอมฤตแล้วก็ตาม ทว่ายังรู้สึกว่ามีเขาใกล้ชิดอยู่เคียงข้าง
นั่นเอง เหมือนจริงเสียจนต้องเม้มปากนิดๆด้วยความจั๊กจี้ ได้แต่บอกตนเองว่านี่เป็นแค่การเล่นสนุกทางจิต
กายเนื้อของอมฤตอยู่ห่างถึงมุมไหนของเมืองก็ไม่ทราบ ความอยากรู้อยากเห็นของหล่อนพุ่งสูงเสียจนทะลุ
เพดานความหวาดระแวงทั้งปวง และฝากความเชื่อมั่นทั้งหมดไว้ที่เขาคนเดียว
หญิงสาวเกาะกระแสจิตของอมฤตไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นก็ไม่ลืมลมหายใจเข้าออก ซึ่งเมื่อทอด
ร่างเหยียดยาว ก็เหมือนหายใจได้ลึกและสบายขึ้นกว่าตอนนั่งด้วยซ้ำ สำนึกรับรู้ผัสสะภายนอกเบาบางลง
เรื่อยๆ เหลือแต่ความรู้สึกสมจริงภายในที่เชื่อว่าตนกำลังนอนเคียงข้างอมฤต
แทนที่จะหลับ กลับกลายเป็นเหมือนนอนแข่งทำสมาธิให้นิ่งเท่าเขาไป ลานดาวกังวลขึ้นมา
เล็กน้อยว่าถ้าจิตตื่นโพลง ตาแข็งทื่ออย่างนี้ กว่าจะหลับอาจเช้าเสียก่อน หญิงสาวกระสับกระส่ายเป็นระยะ
เมื่อผุดระลอกความฟุ้งซ่านขึ้นแทรกแซงสมาธิ แต่นึกได้ว่าอมฤตสั่งไว้แล้ว คือนานแค่ไหนก็อย่าพะวง อย่า
เร่งรัดให้หลับ จึงประคองสภาพทั้งหมดไว้เรื่อยๆ เมื่อเริ่มหลุดลอยเป็นฟุ้งก็ดึงใจกลับมาจ่อจิตเขาใหม่พลางรู้
ลมหายใจตนเองไปด้วย กับทั้งไม่ลืมเป้าหมายว่าหลับเมื่อใด จะรู้สึกตัวลุกขึ้นคุยกับอมฤตเมื่อนั้น
อิริยาบถนอนเอื้อต่อการไหลลงหลับอยู่ในตัวเอง ดังนั้นเกือบยี่สิบนาทีต่อมา จังหวะที่เกิด
รอยต่อระหว่างความรู้ตัวกับความหลุดลอยเลื่อนหลง ลานดาวก็ก้าวลงสู่ห้วงนิทราด้วยความเพลียจากการใช้
กำลังงานคุมสมาธิ
การจดจ่อกับจิตที่ทรงกำลังเหนือกว่า กับทั้งจิตของอีกฝ่ายเปิดรับและยอมเชื่อมต่อด้วย ทำให้
นิทรารมณ์ครั้งนั้นของลานดาวแตกต่างจากเคย คือเมื่อเคลิ้มเข้าสู่ภวังค์มืดครู่หนึ่ง ก็ถูกสัญญาณเดิมที่กำหนด
ไว้ก่อนหลับปลุกสติขึ้นเล็กๆ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการเชื่อมต่อได้ติดกับจิตอีกขั้วหนึ่ง
คล้ายถูกดูดผลุบจากฐานกายเดิมเข้าไปอยู่ที่ฐานใหม่ สำนึกแรกลานดาวลืมตาดึงกายขึ้นนั่งด้วย
ความแช่มชื่น สำนึกต่อมาคือความพิศวงใจกับสัมผัสรู้สึกแปลกใหม่ แตกต่างเป็นคนละโลกกับเมื่อครู่ มอง
ตรงหน้าก็พบอมฤตในชุดเดิมที่เห็นเมื่อกลางวัน เขานั่งขัดสมาธิกลางพื้นห่างไปประมาณ ๕ ก้าว และกำลัง
ทอดสายตารอรับหล่อนด้วยรอยยิ้ม อะไรอย่างหนึ่งในกระแสตาของเขาบอกว่าอมฤตช่วยปลุกสติและเป็น
คนเรียกหล่อนมาอยู่กับเขา ณ ที่นี้ หล่อนกำลังอยู่ในฝัน อยู่ในความคุ้มครอง และอาจจะอยู่ในกำมือของเขา
พูดง่ายๆคือมีตัวตนอยู่ภายใต้อาณัติอมฤตชนิดเบ็ดเสร็จเด็ดขาด!
หญิงสาวยิ้มตอบอย่างตะลึงทึ่ง ประหลาดนักที่สติยามหลับกลับคมคายแจ่มชัดเสียยิ่งกว่ายาม
ตื่น สายตาหล่อนรู้ละเอียดกว่าเดิมทั้งสีสัน รูปทรง และกระทั่งผัสสะทางกายที่ขยับไหวได้ครบถ้วนเสมือน
กายเนื้อแท้ๆ ก้มมองก็เห็นร่างหล่อนเป็นปกติสมบูรณ์ในชุดเสื้อกางเกงนอนเดิม เมื่อเหลือบสำรวจก็พบว่า
รอบด้านคือแผ่นแก้วสามเหลี่ยมใสที่เรืองแสงวิจิตรได้ในตัวเอง หล่อนกำลังนั่งอยู่ในพีระมิด คือพื้นเป็น
ขอบเขตจัตุรัสประมาณ ๑๐x๑๐ เมตร มุงด้วยผลึกแก้วน้ำงามสามเหลี่ยมด้านเท่าทั้งสี่ด้าน แหงนมองเบื้อง
บนเห็นเรียวขึ้นสู่ความเป็นยอดแหลมอันเกิดจากจุดสุดของสามเหลี่ยมบรรจบกัน
แม้จะอยู่ในขอบเขตปิดทึบ แต่ทว่าบรรยากาศภายในกลับปลอดโปร่งเสมือนอยู่บนเขาสูง ให้
ความรู้สึกกว้างขวางเวิ้งว้าง ลานดาวหายใจด้วยความสดชื่นตื่นเต็ม กลิ่นหอมระรวยชวนอภิรมย์แตะต้อง
ฆานประสาท ก่ออารมณ์ละเมียดละไมลึกซึ้งอย่างยากจะพรรณนาด้วยโวหารเชิงเปรียบเทียบใดๆ
เหลียวกลับมาสบสานตา รูปกายนั่งสงบนิ่งของอมฤตเข้ากันได้สนิทกับความเงียบสงัดภายใน
พีระมิด นึกไว้ใจเขาเหมือนเห็นฤาษีสักตนที่ประพฤติพรหมจรรย์อยู่
“นี่ที่ไหนคะ?”
รู้สึกถึงพลังเสียงคมใสเหนือธรรมดาของตน ตระหนักว่าหล่อนกำลังมีรูปลักษณ์และคุณสมบัติ
ต่างๆภายใต้ขอบเขตการเนรมิตและอำนาจบันดาลของเขาโดยแท้
“เป็นพีระมิดที่เกิดจากการกำหนดสร้างนิมิตขึ้น สิ่งที่จ๊ะกำลังเห็น ก็คือส่วนหนึ่งของจิตพี่ พี่ก้าว
ลงสู่อาการหลับด้วยสติอย่างใหญ่ ความสามารถของจิตขณะนั้นอาจกำหนดอะไรขึ้นก็ได้ตามปรารถนา และ
พี่ก็ปรารถนารูปพีระมิดอย่างนี้ นักกีฬาทางจิตหลายคนรู้ดีว่าถ้าลงหลับโดยมีรูปทรงนี้ครอบตัว ก็จะเกิดสติ
รู้ตัวชัดเจนเหมือนตื่นขึ้นในอีกโลกหนึ่ง”
“จ๊ะงงจนพูดไม่ออก นี่เหมือนชีวิตใหม่ในอีกโลกจริงอย่างพี่แตรว่าเลยค่ะ”
“ช่วงนี้ได้สัมผัสชีวิตใหม่หลายแบบหน่อยนะ” อมฤตกล่าวพลางยิ้มกว้างขึ้น “เห็นแล้วใช่ไหม
ล่ะว่าชีวิตไม่ได้มีแค่มิติเดียว ไม่ได้มีตัวตนแบบเดียว”
“ค่ะ สุดพิสดารพันลึกเหลือเกินเลย ข้างนอกพีระมิดคืออะไรคะ?”
“ความฝัน”
“แล้วนี่ไม่ใช่ความฝันหรอกหรือคะ?”
“ฝันที่มีพี่เป็นเจ้าภาพ ไม่ใช่ฝันของจ๊ะเอง สำหรับจ๊ะแล้ว นี่คือภาวะที่เกิดขึ้นภายใต้การหลับ แต่
ไม่ใช่สภาพจิตใจแบบฝัน เห็นไหมว่าจ๊ะมีสติเต็มเสียยิ่งกว่าตอนตื่นอีก”
“ถ้าจ๊ะจะลองออกไปข้างนอกพีระมิด จะเกิดอะไรขึ้น?”
“ลองดูสิ”
“ไม่หูหนาตาเหล่ ปากเบี้ยวเหมือนถูกไฟช็อตนะคะ?”
อมฤตหัวเราะ
“เอาเถอะ ไม่เป็นอันตรายหรอก”
ลานดาวขยับกายลุกขึ้น ต้องเดินหลายก้าวกว่าจะถึงผนังเอนด้านใกล้สุด หล่อนยื่นแขน
นำออกไปก่อน เห็นมือตนเองทะลุผนังไปเฉยๆ และยังเห็นคงรูปเดิมเป็นปกติ มิใช่ยื่นผ่านผนังแล้วหายหน
แต่อย่างใด จึงค่อยรวบรวมความกล้าได้มากขึ้น ก้าวเทา้ เอาตัวทะลุผนังออกไปทั้งหมด
ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด เหมือนแสงสว่างหรี่ลงเหลือเพียงมลังเมลือง วินาทีแรกแห่งการ
ย่างกรายออกสู่ภายนอก ยังคงทรงสติรู้ว่าหล่อนเป็นลานดาวผู้กำลังพ้นเขตพีระมิด แต่เพียงอึดใจต่อมา
สำนึกคิดอ่านที่คมชัดอยู่ดีๆก็พร่าเลือนลง กลายเป็นเมฆหมอกมัวมนแบบเดียวกับคนง่วงนอนจัดที่กึ่งเคลิ้ม
กึ่งรู้สึกตัว และเริ่มปรากฏภาพฝันมัวมนขึ้นในมโนทวาร
ด้วยอัตตายามนี้ หล่อนเป็นนางอะไรนางหนึ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในห้องรับแขกบ้านใครบาง
คน เจ้าของบ้านคือชายหนุ่มที่ทำให้เกิดความยินดีเมื่อเห็น เขานั่งยิ้มต้อนรับในบุคลิกที่คุ้นเคย หล่อนรู้สึกตัว
ว่าเป็นอาคันตุกะผู้มาเยือน สำนึกรางๆแต่แรกเริ่มชัดขึ้น จำได้ว่าตนเองคือลานดาว ถัดมาจึงนึกออกว่าเขาคือ
อมฤต จากนั้นเกิดความสับสนกับสภาพตรงหน้า ขมวดคิ้วตรึกนึกทบทวนว่าเมื่อครู่ตนมาจากไหน
“ถอยกลับไปเถอะ”
เจ้าของบ้านคล้ายช่วยให้หล่อนระลึกได้เร็วขึ้น เมื่อนั้นเองลานดาวจึงถอยเท้ากลับหลังอย่างนึก
ออกว่าอะไรเป็นอะไร
กลับคืนสู่สภาพทรงสติแจ่มชัดภายในเขตพีระมิดแก้วคล้ายทะลึ่งตัวพรวดจากก้นบาดาลสุดลึก
ขึ้นสู่อากาศโปร่งเหนือน้ำ กะพริบตาถี่ๆเหลียวมองอมฤตผู้ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ ณ ตำแหน่งเดิม การสลับจาก
สติรู้ชัดเป็นฝันหลง แล้วแปรจากฝันหลงกลับคืนเป็นสติรู้ชัดภายในช่วงเวลาอันสั้นนั้น ทำให้เกิดความพิศวง
งงงวยกับความรู้สึกในตัวตนเป็นอย่างยิ่ง
“พี่แตรเรียกจ๊ะกลับมาหรือคะ?”
“เปล่านี่ ได้เห็นได้ยินอะไรหรือ?”
“จ๊ะเห็นพี่แตรในห้องรับแขก และพี่แตรบอกให้จ๊ะถอยกลับมา”
“อ๋อ ตัวพี่ในฝันของจ๊ะ ก็คือจ๊ะเองเตือนสติให้กลับมาที่นี่นั่นแหละ ถ้ากำลังเต็มตื่น จะปรากฏ
ในรูปความคิดสั่งตัวเองเป็นภาษาพูดในหัว แต่เมื่อกำลังฝัน ก็ต้องอาศัยรูปนิมิตอื่นบอก”
“แปลว่าจิตคนทั่วไปเชื่อมต่อกันได้ระหว่างฝันจริงๆโดยไม่รู้ตัวใช่ไหมคะ?”
“ใช่ แต่โอกาสเกิดขึ้นน้อยสักหนึ่งในพันมั้ง แล้วเหตุการณ์ในฝันก็จะมั่วมาก สื่อสารอะไรเลอะ
เทอะวุ่นวายแบบพูดกันคนละเรื่องเป็นส่วนใหญ่ เพราะไม่มีกำลังสติจากฐานสมาธิจิตช่วยค้ำ จนต่างฝ่ายต่าง
นึกว่าฝันไปเองคนเดียว ต่อเมื่อตื่นนอนแล้วเผอิญฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคุยให้ฟังว่าฝันถึง ก็อาจต้องตื่นเต้น
ประหลาดใจเมื่อพบว่าอีกฝ่ายก็ฝันแบบเดียวกัน ร่วมเหตุการณ์และฉากแวดล้อมใกล้เคียงในคืนเดียวกันนั้น”
“จ๊ะเคยอยู่สองสามหนกับเพื่อนสนิทค่ะ พอรู้ว่าอีกคนฝันด้วยก็วี้ดว้ายกระตู้วู้กันใหญ่ แต่ไม่
ทราบจะทำให้เกิดขึ้นอย่างใจได้อย่างไร”
พักหัวเราะนิดหนึ่งก่อนเอ่ยสืบต่อ
“ปกติจ๊ะเป็นคนฝันสนุก แล้วก็รู้สึกว่าฝันของตัวเองชัดเป็นส่วนใหญ่ แต่ตอนนี้เปลี่ยนมุมมอง
ไปเลยค่ะ ฝันทั้งหมดที่ผ่านมาคือภาพและเสียงพร่ามัว เลอะเทอะเลื่อนเปื้อน แม้แต่เนื้อตัวก็แหว่งวิ่นไร้
น้ำหนัก สะท้อนให้เห็นเลยว่าตอนไร้สตินี่คนเราคิดอ่านและพูดจาได้มั่วขนาดไหน”
“อยากลองอีกทีไหมล่ะ? คราวนี้ลองกระโดดขึ้นไปให้ทะลุออกทางยอด ภาพเสียงและสัมผัสจะ
ชัดขึ้น”
“มะ ไม่ล่ะค่ะ อยู่กับพี่แตรปลอดภัยกว่าเป็นไหนๆ เดี๋ยวโดดทะลุยอดแล้วภาพเสียงชัด แต่
กลายร่างเป็นอีแร้งขึ้นมามันจะยุ่ง”
อมฤตหัวเราะขำ ลานดาวสำรวจเนื้อตัวอีกครั้ง พบความเต็มตึง อวัยวะครบถ้วนแล้วกังขา
“ถ้าอย่างนี้อะไรกันแน่คะที่เรียกว่า ‘ความจริง’ ? ที่จ๊ะกำลังสัมผัสและรู้สึกตัวอยู่เดี๋ยวนี้มันชัด
เสียยิ่งกว่าโลกมนุษย์ตอนลืมตาตื่นเสียอีก”
“ถ้ายึดจิตเป็นหลัก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามากระทบให้เรารับรู้ได้ก็เป็นจริงหมดนั่นแหละจ๊ะ
แม้แต่ความฝันไร้สติที่จ๊ะออกไปสัมผัสเมื่อครู่ก็คือความจริงในชั่วขณะนั้นสำหรับจ๊ะ ความฝันอาจเป็น
รูปแบบวิธีสนองความต้องการที่หาไม่ได้ขณะลืมตาตื่น หรือสำหรับบางคนอาจเป็นรหัสใบ้อนาคต จำลอง
สถานการณ์ที่ยังมาไม่ถึงเพื่อเป็นการเตรียมตัวเตรียมใจซักซ้อมเอาไว้”
ลานดาวตาสว่าง
“แปลว่าจิตเท่านั้นหรือเปล่าคะที่เป็นความจริง?”
“ถ้าถกกันในเชิงปรัชญาแนวพุทธ แม้แต่จิตก็ ‘ไม่จริง’ ด้วยซํ้า เหตุผลตามมุมมองของ
พระพุทธเจ้าคือสิ่งใดต้องเลอะเลือนเสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมไม่ใช่ของจริง จิตเราเป็น
ธรรมชาติที่แปรปรวน อยู่ในสภาพตื่นแล้วกลายเป็นสภาพหลับ มีสำนึกแบบเด็กเพื่อเติบโตขึ้นเป็นสำนึก
แบบหนุ่มสาวก่อนจะหยุดที่สำนึกแบบคนแก่ และถ้ามองเป็นขณะๆ การรับรู้หนึ่งดับไปก็คือจิตสลายตัว
แปรเป็นอื่นแล้ว ที่ยังนึกว่ามีตัวเดิมเพราะธรรมชาติความจำยังสืบสายอยู่ไม่ขาด แต่ความทรงจำเองก็ต้อง
เสื่อมลงอยู่ดี”
“ฟังไปฟังมาไม่มีอะไรจริงซักอย่าง”
“ก็มีอยู่นะ เรากำลังอยู่ในจักรวาลของเหตุผล เหตุดีคือผลดี เหตุร้ายคือผลร้าย แต่ทั้งดีและร้าย
เกิดแล้วดับไปเรื่อย ไม่มี ‘ตัวเรา’ แบบที่เรากำลังสำนึกและรู้สึกอยู่เดี๋ยวนี้อย่างถาวรเท่านั้น”
หญิงสาวฟังแล้วอึ้งไปพักหนึ่ง
“เข้าใจแง่มุมของชีวิตกับศาสนาขึ้นเยอะเลยค่ะ พี่แตรคะ พีระมิดมีอำนาจพิเศษจริงหรือ?”
“เรียกว่าเป็นเงื่อนไขลี้ลับของธรรมชาติที่เราไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็แล้วกัน พีระมิดมาจาก
คำกรีกคือ Pyramidos แปลว่า ‘เปลวไฟตรงกลาง’ ซึ่งน่าแปลกที่เครื่องมือวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า ณ ตำแหน่ง
ใจกลางพีระมิด ที่ความสูงหนึ่งในสามจากกึ่งกลางฐานถึงยอด เป็นจุดรับพลังจากสนามแม่เหล็กโลกและ
รังสีคอสมิก และคายพลังออกมาจากจุดโฟกัสนั้นคล้ายเปลวไฟจริงๆ”
“หมายถึงจะใช้วัสดุแบบไหนก็จะเกิดปรากฏการณ์ทางพลังแบบเดียวกันหรือคะ?”
“ใช่ ด้วยธรรมชาติลู่ขึ้นสู่ยอดแหลมจากฐานจัตุรัส แมแ้ ต่โครงเหล็กแท่งๆที่ประกอบกันเป็น
พีระมิดโปร่ง หรือก้อนหินธรรมดาที่นำมาเรียงเป็นพีระมิดทึบ ก็จะคายอนุภาคไอออนประจุลบออกมา ยิ่งถ้า
มวลสารโดยรวมของพีระมิดเป็นอัญมณีอย่างควอทซ์คริสตัล ทองคำ หรือเงิน ก็จะยิ่งให้พลังมากขึ้นอย่าง
มหาศาล มีคุณกับกายมนุษย์ เช่นทำให้สนามแม่เหล็กในร่างอยู่ในภาวะสมดุล และมีผลแม้กับวัตถุ เช่นทำให้
มีดโกนกลับจากทื่อเป็นคม”
“แปลกจัง แค่รูปทรงวัตถุก็ทำให้เกิดการคายพลังออกมาได้”
“เป็นกฎธรรมชาติที่ปราศจากการอธิบาย เรารู้เพียงว่ารูปทรงพีระมิดจะดูดพลังงาน
สนามแม่เหล็กโลกและรังสีจากดวงอาทิตย์ ทำให้โมเลกุลในอากาศเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรวดเร็ว รีด
ประจุไฟฟ้าสถิตที่เป็นลบจากมวลสารของพีระมิดออกมา ทำนองเดียวกับที่เราหวีผมแรงๆเร็วๆในหน้า
หนาว ศักย์ไฟฟ้าทำให้เกิดแรงเคลื่อนประจุขึ้นสู่จุดยอดเบื้องบนเกลียววน และนั่นเองทำให้ถ่ายรูปพีระมิด
ด้วยกล้องเกอร์เลียนแล้วเห็นเหมือนเปลวเทียน”
“อย่างที่จ๊ะเคยได้ยิน ว่าทำสมาธิในพีระมิดจะสงบง่ายนี่ก็จริงใช่ไหม?”
“เป็นอย่างนั้น ธรรมดาคลื่นสมองคนเราตอนคิดๆจะกระเพื่อมยุ่งเหยิงเพราะถูกกระตุ้นให้
ทำงานอยู่เรื่อยๆ เรียกว่าคลื่นเบต้า ลักษณะคลื่นจะมีความถี่มาก แต่ความสูงของคลื่นจะต่ำ ยิ่งเวลากำลังคุย
เคร่งเครียด ค่าของคลื่นเบต้าก็จะยิ่งมากขึ้น ต่างจากตอนกำลังพักผ่อน หรือช่วงที่ทำงานสำเร็จลุล่วงสบายใจ
แล้ว คลื่นสมองจะมีความถี่น้อยลง แต่ความสูงของคลื่นจะมากขึ้น คลื่นแบบนี้เรียกว่าอัลฟ่า ถ้าเข้าไปนั่ง
ในพีระมิดซึ่งมีการคายอนุภาคไอออนประจุลบออกมา มีผลกับสนามแม่เหล็กในร่างกาย คลื่นสมองจะปรับ
มาเป็นคลื่นอัลฟ่าโดยแทบไม่ต้องลงทุนลงแรง จึงทำให้ไม่คิดมาก ไม่เปะปะไร้ระเบียบอย่างปกติ กำหนด
เข้าสมาธิลึก คือเป็นคลื่นระดับต่อๆไปเช่นเธต้าได้ง่าย”
“ทำนองเดียวกับแว่วเสียงระฆังที่มีกังวานหวานๆหรือสูดกลิ่นธูปที่หอมเย็น แล้วเหมือนถูก
กล่อมให้สงบ ผ่อนคลายความตึงเครียดลงอย่างนั้นหรือเปล่าคะ?”
“ทำนองเดียวกัน แต่อันนั้นเป็นการกระทบประสาทหยาบแล้วมีผลกับการทำงานของสมอง
สำหรับพีระมิดจะส่งผลกระทบกับสนามแม่เหล็กโดยตรง”
“ตอนกลุ้มๆ พอได้ยินเสียงแมวอ้อนก็สงบลงได้ อย่างนี้แปลว่าแมวสงบกว่าเราหรือเปล่า?”
“เสียงบางเสียงไม่ได้กล่อมให้สงบโดยตรง แต่กระตุ้นให้เกิดเมตตาจิตคิดเอ็นดู ตัวเมตตาจิตนั่น
แหละความสงบ”
“แล้วถ้าเป็นพีระมิดที่สร้างขึ้นจากจิตนี่ล่ะคะ จะให้ผลกับผู้เข้ามาอาศัยอย่างจ๊ะยังไง?”
“มันก็จะคายพลังจากจิตของพี่ออกมาเต็มอัตรา และอย่างที่จ๊ะกำลังเห็น เราอยู่ในฝันได้โดยไม่
ไหลลงสู่ภวังค์หรือความเลอะเลือน ตัวพี่เองก็อาศัยพลังเลี้ยงสติจากพีระมิดอยู่เหมือนกับจ๊ะนั่นแหละ”
“อ้าว! ไม่ใช่ว่าพีระมิดเป็นสิ่งที่พี่แตรต้องใช้กำลังจิตรักษาไว้หรือคะ? จ๊ะก็สงสัยอยู่ทีเดียวว่ามัน
ค้างรูปอยู่ได้ยังไง เห็นพี่แตรก็คุยกับจ๊ะเป็นปกติ”
“นี่เป็นคุณวิเศษของจิตขณะหลับ พี่ต้องผ่านขั้นตอนการฝึกยุ่งยากมากทีเดียวกว่าจะได้กุญแจไข
พลังลับดอกนี้มา เริ่มต้นคือก่อนหลับต้องสร้างพีระมิดขึ้นครอบทั้งร่าง จากนั้นสะกดจิตตัวเองเข้าสู่ภาวะ
หลับได้ทันทีชนิดกดปุ่มเปิดปิดดังใจ เมื่อหลับแล้วก็ต้องรู้สึกตัวขยับออกจากภาวะแช่แข็งได้ถูกด้วย จากนั้น
จึงฝึกดึงความจำเกี่ยวกับนิมิตพีระมิดที่สร้างไว้ก่อนหลับ พอนอนด้วยวิธีนี้ทุกคืนเป็นสิบปี พีระมิดก็
เหมือนบ้านที่สอง มีตัวตน มีความเป็นจริงเป็นจัง และเหมือนมันสามารถรักษาตัวเองโดยพี่ไม่ต้องออกแรง
ประคองเหมือนตอนเข้าสมาธิขณะตื่น”
“รูปทรงที่เห็นก็คือจิตอีกภาคหนึ่งของพี่แตรที่คงสภาพตกผลึกแล้วใช่ไหมคะ?”
“เรียกว่าเป็น ‘รูปแบบหนึ่งของความคิด’ ก็แล้วกัน ไม่ใช่จิตหรอก สิ่งที่จิตสร้างขึ้นจะไม่
หายไปไหน ถ้าสะสมพลังเพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็เข้าสู่สภาพตกผลึกอย่างจ๊ะเรียก”
“อย่างถ้าตอนนี้ใครไปนอนเตียงพี่แตร ก็จะได้ผลเหมือนนอนในพีระมิดแก้ว?”
“ใกล้เคียงมั้ง”
“แล้วทั้งหมดที่จ๊ะกำลังเห็นอยู่เดี๋ยวนี้ คือสิ่งเดียวกับที่พี่แตรกำลังเห็นไหมคะ? พูดง่ายๆเรากำลัง
เห็นสิ่งเดียวกันอยู่หรือเปล่า?”
อมฤตส่ายหน้า
“แตกต่างกัน”
ลานดาวอ้าปากหวอ
“นึกแล้วเชียว เดานะคะ จ๊ะเห็นตัวเองในชุดเสื้อกางเกงนอน แล้วก็เห็นพี่แตรในชุดเดิมเมื่อ
กลางวัน อันนี้ก็คือสัญญาณความจำที่ติดมาก่อนหลับ ผิดจากของจริงที่พี่แตรกำลังเห็นใช่ไหม?”
“ใช่ แต่ในโลกของจิตนั้น ‘ของจริงแท้ๆ’ ไม่มีหรอกจ๊ะ มีแต่เห็นมาจากระดับจิตแบบไหน
ระดับจิตนั่นเองทำให้เกิดมุมมองไปต่างๆ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นก็คือเราคุยกันด้วยใยเชื่อมโยงสัมพันธ์ทางจิต ซึ่ง
ต่างฝ่ายต่างเปิดรับ จ๊ะเห็นจากความจำของจริงในโลกวัตถุ ส่วนพี่เห็นจากภูมิจิตที่เป็นตัวของตัวเองใน
ปัจจุบัน ตามฐานะเจ้าของพีระมิด”
“จ๊ะมีสิทธิ์เลื่อนชั้นการเห็นบ้างไหมคะ?”
“มี!”
ปุบปับลานดาวก็เห็นเสาแก้วต้นหนึ่งปรากฏขึ้นใกล้กายด้านขวา นั่นทำให้หล่อนตกใจพอควร
เพราะที่นี่มิได้คล้ายความฝันหรือโลกจำลองแต่อย่างใด เหมือนอยู่ในโลกความจริงแล้วจู่ๆเกิดวัตถุ
แปลกปลอมโผล่มาเฉยๆ
แต่เมื่อหายตกใจและหันไปมอง ก็พบกระจกเงาบานใหญ่แปะติดเสา เห็นเงาระหงของร่างตน
ปรากฏที่นั่น
“เงานี้คือสิ่งที่จ๊ะเชื่อว่าจ๊ะเป็น และจดจำไว้อย่างนั้น”
อมฤตบอก ซึ่งลานดาวก็ค่อยๆขยับเข้าไปใกล้ ยิ้มเล็กน้อยก่อนยื่นหน้าสบตากับเงาตนเอง
กะพริบตาปริบๆ มองทั่วกรอบหน้า แล้วพินิจละเอียดกระทั่งรูขุมขนบนผิวแก้มด้วยความสนเท่ห์ เพราะหา
สิ่งผิดเพี้ยนจากที่เคยคุ้นไม่เจอแม้แต่น้อย
“จ๊ะจะไม่พบพิรุธเท่ารอยแมวข่วนหรอก กายหยาบเป็นอย่างไร กายนิมิตก็จำลองมาอย่างนั้นทุก
ประการ ตราบใดที่ความรับรู้ยังเป็นตัวเดิม และไม่เสื่อมจากความปักใจเชื่อ”
ฟังเช่นนั้นลานดาวก็ลองกำหนดจิต บังคับให้เค้าหน้าเปลี่ยนแปลง สะกดให้ตนเองเชื่อมั่นว่าทำ
ได้เหมือนควบคุมเงาฝันให้บิดรูปตามปรารถนา แต่พยายามเท่าใดก็ยังเห็นเงาสะท้อนของตนเป็นตัวเดิม
“ถ้าเป็นโลกความจริง จ๊ะเชื่อไหมว่าตัวเองสั่งเงาในกระจกเปลี่ยนรูปทรงได้?”
อมฤตทักอย่างรู้ความคิด
“ไม่เชื่อ แต่นั่นเพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้นี่คะ”
ลานดาวตอบ เบนสายตามาสบกับเขาด้วยแวววอนขออุบาย
“ความรู้สึกนึกคิดและสภาพจิตใจของจ๊ะขณะนี้ เหมือนปกติสามัญเท่ากับตอนตื่นทุกประการ
ใช่ไหม?”
“ค่ะ รู้สึกอย่างนั้น ถ้าต่างบ้างก็คือสติเต็มแน่นไม่ขาดสายผิดปกติ อยู่ในพีระมิดของพี่แตรจ๊ะ
ไม่เหม่อเลย”
“แล้วโลกความเป็นจริง จ๊ะเชื่อไหมว่าคนเราสามารถเปลี่ยนสภาพจิตใจให้ผิดแผกไปจากเดิม
เช่นให้เป็นกุศลมากขึ้น สุขสดชื่น อิ่มบุญ แปลกไปเหมือนเป็นคนละวิญญาณ?”
หญิงสาวร้องอ๋ออยู่ในใจอย่างตื่นเต้นลิงโลดเพราะเข้าใจทันที หล่อนถูกทำให้เชื่อมาตลอดว่า
กายเป็นของเสถียร ขณะที่จิตอาจแปรปรวนได้ในชั่วลัดนิ้วมือ และในโลกของวิญญาณนั้น อัตภาพที่ปรากฏ
น่าจะสัมพันธ์กันโดยตรงกับสภาพจิตนั่นเอง
เร็วเท่าความคิด ลานดาวปิดตากำหนดจิตเป็นสมาธิด้วยการถอนใจยาวตามสบาย แล้วทดลอง
นึกถึงการตักข้าวใส่บาตรพระในครั้งหนึ่งที่บันดาลกระแสสุขเบิกบานเอ่อขึ้นเต็มหัวใจ ครั้งนั้นปีติตื้นตัน
ขนาดสยายยิ้มค้างเนิ่นนานอยู่หลายนาที
บัดนี้ปีติสุขชนิดนั้นหวนคืนกลับมาอีกครั้ง สัมผัสเหมือนปีตินั้นเป็น ‘ดวงกรรม’ ดวงหนึ่งที่
ขาวสว่าง ให้ความเอิบอาบชุ่มเย็นราวกับชุบวิญญาณลงในอ่างกุศลขนาดใหญ่ ในพีระมิดของอมฤตแห่งนี้
ความชื่นใจในบุญเป็นสิ่งที่ประคองง่าย และขยายขอบเขตให้กว้างขวางออกไปสะดวกดายยิ่ง
ลืมตาขึ้นมองเงาในกระจกอีกครั้งอย่างจะดูว่า ‘กรรมขาว’ ให้ผลเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง ภาพสะท้อนตรงหน้าถึงกับทำให้ขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง
รูปทรงและเค้าหน้ายังคงเป็นลานดาวคนเดิม ทว่าผิวพรรณผุดผ่องสดใสเสียจนเรืองรัศมีอำพัน
อาภาแบบที่ไม่เคยเห็นตนเองเป็นเช่นนั้นมาก่อนทั้งในโลกความจริงและโลกความฝัน เสื้อผ้าอาภรณ์ก็
ผลัดเปลี่ยนจากชุดนอนสามัญเป็นชุดกระโปรงฟ้าสดใสแปลกตา แม้ไม่ทรงเครื่องพิลาสขนาดเป็นนางฟ้า
แดนสวรรค์ ก็ทำให้ตื่นใจห่อปากครางออกมาเบาๆได้ชนิดไม่รู้ตัว
เพิ่งพบผลลัพธ์ของการเป็นคน ‘ใจบุญ’ อย่างรวดเร็วทันใจก็คราวนี้เอง อย่างน้อยนี่คือครั้งแรก
ในชีวิตที่เห็นรัศมีเหลืองใสแกมทองละเลื่อมเป็นวงกว้างออกมาจากตัวเอง และเกิดความตระหนักว่าหล่อนก็
เคยเห็น ‘รัศมีคนใจบุญ’ ที่มีความสุกสว่างอย่างนี้มามากในโลกความจริง หากแต่เพราะจิตหล่อนยังหยาบ
ต้องพึ่งประสาทตาเป็นหลัก จึงเหมือนแค่อะไรหลอกตา ไร้ตัวตนให้จับต้องเป็นสีสันชัดเจน ถ้าถามก็อาจ
บอกได้เพียงเห็นวงขาวใสในสัมผัสทางใจมากกว่าเป็นสีวัตถุอย่างที่เห็นด้วยประสาทตาเนื้อ
ผันกายจากกระจกเงา อาการนึกคิดชนิดเป็นกลุ่มก้อนหยาบๆสลายลง ความเด่นชัดของจิตผุด
ขึ้นแทน เป็นความเห็นจากภายในว่าจิตตนเรืองแสงทอง มองทางไหนจึงสดใสลออตากว่าเคย จึงเข้าใจเรื่อง
การจำแนกมิติด้วยสภาพจิต ลานดาวมาทราบภายหลังว่าสีของจิตยังมีมากกว่านี้ ทำนองเดียวกับที่
นักวิทยาศาสตร์ใช้แท่งปริซึมแยกแสงอาทิตย์เป็นรุ้ง ๗ สี จิตที่ละเอียดพอก็เหมือนแท่งปริซึมที่เห็นสี
กระจายจากตนเองเป็นต่างๆ ตามสภาพอารมณ์ ระดับพลัง ตลอดจนกระทั่งแบบแผนความนึกคิด
เหลือบชำเลืองแลอมฤต บัดนี้เขากลายเป็นบุรุษร่างใหญ่ขึ้น เครื่องแต่งกายเปลี่ยนจากเสื้อเชิ้ต
กางเกงยาวเดิมมาเป็นผ้าลินินสี่เหลี่ยมที่ห่อพันกายและผูกคาดเอวสไตล์ปราชญ์กรีกโบราณ จากระดับจิต
ของลานดาวขณะนั้น หล่อนเห็นขอบรัศมีจิตของเขาเรื่อเหลืองแกมทองเช่นกัน แต่มีความสุกสว่างเด่นดวง
เยี่ยงราศีพลังสูง สดใสเย็นตา และกว้างขวางใกล้เคียงกับขอบเขตของพีระมิด
“ตอนนี้จ๊ะเห็นแบบที่พี่แตรเห็นหรือยังคะ?”
“ยัง”
“พี่แตรรู้ได้ไง? จ๊ะยังไม่ทันบอกเลยว่าจ๊ะเห็นอะไรบ้าง”
“พี่ไม่รู้ว่าจ๊ะเห็นอะไรบ้าง รู้แต่ว่าจิตจ๊ะยังหยาบกว่าพี่ มีอะไรหนาๆห่อหุ้มอยู่ คงคล้ายกับถ้าจ๊ะ
เห็นคนใส่แว่นดำข้างแดงข้าง จ๊ะก็จะรู้ว่าเขาเห็นโลกไม่เหมือนเราที่ปราศจากแว่น”
“ตอนนี้จ๊ะเห็นพี่แตรสวมเสื้อผ้าแบบอริสโตเติ้ลตอนกำลังจะสอนปรัชญาให้เด็กเมื่อวานซืนน่ะ
ค่ะ ไม่ตรงหรือคะ?”
อริสโตเติ้ลหัวเราะเบาๆ
“ไม่หรอก พี่ไม่ได้เห็นตัวเองเป็นอย่างนั้น นั่นเป็นสิ่งที่จ๊ะคิดว่าพี่เป็นต่างหาก”
“แต่จ๊ะไม่เคยนึกว่าพี่แตรเป็นพวกนักปรัชญากรีกเลยนะ”
“ถ้าสืบลงไปลึกๆก็จะพบเค้าเองแหละ เหมือนอย่างในฝันทั่วไป เราอาจจดจำใครบางคนไปปรุง
ปั้นให้เป็นทหาร ทั้งที่ขณะตื่นไม่เคยเห็นเขาเป็นทหารเลยสักครั้ง ตอนเราหลับอยู่ จิตจะทำงานเร็วมาก และ
ฉายภาพที่ฟ้องความรู้สึกแท้ของเราออกมาได้มากมาย”
“แล้วทำยังไงจะได้เห็นตรงกันกับพี่แตรได้ล่ะนี่?”
“ก็ต้องทำจิตให้ใสเบาเสมอกันกับพี่”
ลานดาวเลิกคิ้วสูงด้วยความฉงน
“สมาธิก่อนหลับไม่ทำให้ใสเบาพอหรือคะ?”
“สมาธิช่วงนั้นเหมือนแค่บัตรผ่านประตูเข้ามาที่นี่ พอมาอยู่ในนี้ก็ฟุ้งเหมือนเดิม”
“ว้า! เรื่องของจิตนี่ลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน มหัศจรรย์พันลึกเสียเหลือเกิน งั้นพี่แตรสอนที
นะคะว่าทำอย่างไรจะเห็นแบบที่พี่แตรเห็น”
“ได้ มานั่งตรงหน้าพี่สิ”
หญิงสาวก้าวตรงเข้าหาผู้เป็นประธาน ณ ใจกลางปีระมิด พอมาหย่อนร่างนั่งขัดสมาธิตรงหน้า
อมฤต ก็เกิดความระย่อคร้ามเกรงอย่างประหลาด ขัดแย้งในตัวเองที่ทั้งอยากเขยิบถอยออกห่างรัศมีแรงสูง
และทั้งอยากเข้าประชิดรับไออุ่นยิ่งใหญ่ให้ใกล้กว่านี้
“ถ้าต้องการเห็นแบบที่พี่กำลังเห็น ก็ต้องทำสมาธิในรูปแบบเดียวกัน คือสร้างปีระมิดขึ้นมาอีก
หลังหนึ่ง!”
“อย่างจ๊ะจะทำอะไรยากๆขนาดนั้นได้หรือ?”
“ถ้าตอนกำลังตื่นก็คงต้องฝึกอีกนาน แต่ขณะอยู่ในปีระมิดของพี่แบบนี้ ทำครั้งแรกก็สำเร็จง่ายๆ
เพราะทั้งปีระมิดก็คือกระแสสมาธิช่วยหนุนให้อยู่แล้ว”
“โอเคค่ะ ฟังแล้วค่อยใจชื้นหน่อย”
“เอาล่ะ ปิดตาลงนะ”
เมื่อลานดาวทำตาม เขาก็สั่งต่อตามลำดับ
“หายใจเข้าด้วยอาการสำเหนียกความสดชื่น เหมือนหายใจด้วยรอยยิ้ม จิตที่ชื่นชมยินดีกับลม
หายใจจะเห็นลมหายใจชัดได้เอง ตอนระบายลมออก ก็สำเหนียกถึงความผ่อนคลายสบายใจให้มีความสุข
เสมอกัน นั่นแหละ กำหนดลมหายใจด้วยอาการอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา ดูความหนักแน่นของจิตระหว่างกลาง
การรับรู้ จะเห็นมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ”
ลานดาวเคยทำสมาธิแบบตามรู้ลมมาก่อน ทว่าได้ผลแตกต่างจากขณะที่กำลังอยู่ในปีระมิดนี้เป็น
คนละเรื่อง หล่อนพบกับความประหลาดใจยิ่งที่พบว่าจิตของตนไม่ซัดส่าย ไม่กระโดดไปเกาะสิ่งอื่น ไม่
คำนึงถึงอดีต ไม่แล่นล่วงหน้าหาอนาคต อาจจะเพราะความพอใจลมบริสุทธิ์สดชื่นที่ผ่านเข้าสู่ทรวงอกใน
ปัจจุบันอย่างล้นเหลือ จึงไม่มีใจเผื่อให้กับอะไรข้างหน้าหรือข้างหลังอีกต่อไป
จิตมีน้ำหนักพลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และผนึกนิ่งสว่างโพลนเต็มดวงกว้างออกมาจากกลางอก
สภาพนึกคิดแบบบุคคลหายหน เหลือเพียงสภาวะยินดีปรีดา รู้เห็นสายลมหายใจเข้าออกเหยียดยาว สำนึก
ข้องเกี่ยวกับสถานที่และบุคคลลดลงแทบเหลือศูนย์ ทุกอย่างมลายกลายเป็นความขาวใส ทะลุความทึบตัน
ออกสู่ความโล่งละลิบ
หูได้ยินครูผู้คุมสมาธิบอกบทต่อ
“คราวนี้จินตนาการว่าเรานั่งอยู่กลางห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวเท่ากัน”
ลานดาวนึกตาม ในขณะแห่งสมาธิจิตมั่นคงกระจ่างใสนั้น น้อมนึกอะไรก็ชัดกริบเป็นจริงเป็น
จังไปหมด เหมือนพลิกผันมาอยู่อีกสถานที่หนึ่งจริงๆ จิตเห็นเหมือนมีผนังจัตุรัสปิดกั้นทั้งสี่ทิศ
“เอานะ ตอนนี้พี่เห็นจัตุรัสปรากฏแล้ว ให้จ๊ะทำความรับรู้ถึงผนังทั้งสี่ด้าน สัมผัสรู้สึกถึง
อากาศรอบตัวที่อยู่ในขอบเขตจำกัดระหว่างผนังกั้น สังเกตความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยในเขตมุงบัง รู้สึกถึง
ความเงียบสงบไม่ไหวติงภายในนั้น สำรวจผนังทีละด้านจนแน่ใจว่ามันมีอยู่จริงเป็นตัวเป็นตน คราวนี้
สำคัญนะ นึกให้ผนังทั้งสี่ด้านล้มเข้าหากัน แต่ละด้านกลายเป็นสามเหลี่ยมด้านเท่า บรรจบยอดสุดเป็นปลาย
แหลมอย่างปีระมิด ตรงกับกลางกระหม่อมเราพอดี”
ขณะนั้นจิตลานดาวปักหลักมั่น คุมนิมิตได้ตามปรารถนา และจดจ่อแน่วแน่ขนาดได้ยินเสียง
ล้มกระทบประกบกันระหว่างผนังที่แปลงเป็นสามเหลี่ยมด้านเท่าทุกทิศ ทั้งซ้าย ขวา หน้า หลัง พอเกิด
สามเหลี่ยมปีระมิดขึ้นเต็มสภาพ ก็สำเหนียกถึงความแปลกเปลี่ยนทันที คล้ายรูปทรงที่เพิ่งก่อตัวขึ้นนั้นประจุ
ขุมพลังมหึมาไว้เต็มแน่นราวกับเอาไปใช้ระเบิดภูเขาได้ทั้งลูก
ผนังเนรมิตตกผลึกเป็นแก้วใสแบบเดียวกับควอทซ์คริสตัลที่เรืองแสงสว่างอบอุ่นได้ในตัวเอง
อันนี้หล่อนเห็นมาก่อนจากปีระมิดของอมฤต ทว่ามิได้จงใจสร้างเลียนแบบแต่อย่างใด
“พี่เห็นปีระมิดของจ๊ะแล้วนะ เป็นรูปเป็นร่างชัดทีเดียว จ๊ะจะรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ แล้วก็
สามารถควบคุมให้ขนาดของมันเปลี่ยนได้ดังใจ ลองนึกให้ใหญ่เท่าปีระมิดของพี่ดู”
ลานดาวปฏิบัติตาม กระทั่งปรากฏเป็นความเห็นทางใจ ว่าพื้นที่จัตุรัสขยายออกเท่าพื้นที่ปีระ
มิดของอมฤต ซึ่งก็พลอยทำให้สามเหลี่ยมด้านเท่าที่มุงอยู่ทุกด้านแปรผันตาม ซ้อนกันได้สนิท
“ภาวะของจ๊ะตอนนี้แม้จะมั่นคงพอสมควร แต่ถ้าลืมตาขึ้นมา หรือกระทั่งคิดจะโต้ตอบพูดคุย
กับพี่ ปีระมิดจะหายไป เพราะฉะนั้นจ๊ะต้องหลับซ้อนลงไปอีกครั้ง เป็นการฟอกจิตให้สะอาดเกลี้ยงเกลาขึ้น
เรียกว่าลอกคราบหยาบที่เกาะกุมภาวะประณีตเราออกเสีย พอตื่นขึ้นอีกหนกายละเอียดใหม่จะสามารถ
ออกมาเคลื่อนไหวและพูดคุยกับพี่ได้”
พอลานดาวเกิดคำถามในใจว่าจะหลับได้ด้วยวิธีใด ก็เผอิญอมฤตกล่าวขึ้นพอดี
“วิธีหลับครั้งที่สองนะ ให้ทรงความรู้สึกในนิมิตปีระมิดไว้ดีๆ ค่อยๆเอนตัวลงนอน เอาเลย
นอนเลย หันหัวมาทางพี่ก็ได้ ทำความรู้สึกเหมือนแผ่นน้ำที่มีแรงตึงผิวราบเรียบพอดี กำหนดไว้ในใจ
คล้ายเราลอยตัวแผ่เสมอกับผิวน้ำนั่นแหละ เพ่งหนักไปนิดหนึ่ง คลายลงหน่อย อย่างนั้น คราวนี้น้อม
นึกว่านิมิตปีระมิดทั้งหมดคือพลังที่ค้ำจุนสภาพหลับนิ่งลึกซึ้งของเราไว้ พี่จะช่วยนับถอยหลังจาก ๕ ถึง ๑
ให้นะ”
ตรงจุดนี้อมฤตใช้หลักสะกดจิตแบบจิตแพทย์มาเสริม ด้วยการพูดช้า แช่มชัด โน้มน้าวให้เกิด
อาการทางจิตตามเสียงสั่ง ผนวกเข้ากับความสามารถรู้วาระจิตตรงตามจริงของเขาด้วย
“๕ จ๊ะรักษาความราบเรียบเต็มตึงของจิตเตรียมเข้าสู่การหลับได้ดีแล้ว ๔ จ๊ะกำลังหมดความ
นึกคิดนอกเหนือจากปีระมิด ๓ จิตของจ๊ะยุติการทำงานทั้งหมดเพื่อให้ปีระมิดทำงานแทน ๒ เหลือแต่
ความสว่างสบายผ่อนคลายไปทั่ว ๑ จงหลับ!”
คำสุดท้ายอมฤตอธิษฐานเรียกพลังจากปีระมิดของเขาเข้าสะกดให้ลานดาวก้าวลงสู่นิทราสนิท
ซึ่งก็มีผลให้สติของหญิงสาวดับวูบลงทันทีชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยแปรเป็นความรู้สึกเหมือนจมดิ่งลงสู่
ทะเลทิพย์อันแสนสุขที่ปราศจากการรับรู้อื่นใด ไม่มีตัวตน ไม่มีบุคคล มีแต่ความลึกโอฬารของก้นสมุทร
แห่งความหลับชั่วนิรันดร์
แล้วด้วยกลไกการทำงานอันแสนพิสดารของจิต ลานดาวก็เหมือนผลุดโพล่ง ดีดตัวพลุ่งขึ้น
เหนือนํ้า รับรู้ความปลอดโปร่งขีดสุด ทั้งเบาดุจไร้น้ำหนัก ทั้งซาบซ่านด้วยการอาบชะโลมแห่งสายลม
ศักดิ์สิทธิ์ หล่อนลืมตารู้สึกตัวตื่นขึ้นในอีกภาวะหนึ่งที่แปลกใหม่เหนือคำบรรยายใดๆ ทุกอย่างสว่างกระจ่าง
แจ้งผิดธรรมดา ทุกอณูประจุด้วยรสเกษมล้ำลึก จิตสว่างโร่ สำเหนียกถึงรัศมีสีเงินยวงที่เจิดจ้าจากความว่าง
ตรงกลางไปสาดประกายระยิบระยับที่ขอบวง
เหมือนจิตถูกไล้ด้วยสัมผัสอ่อนละมุนโดยตรง เพราะอาภรณ์ที่ห่อหุ้มยามนี้ละเอียดเสียจนคล้าย
แสงเงินแสงทองเสียมากกว่าจะเป็นลักษณะของเนื้อผ้า ส่วนผิวกายก็สุขุมจนเหมือนไร้สัมผัสหยาบใดๆ เป็น
ความลออองค์อีกชั้นหนึ่งเหนือรูปลักษณ์ทั้งหมดในประสบการณ์ชั่วชีวิต แม้กระทั่งจินตนาการถึงเทพธิดา
บนสรวงสวรรค์ยังอาจแพ้!
เหลียวหาผู้เหนี่ยวนำจิตวิญญาณหล่อนมาถึงสภาพนี้ เขาอยู่ในภาวะพอดีกัน คืออยู่ในอาภรณ์สี
ทอง เป็นเงามัน เปล่งประกายระยิบระยับที่เกล็ดเพชรนับแสนรวมกันยังต้องอาย อมฤตยังเป็นบุรุษรูปงาม
คนเดิม แต่เค้าโครงรูปร่างหน้าตาดูอ่อนละไมผิดมนุษย์ และมีรัศมีจิตจัดจ้าเสียจนหล่อนไม่กล้ามองตรงๆ
“นี่คือจิตแท้ๆของเราหรือคะ?”
หล่อนว่าหล่อนเปล่งเสียงออกไปเพียงแผ่ว ทว่ากลับได้ยินชัดลึก ไพเราะประณีตคล้ายก้องอยู่ใน
จิตมากกว่ากระจายผ่านอากาศอย่างที่เคยคุ้น
“ครั้งแรกพี่ก็นึกอย่างนั้น ภายหลังพอมาถึงตรงนี้บ่อยๆ พิจารณาแลว้ ถึงรู้ว่านี่เป็นแค่แบบแผน
ภาวะสุขุมชนิดหนึ่ง จิตจริงๆเป็นธาตุรู้ไร้นิมิต แต่ก็เป็นผู้สร้างสรรค์รูปลักษณ์ทั้งหลายขึ้นจากภาวะกุศลและ
อกุศลของตน”
น้ำเสียงของเขากังวานคลอเคลียอยู่ในโสต เท่าๆกับกังวานอย่างน่าพิศวงอยู่ในอากาศลึก
“งั้นนี่คือภพของพรหม?”
เป็นความทรงจำเล็กๆที่ติดตัวมา หล่อนทราบว่าสูงเหนือมนุษยภูมิขึ้นมาคือเทวภูมิอันยังข้อง
เกี่ยวอยู่กับกามคุณ ๕ และเหนือจากนั้นขึ้นมาอีกคือพรหมภูมิซึ่งตัดขาดจากกามคุณทั้งหลาย เหลือเพียง
สภาวะอันเอื้อให้เสพปีติด้วยจิต แม้ผัสสะทางกายก็หายไป
“จ๊ะลองสำรวจตัวเอง จะเห็นยังมีเพศหญิงอยู่นะ เพราะฉะนั้นกล่าวไม่ได้ว่านี่เป็นพรหมโลก
หรอก ที่นี่เป็นเพียงอีกภพหนึ่งที่จิตสร้างขึ้นจากการหลับซ้อนหลับเท่านั้น เค้าความเป็นมนุษย์ยังคงอยู่ ไม่ใช่
เทวดา ไม่ใช่พรหม”
“แล้วจะทำอะไร ใช้ประโยชน์อะไรได้จากที่นี่นอกเหนือจากเสพสุขคะ? จ๊ะมีความสุขเสียจน
อยากให้ทุกคนมารู้จักกับภาวะนี้พร้อมกันทั้งโลกเลย!”
“นั่นแหละ ธรรมชาติของภพนี้ ใครมาถึงก็จะอยากแผ่เมตตา เผื่อแผ่ความเยือกเย็นไปทั่ว
จักรวาล เพราะการส่งสุขเป็นอนันนต์ ก็คือการมีสุขเป็นอนันต์”
ลานดาวรู้จักกับรสปีติตื้นตันสุดพรรณนา เข้าใจแจ่มชัดและจดจำไว้
ส่งสุข จึงมีสุข!
“ขอจ๊ะลองแผ่เมตตาร่วมกับพี่แตรนะคะ”
“เอาซี”
ทั้งอิริยาบถยืนนั่นเอง อมฤตยื่นสองมือให้ลานดาววางประกบ ซึ่งความละเอียดอ่อนระดับนั้น
เหมือนจิตผสานเป็นอัตตาหนึ่งเดียวกันมากกว่าแยกเป็นสอง
“ปิดตาลง แล้วทำความรู้สึกให้ทั่วถึงทั้งปีระมิดที่ซ้อนกันสองหลังของเรา เห็นในใจตามจริงว่า
มันร่วมกันทอแสงใสเย็น และส่งแรงสะเทือนอันน่าพิสมัย เต็มไปด้วยพลังคุ้มครอง พอแจ่มชัดก็น้อมนึกให้
ความสะเทือนนั้นแผ่เป็นรัศมีขยายออกไป ให้มันเบ่งบานขึ้นเองด้วยน้ำใสใจจริงของเรา”
หญิงสาวได้เห็นการขยายตัวของพลังสว่างที่ไม่เคยพบพานมาก่อน หล่อนสัมผัสชัดว่านั่นคือ
ขอบเขตรัศมีเมตตาที่แผ่ออกด้วยดวงจิตอันเป็นหนึ่งเดียวกับปีระมิด ยิ่งนานยิ่งเบ่งบานกว้างออกไป กระทั่ง
ถึงสิ้นสุดที่เขตหนึ่ง ซึ่งจิตบอกว่าเริ่มไปพ้นจากการประมาณวัดเป็นขนาดเสียแล้ว ตรงนั้นเองคือนิยามขอ
งอนันตภาพ
ณ จุดนั้นเสียงอมฤตดังขึ้นคล้ายเสียงความคิดของหล่อนเองปรากฏอยู่ในใจ
“ขณะที่เราอาศัยอยู่ในปีระมิดนี้ มีใครบางคนกำลังสร้างปีระมิดขึ้นมา มีใครบางคนกำลัง
อาศัยอยู่ในปีระมิดคล้ายเรา อาจจะอยู่ในสมาธิ หรืออาจจะอยู่ในฝันทั้งทรงสติแบบนี้ บรรดาผู้มีพลังอิ่มตัว
แล้วจะพากันเชื่อมปีระมิดของตนเข้าหากันเป็นหนึ่งเดียว ปราศจากการแบ่งแยก เพราะฉะนั้นง่ายที่เราจะขอ
เป็นหนึ่งหน่วยเชื่อมต่อกับเครือข่ายขนาดยักษ์นี้ เพื่ออาศัยพลังกันและกันค้ำจุน ใครเพลี่ยงพล้ำก็ถูกผอง
เพื่อนฉุดหรือเหนี่ยวไว้ไม่ให้ตกต่ำ”
คำพูดของอมฤตทำให้ปรากฏนิมิตปีระมิดนับพันเรียงรายดุจหมู่ดาวในห้วงเอกภพ ปีระมิด
เหล่านั้นมีกระแสใจเชื่อมโยงเข้าด้วยกันเป็นเอกภาพคล้ายใยแมงมุม นั่นเองหล่อนจึงเข้าใจภาวะของภพที่
ร่วมกันสร้างโดยหมู่จิตชนิดเดียวกัน ทำสมาธิสร้างนิมิตขึ้นแบบไหน ก็มารวมกลุ่มกับจิตวิญญาณอัธยาศัย
เดียวกันแบบนั้น
เนิ่นนานกระทั่งถึงจุดยุติที่ต่างฝ่ายต่างรู้ จึงลืมตาขึ้นพร้อมกัน ลานดาวยิ้มกระจ่าง เนตรทิพย์
เชื่อมกันสนิทกับเขา
“จวนเวลาปีระมิดของพี่เสื่อมลงแล้ว เตรียมตัวตื่นได้”
“เป็นกำหนดเวลาตายตัวหรือพี่แตรทราบจากไหนคะ?”
อมฤตชี้ให้ดูผนังแก้ว
“แสงสว่างลดลงเหมือนต้นไม้ที่เริ่มเหี่ยวเฉา เห็นไหม?”
“อ๋อ อย่างนี้เอง นึกว่าจะทรงสภาพได้นานตราบเท่าที่พี่แตรต้องการเสียอีก”
“มันเสื่อมเพราะถึงเวลาต้องเสื่อม สั่งอย่างไรก็ไม่สำเร็จหรอก จ๊ะต้องตื่นสองครั้งนะ ตอนนี้
ในโลกความจริงจ๊ะอยู่ในภาวะหลับลึกมาก ถ้าตื่นทันทีจะมึนงง มีผลกระทบกับสมองได้ ทำนองเดียวกับคน
ดำน้ำลึกแล้วพุ่งขึ้นผิวน้ำพรวดพราดโดยไม่มีช่วงคั่นพักปรับสมดุลในร่างกายเสียก่อน”
“ไม่อยากออกจากมิตินี้เลย ”
หญิงสาวส่งเสียงละห้อย
“วันหลังเอาใหม่ ให้เก่งแค่ไหนก็ไม่มีใครชนะกฎแห่งความเสื่อม”
“ค่ะ ”
“เอาล่ะ เดี๋ยวพี่จะช่วยปลุกให้ตื่น ปิดตาลง”
ลานดาวทำตามเขาสั่งทั้งยืนอยู่เช่นนั้น อมฤตใช้หลักถอนการสะกดจิตเข้ามาชว่ ยอีกครั้ง
“พี่จะนับถอยหลังไปสู่ความตื่นครั้งแรก ๓ จ๊ะอยู่ในอาการหลับสบาย ๒ จ๊ะคลายออกจาก
ห้วงหลับ ๑ จงตื่น!”
คล้ายกับมายากล หล่อนตื่นขึ้นชั้นหนึ่งจริงๆ ลานดาวเพิ่งตระหนักว่าส่วนหนึ่งของจิตตกอยู่
ภายใต้อำนาจสะกดของอมฤต หล่อนกะพริบตาถี่ๆ เพราะเห็นตนเปลี่ยนจากอาการยืนเมื่อครู่เป็นอาการนอน
กลางพื้นปีระมิด ศีรษะวางใกล้ตักเขา ลมหายใจของหล่อนหยาบขึ้น เนื้อตัวมีน้ำหนักมากขึ้น
“นอนต่ออย่างนั้นแหละ เดี๋ยวจะช่วยปลุกอีกครั้ง”
“จ๊ะพอจะรู้วิธีตื่นแล้วค่ะพี่แตร ให้จ๊ะลองเองบ้างไหม? เผื่อคราวหน้าจะได้จำทางเข้าออกถูก”
“โอเค”
“พี่แตรยังไม่วางโทรศัพท์ใช่ไหมคะ? ถ้าตื่นพร้อมกัน ให้จ๊ะคุยด้วยเพื่อความแน่ใจว่าไม่ได้
ละเมอเพ้อพกไปคนเดียวนะ”
“ได้ซี”
ลานดาวปิดตาลง ระลึกถึงสภาพบนเตียงนอนในโลกความจริง ทุกคนมีสัญชาตญาณในการเอาตัวเองออก
จากภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่แล้ว และหล่อนก็คิดว่าสามารถประยุกต์วิถีทางจิตลักษณะนั้นมาใช้ได้ โดยไม่
จำเป็นต้องนับถอยหลังแต่อย่างใด
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น