ลำดับตอนที่ #11
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : รู้ตัว
เปิดตาขึ้นเต็มตื่นในยามเช้าอันว่างเปล่าและเงียบเชียบ พลิกกายเชื่องช้า วาดท่อนแขนให้ผิวเนื้อ
ไล้ฟูกนิ่มละไมราวกับกวาดหาสิ่งยึดเหนี่ยวไม่ให้เคว้งคว้าง แต่ที่พบคือความราบเรียบว่างเปล่า ปราศจาก
วัตถุในฝัน ปราศจากวัตถุในโลกความจริงใดให้ไขว่คว้า จึงหยุดสงบตะแคงหน้าน้ำตาซึมกับหมอน แสง
สว่างแห่งรุ่งสางกับไอฉ่ำเย็นในห้องนอนเคยปลุกหล่อนจากความหลับใหลสู่การลืมตาตื่นสบาย ทว่าครั้งนี้
ทุกอย่างต่างไป ลานดาวพบตนเองทอดร่างสะอื้นเงียบ เช้านี้อาจแปลกที่สุดในชีวิต เสมือนสิ่งรอบตัวที่เคย
ช่วยกันบันดาลรอยยิ้ม กลายเป็นท่อนหินต้องคำสาปคุมขังหล่อนให้ติดอยู่กับความเหงาเศร้าหดหู่ดุจเดียวกับคุกทะมึน
ความทรงจำ หากไร้ความทรงจำ คงไม่มีที่เก็บภาพบาดใจ ไม่มีหนามแหลมทิ่มแทง ไม่มีส่ำ
เสียงหลอกหลอนในหัว คนเราอาจหนีการไล่ล่าของสัตว์ร้ายด้วยกำลังขา หรือแหกคุกหลบอาญาได้ด้วยเล่ห์
กลพิสดาร แต่ใครเล่าจะหลุดพ้นจากการเกาะกุมของความทรงจำแห่งตนได้ด้วยกำลังกายหรือเล่ห์กลอันใด?
ยอดสุดของหลังคาโลกไม่มีอะไรต้องกลัวนอกจากความเหงา และที่ยอดสุดของความเหงาไม่มี
อะไรน่ากลัวไปกว่าพฤติกรรมเบี่ยงเบนและความอยากตาย คนอื่นอาจใช้เวลาในการนอนซมหลายวัน หรือ
เป็นแรมเดือนแรมปีกว่าจะทนเจ็บไม่ไหว แต่สำหรับหล่อนผู้ไม่เคยมีภูมิต้านทานทุกข์ เพียงสองสามชั่วโมง
ก็เพียงพอแล้วต่อการสิ้นสุดความอดทน
สิ่งที่เคยหวาดกลัวในส่วนลึกเดินทางมาถึงแล้วกระมัง? คำทำนายของหมอดูอุปการะ!
สัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ลานดาวสะดุ้งไหวเล็กน้อย ชายตามองไปทางต้น
เสียงด้วยแววละห้อยหงอยอย่างรู้ว่านั่นจะไม่ใช่เสียงอรุณสวัสดิ์ทักทายจากมาวันทา ปล่อยให้สัญญาณดังอยู่
หลายครั้ง ตั้งใจจะไม่รับ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจลุกขึ้นหยิบกระบอกโทรศัพท์จากแป้น คิดว่าการได้คุยกับใครสัก
คนอาจช่วยให้สภาพแช่จมซมซานบรรเทาบ้าง
“สวัสดีค่ะ”
“นี่โจ๊กพูด”
ครั้งนี้ลานดาวนึกดีใจอย่างประหลาดที่ได้ยินเสียงสดใสของเพื่อนหนุ่ม หล่อนถือกระบอกไร้
สายติดตัวมานอนคุยบนเตียง และตอบรับด้วยหัวใจนิ่มนวลกว่าเคย
“สวัสดีค่ะโจ๊ก”
“เอ๊ะ! นั่นใคร? เสียงนุ่มนิ่มเหมือนนางชี ช่วยตามจ๊ะมาคุยหน่อย”
ลานดาวหัวเราะออกมาได้ วิธีพูดเล่นทักทายของเพื่อนหนุ่มช่วยปลุกสติให้กระเตื้องขึ้น
“จ๊ะเอง”
“จริงเหรอะ? งั้นสงสัยเพิ่งเข้าห้องพระสวดมนต์แผ่เมตตาให้พวกเปรต สุ้มเสียงถึงปรานีผิดปกติ”
หญิงสาวหัวเราะขำอีก พยายามแต่งเสียงให้เข้าร่องเข้ารอย
“คนเพิ่งตื่นนอนก็ซึมเซาบ้างสิเธอ โทร.มามีอะไรหรือเปล่า?”
“ขอเบอร์มือถือยายเอ๋ยหน่อยซี มีแต่เบอร์เครื่องเก่า น้องที่ชมรมเขาตามหาตัวกัน แม่นี่นัดไม่
เป็นนัด”
ลานดาวบอกเบอร์เพื่อนสาวไปเพราะเห็นว่าคงเป็นธุระด่วน
“เธอต้องโทร.เองนะโจ๊ก อย่าให้คนอื่น เดี๋ยวเอ๋ยมาว่าฉัน ที่เปลี่ยนเครื่องนี่เห็นว่าเพราะหลบ
ใครบางคนอยู่”
“โอเค ขอบใจมาก แค่นี้ก่อนนะ”
“เดี๋ยว ”
“หือ?”
“วันนี้ว่างหรือเปล่า?”
นนทกานต์ชะงักไป ใจเต้นระทึกขึ้นมาปุบปับ
“กำลังอยู่ที่ชมรม แต่สองสามชั่วโมงคงเสร็จ”
“งั้นทานข้าวเที่ยงด้วยกันไหม?”
ความจริงมีนัดกับพรรคพวก แต่อารามดีใจได้รับการชักชวนจากลานดาวทำให้ยอมเบี้ยวทันที
ตอบรับหล่อนโดยไม่มีการคิดหน้าคิดหลังหรือลำดับความสำคัญกับนัดเก่าแต่อย่างใดทั้งสิ้น
“ที่ไหนดีล่ะ?”
“มารับจ๊ะหน่อยแล้วกัน แล้วค่อยคิดทีหลัง”
นนทกานต์มาถึงก่อนเที่ยง ลานดาวปรากฏตัวยืนต้อนรับเขาในชุดเสื้อยืดแขนกุดกับกางเกงยีน
รัดรูป อวดผิวเนียนงามกับสัดส่วนไร้ที่ติซึ่งเขาไม่มีโอกาสได้เห็นบ่อยนัก ชายหนุ่มลงจากรถมาไหว้พ่อแม่
ของลานดาวพอเป็นพิธีครู่หนึ่งก็ชักชวนกันออกจากบ้าน
“หิวไหม?”
ถามไถ่หญิงสาวอย่างเอาใจใส่ขณะบิดกุญแจสตาร์ทเครื่อง
“ก็เรื่อยๆ”
“กินที่ไหนดี?”
“ในเมืองชักเบื่อ ไปบางแสนกันเถอะ ชมชายฝั่งแกล้มอาหารทะเล เปลี่ยนบรรยากาศมั่ง”
นนทกานต์เลิกคิ้วสูงอย่างสุดฉงน เพิ่งดูดวงประจำวันในหนังสือพิมพ์กรอบเช้า ถูกทำนายทาย
ทักว่าวันนี้ลาภหายหรือได้แห้วอย่างใดอย่างหนึ่ง ไฉนจึงพลิกกลับตาลปัตรกลายเป็นฤกษ์มหาเฮงไปเสียนี่
“อารมณ์ดีอะไรมาเนี่ย?”
“ตรงข้ามเลย กำลังเซ็งสุดขีดต่างหาก”
ชายหนุ่มหัวเราะ ความจริงเขาถามให้กลับขั้วไปอย่างนั้นเอง ดูหน้าเพื่อนสาวก็รู้ว่าจืดกว่าทุก
วันในรอบปีที่ผ่านมา เกือบนึกน้อยใจที่ตนเองเป็นได้เพียงตะกร้าทิ้งอารมณ์เซ็ง แต่พอคิดใหม่ แค่มีโอกาส
เห็นเรียวแขนเปลือยกับท่อนขาสลักเสลาในยีนรัดรูปของลานดาวตั้งครึ่งวันอย่างนี้ก็สุดคุ้มแล้ว จะด้วยฐานะอะไรก็ช่างหัวเถอะ
“โจ๊กยังไปหาหมอดูอุปการะอยู่หรือเปล่า?”
หญิงสาวถามเหมือนโปรยข้อสนทนาฆ่าเวลาเล่นเมื่อรถแล่นออกมาได้ไม่นานนัก
“ก็ไปอยู่เหมือนกัน ตอนนี้แกกลายเป็นคนดังแล้วจ๊ะเอ๊ย คนเก่ายังมาหา แถมคนใหม่มาเพิ่มอีก
เพราะปากต่อปาก ล่าสุดเราต้องรับบัตรคิวเลยนะ เชื่อเขาเลย นี่เห็นสิ้นเดือนจะย้ายไปเปิดสำนักเป็นหลัก
แหล่งแล้ว”
“คงเพราะมีลูกค้ารายใหญ่อย่างเธอเยอะน่ะซี พาสาวไปช่วยอุดหนุนพ่อหมอกี่คนแล้วล่ะ?”
“ฮี้! สาวเสิวอะไร้”
นนทกานต์อ้อมแอ้มเสียงหนีบ ลานดาวฟังทีเดียวรู้เลยว่าหล่อนแซวแม่น จึงหยิกต่อ
“พาไปบ่อยๆเถอะ แกคงทายว่าเป็นเนื้อคู่เข้าสักคน”
ชายหนุ่มทำเป็นไม่ได้ยิน
“โจ๊กก็ชักนึกเลื่อมใสหมออุปการะเพิ่มขึ้นทุกทีนะ ไม่ใช่ทายแม่นอย่างเดียว เจอแต่ละทีเหมือน
ไปให้แกเขี่ยผงออกจากตา ขูดสนิมออกจากความคิดเราทีละนิดทีละหน่อย”
ลานดาวทอดตามองไกลและยิ้มเนือย
“ผงในตาแบบไหน ยกตัวอย่างซิ”
“ผงแบบจ๊ะนั่นแหละ! ล่าสุดกำชับซ้ำว่าอย่าหวังลมๆแล้งๆ พูดทำนองว่าชาตินี้ไม่มีวันได้แอ้มหรอก”
นนทกานต์เล่าไปเรื่อย ทว่ายังผลให้นัยน์ตาหญิงสาวทอประกายของกระรอกที่ถูกชี้โพรงขึ้นมา
แวบหนึ่ง เป็นอารมณ์ของคนเคยหวังนักหวังหนาว่าจะมีสักครั้งที่หมอดูอุปการะทำนายทายทักผิดพลาดจังๆ
“เขาพูดคำนี้เลยหรือ?”
เพื่อนหนุ่มหัวเราะแหะๆ สารภาพว่า
“ก็ไม่เชิงหรอก ฉันพูดให้เป็นภาษาวัยสะรุ่น ถ้าจะเอาเป๊ะๆ คือพอฉันถามแวะเวียนมาเกี่ยวกับ
เธอ หมออุปการะก็บอกว่าถ้ายังเก็บความหวังไว้ เท่ากับยอมรักษาทุกข์ส่วนหนึ่งไว้อย่างเปล่าประโยชน์ แก
ชี้ให้เห็นว่าฉันหลงรูปมากกว่าอย่างอื่น และถ้าลงว่าหลงผู้หญิงที่ความสวย ก็แปลว่ากำลังหลงความดีในอดีต
ของเขาซึ่งเราสู้ไม่ได้ หลักการอันดีคืออย่าสู้ในสนามที่ต้องแพ้เพราะเป็นรองเกินไป”
ลานดาวนิ่วหน้าหน่อยๆ
“ไม่เข้าใจ หลงแต่ความสวยแปลว่ากำลังหลงความดีในอดีต เป็นยังไง?”
“อ๋อ แกอธิบายทำนองว่าคนเราสวยไม่ใช่เพราะฟลุก ไม่ใช่เพราะมีใครลำเอียงให้คุณสมบัติ
ติดตัวเรามาเปล่าๆ ของทุกอย่างมันมีเหตุในตัวเอง อย่างชาติก่อนเธอมีจิตใจงดงาม ทำดีมีศีลสัตย์ วิญญาณก็
เคลื่อนมาครองอัตภาพที่สอดคล้อง กรรมเก่าส่งมาสู่กำเนิดที่สุขุม และคุมรูปให้สวยสมน้ำสมเนื้อกับความดี
เดิมนั้นจนกว่าจะหมดแรงส่ง แกให้มองหาความดีในชาตินี้ของจ๊ะด้วยสายตาของมิตรที่คิดเกื้อกูลกันยิ่งๆขึ้น
แล้วทุกอย่างจะลงเอยในทางมงคล ทั้งปัจจุบันและอนาคต”
“แล้วชาตินี้ในสายตาของเธอ ฉันมีความดีอะไรบ้าง?”
“จ๊ะน่ะเหรอ อือม์ ก็เป็นคน ”
นนทกานต์พยายามตอบทันทีแบบเอาใจ จะได้เป็นการแสดงว่าสายตาของเขาสอดส่องและแล
เห็นความดีของหล่อนอยู่เสมอ ถามปุ๊บตอบได้ปั๊บไม่ต้องเสียเวลาขุดค้นจากซอกหลืบความจำใด ทว่าพอพูด
สามคำแรก ก็เกิดอาการตีบตัน ไม่ทราบจะสรรคำยอที่ตรงตามจริงอันใดมากล่าวให้เร็วทันปากที่โพล่งนำ
เป็นสายฟ้าแลบไปแล้ว
“เป็นคน ”
พอเขาซ้ำคำนำเดิมแบบแผ่นเสียงตกร่อง ลานดาวก็โบกมือขึ้นลง
“เอาล่ะๆ ช่างเถอะ อย่างกับถูกบังคับให้ฝืนอมแตงโมไว้ทั้งลูก ทีหลังพูดสบายๆเหอะนะ นึก
ไม่ออกก็บอกว่านึกไม่ออก ฉันรับได้ ที่ถามไม่ใช่เพราะอยู่ในอารมณ์อยากฟังคำสรรเสริญเสียหน่อย”
นนทกานต์รู้สึกขายหน้าแปลกๆที่ค้นหาคำตอบไม่เจอ อาจเพราะมัวพุ่งเป้าจะเอาความดีชนิดล้ำ
เลิศประเสริฐศรีมายกยอให้ฟังเป็นที่ชื่นใจ ประโลมให้อุ่นใจว่าชาติหน้ามีจริงก็ต้องสวยอย่างนี้อีก ความจริง
ถ้าเพียงแต่จะเขี่ยๆความดีของลานดาวชนิดดาษๆออกมากองก็คงได้หลายอยู่ ทว่านี่ช้าเกินไปแล้ว จะคุ้ย
ออกมาก็คงเหมือนแกล้งเอาใจกันแบบบื้อๆไร้รสนิยมเปล่า จึงเล่าเรื่องที่คุยกับหมออุปการะต่อเพื่อกลบ
เกลื่อนอาการคิดช้าของตน
“โจ๊กถามหมออุปการะเรื่องคู่แท้ด้วย ว่าเพราะกรรมอะไรจึงทำให้หญิงชายกลายเป็นคู่แท้ถาวร
หมออุปการะบอกว่าคู่แท้ถาวรไม่มีหรอก มันขึ้นอยู่กับว่าเราเคยทำบุญมากับใคร หรือติดหนี้ใครไว้บ้าง
สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อย ถ้าชาติใกล้ทำบุญกับใครมากก็อยู่เย็นเป็นสุขกับคนนั้นยืดหน่อย แต่หาก
ติดหนี้ใครไว้เยอะก็ต้องทนสภาพเหมือนเข้าคุกร่วมกับเขานานปีเช่นกัน เสร็จแล้วพอตายจากก็ทางใครทาง
มัน เว้นแต่ระหว่างอยู่ด้วยกันได้ร่วมบุญหรือก่อบาปไว้เสมอกันอีก ก็มีสิทธิ์ไปพบกันใหม่ในปรโลกด้วย
แรงดึงดูดของบุญและบาปนั้นๆ”
ลานดาวถอนใจ อย่างหล่อนมีสติรู้จริงได้แค่ว่าลมหายใจเดี๋ยวนี้เป็นขาออกแน่ๆเท่านั้น ให้รู้ล้ำ
ไปในอนาคตกาล หรือรู้ย้อนกลับไปยังอดีตชาติล้วนบอดสนิท โดยเฉพาะการเวียนว่ายตายเกิดและเหตุผล
ต้นปลายเกี่ยวกับกรรมเวรทั้งหลาย หญิงสาวแค่ตระหนักว่าตนเองไม่รู้ ขณะเดียวกันก็เกลียดการจำใจเชื่อคน
ที่อ้างว่ารู้ โดยหล่อนไม่มีสิทธิ์พิสูจน์เท็จจริงด้วยสติสัมปชัญญะของตนเองเลย
“ฟังเรื่องเวียนว่ายตายเกิดกับบุญทำกรรมแต่งแล้ววังเวงแฮะ สติสตังแบบมนุษย์ธรรมดาเราทำ
ได้อย่างมากก็เพียงสมัครใจเลือกเชื่อหรือไม่เชื่อ ส่วนถ้าให้พิสูจน์ด้วยตาทิพย์หรือหูทองของสำนักไหน ก็ลือ
กันว่าเพี้ยนมากเพี้ยนน้อยทั้งนั้น”
“งั้นก็เลือกเชื่อหลักง่ายๆสิ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำอะไรได้อย่างนั้น ถ้าภพชาติคล้อยตามกฎนี้
เราก็ได้ชื่อว่าเลือกเชื่ออย่างมีเหตุผล แต่ถ้าภพชาติไม่คล้อยตามกฎนี้ เราก็ยังได้ชื่อว่าเลือกเชื่อด้วยมโนธรรม
ประจำใจของมนุษย์ ไม่ใช่เชื่อด้วยสัญชาตญาณสัตว์ร้ายที่เห็นผิดเป็นชอบและพร้อมบูชาความชั่วเป็นสรณะ”
นนทกานต์แปลกใจตนเองที่สามารถท่องคำของหมอดูอุปการะพูดได้เกือบทุกคำ กับทั้งแปลก
ใจที่ลานดาวสงสัยแบบเดียวกับเขา และเคยไถ่ถามหมอดูอุปการะไว้ก่อนแล้ว
หรือว่าที่แท้คนเราสงสัยเกี่ยวกับตัวเองเหมือนๆกันหมด?
“มันก็ไม่หมูนักหรอกนะ” ลานดาวขัดคอ “แค่บอกว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ฟังเหมือนง่าย แต่
พอลองเจาะลึกไปในรายละเอียด ใครบ้างตัดสินถูกว่าแค่ไหนเรียกทำดี จัดเป็นการเมตตากรุณากัน ใครชี้ได้
แม่นๆว่าแค่ไหนเรียกทำชั่ว เข้าข่ายจองเวรเบียดเบียน”
“เผอิญฉันถามหมออุปการะข้อนี้เหมือนกันแหละ แกบอกมาสั้นๆแค่ว่าเครื่องวัดอย่างง่ายคือใจ
ทำอะไรเป็นประจำแล้วโล่งอก หรือกระทั่งเกิดปีติโสมนัสกับพฤติกรรมนั้นๆเพราะเห็นชัดว่าเป็นไปเพื่อ
เกื้อกูลทั้งตัวเองและคนอื่น ไม่มีใครเดือดเนื้อร้อนใจในภายหลัง อย่างนั้นคือกรรมดี รายละเอียดเป็นอย่างไร
ไม่สำคัญกว่าใจในขณะก่อกรรมและรับกรรม”
ลานดาวหรี่ตาเล็กน้อย ทำเสียงเหมือนพาดพิงบุคคลสมมุติอื่นไกลตัว
“อ้ะ! อย่างพวกเกย์ พวกเลสเบี้ยนล่ะ รักเพศเดียวกันก็ทำให้หัวใจพองโต เกิดปีติโสมนัส
เหมือนกัน แถมอยู่ร่วมเพื่อเกื้อกูลกันฉันคนรักได้ถนัดขึ้น เราจะเอาอะไรไปตัดสินว่าใจที่ยอมเป็นรักร่วม
เพศนั้นคือการก่อกรรมดีหรือกรรมชั่ว บางประเทศหรือบางศาสนาพิพากษาไว้ว่าเป็นบาปผิดอย่างมหันต์
ต้องลงทัณฑ์สถานหนักทีเดียว โทษฐานกวนสังคมให้เกิดความวิปริต หรือข้อหาเบากว่านั้นหน่อยคือไม่ยอม
ทำตามกติกาสากลของพระเป็นเจ้าผู้สร้าง”
นนทกานต์ทำหน้าครุ่นคิด
“อือม์ ใครจะว่าอย่างไร มีบทบัญญัติไว้กว้างหรือแคบแค่ไหนไม่รู้นะ แต่เท่าที่รู้จักและมอง
พวกรักร่วมเพศด้วยตาเปล่า โจ๊กว่างานนี้เป็น ‘การรับกรรม’ มากกว่า ‘การก่อกรรม’ เพราะรักร่วมเพศยืนพื้น
อยู่บนความชอบใจ ไม่ใช่ยืนพื้นอยู่บนเจตนาเลือกเอาลอยๆว่าข้าจะเป็นรักร่วมเพศ เปรียบเทียบแล้วคงคล้าย
กับที่ไม่มีใครชอบกินแอปเปิ้ลแล้วได้รับคำชมว่าประเสริฐ ไม่มีใครรังเกียจองุ่นแล้วโดนหาว่าชั่วช้า เขาแค่
ลองลิ้มผลไม้แต่ละอย่างแล้วเกิดความถูกใจหรือไม่ถูกใจ มนุษย์ที่ไหนล่ะเจตนาสั่งให้ตัวเองรักหรือเกลียดอะไรได้?”
“สรุปคือกรรมชั่วบางอย่างดลใจให้เราชอบในสิ่งที่ไม่ควรชอบ หรือชอบเพื่อทนทุกข์ทรมานในภายหลังอย่างนั้นหรือ?”
นนทกานต์หัวเราะตาใส เพราะไม่เคยได้ยินคำนั้นมาก่อน เมื่อคิดตามแล้วก็เห็นจริง กรรมชั่ว
บางอย่างอาจดลใจคนให้ชอบในสิ่งที่ไม่ควรชอบ ชอบแล้วเป็นไปเพื่อความทุกข์ ความทรมานเพียงถ่ายเดียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงดึงดูดทางเพศน่าจะเป็นหมากกลล่อให้ติดกับง่ายที่สุด
“น่าจะใช่นะ แม้แต่ความชอบใจก็เป็นเครื่องมือเล่นงานเราได้ อย่างบางคู่เจอกันก็เห็นแต่แรก
แล้วว่าไปไม่รอดแน่ ทั้งเกิดลางร้ายสารพัด ทั้งอึดอัดหรือขนลุกเมื่ออยู่ใกล้กัน แต่ก็ทนแรงดึงดูดไม่ไหว มี
อันต้องได้ถึงเนื้อถึงตัวกันรวดเร็วผิดปกติ แล้วก็แยกกันไม่ขาดตั้งแต่นั้น ทนทุกข์ทรมานสาหัสร่วมกันเป็นปี
หรือเป็นชาติกว่าระฆังหมดยกจะดังขึ้น อย่างนี้ถ้าไม่ใช่เพราะบาปเวรแต่หนหลังดลใจหรือเป็นกาวยึดให้
แปะติดกัน ก็ไม่รู้จะโทษอะไรดีกว่านั้น”
“แปลว่า ลงถ้ากรรมเก่าจะให้ผล อย่างไรเราก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตายอมรับเคราะห์กรรม และ
งอมืองอเท้ารอจนกว่ากรรมเก่าจะหมดแรงส่งใช่ไหม?”
“อันนี้ยังไงไม่รู้นะ แต่เรามองโลกด้วยตาเปล่า เราว่าเคราะห์กรรมมีอยู่สองประเภท ประเภท
แรกคือเข้าจู่โจมถึงตัวแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดหาทางหนี เช่นกำลังอ้าปากจะงับข้าวอยู่ดีๆ ตึกดันถล่มครืนลง
มาเพราะวิศวกรโกงวัสดุก่อสร้าง อย่างนี้ต้องปล่อยเลยตามเลย ในเมื่อกรรมเก่าเขาจะมาขอลดอายุหรือทำให้
บาดเจ็บพิการด้วยการส่งเราไปติดอยู่ในตึกนั้นเวลานั้น
“แต่ประเภทที่สองจะค่อยๆคืบคลานเข้ามาแบบเปิดโอกาสให้ตั้งสติ เตรียมตัวหลบหนีหรือ
ป้องกันผ่อนหนักเป็นเบา เช่นกรรมเก่าดลใจให้ชอบเล่นพนันและต้องหมดตัวเพราะการพนัน ถ้าชาตินี้กัด
ฟันทน ไม่เล่นเสียอย่าง แบบเดียวกับขี้ยายอมลงแดงตายดีกว่ากลับไปเป็นทาสยา กรรมที่ต้องหมดตัวเพราะ
การพนันจะมาทำอะไรเราได้ยังไง
“เราว่าในโลกความเป็นจริง มนุษย์ประสบเคราะห์กรรมที่พอทนสู้ไหวมากกว่าเคราะห์กรรม
ประเภทหมดสิทธิ์รับมืออย่างสิ้นเชิง แต่เรื่องของเรื่องคือคนเรามักปล่อยเลยตามเลย ไม่ทำอะไรสักแอะ
แม้กระทั่งฝืนใจสู้กับตัวเอง หรือพอเชื่อเรื่องกรรมก็เชื่อแค่อิทธิพลของพลังลึกลับจากชาติปางก่อน แล้วแทบ
เลิกศรัทธาพลังที่เปิดเผยให้หวังได้ในชาตินี้ ยิ่งฟังหมออุปการะแจกแจงกรรมเก่ากรรมใหม่ของเราที่เราเอง
ลืมไปแล้ว ก็ยิ่งเห็นจริงว่ากรรมเก่าอาจทำหน้าที่สร้างฉากละครตอนแรก แต่กรรมใหม่ก็สามารถเป็น
ตัวกำหนดว่าจะให้เหตุการณ์ดำเนินไปจนถึงตอนจบได้อย่างไร”
หน้าผากของลานดาวคลายจากอาการตึงเล็กๆ เมื่อจับใจความสำคัญได้ว่า ถ้าให้สตินำหน้า
อารมณ์เสียอย่างเดียว กรรมเก่าทำหน้าที่ได้มากสุดก็แค่ยั่วยวนให้หลงผิด โดยเราไม่จำเป็นต้องถลำตัวเห็น
ผิดเป็นชอบ เห็นชั่วเป็นดี หรือเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เรื่องเลวร้ายส่วนใหญ่ในชีวิตคนอาจไม่เกิดขึ้น ขอ
เพียงไม่ตามใจตัวเองเกินขอบเขตทำนองคลองธรรมเท่านั้น
คำพูดของนนทกานต์มักพาหล่อนออกจากกรงขังทางความคิดได้อยู่เรื่อย เขาจึงมีความน่าเข้า
ใกล้ น่าให้เวลาเสวนา แม้ถูกจัดไว้เป็นม้านอกสายตาที่ไม่มีแรงพอจะวิ่งมาถึงเส้นชัย ก็ทำให้หล่อนแวะเวียน
สายตามาชมด้วยความสนใจลักษณะเด่นอยู่เสมอ
ลักษณะเด่นของผู้ชายในบางครั้งก็ชักใยหรือไขลานให้กลจักรทางเพศทำงานได้เหมือนกัน
ลานดาวค่อยๆรู้จักตนเองมากขึ้น และพบว่าสำหรับหล่อนแล้ว วาจาของชายเร้าใจได้มากกว่ารูปร่างหน้าตา
หลายครั้งใกล้ชิดกับหนุ่มเซ็กซี่สุดๆแล้วรู้สึกจืดชืดอย่าบอกใคร แต่ยืนชมจันทร์อยู่เดียวเปลี่ยวกายแล้วกลับ
ปรารถนาอ้อมกอดจากนทกานต์ขึ้นมาได้ เคยงุนงงกับเหตุผลต้นปลาย แต่เมื่อสังเกตตัวเองบ่อยๆขณะอยู่กับ
ผู้ชายแต่ละคน ก็พอเข้าใจชัดขึ้นทุกที นั่นคือหล่อนจะไม่ยอมเป็นของผู้ชายไอคิวต่ำกว่าตนเองเด็ดขาด!
นนทกานต์ดูอ่อนแอ ซื่อๆเซื่องๆตอนอยู่ในอารมณ์หลง กับทั้งขาดความมั่นใจในรูปโฉมและ
ฐานะ แต่กะพริบตาทีเดียว พอให้โอกาสเขาแสดงสติปัญญา ด้วยความเชื่อมั่นว่าหล่อนจะเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
เขาก็แปลงร่างเป็นหนุ่มอีกคนที่คมคาย ดูอบอุ่นน่าฝากใจขึ้นมาได้ทันทีเหมือนกัน คำพูดหลายต่อหลายคำ
ของเขาฝังอยู่ในส่วนลึกและส่วนตื้นของความทรงจำไม่รู้เลือน จึงนับว่าเขามีความฉลาดทางวาจาเป็นเสน่ห์
เป็นความเซ็กซี่ และเป็นเหตุผลที่หล่อนเลือกอยู่ด้วยในยามเคว้งคว้างสุดทนเช่นวันนี้
หล่อนอาจมีเวรกับเขาอย่างหนึ่ง คือเลี้ยงเหมือนม้าใช้เอาไว้ขี่หลัง เวลากำลังอารมณ์ร้ายหาที่
ระบายไม่ได้ก็ไปลงเอากับเขา หรืออีกทีก็เลี้ยงไว้เป็นหินลับเขี้ยวเสน่ห์ แบบเดียวกับแม่มดที่ต้องหมั่นซ้อม
ใช้เวทมนต์กันลืม ไม่ทราบเป็นโรคจิตชนิดใดเหมือนกัน ดูเหมือนหล่อนสนุกสนานเป็นพิเศษกับการแกล้ง
ทรมานเขา เห็นหน้าเศร้าๆที่ยังคงจงรักภักดีไม่เสื่อมคลายแม้ถูกทำทารุณสารพัดแล้วสะใจพิลึก ชีวิตเหมือน
อิ่มเอมเปรมสุขยิ่งกับการมีเขาไว้เป็นลูกบอล นึกอยากอุ้มก็อุ้ม นึกอยากเลี้ยงก็เลี้ยง นึกอยากเตะก็เตะ แรงเบา
แค่ไหนก็เห็นยังทนมือทนเท้าอยู่ในสภาพเดิมเสมอ
คบกับหล่อนเขาเป็นฝ่ายสูญเสียมาตลอด หล่อนอาจต้องชดใช้ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งให้เขา
เป็นฝ่าย ‘ได้’ เสียบ้างกระมัง
ลานดาวมองเหม่อออกไปนอกรถ ครู่หนึ่งก็พึมพำถามอีก
“แล้วเธอว่าพวกหญิงรักหญิงที่อยู่กินกันจริงจังนี่น่ารังเกียจไหม?”
“อือม์ ” นนทกานต์เม้มปากตรองโดยปราศจากการเฉลียวคิดว่าเป็นเรื่องใกล้หรือไกลตัวแต่
อย่างใดทั้งสิ้น “ใจหนึ่งก็สงสาร อีกใจก็รู้สึกแปลกๆนะ จะบอกว่ารังเกียจไหม คงไม่ถึงขั้นนั้น เป็นผู้หญิง
ยังดี ไม่ถูกด่าเท่าไหร่ เห็นคลอเคลียหยาดเยิ้มแบบแฟนแล้ว สมัยนี้อาจจะแค่ทำให้ยิ้มมุมปากหน่อยๆ เพราะ
ภาพไม่ชวนคลื่นไส้นัก แต่ถ้าเป็นผู้ชายก็อาจเคราะห์ร้าย สังคมจะพากันส่งสายตารังเกียจโดยไม่ต้องนัด
หมาย มีแต่คนสนิทที่ได้รู้จัก ได้พูดคุย ได้เห็นแง่มุมอื่นๆในชีวิตของเขา ภาพของความเป็นมนุษย์ที่น่าเห็นใจ
ถึงจะปรากฏชัดกว่าภาพของรักร่วมเพศที่ทำอะไรน่าสะอิดสะเอียน”
“ลองแจกแจงให้ฉันฟังได้ไหมว่าทำไมรักร่วมเพศถึงน่ารังเกียจ?”
จนแล้วจนรอดนนทกานต์ก็ไม่สำเหนียกความขรึมผิดปกติในน้ำเสียงของเพื่อนสาวอยู่นั่นเอง
นั่นเป็นธรรมชาติของเขา เวลาได้รับโจทย์ให้คิดก็คิดไป และมักให้คำตอบได้ดีมากด้วย แต่พอไม่ต้องคิดก็
จะขาดความสังเกตสังกา และบ้ารักไปตามแรงขับของวัย
“เรื่องของเรื่องคือมันฝืนธรรมชาติ อะไรที่ฝืนธรรมชาติย่อมก่อความรู้สึกผิดปกติ ความรู้สึก
ผิดปกติอาจจี้เส้นให้ขำ หรืออาจทำให้มวนท้องอยากแหวะ สำหรับหญิงกับหญิงนั้นกวนความรู้สึกให้
ปั่นป่วนน้อยหน่อย เพราะเป็นเพศที่ไม่ต้องเปลี่ยนบุคลิกมากนัก ถึงแม้กิริยาวาจาแข็งโป๊กยังไงก็พอเห็นได้
ในหญิงทั่วไปอยู่แล้ว อีกอย่างเพศหญิงมีธรรมชาติน่าหลงใหล หากถูกหลงโดยเพศเดียวกันก็นับว่าแปลก
น้อย ทางโหราศาสตร์ระบุด้วยซ้ำว่าดาวประจำดวงของผู้หญิงบางคนส่งกระแสให้เจ้าตัวทรงเสน่ห์ มี
อิทธิพลแม้กับเพศเดียวกัน อย่างจ๊ะไง น้องปีหนึ่งปีสองกรี๊ดกันอย่างกับแข่งเป่านกหวีด ทั้งที่เธอก็ไม่เคยมี
มาดทอมบอยกับเขาเลย แค่เท่กว่าเลดี้หน่อยเดียว”
ลานดาวเบนหน้าไปลอบยิ้ม ใจชื้นอย่างประหลาดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเสน่ห์ของตนมีอิทธิพลต่อ
ผู้หญิงด้วยกัน โดยอาศัยหลักฐานแวดล้อมเป็นตัวเป็นตนมาชี้ได้มากมาย
“แล้วชายกับชายล่ะทำไมถึงน่ารังเกียจ?”
ประโยคคำถามนั้นยิงมาเพื่อไม่ให้นนทกานต์รู้สึกว่าหล่อนสนใจปัญหาหญิงรักหญิงเป็นพิเศษ
“อือ ชายกับชายนี่ถ้าออกแนวตุ๊ดแนวแต๋วก็ซวยเลย เพราะบุคลิกจะถูกปรับให้กระตุ้งกระติ้ง
ผิดแผกจากธรรมชาติอย่างเห็นได้ชัด ธรรมชาติในรูปกายของเพศชายไม่ค่อยมีส่วนนุ่มนวลให้นึกอยาก
อะลุ้มอล่วยหรือทำใจรับได้เท่าไหร่ โจ๊กคิดว่าหากกรรมร้ายๆเกี่ยวกับเรื่องทางเพศอยากเล่นงานใครแรงสุด
ก็จะเลือกจังหวะที่กำลังเป็นชายนั่นแหละ ทุกข์ถนัดกว่าจังหวะเป็นหญิงมากนัก”
“ก็จริงนะ เป็นหญิงโชคดีกว่าชายหน่อย ในกรณีที่มีความเบี่ยงเบน”
“หญิงรักหญิงโชคดีกว่าชายรักชาย แต่ก็โชคร้ายกว่าหญิงรักชายตามธรรมชาติวันยังค่ำ”
หญิงสาวเอียงหน้าอิงศีรษะกับบ่าของพนัก นัยน์ตาซึมเศร้าลงอีก
“เธอว่าฉันเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองมากไหม?”
อยู่ๆหล่อนก็นึกอยากเปลี่ยนเรื่อง
“จะให้ตอบแบบเพลาๆหรือแบบเอาขวานจาม?”
หญิงสาวหัวเราะ ก่อนตอบหนักแน่นเพื่อสื่อว่าต้องการตามนั้น
“เอาขวานจาม!”
นนทกานต์หัวเราะหึหึ
“จ๊ะรู้ตัวเองอยู่แล้วนี่ แต่ก็ถือว่าปกตินะ ความเอาแต่ใจเป็นของคู่กันกับความสวยอยู่แล้ว ยิ่ง
สวยระดับเธอยิ่งไปกันใหญ่ ไม่รู้เรื่องอื่นใดในโลกกับใครเขาหรอก ที่เห็นเป็นอันดับหนึ่งคือความอยาก
หรือไม่อยากเอาอะไรเท่านั้น”
ลานดาวปิดตาลง ถามตนเองเงียบๆว่าถ้อยคำของนนทกานต์เป็นความจริงในทุกสถานการณ์
หรือไม่ หากขัดกับศีลธรรม หล่อนจะยังมีสำนึกผิดชอบชั่วดีอยู่มากน้อยเพียงใด?
รถแล่นเรื่อยบนทางด่วนข้ามจังหวัดพักใหญ่ สองหนุ่มสาวก็มานั่งทานอาหารทะเลที่ร้านริม
หาดบางแสน ลานดาวมองขอบฟ้าไกลลิบตาอย่างเหม่อลอยมากกว่าร่วมจ้อไปกับเพื่อนชาย ช่างเป็นวันที่
แตกต่าง หล่อนเคยนั่งรถนนทกานต์ด้วยอัตตาของเจ้านาย เคยผูกขาดการสนทนาหันเหทิศทางไปตามใจ
ตนเอง แต่วันนี้หล่อนเห็นเงาร่างตนเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง เป็นฝ่ายรับฟัง เป็นฝ่ายคิดตามเกือบตลอด
ฝ่ายนนทกานต์จ้อเอาๆไม่ต่างจากปลากระดี่ได้น้ำ เขานึกในใจว่าการเป็นเพื่อนสนิทกับคนสวย
ก็ดีอย่างนี้ มีโอกาสฟลุกคล้ายถูกเลขท้ายสามตัวโดยไม่คาดฝันเข้าได้เหมือนกัน และถ้าให้แลกจริงๆระหว่าง
ควงลานดาวเที่ยวทะเลกับถูกเลขท้ายสามตัว เขายอมเสียเลขท้ายสิบงวดดีกว่าเสียโอกาสมากับหล่อน!
นนทกานต์ไม่รู้ตัวเอาเลยว่าอีกไม่กี่นาทีต่อมาจะต้องลืมเรื่องเลขท้ายสามตัวลงสิ้น ในเมื่อเจอ
โชคระดับลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งหวดเข้าใส่เต็มเหนี่ยวเสียแล้ว!
“โจ๊ก ” ลานดาวหันจากทะเลมาพูดกับเขาแบบปลงใจหลังใคร่ครวญครั้งสุดท้าย “จำบังกะโล
ที่พวกเรากับเพื่อนๆเคยมาค้างคืนกันเมื่อหลายเดือนก่อนได้ใช่ไหม? เลยไปห้าร้อยเมตรนี่น่ะ จ๊ะเหนื่อย แล้ว
ก็อยากขับไปงีบพักสักสิบนาที เดี๋ยวโจ๊กช่วยเดินตามไปทีหลังได้หรือเปล่า หาเอาแล้วกันว่าจ๊ะจอดรถไว้
หลังไหน เคาะประตูเรียกแล้วจะมาเปิดให้”
ชายหนุ่มตกตะลึงจนข้าวหล่นจากปากหลายเม็ด มองหน้าเพื่อนสาวเหมือนนักมวยเจอหมัด
ตรงเต็มเบ้าตา กลืนข้าวก้อนโตเกือบไม่เคี้ยว และเพื่อความเชื่อมั่นว่าไม่หลอกตัวเองด้วยความเข้าใจผิด
นนทกานต์ก็เอ่ยตะกุกตะกัก
“จ๊ะนั่งรถมาเหนื่อย โจ๊กก็ขับรถมานาน น่า น่าจะยิ่งเหนื่อยกว่า ถ้าเอ่อ ของีบอยู่ข้างๆจ๊ะ
มั่ง แต่หลายชั่วโมงหน่อยจะว่าอะไรไหม?”
ลานดาวหลบตาไปทางอื่นขณะกระซิบตอบเหมือนต้องการให้ตั้งใจอ่านเพียงริมฝีปาก
“ไม่ว่า ”
แล้วก็แบมือขอกุญแจรถอย่างเงียบเชียบ
ไล้ฟูกนิ่มละไมราวกับกวาดหาสิ่งยึดเหนี่ยวไม่ให้เคว้งคว้าง แต่ที่พบคือความราบเรียบว่างเปล่า ปราศจาก
วัตถุในฝัน ปราศจากวัตถุในโลกความจริงใดให้ไขว่คว้า จึงหยุดสงบตะแคงหน้าน้ำตาซึมกับหมอน แสง
สว่างแห่งรุ่งสางกับไอฉ่ำเย็นในห้องนอนเคยปลุกหล่อนจากความหลับใหลสู่การลืมตาตื่นสบาย ทว่าครั้งนี้
ทุกอย่างต่างไป ลานดาวพบตนเองทอดร่างสะอื้นเงียบ เช้านี้อาจแปลกที่สุดในชีวิต เสมือนสิ่งรอบตัวที่เคย
ช่วยกันบันดาลรอยยิ้ม กลายเป็นท่อนหินต้องคำสาปคุมขังหล่อนให้ติดอยู่กับความเหงาเศร้าหดหู่ดุจเดียวกับคุกทะมึน
ความทรงจำ หากไร้ความทรงจำ คงไม่มีที่เก็บภาพบาดใจ ไม่มีหนามแหลมทิ่มแทง ไม่มีส่ำ
เสียงหลอกหลอนในหัว คนเราอาจหนีการไล่ล่าของสัตว์ร้ายด้วยกำลังขา หรือแหกคุกหลบอาญาได้ด้วยเล่ห์
กลพิสดาร แต่ใครเล่าจะหลุดพ้นจากการเกาะกุมของความทรงจำแห่งตนได้ด้วยกำลังกายหรือเล่ห์กลอันใด?
ยอดสุดของหลังคาโลกไม่มีอะไรต้องกลัวนอกจากความเหงา และที่ยอดสุดของความเหงาไม่มี
อะไรน่ากลัวไปกว่าพฤติกรรมเบี่ยงเบนและความอยากตาย คนอื่นอาจใช้เวลาในการนอนซมหลายวัน หรือ
เป็นแรมเดือนแรมปีกว่าจะทนเจ็บไม่ไหว แต่สำหรับหล่อนผู้ไม่เคยมีภูมิต้านทานทุกข์ เพียงสองสามชั่วโมง
ก็เพียงพอแล้วต่อการสิ้นสุดความอดทน
สิ่งที่เคยหวาดกลัวในส่วนลึกเดินทางมาถึงแล้วกระมัง? คำทำนายของหมอดูอุปการะ!
สัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ลานดาวสะดุ้งไหวเล็กน้อย ชายตามองไปทางต้น
เสียงด้วยแววละห้อยหงอยอย่างรู้ว่านั่นจะไม่ใช่เสียงอรุณสวัสดิ์ทักทายจากมาวันทา ปล่อยให้สัญญาณดังอยู่
หลายครั้ง ตั้งใจจะไม่รับ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจลุกขึ้นหยิบกระบอกโทรศัพท์จากแป้น คิดว่าการได้คุยกับใครสัก
คนอาจช่วยให้สภาพแช่จมซมซานบรรเทาบ้าง
“สวัสดีค่ะ”
“นี่โจ๊กพูด”
ครั้งนี้ลานดาวนึกดีใจอย่างประหลาดที่ได้ยินเสียงสดใสของเพื่อนหนุ่ม หล่อนถือกระบอกไร้
สายติดตัวมานอนคุยบนเตียง และตอบรับด้วยหัวใจนิ่มนวลกว่าเคย
“สวัสดีค่ะโจ๊ก”
“เอ๊ะ! นั่นใคร? เสียงนุ่มนิ่มเหมือนนางชี ช่วยตามจ๊ะมาคุยหน่อย”
ลานดาวหัวเราะออกมาได้ วิธีพูดเล่นทักทายของเพื่อนหนุ่มช่วยปลุกสติให้กระเตื้องขึ้น
“จ๊ะเอง”
“จริงเหรอะ? งั้นสงสัยเพิ่งเข้าห้องพระสวดมนต์แผ่เมตตาให้พวกเปรต สุ้มเสียงถึงปรานีผิดปกติ”
หญิงสาวหัวเราะขำอีก พยายามแต่งเสียงให้เข้าร่องเข้ารอย
“คนเพิ่งตื่นนอนก็ซึมเซาบ้างสิเธอ โทร.มามีอะไรหรือเปล่า?”
“ขอเบอร์มือถือยายเอ๋ยหน่อยซี มีแต่เบอร์เครื่องเก่า น้องที่ชมรมเขาตามหาตัวกัน แม่นี่นัดไม่
เป็นนัด”
ลานดาวบอกเบอร์เพื่อนสาวไปเพราะเห็นว่าคงเป็นธุระด่วน
“เธอต้องโทร.เองนะโจ๊ก อย่าให้คนอื่น เดี๋ยวเอ๋ยมาว่าฉัน ที่เปลี่ยนเครื่องนี่เห็นว่าเพราะหลบ
ใครบางคนอยู่”
“โอเค ขอบใจมาก แค่นี้ก่อนนะ”
“เดี๋ยว ”
“หือ?”
“วันนี้ว่างหรือเปล่า?”
นนทกานต์ชะงักไป ใจเต้นระทึกขึ้นมาปุบปับ
“กำลังอยู่ที่ชมรม แต่สองสามชั่วโมงคงเสร็จ”
“งั้นทานข้าวเที่ยงด้วยกันไหม?”
ความจริงมีนัดกับพรรคพวก แต่อารามดีใจได้รับการชักชวนจากลานดาวทำให้ยอมเบี้ยวทันที
ตอบรับหล่อนโดยไม่มีการคิดหน้าคิดหลังหรือลำดับความสำคัญกับนัดเก่าแต่อย่างใดทั้งสิ้น
“ที่ไหนดีล่ะ?”
“มารับจ๊ะหน่อยแล้วกัน แล้วค่อยคิดทีหลัง”
นนทกานต์มาถึงก่อนเที่ยง ลานดาวปรากฏตัวยืนต้อนรับเขาในชุดเสื้อยืดแขนกุดกับกางเกงยีน
รัดรูป อวดผิวเนียนงามกับสัดส่วนไร้ที่ติซึ่งเขาไม่มีโอกาสได้เห็นบ่อยนัก ชายหนุ่มลงจากรถมาไหว้พ่อแม่
ของลานดาวพอเป็นพิธีครู่หนึ่งก็ชักชวนกันออกจากบ้าน
“หิวไหม?”
ถามไถ่หญิงสาวอย่างเอาใจใส่ขณะบิดกุญแจสตาร์ทเครื่อง
“ก็เรื่อยๆ”
“กินที่ไหนดี?”
“ในเมืองชักเบื่อ ไปบางแสนกันเถอะ ชมชายฝั่งแกล้มอาหารทะเล เปลี่ยนบรรยากาศมั่ง”
นนทกานต์เลิกคิ้วสูงอย่างสุดฉงน เพิ่งดูดวงประจำวันในหนังสือพิมพ์กรอบเช้า ถูกทำนายทาย
ทักว่าวันนี้ลาภหายหรือได้แห้วอย่างใดอย่างหนึ่ง ไฉนจึงพลิกกลับตาลปัตรกลายเป็นฤกษ์มหาเฮงไปเสียนี่
“อารมณ์ดีอะไรมาเนี่ย?”
“ตรงข้ามเลย กำลังเซ็งสุดขีดต่างหาก”
ชายหนุ่มหัวเราะ ความจริงเขาถามให้กลับขั้วไปอย่างนั้นเอง ดูหน้าเพื่อนสาวก็รู้ว่าจืดกว่าทุก
วันในรอบปีที่ผ่านมา เกือบนึกน้อยใจที่ตนเองเป็นได้เพียงตะกร้าทิ้งอารมณ์เซ็ง แต่พอคิดใหม่ แค่มีโอกาส
เห็นเรียวแขนเปลือยกับท่อนขาสลักเสลาในยีนรัดรูปของลานดาวตั้งครึ่งวันอย่างนี้ก็สุดคุ้มแล้ว จะด้วยฐานะอะไรก็ช่างหัวเถอะ
“โจ๊กยังไปหาหมอดูอุปการะอยู่หรือเปล่า?”
หญิงสาวถามเหมือนโปรยข้อสนทนาฆ่าเวลาเล่นเมื่อรถแล่นออกมาได้ไม่นานนัก
“ก็ไปอยู่เหมือนกัน ตอนนี้แกกลายเป็นคนดังแล้วจ๊ะเอ๊ย คนเก่ายังมาหา แถมคนใหม่มาเพิ่มอีก
เพราะปากต่อปาก ล่าสุดเราต้องรับบัตรคิวเลยนะ เชื่อเขาเลย นี่เห็นสิ้นเดือนจะย้ายไปเปิดสำนักเป็นหลัก
แหล่งแล้ว”
“คงเพราะมีลูกค้ารายใหญ่อย่างเธอเยอะน่ะซี พาสาวไปช่วยอุดหนุนพ่อหมอกี่คนแล้วล่ะ?”
“ฮี้! สาวเสิวอะไร้”
นนทกานต์อ้อมแอ้มเสียงหนีบ ลานดาวฟังทีเดียวรู้เลยว่าหล่อนแซวแม่น จึงหยิกต่อ
“พาไปบ่อยๆเถอะ แกคงทายว่าเป็นเนื้อคู่เข้าสักคน”
ชายหนุ่มทำเป็นไม่ได้ยิน
“โจ๊กก็ชักนึกเลื่อมใสหมออุปการะเพิ่มขึ้นทุกทีนะ ไม่ใช่ทายแม่นอย่างเดียว เจอแต่ละทีเหมือน
ไปให้แกเขี่ยผงออกจากตา ขูดสนิมออกจากความคิดเราทีละนิดทีละหน่อย”
ลานดาวทอดตามองไกลและยิ้มเนือย
“ผงในตาแบบไหน ยกตัวอย่างซิ”
“ผงแบบจ๊ะนั่นแหละ! ล่าสุดกำชับซ้ำว่าอย่าหวังลมๆแล้งๆ พูดทำนองว่าชาตินี้ไม่มีวันได้แอ้มหรอก”
นนทกานต์เล่าไปเรื่อย ทว่ายังผลให้นัยน์ตาหญิงสาวทอประกายของกระรอกที่ถูกชี้โพรงขึ้นมา
แวบหนึ่ง เป็นอารมณ์ของคนเคยหวังนักหวังหนาว่าจะมีสักครั้งที่หมอดูอุปการะทำนายทายทักผิดพลาดจังๆ
“เขาพูดคำนี้เลยหรือ?”
เพื่อนหนุ่มหัวเราะแหะๆ สารภาพว่า
“ก็ไม่เชิงหรอก ฉันพูดให้เป็นภาษาวัยสะรุ่น ถ้าจะเอาเป๊ะๆ คือพอฉันถามแวะเวียนมาเกี่ยวกับ
เธอ หมออุปการะก็บอกว่าถ้ายังเก็บความหวังไว้ เท่ากับยอมรักษาทุกข์ส่วนหนึ่งไว้อย่างเปล่าประโยชน์ แก
ชี้ให้เห็นว่าฉันหลงรูปมากกว่าอย่างอื่น และถ้าลงว่าหลงผู้หญิงที่ความสวย ก็แปลว่ากำลังหลงความดีในอดีต
ของเขาซึ่งเราสู้ไม่ได้ หลักการอันดีคืออย่าสู้ในสนามที่ต้องแพ้เพราะเป็นรองเกินไป”
ลานดาวนิ่วหน้าหน่อยๆ
“ไม่เข้าใจ หลงแต่ความสวยแปลว่ากำลังหลงความดีในอดีต เป็นยังไง?”
“อ๋อ แกอธิบายทำนองว่าคนเราสวยไม่ใช่เพราะฟลุก ไม่ใช่เพราะมีใครลำเอียงให้คุณสมบัติ
ติดตัวเรามาเปล่าๆ ของทุกอย่างมันมีเหตุในตัวเอง อย่างชาติก่อนเธอมีจิตใจงดงาม ทำดีมีศีลสัตย์ วิญญาณก็
เคลื่อนมาครองอัตภาพที่สอดคล้อง กรรมเก่าส่งมาสู่กำเนิดที่สุขุม และคุมรูปให้สวยสมน้ำสมเนื้อกับความดี
เดิมนั้นจนกว่าจะหมดแรงส่ง แกให้มองหาความดีในชาตินี้ของจ๊ะด้วยสายตาของมิตรที่คิดเกื้อกูลกันยิ่งๆขึ้น
แล้วทุกอย่างจะลงเอยในทางมงคล ทั้งปัจจุบันและอนาคต”
“แล้วชาตินี้ในสายตาของเธอ ฉันมีความดีอะไรบ้าง?”
“จ๊ะน่ะเหรอ อือม์ ก็เป็นคน ”
นนทกานต์พยายามตอบทันทีแบบเอาใจ จะได้เป็นการแสดงว่าสายตาของเขาสอดส่องและแล
เห็นความดีของหล่อนอยู่เสมอ ถามปุ๊บตอบได้ปั๊บไม่ต้องเสียเวลาขุดค้นจากซอกหลืบความจำใด ทว่าพอพูด
สามคำแรก ก็เกิดอาการตีบตัน ไม่ทราบจะสรรคำยอที่ตรงตามจริงอันใดมากล่าวให้เร็วทันปากที่โพล่งนำ
เป็นสายฟ้าแลบไปแล้ว
“เป็นคน ”
พอเขาซ้ำคำนำเดิมแบบแผ่นเสียงตกร่อง ลานดาวก็โบกมือขึ้นลง
“เอาล่ะๆ ช่างเถอะ อย่างกับถูกบังคับให้ฝืนอมแตงโมไว้ทั้งลูก ทีหลังพูดสบายๆเหอะนะ นึก
ไม่ออกก็บอกว่านึกไม่ออก ฉันรับได้ ที่ถามไม่ใช่เพราะอยู่ในอารมณ์อยากฟังคำสรรเสริญเสียหน่อย”
นนทกานต์รู้สึกขายหน้าแปลกๆที่ค้นหาคำตอบไม่เจอ อาจเพราะมัวพุ่งเป้าจะเอาความดีชนิดล้ำ
เลิศประเสริฐศรีมายกยอให้ฟังเป็นที่ชื่นใจ ประโลมให้อุ่นใจว่าชาติหน้ามีจริงก็ต้องสวยอย่างนี้อีก ความจริง
ถ้าเพียงแต่จะเขี่ยๆความดีของลานดาวชนิดดาษๆออกมากองก็คงได้หลายอยู่ ทว่านี่ช้าเกินไปแล้ว จะคุ้ย
ออกมาก็คงเหมือนแกล้งเอาใจกันแบบบื้อๆไร้รสนิยมเปล่า จึงเล่าเรื่องที่คุยกับหมออุปการะต่อเพื่อกลบ
เกลื่อนอาการคิดช้าของตน
“โจ๊กถามหมออุปการะเรื่องคู่แท้ด้วย ว่าเพราะกรรมอะไรจึงทำให้หญิงชายกลายเป็นคู่แท้ถาวร
หมออุปการะบอกว่าคู่แท้ถาวรไม่มีหรอก มันขึ้นอยู่กับว่าเราเคยทำบุญมากับใคร หรือติดหนี้ใครไว้บ้าง
สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อย ถ้าชาติใกล้ทำบุญกับใครมากก็อยู่เย็นเป็นสุขกับคนนั้นยืดหน่อย แต่หาก
ติดหนี้ใครไว้เยอะก็ต้องทนสภาพเหมือนเข้าคุกร่วมกับเขานานปีเช่นกัน เสร็จแล้วพอตายจากก็ทางใครทาง
มัน เว้นแต่ระหว่างอยู่ด้วยกันได้ร่วมบุญหรือก่อบาปไว้เสมอกันอีก ก็มีสิทธิ์ไปพบกันใหม่ในปรโลกด้วย
แรงดึงดูดของบุญและบาปนั้นๆ”
ลานดาวถอนใจ อย่างหล่อนมีสติรู้จริงได้แค่ว่าลมหายใจเดี๋ยวนี้เป็นขาออกแน่ๆเท่านั้น ให้รู้ล้ำ
ไปในอนาคตกาล หรือรู้ย้อนกลับไปยังอดีตชาติล้วนบอดสนิท โดยเฉพาะการเวียนว่ายตายเกิดและเหตุผล
ต้นปลายเกี่ยวกับกรรมเวรทั้งหลาย หญิงสาวแค่ตระหนักว่าตนเองไม่รู้ ขณะเดียวกันก็เกลียดการจำใจเชื่อคน
ที่อ้างว่ารู้ โดยหล่อนไม่มีสิทธิ์พิสูจน์เท็จจริงด้วยสติสัมปชัญญะของตนเองเลย
“ฟังเรื่องเวียนว่ายตายเกิดกับบุญทำกรรมแต่งแล้ววังเวงแฮะ สติสตังแบบมนุษย์ธรรมดาเราทำ
ได้อย่างมากก็เพียงสมัครใจเลือกเชื่อหรือไม่เชื่อ ส่วนถ้าให้พิสูจน์ด้วยตาทิพย์หรือหูทองของสำนักไหน ก็ลือ
กันว่าเพี้ยนมากเพี้ยนน้อยทั้งนั้น”
“งั้นก็เลือกเชื่อหลักง่ายๆสิ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำอะไรได้อย่างนั้น ถ้าภพชาติคล้อยตามกฎนี้
เราก็ได้ชื่อว่าเลือกเชื่ออย่างมีเหตุผล แต่ถ้าภพชาติไม่คล้อยตามกฎนี้ เราก็ยังได้ชื่อว่าเลือกเชื่อด้วยมโนธรรม
ประจำใจของมนุษย์ ไม่ใช่เชื่อด้วยสัญชาตญาณสัตว์ร้ายที่เห็นผิดเป็นชอบและพร้อมบูชาความชั่วเป็นสรณะ”
นนทกานต์แปลกใจตนเองที่สามารถท่องคำของหมอดูอุปการะพูดได้เกือบทุกคำ กับทั้งแปลก
ใจที่ลานดาวสงสัยแบบเดียวกับเขา และเคยไถ่ถามหมอดูอุปการะไว้ก่อนแล้ว
หรือว่าที่แท้คนเราสงสัยเกี่ยวกับตัวเองเหมือนๆกันหมด?
“มันก็ไม่หมูนักหรอกนะ” ลานดาวขัดคอ “แค่บอกว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ฟังเหมือนง่าย แต่
พอลองเจาะลึกไปในรายละเอียด ใครบ้างตัดสินถูกว่าแค่ไหนเรียกทำดี จัดเป็นการเมตตากรุณากัน ใครชี้ได้
แม่นๆว่าแค่ไหนเรียกทำชั่ว เข้าข่ายจองเวรเบียดเบียน”
“เผอิญฉันถามหมออุปการะข้อนี้เหมือนกันแหละ แกบอกมาสั้นๆแค่ว่าเครื่องวัดอย่างง่ายคือใจ
ทำอะไรเป็นประจำแล้วโล่งอก หรือกระทั่งเกิดปีติโสมนัสกับพฤติกรรมนั้นๆเพราะเห็นชัดว่าเป็นไปเพื่อ
เกื้อกูลทั้งตัวเองและคนอื่น ไม่มีใครเดือดเนื้อร้อนใจในภายหลัง อย่างนั้นคือกรรมดี รายละเอียดเป็นอย่างไร
ไม่สำคัญกว่าใจในขณะก่อกรรมและรับกรรม”
ลานดาวหรี่ตาเล็กน้อย ทำเสียงเหมือนพาดพิงบุคคลสมมุติอื่นไกลตัว
“อ้ะ! อย่างพวกเกย์ พวกเลสเบี้ยนล่ะ รักเพศเดียวกันก็ทำให้หัวใจพองโต เกิดปีติโสมนัส
เหมือนกัน แถมอยู่ร่วมเพื่อเกื้อกูลกันฉันคนรักได้ถนัดขึ้น เราจะเอาอะไรไปตัดสินว่าใจที่ยอมเป็นรักร่วม
เพศนั้นคือการก่อกรรมดีหรือกรรมชั่ว บางประเทศหรือบางศาสนาพิพากษาไว้ว่าเป็นบาปผิดอย่างมหันต์
ต้องลงทัณฑ์สถานหนักทีเดียว โทษฐานกวนสังคมให้เกิดความวิปริต หรือข้อหาเบากว่านั้นหน่อยคือไม่ยอม
ทำตามกติกาสากลของพระเป็นเจ้าผู้สร้าง”
นนทกานต์ทำหน้าครุ่นคิด
“อือม์ ใครจะว่าอย่างไร มีบทบัญญัติไว้กว้างหรือแคบแค่ไหนไม่รู้นะ แต่เท่าที่รู้จักและมอง
พวกรักร่วมเพศด้วยตาเปล่า โจ๊กว่างานนี้เป็น ‘การรับกรรม’ มากกว่า ‘การก่อกรรม’ เพราะรักร่วมเพศยืนพื้น
อยู่บนความชอบใจ ไม่ใช่ยืนพื้นอยู่บนเจตนาเลือกเอาลอยๆว่าข้าจะเป็นรักร่วมเพศ เปรียบเทียบแล้วคงคล้าย
กับที่ไม่มีใครชอบกินแอปเปิ้ลแล้วได้รับคำชมว่าประเสริฐ ไม่มีใครรังเกียจองุ่นแล้วโดนหาว่าชั่วช้า เขาแค่
ลองลิ้มผลไม้แต่ละอย่างแล้วเกิดความถูกใจหรือไม่ถูกใจ มนุษย์ที่ไหนล่ะเจตนาสั่งให้ตัวเองรักหรือเกลียดอะไรได้?”
“สรุปคือกรรมชั่วบางอย่างดลใจให้เราชอบในสิ่งที่ไม่ควรชอบ หรือชอบเพื่อทนทุกข์ทรมานในภายหลังอย่างนั้นหรือ?”
นนทกานต์หัวเราะตาใส เพราะไม่เคยได้ยินคำนั้นมาก่อน เมื่อคิดตามแล้วก็เห็นจริง กรรมชั่ว
บางอย่างอาจดลใจคนให้ชอบในสิ่งที่ไม่ควรชอบ ชอบแล้วเป็นไปเพื่อความทุกข์ ความทรมานเพียงถ่ายเดียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงดึงดูดทางเพศน่าจะเป็นหมากกลล่อให้ติดกับง่ายที่สุด
“น่าจะใช่นะ แม้แต่ความชอบใจก็เป็นเครื่องมือเล่นงานเราได้ อย่างบางคู่เจอกันก็เห็นแต่แรก
แล้วว่าไปไม่รอดแน่ ทั้งเกิดลางร้ายสารพัด ทั้งอึดอัดหรือขนลุกเมื่ออยู่ใกล้กัน แต่ก็ทนแรงดึงดูดไม่ไหว มี
อันต้องได้ถึงเนื้อถึงตัวกันรวดเร็วผิดปกติ แล้วก็แยกกันไม่ขาดตั้งแต่นั้น ทนทุกข์ทรมานสาหัสร่วมกันเป็นปี
หรือเป็นชาติกว่าระฆังหมดยกจะดังขึ้น อย่างนี้ถ้าไม่ใช่เพราะบาปเวรแต่หนหลังดลใจหรือเป็นกาวยึดให้
แปะติดกัน ก็ไม่รู้จะโทษอะไรดีกว่านั้น”
“แปลว่า ลงถ้ากรรมเก่าจะให้ผล อย่างไรเราก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตายอมรับเคราะห์กรรม และ
งอมืองอเท้ารอจนกว่ากรรมเก่าจะหมดแรงส่งใช่ไหม?”
“อันนี้ยังไงไม่รู้นะ แต่เรามองโลกด้วยตาเปล่า เราว่าเคราะห์กรรมมีอยู่สองประเภท ประเภท
แรกคือเข้าจู่โจมถึงตัวแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดหาทางหนี เช่นกำลังอ้าปากจะงับข้าวอยู่ดีๆ ตึกดันถล่มครืนลง
มาเพราะวิศวกรโกงวัสดุก่อสร้าง อย่างนี้ต้องปล่อยเลยตามเลย ในเมื่อกรรมเก่าเขาจะมาขอลดอายุหรือทำให้
บาดเจ็บพิการด้วยการส่งเราไปติดอยู่ในตึกนั้นเวลานั้น
“แต่ประเภทที่สองจะค่อยๆคืบคลานเข้ามาแบบเปิดโอกาสให้ตั้งสติ เตรียมตัวหลบหนีหรือ
ป้องกันผ่อนหนักเป็นเบา เช่นกรรมเก่าดลใจให้ชอบเล่นพนันและต้องหมดตัวเพราะการพนัน ถ้าชาตินี้กัด
ฟันทน ไม่เล่นเสียอย่าง แบบเดียวกับขี้ยายอมลงแดงตายดีกว่ากลับไปเป็นทาสยา กรรมที่ต้องหมดตัวเพราะ
การพนันจะมาทำอะไรเราได้ยังไง
“เราว่าในโลกความเป็นจริง มนุษย์ประสบเคราะห์กรรมที่พอทนสู้ไหวมากกว่าเคราะห์กรรม
ประเภทหมดสิทธิ์รับมืออย่างสิ้นเชิง แต่เรื่องของเรื่องคือคนเรามักปล่อยเลยตามเลย ไม่ทำอะไรสักแอะ
แม้กระทั่งฝืนใจสู้กับตัวเอง หรือพอเชื่อเรื่องกรรมก็เชื่อแค่อิทธิพลของพลังลึกลับจากชาติปางก่อน แล้วแทบ
เลิกศรัทธาพลังที่เปิดเผยให้หวังได้ในชาตินี้ ยิ่งฟังหมออุปการะแจกแจงกรรมเก่ากรรมใหม่ของเราที่เราเอง
ลืมไปแล้ว ก็ยิ่งเห็นจริงว่ากรรมเก่าอาจทำหน้าที่สร้างฉากละครตอนแรก แต่กรรมใหม่ก็สามารถเป็น
ตัวกำหนดว่าจะให้เหตุการณ์ดำเนินไปจนถึงตอนจบได้อย่างไร”
หน้าผากของลานดาวคลายจากอาการตึงเล็กๆ เมื่อจับใจความสำคัญได้ว่า ถ้าให้สตินำหน้า
อารมณ์เสียอย่างเดียว กรรมเก่าทำหน้าที่ได้มากสุดก็แค่ยั่วยวนให้หลงผิด โดยเราไม่จำเป็นต้องถลำตัวเห็น
ผิดเป็นชอบ เห็นชั่วเป็นดี หรือเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เรื่องเลวร้ายส่วนใหญ่ในชีวิตคนอาจไม่เกิดขึ้น ขอ
เพียงไม่ตามใจตัวเองเกินขอบเขตทำนองคลองธรรมเท่านั้น
คำพูดของนนทกานต์มักพาหล่อนออกจากกรงขังทางความคิดได้อยู่เรื่อย เขาจึงมีความน่าเข้า
ใกล้ น่าให้เวลาเสวนา แม้ถูกจัดไว้เป็นม้านอกสายตาที่ไม่มีแรงพอจะวิ่งมาถึงเส้นชัย ก็ทำให้หล่อนแวะเวียน
สายตามาชมด้วยความสนใจลักษณะเด่นอยู่เสมอ
ลักษณะเด่นของผู้ชายในบางครั้งก็ชักใยหรือไขลานให้กลจักรทางเพศทำงานได้เหมือนกัน
ลานดาวค่อยๆรู้จักตนเองมากขึ้น และพบว่าสำหรับหล่อนแล้ว วาจาของชายเร้าใจได้มากกว่ารูปร่างหน้าตา
หลายครั้งใกล้ชิดกับหนุ่มเซ็กซี่สุดๆแล้วรู้สึกจืดชืดอย่าบอกใคร แต่ยืนชมจันทร์อยู่เดียวเปลี่ยวกายแล้วกลับ
ปรารถนาอ้อมกอดจากนทกานต์ขึ้นมาได้ เคยงุนงงกับเหตุผลต้นปลาย แต่เมื่อสังเกตตัวเองบ่อยๆขณะอยู่กับ
ผู้ชายแต่ละคน ก็พอเข้าใจชัดขึ้นทุกที นั่นคือหล่อนจะไม่ยอมเป็นของผู้ชายไอคิวต่ำกว่าตนเองเด็ดขาด!
นนทกานต์ดูอ่อนแอ ซื่อๆเซื่องๆตอนอยู่ในอารมณ์หลง กับทั้งขาดความมั่นใจในรูปโฉมและ
ฐานะ แต่กะพริบตาทีเดียว พอให้โอกาสเขาแสดงสติปัญญา ด้วยความเชื่อมั่นว่าหล่อนจะเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
เขาก็แปลงร่างเป็นหนุ่มอีกคนที่คมคาย ดูอบอุ่นน่าฝากใจขึ้นมาได้ทันทีเหมือนกัน คำพูดหลายต่อหลายคำ
ของเขาฝังอยู่ในส่วนลึกและส่วนตื้นของความทรงจำไม่รู้เลือน จึงนับว่าเขามีความฉลาดทางวาจาเป็นเสน่ห์
เป็นความเซ็กซี่ และเป็นเหตุผลที่หล่อนเลือกอยู่ด้วยในยามเคว้งคว้างสุดทนเช่นวันนี้
หล่อนอาจมีเวรกับเขาอย่างหนึ่ง คือเลี้ยงเหมือนม้าใช้เอาไว้ขี่หลัง เวลากำลังอารมณ์ร้ายหาที่
ระบายไม่ได้ก็ไปลงเอากับเขา หรืออีกทีก็เลี้ยงไว้เป็นหินลับเขี้ยวเสน่ห์ แบบเดียวกับแม่มดที่ต้องหมั่นซ้อม
ใช้เวทมนต์กันลืม ไม่ทราบเป็นโรคจิตชนิดใดเหมือนกัน ดูเหมือนหล่อนสนุกสนานเป็นพิเศษกับการแกล้ง
ทรมานเขา เห็นหน้าเศร้าๆที่ยังคงจงรักภักดีไม่เสื่อมคลายแม้ถูกทำทารุณสารพัดแล้วสะใจพิลึก ชีวิตเหมือน
อิ่มเอมเปรมสุขยิ่งกับการมีเขาไว้เป็นลูกบอล นึกอยากอุ้มก็อุ้ม นึกอยากเลี้ยงก็เลี้ยง นึกอยากเตะก็เตะ แรงเบา
แค่ไหนก็เห็นยังทนมือทนเท้าอยู่ในสภาพเดิมเสมอ
คบกับหล่อนเขาเป็นฝ่ายสูญเสียมาตลอด หล่อนอาจต้องชดใช้ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งให้เขา
เป็นฝ่าย ‘ได้’ เสียบ้างกระมัง
ลานดาวมองเหม่อออกไปนอกรถ ครู่หนึ่งก็พึมพำถามอีก
“แล้วเธอว่าพวกหญิงรักหญิงที่อยู่กินกันจริงจังนี่น่ารังเกียจไหม?”
“อือม์ ” นนทกานต์เม้มปากตรองโดยปราศจากการเฉลียวคิดว่าเป็นเรื่องใกล้หรือไกลตัวแต่
อย่างใดทั้งสิ้น “ใจหนึ่งก็สงสาร อีกใจก็รู้สึกแปลกๆนะ จะบอกว่ารังเกียจไหม คงไม่ถึงขั้นนั้น เป็นผู้หญิง
ยังดี ไม่ถูกด่าเท่าไหร่ เห็นคลอเคลียหยาดเยิ้มแบบแฟนแล้ว สมัยนี้อาจจะแค่ทำให้ยิ้มมุมปากหน่อยๆ เพราะ
ภาพไม่ชวนคลื่นไส้นัก แต่ถ้าเป็นผู้ชายก็อาจเคราะห์ร้าย สังคมจะพากันส่งสายตารังเกียจโดยไม่ต้องนัด
หมาย มีแต่คนสนิทที่ได้รู้จัก ได้พูดคุย ได้เห็นแง่มุมอื่นๆในชีวิตของเขา ภาพของความเป็นมนุษย์ที่น่าเห็นใจ
ถึงจะปรากฏชัดกว่าภาพของรักร่วมเพศที่ทำอะไรน่าสะอิดสะเอียน”
“ลองแจกแจงให้ฉันฟังได้ไหมว่าทำไมรักร่วมเพศถึงน่ารังเกียจ?”
จนแล้วจนรอดนนทกานต์ก็ไม่สำเหนียกความขรึมผิดปกติในน้ำเสียงของเพื่อนสาวอยู่นั่นเอง
นั่นเป็นธรรมชาติของเขา เวลาได้รับโจทย์ให้คิดก็คิดไป และมักให้คำตอบได้ดีมากด้วย แต่พอไม่ต้องคิดก็
จะขาดความสังเกตสังกา และบ้ารักไปตามแรงขับของวัย
“เรื่องของเรื่องคือมันฝืนธรรมชาติ อะไรที่ฝืนธรรมชาติย่อมก่อความรู้สึกผิดปกติ ความรู้สึก
ผิดปกติอาจจี้เส้นให้ขำ หรืออาจทำให้มวนท้องอยากแหวะ สำหรับหญิงกับหญิงนั้นกวนความรู้สึกให้
ปั่นป่วนน้อยหน่อย เพราะเป็นเพศที่ไม่ต้องเปลี่ยนบุคลิกมากนัก ถึงแม้กิริยาวาจาแข็งโป๊กยังไงก็พอเห็นได้
ในหญิงทั่วไปอยู่แล้ว อีกอย่างเพศหญิงมีธรรมชาติน่าหลงใหล หากถูกหลงโดยเพศเดียวกันก็นับว่าแปลก
น้อย ทางโหราศาสตร์ระบุด้วยซ้ำว่าดาวประจำดวงของผู้หญิงบางคนส่งกระแสให้เจ้าตัวทรงเสน่ห์ มี
อิทธิพลแม้กับเพศเดียวกัน อย่างจ๊ะไง น้องปีหนึ่งปีสองกรี๊ดกันอย่างกับแข่งเป่านกหวีด ทั้งที่เธอก็ไม่เคยมี
มาดทอมบอยกับเขาเลย แค่เท่กว่าเลดี้หน่อยเดียว”
ลานดาวเบนหน้าไปลอบยิ้ม ใจชื้นอย่างประหลาดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเสน่ห์ของตนมีอิทธิพลต่อ
ผู้หญิงด้วยกัน โดยอาศัยหลักฐานแวดล้อมเป็นตัวเป็นตนมาชี้ได้มากมาย
“แล้วชายกับชายล่ะทำไมถึงน่ารังเกียจ?”
ประโยคคำถามนั้นยิงมาเพื่อไม่ให้นนทกานต์รู้สึกว่าหล่อนสนใจปัญหาหญิงรักหญิงเป็นพิเศษ
“อือ ชายกับชายนี่ถ้าออกแนวตุ๊ดแนวแต๋วก็ซวยเลย เพราะบุคลิกจะถูกปรับให้กระตุ้งกระติ้ง
ผิดแผกจากธรรมชาติอย่างเห็นได้ชัด ธรรมชาติในรูปกายของเพศชายไม่ค่อยมีส่วนนุ่มนวลให้นึกอยาก
อะลุ้มอล่วยหรือทำใจรับได้เท่าไหร่ โจ๊กคิดว่าหากกรรมร้ายๆเกี่ยวกับเรื่องทางเพศอยากเล่นงานใครแรงสุด
ก็จะเลือกจังหวะที่กำลังเป็นชายนั่นแหละ ทุกข์ถนัดกว่าจังหวะเป็นหญิงมากนัก”
“ก็จริงนะ เป็นหญิงโชคดีกว่าชายหน่อย ในกรณีที่มีความเบี่ยงเบน”
“หญิงรักหญิงโชคดีกว่าชายรักชาย แต่ก็โชคร้ายกว่าหญิงรักชายตามธรรมชาติวันยังค่ำ”
หญิงสาวเอียงหน้าอิงศีรษะกับบ่าของพนัก นัยน์ตาซึมเศร้าลงอีก
“เธอว่าฉันเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองมากไหม?”
อยู่ๆหล่อนก็นึกอยากเปลี่ยนเรื่อง
“จะให้ตอบแบบเพลาๆหรือแบบเอาขวานจาม?”
หญิงสาวหัวเราะ ก่อนตอบหนักแน่นเพื่อสื่อว่าต้องการตามนั้น
“เอาขวานจาม!”
นนทกานต์หัวเราะหึหึ
“จ๊ะรู้ตัวเองอยู่แล้วนี่ แต่ก็ถือว่าปกตินะ ความเอาแต่ใจเป็นของคู่กันกับความสวยอยู่แล้ว ยิ่ง
สวยระดับเธอยิ่งไปกันใหญ่ ไม่รู้เรื่องอื่นใดในโลกกับใครเขาหรอก ที่เห็นเป็นอันดับหนึ่งคือความอยาก
หรือไม่อยากเอาอะไรเท่านั้น”
ลานดาวปิดตาลง ถามตนเองเงียบๆว่าถ้อยคำของนนทกานต์เป็นความจริงในทุกสถานการณ์
หรือไม่ หากขัดกับศีลธรรม หล่อนจะยังมีสำนึกผิดชอบชั่วดีอยู่มากน้อยเพียงใด?
รถแล่นเรื่อยบนทางด่วนข้ามจังหวัดพักใหญ่ สองหนุ่มสาวก็มานั่งทานอาหารทะเลที่ร้านริม
หาดบางแสน ลานดาวมองขอบฟ้าไกลลิบตาอย่างเหม่อลอยมากกว่าร่วมจ้อไปกับเพื่อนชาย ช่างเป็นวันที่
แตกต่าง หล่อนเคยนั่งรถนนทกานต์ด้วยอัตตาของเจ้านาย เคยผูกขาดการสนทนาหันเหทิศทางไปตามใจ
ตนเอง แต่วันนี้หล่อนเห็นเงาร่างตนเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง เป็นฝ่ายรับฟัง เป็นฝ่ายคิดตามเกือบตลอด
ฝ่ายนนทกานต์จ้อเอาๆไม่ต่างจากปลากระดี่ได้น้ำ เขานึกในใจว่าการเป็นเพื่อนสนิทกับคนสวย
ก็ดีอย่างนี้ มีโอกาสฟลุกคล้ายถูกเลขท้ายสามตัวโดยไม่คาดฝันเข้าได้เหมือนกัน และถ้าให้แลกจริงๆระหว่าง
ควงลานดาวเที่ยวทะเลกับถูกเลขท้ายสามตัว เขายอมเสียเลขท้ายสิบงวดดีกว่าเสียโอกาสมากับหล่อน!
นนทกานต์ไม่รู้ตัวเอาเลยว่าอีกไม่กี่นาทีต่อมาจะต้องลืมเรื่องเลขท้ายสามตัวลงสิ้น ในเมื่อเจอ
โชคระดับลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งหวดเข้าใส่เต็มเหนี่ยวเสียแล้ว!
“โจ๊ก ” ลานดาวหันจากทะเลมาพูดกับเขาแบบปลงใจหลังใคร่ครวญครั้งสุดท้าย “จำบังกะโล
ที่พวกเรากับเพื่อนๆเคยมาค้างคืนกันเมื่อหลายเดือนก่อนได้ใช่ไหม? เลยไปห้าร้อยเมตรนี่น่ะ จ๊ะเหนื่อย แล้ว
ก็อยากขับไปงีบพักสักสิบนาที เดี๋ยวโจ๊กช่วยเดินตามไปทีหลังได้หรือเปล่า หาเอาแล้วกันว่าจ๊ะจอดรถไว้
หลังไหน เคาะประตูเรียกแล้วจะมาเปิดให้”
ชายหนุ่มตกตะลึงจนข้าวหล่นจากปากหลายเม็ด มองหน้าเพื่อนสาวเหมือนนักมวยเจอหมัด
ตรงเต็มเบ้าตา กลืนข้าวก้อนโตเกือบไม่เคี้ยว และเพื่อความเชื่อมั่นว่าไม่หลอกตัวเองด้วยความเข้าใจผิด
นนทกานต์ก็เอ่ยตะกุกตะกัก
“จ๊ะนั่งรถมาเหนื่อย โจ๊กก็ขับรถมานาน น่า น่าจะยิ่งเหนื่อยกว่า ถ้าเอ่อ ของีบอยู่ข้างๆจ๊ะ
มั่ง แต่หลายชั่วโมงหน่อยจะว่าอะไรไหม?”
ลานดาวหลบตาไปทางอื่นขณะกระซิบตอบเหมือนต้องการให้ตั้งใจอ่านเพียงริมฝีปาก
“ไม่ว่า ”
แล้วก็แบมือขอกุญแจรถอย่างเงียบเชียบ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น