ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กรรมพยากรณ์ 2 (เลือกเกิดใหม่)

    ลำดับตอนที่ #1 : ตัวซวย

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.พ. 53


    อุปการะ ตโมไพรี ชายวัยกลางคนนั่งประจำซุ้มหมอดูของห้างใหญ่แห่งนั้นมาเป็นวันที่ ๓ ซึ่งลูกค้าเริ่มเยอะขึ้นกว่าสองวันแรกอย่างผิดหูผิดตา ส่วนใหญ่ก็คือลูกค้าในสองวันแรกนั่นเองที่เวียนกลับมาซ้ำ และพาญาติสนิทมิตรสหายพ่วงมาด้วย
    จากสิบเอ็ดโมงถึงบ่ายสามครึ่งของวันนั้น เขาแทบไม่ได้พักหายใจหายคอ กระทั่งลูกค้ารายล่าสุดลุกจากโต๊ะ ก็คิดจะพักเหนื่อยลุกไปรับประทานอาหารกลางวันเสียหน่อย แต่ปรากฏว่ามีสองสาววัยรุ่นกรายร่างเข้ามาดักไว้เสียก่อน จึงชะงักกิริยาลุกยืนกลับลงนั่งตามเดิม
    “สวัสดีค่ะพ่อหมอ”
    ละอองฝนยกมือไหว้พ่อหมอของหล่อนพร้อมรอยยิ้มศรัทธา อุปการะรับไหว้ด้วยสีหน้าสงบ ไม่ถือสาว่าใครจะเรียกตนไปต่างๆนานาอย่างไร สุดแล้วแต่ความถนัด
    “วันนี้หนูพาน้องสาวมาให้พ่อหมอช่วยดูให้ด้วยค่ะ”
    “ได้ครับ”
    อุปการะพยักหน้านิดหนึ่งและรับคำอย่างสงบ เมื่อเบนสายตาไปทางผู้เป็นน้องสาวของลูกค้าเก่า ก็เห็นฝ่ายนั้นพนมมือไหว้เขาตามพี่สาวเงียบๆ จึงต้องรับไหว้อีกที
    “สวัสดีครับ” แล้วเขาก็พูดไม่อ้อมค้อม “มีปัญหาอะไรว่ามาได้เลย”
    ณชะเลปิดปากเงียบอยู่ครู่ ย่นคิ้วครุ่นคิดก่อนเอ่ยอึกอัก
    “คือ… หนูไม่สบายใจกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นนะค่ะ หนูเพิ่งทำให้เพื่อนๆเดือดร้อน พอดีพี่สาวของหนูบอกว่าควรมาปรึกษาพ่อหมอ เผื่อได้คำแนะนำอะไรที่จะทำให้สบายใจขึ้นบ้าง”
    อุปการะเล็งตากำหนดจะดูกรรมของเด็กสาว แต่รู้สึกวิงเวียนเพราะใช้กำลังจิตอย่างต่อเนื่องมาหลายชั่วโมง จึงปิดตาลงสู่สภาพนิ่งของจิตเพื่อบ่มกำลังชั่วคราว สายตาของคนภายนอกอาจนึกว่าเขาเข้าฌานนั่งทางใน มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ว่าตนเองเพียงสงบใจพักผ่อนเยี่ยงผู้เป็นนักเลงสมาธิชั้นอ๋อง มิได้กำหนดดูสิ่งใดทั้งสิ้น
    เกือบสามนาทีชายวัยกลางคนจึงลืมตาขึ้นใหม่ และใช้เวลาเพียงชั่วแวบเล็งดูเด็กสาวตรงหน้า ก็เห็นชัดทะลุปรุโปร่งในเงากรรมที่ติดตามตัวหล่อนมา เห็นว่าไม่มีเงากรรมด้านมืดเกาะกุม ถ้าจะมีก็เพียงความกังวลใจอันทำให้รู้สึกอึดอัดคับแคบหรือฟุ้งซ่านกระวนกระวายถ่ายเดียว พูดง่ายๆว่าเป็นอีกคนหนึ่งที่ทุกข์เพราะความคิด ไม่ใช่ทำผิดใหญ่หลวงอะไรมา
    หมอดูหน้าใหม่ระบายลมหายใจยาว ก่อนเอ่ยด้วยความการุณย์ดุจกล่าวกับลูกสาว
    “หนูทำให้งานของเพื่อนๆเสียหาย ส่งครูกันไม่ทันกำหนดเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ใช่ไหม?”
    ณชะเลลืมตาโพลง ร้องดังๆเหมือนคำอุทานมากกว่าเป็นคำตอบยอมรับ
    “ค่ะ!”
    “แต่ก็ดีนี่ เพื่อนๆหนูก็เข้าอกเข้าใจว่าไม่ใช่ความผิดของเรา นับว่าน้ำใจประเสริฐกันทุกคน แล้วหนูจะเศร้าไปทำไม?”
    ได้ยินคำพูดแทงใจดำจากผู้วิเศษ ณชะเลถึงกับทำตาแดงๆ
    “ถ้าพวกเขาด่าว่าหรือตบตีหนูเสียยังอาจรู้สึกผิดน้อยกว่านี้”
    อุปการะหัวเราะเอื่อยๆก่อนปลอบ
    “ความสำนึกผิดเป็นของดี ใครสำนึกผิดง่ายแปลว่าทำเรื่องชั่วร้ายได้ยาก ต่างจากคนขาดสำนึกที่ทำให้โลกตกอยู่ในอันตรายโดยไม่เคยเสียใจ”
    เมื่อสังเกตว่าเด็กสาวตั้งตาฟังโดยดี พ่อหมอก็เอ่ยต่อ
    “แต่หนูก็ไม่จำเป็นต้องสำนึกผิดมากเกินเหตุ ความเศร้าโศกไม่รู้เลิกนั้นเป็นแค่เพียงส่วนเกินที่เปล่าประโยชน์ ร้องไห้อีกกี่ปีก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ใจเราขังตัวเองไว้กับทุกข์อยู่คนเดียว สู้เอาเวลาที่สูญเปล่านั้นไปทำประโยชน์เพื่อละลายความสำนึกผิดจะดีกว่า”
    กระแสเสียงนุ่มนวลปรานีมีผลให้ณชะเลรู้สึกสงบและตาสว่างอย่างประหลาด ความกังวลเศร้าโศกแทบมลายเป็นปลิดทิ้ง เอาแต่เงียบฟังนิ่งอยู่
    “นั่นแหละค่ะ” ละอองฝนกล่าวแทนน้องสาว “เรื่องของเรื่องคือยายทรายเขาเป็นคนกลัวบาปกลัวกรรมมาแต่ไหนแต่ไร เรียกว่ากลัวขึ้นสมองจนเป็นโรคจิตชนิดหนึ่งละกัน วันก่อนเผลอเหยียบจิ้งจกตายยังคร่ำครวญเหมือนอยากฆ่าตัวตายตาม นี่ทำงานเพื่อนเสียหายก็แทบกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะกลัวกรรมสนอง หนูเลยพาเขามาหาพ่อหมอ เพื่อให้เชื่อว่าที่เขาทำนั้นไม่ใช่ความผิด เหมือนอย่างที่พ่อหมอบอกหนูเมื่อคราวก่อนว่าถ้าไม่มีเจตนาเป็นประธาน ก็ไม่ถือว่าเราก่อกรรมขึ้นเต็มรูปแบบ”
    อุปการะพยักหน้าคล้ายช่วยรับรองให้ คนเรามีความรู้สึกผิด มีความรู้สึกพะวงกับความพลาดพลั้งที่เผลอทำไปแล้วแตกต่างกัน เรื่องคอขาดบาดตายของคนหนึ่งอาจแสนธรรมดาสำหรับอีกคนหนึ่ง เหตุก็เพราะพื้นฐานความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นไม่เหมือนกัน บวกกับความไม่รู้จริงเรื่องการสนองกรรมเข้าไปด้วย
    ชายวัยกลางคนทำหน้าเคร่งเล็กน้อย กำหนดดูด้วยจิตแล้วเห็นเป็นนิมิตแปลกและไม่เป็นที่เข้าใจสำหรับคนเคยอยู่แต่ในวัดห่างไกลเทคโนโลยี
    “ผมเห็นจากนิมิตเหมือนหนูทรายเอาเครื่องกักกัน หรือตุ้มถ่วงหน่วงเหนี่ยวอะไรสักอย่างไปใส่เครื่องคอมพิวเตอร์ของเพื่อนโดยไม่ได้เจตนา ตรงข้าม เป็นความหวังดี นึกว่าใส่อะไรนั่นเข้าเครื่องเพื่อนแล้วจะช่วยเป็นโล่ปกป้องคุ้มครองภัยให้เขา พูดง่ายๆว่าความตั้งใจของเราเป็นกุศลเสียด้วยซ้ำ”
    ณชะเลขนลุกขึ้นมาซู่หนึ่ง แต่ไม่ถึงขนาดตะลึงงันเกินคาด เนื่องจากละอองฝนเล่าให้ฟังถึงอำนาจหยั่งรู้เหลือเชื่อของอุปการะมาก่อนแล้ว
    “ค่ะ หนูเป็นคนเอาไวรัสคอมพิวเตอร์มาแจกจ่ายเพื่อน เพราะถูกหลอกว่าเป็นโปรแกรมป้องกันไวรัส”
    อุปการะทำหน้าสงสัยอยากรู้
    “ผมเคยได้ยินบ่อยเหมือนกัน ไวรัสคอมพิวเตอร์เนี่ย มันเป็นยังไงหรือ ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยเถอะ”
    เด็กสาวยืดตัวตรงอย่างผู้มีความกระตือรือร้นขยายความรู้แจกคนอื่น
    “ที่ได้ชื่อว่าไวรัสเพราะมันทำตัวเหมือนเชื้อโรคน่ะค่ะ คือติดคอมพ์เครื่องไหนแล้วก็จะแพร่กระจายโรคเดียวกันนั้นต่อไปยังคอมพ์เครื่องอื่นๆผ่านอินเตอร์เน็ต”
    “มันทำให้คอมพิวเตอร์พังหรือยังไง?”
    “แล้วแต่สายพันธุ์ไวรัสค่ะ บางสายพันธุ์ก็ร้ายกาจขนาดทำเครื่องพังได้จริงๆ แต่กรณีของหนู คือมันมาหลอกให้หนูเข้าใจว่าจัดเก็บเอกสารเรียบร้อย แต่จริงๆไม่มีการจัดเก็บเลย”
    อุปการะไม่เข้าใจเรื่องการจัดเก็บเอกสารในคอมพิวเตอร์ แต่พอเข้าใจได้ว่าณชะเลทำงานฟรีโดยไม่มีข้อมูลไปส่งครู
    “แล้วหนูก็ทำให้เพื่อนของหนูจัดเก็บงานไม่ได้เหมือนกัน?”
    “ค่ะ… ถือว่าหนูเป็นตัวซวยของพวกเขา คือแนะนำให้เพื่อนในกลุ่มอีกสองคนไปเอาไวรัสนี้มาด้วย แบบว่า…”
    ณชะเลพยายามเรียบเรียงคำอธิบายให้ง่ายสำหรับคนไม่รู้คอมพิวเตอร์ อุปการะทราบเจตนาจึงพยักพเยิด
    “เอาเถอะ อธิบายตามสบายของหนู ใช้ศัพท์แสงเหมือนพูดให้คนเข้าใจคอมพิวเตอร์ด้วยกันฟังก็ได้ ความเข้าใจของหนูจะทำให้ผมเข้าใจตามได้คร่าวๆ เอาตั้งแต่เริ่มเรื่องเลยว่าหนูไปเอาไวรัสนี่มาอย่างไร ผมพยายามจะแปลให้ออกเท่านั้นว่านิมิตที่เห็นนี่คืออะไร มันมีลักษณะกรรมของผู้กระทำและผู้ถูกกระทำที่แปลกประหลาด ผมไม่เคยเห็นอย่างนี้มาก่อน”
    “พ่อหมอเห็นอย่างไรหรือคะ?”
    ละอองฝนเป็นคนถามด้วยความอยากรู้มากกว่าจะลองภูมิ
    “พอสาวไปถึงกรรมของต้นตอผู้กระทำผิดที่แท้จริง นิมิตที่ผมเห็นนั้นคล้ายกับว่าใครคนหนึ่งจุดไฟประหลาดขึ้นราวกับใช้มายากล คือมันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว ไฟนั้นตั้งอยู่บนคอมพิวเตอร์ที่เป็นศูนย์กลางขนาดใหญ่เครื่องหนึ่ง พอไฟสว่างขึ้น คนเห็นแล้วนึกว่าจะเป็นคุณ เลยพากันวิ่งไปเอามาติดไว้กับคอมพิวเตอร์ของตัวเอง แต่ปรากฏว่ากลายเป็นไฟที่เผางานของตัวเองมอดไหม้ไปแทน และไฟนั้นลุกลามขยายวงกว้างออกไปทุกที แม้ขณะนี้ก็ยังไม่หยุด เพราะยังมีคนหลงช่วยแพร่กระจายต่อด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เป็นจำนวนมาก”
    “เข้าเค้าค่ะ” ละอองฝนชิงน้องสาวอธิบาย “ในแวดวงคอมพิวเตอร์นี่คนเชี่ยวชาญมากๆขนาดรู้ไส้รู้พุงระบบเครือข่ายทะลุปรุโปร่งจะถูกขนานนามเป็น ‘แฮกเกอร์’ แฮกเกอร์ที่เก่งระดับเซียนมักทำอะไรได้เหมือนนักมายากล และถ้าเลวพอก็จะแกล้งคนอื่นด้วยการส่งไวรัสไปในอินเตอร์เน็ต ทำให้เกิดการแพร่กระจายทำนองเดียวกับโรคระบาด คนเดือดร้อนมักเป็นใครก็ตามที่เอาคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ต”
    อุปการะสงบฟังเสียงละอองฝนเพื่อให้คลื่นจิตหล่อนเข้ามากระทบจิตเขาโดยตรง เป็นอุปเท่ห์วิธีเรียนรู้ทางมโนทวารอย่างหนึ่ง คือพอละอองฝนพูดคำว่า ‘แฮกเกอร์’ จิตเขาจะเห็นกลุ่มคนจำพวกหนึ่งที่มีจิตหมกมุ่นกับคอมพิวเตอร์เกินคนปกติ วันทั้งวันเอาแต่นั่งหันหน้าเข้าหาคอมพิวเตอร์แทบไม่เป็นอันกินอันนอน จิตของแฮกเกอร์จะใส่ใจกับรายละเอียดยิบยับ ในหัวมีแต่เรื่องข้อมูล ช่องทางลับ สายสนกลใน และการเอาชนะข้อจำกัด ปีนกำแพงเข้าปล้นสิ่งที่ต้องการอยู่ตลอดเวลา
    อุปการะเคยเห็นจิตของเด็กเล่นเกมคอมพิวเตอร์ อาการจะคล้ายกัน เพียงแต่นิมิตของพวกแฮกเกอร์ปรากฏไปอีกแบบ คือเหมือนคนเล่นเกมสนุกที่สุดในโลก และถ้าชนะจะได้รางวัลใหญ่กันในโลกความจริง อาจเป็นเงินล้าน หรืออาจเป็นการโค่นศัตรูคู่อริให้ล้มหายตายจากโดยปราศจากร่องรอยผู้ลงมือ!
    เมื่อหยั่งทราบลักษณะจิตของแฮกเกอร์แล้ว อุปการะก็กำหนดรู้ต่อไปว่าแฮกเกอร์ผู้เป็นต้นเหตุความเดือดร้อนของเด็กสาวตรงหน้าคือใคร…
    หลับตาลงครู่หนึ่ง แล้วเปิดขึ้นมองณชะเลยิ้มๆก่อนกล่าว
    “น่าสนใจนะ แฮกเกอร์นี่เป็นพวกทำกรรมหนักทีเดียว ท่าทางหนูทรายโดนเขาหลอกด้วยอุบายที่แยบคายด้วยนี่ใช่ไหม?”
    “ค่ะ”
    ณชะเลตอบทันที และเมื่อเห็นว่าพ่อหมอตรงหน้าเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย จึงเล่าเต็มที่
    “หนูเป็นหนึ่งในเหยื่อนับล้านๆคนของเขา !เขาใช้เวลาไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมงหลอกคนครึ่งโลกจนเป็นข่าวใหญ่ซีเอ็นเอ็นอยู่ในเวลานี้ กว่าเหยื่อของเขาจะรู้ตัวก็พากันช่วยลากพาญาติสนิทมิตรสหายมาให้เขาเชือดกันระนาว และถึงขณะนี้คนที่ยังไม่รู้ข่าวก็ส่งไฟล์ต่อๆไปให้คนรู้จักอย่างต่อเนื่อง”
    เว้นวรรคครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกว่าพ่อหมอเข้าใจอะไรง่ายเกินคนธรรมดา จึงตัดสินใจพูดแบบไม่ออมรายละเอียดในฐานะผู้มีความรู้ทางคอมพิวเตอร์ดีคนหนึ่ง
    “ความจริงอาชญากรรมที่เขาก่อครั้งนี้ไม่เชิงว่าเป็นไวรัสที่แพร่ระบาดด้วยตัวเองอย่างพี่สาวของหนูเล่า แต่จะเป็นเหมือน ‘ม้าไม้โทรจัน’ ที่ชาวกรีกส่งให้เมืองทรอยโดยหลอกว่าเป็นของขวัญ แต่ที่แท้มีทหารซ่อนอยู่และออกมาทำความวอดวายแก่เมืองทรอยในตอนกลางคืน โปรแกรมนี้เมื่อคนนึกว่าเป็นของดี ของจำเป็น ก็ช่วยส่งต่อกันใหญ่ ซึ่งนั่นแปลว่าการแพร่กระจายอาจหนักกว่าไวรัสเสียอีก”
    “อือม์… เทคโนโลยีสมัยใหม่นี่น่ากลัวจริง เขาหลอกว่าจะส่งอะไรให้หนูล่ะ? แล้วมีเหตุผลอะไรถึงต้องทำอย่างนั้น?”
    “เหตุผลของพวกแฮกเกอร์เท่าที่หนูทราบคือบางทีแค่อยากอวดความสามารถขนาดเจาะระบบยากๆได้สำเร็จ อย่างรายนี้เขาเจาะระบบของผู้ผลิตซอฟต์แวร์ใหญ่เจ้าหนึ่ง แล้วนำโปรแกรมโทรจันไปฝังไว้ในส่วนที่เปิดเผยให้ทุกคนมาดาวน์โหลดไปได้ จากนั้นก็กระจายเมล์ไปทั่วทั้งอินเตอร์เน็ต หลอกใครต่อใครว่าขณะนี้มีไวรัสพันธุ์ร้ายแรงที่สุด ขอให้ทุกคนรีบไปเอาไฟล์ป้องกันมาจากบริษัทซอฟต์แวร์นั้น ซึ่งทุกคนต้องหลงเชื่อ เนื่องจากที่อยู่ของโปรแกรมเป็นของบริษัทนั้นจริงๆ แม้แต่คนในบริษัทด้วยกันเองทีแรกยังพลอยหลงตกเป็นเหยื่อ พอเอาโปรแกรมนี้มาทำงาน ทุกอย่างจะยังเป็นปกติ แม้กระทั่งสั่งจัดเก็บข้อมูล ก็เห็นว่าเก็บได้ไม่มีปัญหา ธรรมดาคนก็จะไว้ใจ ปิดโปรแกรม ปิดเครื่อง… พอกลับมาเปิดเครื่องอีกทีจะทำงานต่อก็ลมแทบจับเมื่อพบว่างานที่ทำไปล่าสุดไม่ได้มีอยู่เลย!”
    อุปการะพยักหน้ายิ้มอย่างเข้าใจ และพูดสรุปเข้าจุดสั้นๆ
    “เขาทำไปเพื่อตบหน้าบริษัทที่เขาหมั่นไส้เท่านั้นเอง”
    “ค่ะ โดยอาศัยคนโง่ๆอย่างหนูเป็นเครื่องมือ!”
    ณชะเลกล่าวด้วยความเจ็บแค้น จุกเสียดแน่นอก
    “หนูไม่โง่หรอก เหมือนเจอหมาท่าทางจะซื่อกับเรา เฝ้าบ้านให้เราได้ พอเอามาเลี้ยงมันกลับกัดเราด้วยนิสัยชั่วร้าย แถมฝากโรคมาติดเราอีก อย่างนี้ไม่มีใครว่าเราโง่ แต่จะเห็นว่าเราเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้คนหนึ่ง… แฮกเกอร์สิโง่ เพราะเอาความรู้และสติปัญญาเหนือมนุษย์ไปสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองอย่างสาหัส เขาเป็นนักประดิษฐ์ที่ฉลาดขนาดสามารถสร้างผลงานมหัศจรรย์ แต่แทนที่จะสร้างเทคโนโลยีนำความเจริญมาสู่โลก กลับสร้างเครื่องจองจำทรมานตัวเองให้เจ็บปวดอย่างยืดยาว”
    เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ
    “เขาจะได้รับผลกรรมอย่างไรหรือคะ?”
    “หนูลองถามตัวเองซิว่าเรื่องครั้งนี้ทำให้หนูรู้สึกอย่างไรเป็นอันดับแรก เอาที่เด่นที่สุดเมื่อรู้ว่าคอมพิวเตอร์โดนไวรัสเล่นงานน่ะ”
    “ก็… เจ็บปวด เหนื่อยใจ เสียใจ อ่อนล้าสายตัวแทบขาด เพราะทราบว่าอย่างไรก็ส่งงานช่วงบ่ายนั้นไม่ทันแน่”
    “นั่นแหละ เขาต้องประสบเหตุคาดไม่ถึง เตรียมป้องกันตัวไม่ทัน และเสวยความรู้สึกแบบเดียวกันกับหนูด้วย”
    “ทุกข์เท่าหนูเป๊ะเลยหรือคะ?”
    “ก็ไม่เป๊ะนัก ตามกฎวิทยาศาสตร์นี่เขาว่าถ้าเราเอาหัวโขกผนังแรงเท่าไหร่ ก็จะเท่ากับเอาผนังมาโขกหัวเราแรงเท่านั้น กฎแห่งกรรมก็คล้ายกันอยู่บ้าง เราขว้างบุญบาปออกไปใส่ใคร ก็จะมีผลสะท้อนดีร้ายขว้างกลับมาใส่เราด้วย เพียงแต่อาจจะหนักเบาไม่เท่ากับที่เราขว้างออกไป เหมือนคนถูกขว้างเป็นกำแพงที่มีอำนาจสะท้อนต่างกัน ขว้างโดนคนบุญมากก็เหมือนเจอกำแพงศักดิ์สิทธิ์สะท้อนกลับมาปะทะเราหนักหน่วงขึ้นกว่าเดิม ขว้างโดนคนบุญน้อยก็เหมือนเจอกำแพงกระจอกสะท้อนกลับมาปะทะเราอ่อนๆ หนูประพฤติตนมีศีลมีสัตย์ ไม่กลั่นแกล้งหรือจองเวรใคร ก็จัดเป็นกำแพงที่มีแรงสะท้อนค่อนข้างสูง พูดง่ายๆสมมุติว่าเขาตั้งใจทำให้หนูทุกข์เพียงคนเดียวด้วยการทำข้อมูลเสียหายบางส่วน ก็อาจรับผลคืนเป็นความเสียหายของข้อมูลในเครื่องทั้งหมดได้แล้ว”
    “ทำไมกฎแห่งกรรมต้องมีลำเอียงอย่างนี้ด้วยคะ?”
    “ไม่ได้เรียกว่าเป็นความลำเอียงของใคร แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่สั่งสมไว้ต่างกัน ยกตัวอย่างง่ายๆนะ ถ้าผู้ใหญ่บ้านช่วยเหลือลูกบ้าน เป็นที่รักของลูกบ้าน โดนใครตีหัวแตกหน่อยเดียว คนตีหัวอาจรับโทษคืนเป็นการรุมประชาทัณฑ์จากคนหลายสิบจนน่วมและต้องนอนแบ็บให้น้ำเกลือไปหลายเดือน แต่ถ้าเหนือขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง เป็นพระราชาซึ่งทำคุณแก่แผ่นดินมาเกินจะนับ แค่ใครเอารูปเคารพมาเหยียบย่ำ คนนั้นอาจถูกคนทั้งประเทศไล่ล่าฆ่าแกงให้ตายดับได้แล้ว”
    “เข้าใจล่ะค่ะ เห็นภาพชัดเลย… แต่ดูจากประวัตศาสตร์ที่ผ่านมา ถ้าผู้นำมีใจเมตตา สั่งสอนให้ชุมชนที่รักท่านอโหสิ ใจที่ร้อนก็กลับเย็นได้ อย่างนี้คนทำร้ายท่านก็ไม่ต้องรับกรรมเลยสิคะ?”
    “กรรมหมู่บางทีก็มีทิศทางเป็นไปตามคุณธรรมของผู้นำได้เหมือนกัน เคยผูกใจเจ็บกันมาหลายภพหลายชาติ ถึงเวลาก็ล้างเวรล้างภัยพร้อมกันเสีย… แต่ถึงอย่างไรกรรมของผู้ทำร้ายหรือลบหลู่เบื้องสูงก็ต้องย้อนกลับมาให้ตนถูกทำร้ายหรือเหยียดหยามโดยตัวเองอยู่ดี”
    ณชะเลพยักหน้า เริ่มเห็นรำไรว่ากรรมที่ร่วมทำกันมากๆนั้น ชนวนกำหนดทิศทางให้เป็นไปอย่างไรๆอาจมาจากผู้ทรงอิทธิพลเพียงคนเดียว นึกถึงแฮกเกอร์ที่ ‘เสกความเดือดร้อน’ และบันดาลใจให้คนเคียดแค้นไปทุกหย่อมหญ้า โดยไม่มีใครมาช่วยไกล่เกลี่ย ไม่มีใครช่วยให้หมู่ชนคิดอโหสิ ก็นับเป็นการผูกใจเจ็บเป็นเครือข่ายใหญ่หลวงอย่างน่าสังเวช
    “ตอนแรกหนูไม่รู้หรอกค่ะว่าเจอดีเข้า นึกว่าโปรแกรมทำงานผิดพลาด เอาแต่ว้าวุ่นทุรนทุรายพยายามกู้ข้อมูลคืน แต่ควานหาหนทางอย่างไรก็ไม่พบวิธี จนกระทั่งเพื่อนในกลุ่มอีกสองคนโทร .มาบอกว่าเจอเรื่องแบบเดียวกัน ถึงนึกขึ้นได้ว่าอาจเป็นไวรัส เลยเข้าเน็ตเพื่อสืบข้อมูล แล้วก็พบข่าวม้าโทรจัน เลยทราบว่าหลวมตัวไปแล้ว นาทีนั้นก็คิดว่าทำไมต้องทำกับฉันอย่างนี้ ฉันไปทำอะไรให้เธอ”
    ณชะเลเอ่ยคล้ายตัดพ้อราวกับแฮกเกอร์ตัวแสบมาปรากฏตรงหน้า สะท้อนให้เห็นภาวะจิตใจที่หดหู่น่าเวทนาราวกับจำลองเหตุการณ์จริงขึ้นอีกครั้ง จึงเห็นได้ไม่ยากว่าณชะเลมีกรรมอันเป็นปฏิกิริยาเช่นใด
    “ก็ยังดีที่หนูไม่ไปสาปแช่ง หรือคิดอยากฆ่าเขาให้ตายเหมือนผู้ถูกกระทำให้เจ็บแค้นแรงๆรายอื่น ซึ่งอย่างนั้นเท่ากับเป็นมโนกรรมในทางอกุศล ทำร้ายตัวเองให้บาดเจ็บทางวิญญาณหนักขึ้นไปอีก”
    “เขาทำกับคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่อย่างเลือดเย็น ไร้ความยุติธรรมจริงๆค่ะ แต่เมื่อสิบปีก่อนบ้านหนูเคยประสบหายนะยิ่งกว่านี้ จากที่เคยมีฐานะดีกลับกลายเป็นยากจนแทบอดตายไปพักใหญ่ พ่อแม่ยังมีแก่ใจสอนลูกๆไม่ให้ผูกอาฆาตจองเวรกับคนที่ทำกับเรา หนูเลยติดนิสัยอภัยได้ไม่จำกัดมาจากพวกท่าน”
    อุปการะพยักยิ้ม
    “อือม์… การอภัยไม่ต้องเสียอะไรเพิ่ม การจองเวรสิต้องเสียยิ่งกว่าเดิมไม่รู้เท่าไหร่ ทั้งเวลา ทั้งกำลังกายกำลังใจ บุญบาปทำหน้าที่อยู่แล้ว เราปล่อยเขาไปตามทางที่เขาสร้างเอง เดินเอง และเสวยผลเองน่ะดีที่สุด ถ้าผูกใจเจ็บก็เท่ากับพลอยกระโจนไปร่วมรับบาปอย่างใดอย่างหนึ่งบนเส้นทางของเขาด้วย”
    เด็กสาวทำหน้าสงสัย
    “แค่ผูกใจเจ็บน่ะหรือคะทำให้เราต้องร่วมรับบาปกับเขา?”
    “การผูกกรรมมีความพิสดารลึกซึ้ง หนูคาดไม่ถึงหรอก เรานึกว่าแค่ผูกใจเจ็บก็เป็นเรื่องส่วนตัวในใจ แต่ความจริงมันเกิดกระแสเวรผูกพันระหว่างวิญญาณขึ้นมา แม้เราไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเขาก็ตาม เขาเป็นฝ่ายกระทำต่อเราวันนี้ อนาคตจะต้องมีเรื่องมีราวให้เรามีอำนาจเหนือกว่า และกรรมเก่าจะยั่วยุให้เราคิดเอาคืนบ้าง ซึ่งก็แปลว่าเราจะมีโอกาสทำบาปและรับผลจากบาปนั้นคืนในกาลต่อไป”
    ลูกค้าสาวคลายสีหน้าอย่างเข้าใจเต็มตื้น
    “หนูจะไม่จองเวรเขาค่ะ”
    “ไม่จองเวรกับแฮกเกอร์ได้ก็ดี เพราะวงเวียนอันเป็นวังวนกรรมของพวกนี้น่าเหนื่อยหน่ายไม่มีที่สิ้นสุด”
    “ไม่มีที่สิ้นสุดเลยเหรอคะ?”
    “ผมหมายถึงไม่สิ้นสุดง่ายๆในชาติปัจจุบันน่ะ กรรมที่เขาก่อนั้นใหญ่หลวงนัก เพราะเป็นชนิดกระทำกับคนไม่เลือกหน้า ไม่อาจประมาณถูกว่าจะโดนใครเข้าบ้าง และผู้ได้รับความเสียหายจะประสบวิกฤตรุนแรงเพียงใด ยิ่งหนูบอกว่าออกข่าวมามีตัวเลขคนรับผลกระทบเป็นล้านอย่างนี้นะ ก็แปลว่าผลกรรมต้องถูกขยายให้ยืดเยื้อยาวนานเกินกว่าจะชดใช้กันได้หมดในชาติเดียว ผมประมาณจากขอบเขตความกว้างยาวของเงากรรมที่แผ่ออกไปแล้วสงสารเขามากกว่าอย่างอื่น เพราะกรรมที่มีอิทธิพลกระทบกับคนเรือนล้านนั้นมักเนิ่นนานนับกัปนับกัลป์”
    คำอธิบายเนิบนาบของคนรู้ว่าตัวเองกำลังพูดถึงอะไร มีน้ำหนักพลังที่ทำให้คนฟังรู้สึกเชื่อถือ เด็กสาวทั้งสองที่นั่งฟังอยู่ถึงกับสลดวูบ
    “แย่นะคะ” ละอองฝนออกความเห็น “เขาอุตส่าห์ทุ่มเทกำลังกายและกำลังปัญญานับเดือนไม่พอ ยังได้รางวัลเป็นภัยร้ายแก่ตัวเองเกินคำนวณซะอีก”
    “นั่นแหละ ธรรมชาติมักหาเรื่องหลอกล่อให้มนุษย์ใช้ความฉลาดไปในทางโง่เสมอ ยิ่งฉลาดมากขึ้นเท่าไหร่ยิ่งทำเรื่องโง่ได้รุนแรงขึ้นเท่านั้น สำรวจดูเถอะ ความเดือดร้อนนานัปการทุกวันนี้เริ่มต้นจากการใช้ความฉลาดของมนุษย์แทบทั้งสิ้น”
    ณชะเลผงกศีรษะรับอย่างแข็งแรง
    “แฮกเกอร์ที่ชอบทำความเดือดร้อนรำคาญใจให้คนอื่นส่วนใหญ่เป็นพวกฉลาดจัด อยากรู้อยากเห็นเกินคนธรรมดา คือชอบสำรวจซอกแซกไปทุกมุมลับในโลกคอมพิวเตอร์ที่คนอื่นมองไม่เห็น แล้วก็จะภูมิใจมากถ้าทะลวงกำแพงผ่านเข้าเขตหวงห้ามได้สำเร็จ บางทีแค่เพื่อสนองความรู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่ที่สุดเท่านั้น และวิธีที่จะให้ทุกคนประจักษ์ความยิ่งใหญ่ของตน ก็คือทำอะไรแล้วเป็นข่าวระดับโลกทางซีเอ็นเอ็น”
    ละอองฝนเสริม
    “และรายนี้ก็ทำสำเร็จ ป่านนี้นั่งอมยิ้มดูผลงานกระฉ่อนโลกของตัวเองอยู่ในห้องนอนด้วยความปลื้มอย่างหาที่เปรียบไม่ได้”
    อุปการะนึกตาม และเห็นจิตของแฮกเกอร์ปลาบปลื้มยินดีกับผลงานวินาศกรรมของตนอยู่จริงๆ
    “ยิ่งเขาปลื้มมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งย้ำกรรมให้หนักแน่นมากขึ้นเท่านั้น ก่อนทำเขาต้องปรารถนารุนแรง ขณะทำเขาต้องทุ่มกำลังกายกำลังใจสุดตัว หลังทำยังอิ่มเอมเปรมใจไม่สำนึกผิดเสียอีก ผมไม่ค่อยเห็นคนอยู่ดีๆทำร้ายตัวเองในระดับนี้ได้บ่อยนักหรอก”
    ละอองฝนหรี่ตาสยอง
    “หนูเคยได้ยินว่ากรรมชั่วใดก็ตาม ถ้าทำด้วยใจหนักแน่นโดยไม่ตระหนักว่าเป็นบาป จะมีผลรุนแรงที่สุดใช่ไหมคะ?”
    “ใช่ !ทางพระท่านเปรียบเหมือนจับถ่านร้อนโดยไม่รู้ว่าร้อน ก็จะฉวยขึ้นกำแน่น ทำให้พุพองได้มาก ต่างจากคนที่รู้ว่าถ่านร้อน ถึงจำใจกำก็หลวมๆ เนื้อหนังไหม้พองน้อยกว่า” พี่น้องสองสาวพยักหน้าพร้อมกันอย่างเห็นภาพ
    “ผมแนะนำให้หนูทรายแผ่เมตตา คนก่อความโกลาหลในสังคมด้วยความปรีดาปราโมทย์มักจะต้องเผชิญทุกข์สาหัสซ้ำซาก โอดครวญก็ไม่มีใครเห็นใจ มีแต่โดนสมน้ำหน้า ชนิดที่คนสมน้ำหน้าเองก็อธิบายไม่ถูกว่าทำไมอยากสมน้ำหน้า เขาจะเจอเรื่องร้ายให้ต้องหาทางป้องกันตนเองอย่างน่าเหนื่อยหน่ายยาวนานยิ่งกว่าคนเดินทางไกลถูกสัตว์เล็กใหญ่รบกวนไปตลอดทาง”
    “แล้วที่หนูเป็นตัวนำเคราะห์ให้เพื่อนพลอยเสียงานไปด้วย หนูก็ทำทั้งไม่รู้เหมือนกัน แถมตอนแรกยังปลื้มปีติเสียด้วยที่ช่วยคาบข่าวไปบอกเพื่อนก่อนใคร อย่างนี้มิต้องรับผลไปเต็มเหนี่ยวด้วยหรือคะ?”
    “หนูก็อาจได้รับผลกรรมบ้าง เรียกว่าเป็นผลข้างเคียงมากกว่า เช่นถ้าเพื่อนขาดการพิจารณาก็อาจต่อว่าเราจนเสียกำลังใจ แต่นี่เรามีเพื่อนที่ดี รับรู้ความหวังดีของเรา เขาก็ให้อภัย… เจตนาเป็นใหญ่ เป็นประธานในกรรมทั้งปวง แม้ผลลัพธ์ของการกระทำออกมาเป็นลบ แต่เจตนาที่แท้จริงของหนูคือคิดช่วยปกป้องเพื่อน ไม่ใช่ทำร้ายเพื่อน หากหนูมีเจตนานี้ไปเรื่อยๆตลอดชีวิตที่เหลือ ชาติปัจจุบันแม้เจออุปสรรคก็จะผ่านไปได้ไม่ยากนัก เกิดใหม่ชาติหน้าจะเจอแต่คนหวังดี คิดช่วยเหลือเกื้อกูลให้หนูปลอดภัย มีชีวิตที่ร่มเย็นเป็นสุข”
    ณชะเลยิ้มออกมาได้กับคำพยากรณ์ของบุคคลผู้พิสูจน์ตัวแล้วว่าน่าเชื่อถือพอ
    “ค่ะ หนูไม่อยากเป็นตัวซวยของใครอีก จะอธิษฐานเอาได้ไหมคะ?”
    “คนเราอาจเลือกเป็นตัวซวยหรือตัวนำโชคได้ด้วยกรรมในปัจจุบัน ถ้าหากหนูทำดี พาโชคมาให้คนอื่นด้วยความจงใจอย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถอธิษฐานได้ว่าทั้งชาตินี้ชาติหน้าขอเป็นผู้นำแต่ความสุขความเจริญมาสู่ญาติมิตร อย่าได้พาเคราะห์ร้ายมาหาพวกเขาด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์อย่างนี้อีกเลย”
    ละอองฝนถามบ้าง
    “หนูเห็นทรายเขาสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน อย่างนี้ไม่เป็นกรรมดีพอให้คุณพระคุ้มครองหรือคะ ทำไมยังติดกลุ่มโดนจระเข้ฟาดหางได้อยู่?”
    “พวกหนูจ่ายค่าคุ้มครองเป็นเสียงสวดมนต์เท่านี้เองหรือ?”
    สองสาวหัวเราะ อุปการะถามอีก
    “หนูทรายสวดบทไหน?”
    “อิติปิโสฯค่ะ”
    เจ้าตัวเป็นคนตอบเอง
    “สวดกี่จบ”
    “จบเดียวค่ะ”
    “รู้ไหม บทสวดอิติปิโสฯกล่าวถึงอะไร?”
    “ก็เป็นบทสรรเสริญพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ ผู้ใหญ่บอกว่าเมื่อเราสรรเสริญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ก็เท่ากับรับกระแสความศักดิ์สิทธิ์นั้นๆมาคุ้มเกล้าแล้ว”
    “ก็ถูก มีส่วนจริงอยู่มากนะ ทำนองเดียวกับเอาตัวไปสัมผัสแดดอุ่นก็หายหนาว หรือเอาแสงสว่างแห่งกองกุศลมาตั้งไว้ในใจย่อมขับไล่ความคิดด้านมืด และเท่ากับเป็นการเอาตัวมาอยู่ใต้ร่มเงาของคุณพระ ภยันตรายก็มาถึงตัวยากเป็นธรรมดา เอาง่ายๆไม่ต้องสวดมนต์ก็ได้ ก่อนออกจากบ้านแค่ระลึกในใจ หรือเปล่งวาจาเต็มปากเต็มคำ ว่า ‘พระพุทธเจ้าเป็นผู้ไม่ประสบภัย’ เพียงเท่านี้เราก็จะพลอยได้ส่วนในสัจจะความจริงที่มีอยู่ในพระองค์ไปด้วยแล้ว แม้อาจถึงคราวพบภยันตรายจากกรรมเก่า ก็สามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาได้อักโข”
    ณชะเลลองนึกตาม หล่อนมีความรู้พื้นฐานอยู่บ้าง และทราบว่าไม่อาจมีสัตว์ มนุษย์ เทวดา มาร หรือแม้พระพรหมใดทำร้ายให้พระพุทธองค์สิ้นพระชนม์ พอกำหนดนึกว่า ‘พระพุทธเจ้าเป็นผู้ไม่ประสบภัย’ เท่านั้น ก็คล้ายแสงสว่างแจ้งปรากฏขึ้นในภายใน บังเกิดความโปร่งโล่งอบอุ่นใจเสมือนเข้าไปอยู่ในเขตรัศมีความปลอดภัยของพระพุทธองค์ทันที
    ผลสำเร็จจากอุปเท่ห์วิธีเล็กๆน้อยๆทางจิตเพียงเท่านี้ ก็ทำให้หล่อนบังเกิดความเข้าใจหลักการ ‘อ้างสัจจะความจริง’ ขึ้นมา คิดถึงสิ่งใดที่มีอยู่จริง สิ่งนั้นย่อมมาปรากฏในใจเราทันที ถ้ามีพลังคุ้มครองก็จะเหมือนปรากฏเกราะแก้วไร้ตน แต่สัมผัสรู้ด้วยใจทันใด จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจตนเองและพลังความศักดิ์สิทธิ์ของเป้าหมายที่ระลึกถึง หลายศาสนาที่มีการพร้อมใจสวดระลึกถึงคุณของพระศาสดาบ่อยๆ จึงประสบปาฏิหาริย์ของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่จริงในทางนั้นๆมาบอกต่อกันได้ไม่ขาด
    “ที่ผ่านมาทรายเขาก็ออกเป็นคนดี ชอบช่วยเหลือใครต่อใคร ทำไมยังไม่พ้นภัยคนพาลล่ะคะ”
    ละอองฝนไม่วายกังขา
    “ปีที่ผ่านมาหนูทรายโดนแกล้งให้เดือดร้อนกี่ครั้ง?”
    “เพิ่งครั้งนี้แหละค่ะ”
    ณชะเลเป็นคนตอบ
    “งั้นย้อนไปทั้งชีวิตเลยแล้วกัน กี่หนที่หนูโดนทำร้ายร่างกายและจิตใจชนิดจำได้แม่น คิดถึงทีไรนึกออกว่าเจ็บปวดมาก?”
    เด็กสาวอึ้งคิดอยู่ครู่ ก่อนตอบเสียงแผ่ว
    “สองสามครั้งมั้งคะ หนูแค้นคนมาทำพ่อแม่หนูร้องไห้มากกว่าโดนใครทำตัวเอง”
    “นั่นแหละนะ แสดงให้เห็นว่ากรรมของความเป็นคนพุทธที่ไม่จองเวรใคร มีจิตใจเอื้อเฟื้อชอบช่วยเหลือผู้อื่นนั้น ทำให้เรามีชีวิตที่สงบสุขอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าสอนว่า ‘ควรทำตนให้เป็นที่พึ่งแห่งตน’ ซึ่งก็ด้วยสติปัญญาและกรรมดีของตัวเอง ใครเชื่อคำสอนท่าน ก็ย่อมได้รับการปกป้องจากความศักดิ์สิทธิ์ของกรรมดีในตนเองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องสวดมนต์ด้วยเจตนาอ้อนวอนขอความคุ้มครองจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็นก็ได้”
    แล้วอุปการะก็ขยายที่มาแห่งวิบากกรรม
    “ที่หนูเป็นหนึ่งในผู้ถูกหลอกให้หลงเชื่อครั้งนี้ ก็เพราะเศษกรรมในอดีตชาติที่เคยหลอกสัตว์เลี้ยงซึ่งป่วยหนักให้กินยาพิษ ด้วยเจตนาสงเคราะห์ให้มันพ้นทรมาน กับทั้งไม่ต้องเอาโรคไปติดสัตว์ตัวอื่น แต่ยาพิษซึ่งหนูเข้าใจว่าจะช่วยให้มันตายอย่างสงบนั้น ความจริงช่วยแค่ให้สงบแต่กิริยาภายนอก แต่จิตมึนเมาปั่นป่วนด้วยฤทธิ์ยา และเคลื่อนไปสู่ภพที่ต้องใช้กรรมเก่าต่ออีก แทนที่จะใช้กรรมเสียให้หมดในการป่วยคราวเดียว”
    ณชะเลตาค้าง
    “เหรอคะ?”
    “ตอนหนูทรายอายุประมาณ ๗-๘ ขวบเคยกินยาแล้วแพ้อย่างแรงด้วยความสะเพร่าให้ยาผิดของหมอ ต้องนอนแบ็บแทบไม่ได้สติอยู่สองวันใช่ไหม?”
    พี่น้องสองสาวขนลุกเกรียวครั้งใหญ่ พึมพำออกมาพร้อมกัน
    “ใช่ค่ะ”
    “นั่นแหละ เป็นการใช้กรรมเก่าโดยตรง แต่ครั้งนั้นหนูคิดเคืองหมอมาก และร่วมกับที่บ้านไปเอาเรื่องเอาราวกับหมอ กรรมจึงเหลือเศษ ดลใจให้เราต้องไปเจอและหลงเชื่อเอาไวรัสคอมพิวเตอร์มาทำให้งานการล่าช้าในครั้งนี้อีก”
    ละอองฝนถามเสียงสูงด้วยความประหลาดใจ
    “แต่เศษกรรมหรือหางเลขงวดนี้ไม่เห็นเกี่ยวกับยาหรือสุขภาพทางกายโดยตรงเลยนี่คะ?”
    “ก็ใช่ แต่มันก็เกี่ยวกับความเข้าใจผิด นึกว่าจะได้ของดีมาเยียวยาหรือแก้ไขใช่ไหมล่ะ”
    ณชะเลห่อปาก ยังขนลุกเล็กๆอย่างต่อเนื่อง เพราะรู้สึกราวกับนั่งฟังคำพิพากษาจากพญายมราชตัวจริงผู้มีหน้าที่รักษากฎแห่งกรรม
    “การให้ผลของกรรมพิสดารจังค่ะ ไม่ตรงไปตรงมาอย่างที่หนูนึกเอาไว้เลย”
    “กรรมบางอย่างเวลาให้ผลนั้น รูปเหตุการณ์อาจก๊อปปี้กันได้ เช่นเราดักตีหัวคนวันนี้ อาทิตย์หน้าอาจโดนคนดักตีหัวคืนบ้าง แต่โดยทั่วไปการให้ผลของกรรมไม่ได้ตรงไปตรงมาตายตัว อย่างถ้าให้หนูเห็นภาพใหญ่เข้าใจง่ายๆ ก็เช่นการด่าพระผู้บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นการทำกรรมด้วยปากเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ผลร้ายอาจเกิดขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือพร้อมกัน เช่นเป็นโรคอย่างหนัก ถึงความเป็นบ้ามีจิตฟุ้งซ่าน สิ่งสะท้อนเกิดขึ้นจากกายใจตัวเอง ไม่ใช่ต้องให้คนอื่นมาด่าคืน แถมรับกรรมในช่วงชีวิตที่เหลือไม่พอ ยังอาจต้องไปเสวยผลต่อในนรกอีก”
    “แปลว่า… นรกสวรรค์มีจริงใช่ไหมคะ?”
    พออุปการะอ้างถึงนรก ณชะเลก็ถามในสิ่งที่คาใจมานานทันที โดยครั้งนี้รู้สึกว่าจะได้รับคำตอบจากผู้น่าเชื่อถือพอ
    “ผมบอกไปหนูก็เห็นด้วยตาเปล่าไม่ได้ เอาที่เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหูกันดีกว่า อบายภูมิน่ะไม่ใช่แดนนรก แดนเปรต หรือแดนอสุรกายนอกโลกเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงแดนเดรัจฉานด้วย ซึ่งพวกมันก็ปรากฏตัวอยู่ร่วมโลกกับเรานี่แหละ ตอนนี้หนูทรายเลี้ยงหมาฝรั่งตัวเล็กขนยาวเหมือนตุ๊กตาของเล่น หน้าหวานคล้ายลูกหมีไว้ตัวหนึ่งใช่ไหม?”
    ณชะเลเริ่มแปลกใจน้อยลงกับความสามารถล่วงรู้ราวกับตาเห็นของอุปการะ เพราะเมื่อทึ่งถึงขีดสุดก็ย่อมไม่เหลืออะไรเกินนั้นได้อีก ปฏิกิริยาจึงเป็นอาการยอมรับตามปกติ ไม่ตื่นเต้นตกตะลึงเท่าเก่า
    “ค่ะ ชื่อเจ้าอุ๊ยโหย”
    มันคือสุนัขพันธุ์ยอร์กเชียร์ เทอเรียที่หล่อนซื้อมาเลี้ยงได้ประมาณปีเศษ หล่อนตั้งชื่อตามคำอุทานของตนเมื่อเห็นมันเป็นครั้งแรกในกรงที่ร้านขาย
    “ระลึกดู ก่อนหน้านั้นถึงแม้หนูทรายจะรักสัตว์ ก็ไม่เคยคิดเลี้ยงลูกหมา แต่จู่ๆก็นึกอยากเลี้ยงขึ้นมาเฉยๆใช่ไหม?”
    “ค่ะ”
    เจ้าของเทอเรียจำเป็นต้องยอมรับอีก นึกย้อนทบทวนแล้วก็จำได้สนิทว่านั่งรถอยู่ดีๆก็อยากได้ลูกสุนัขมาเลี้ยงที่บ้าน โดยไม่ได้เห็น ไม่ได้ยินอะไรมาเป็นเครื่องกระตุ้นให้เกิดความอยากทั้งสิ้น
    “หนูและคนธรรมดาทั่วไปจะไม่สามารถแยกแยะได้เลยว่าอะไรเป็นความคิดอยากของเราเอง อะไรเป็นแรงกระทำภายนอกที่จี้ให้นึกอยาก อย่างเช่นกรณีนี้ ในภูมิมนุษย์เมื่อหลายสิบชาติก่อนหนูเคยเป็นแม่ของมันมา ในภพของความเป็นแม่ลูกครั้งนั้นได้ร่วมกันฝ่าฟันความยากลำบาก หนูเลี้ยงดูเขาอย่างดี ยอมอดเพื่อเขาได้ และเขาก็สนองพระคุณด้วยการยอมตายแทนหนูตั้งแต่เด็ก คือเห็นคนจะรังแกแม่แล้วทุ่มตัวเข้าปกป้องสุดฤทธิ์จนพบจุดจบ ครั้งนั้นจิตที่มืดมนด้วยพิษบาดแผลและความอาฆาตศัตรูกดให้วิญญาณเขาถือกำเนิดในภพต่ำ เป็นสัตว์อย่างนี้มาหลายร้อยครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งจะน่ารักน่าเอ็นดูเสมอ เพราะบุญที่เคยกตัญญูต่อแม่ พูดจาอ่อนหวานเอาใจแม่”
    ระหว่างอุปการะกล่าว ณชะเลถึงกับน้ำตาไหลลงมาเป็นทางโดยไม่รู้ตัว คิดถึงเจ้าอุ๊ยโหยที่บ้านจับใจ มันเป็นจุดนุ่มนวลกลางอกเสมอมา นัยน์ตาโศกละห้อยผิดพันธุ์จะแปรเป็นประกายดีใจทุกครั้งเมื่อเห็นหล่อน นั่นคือแม่เหล็กดึงดูดให้อยากกลับบ้านเร็วมาตลอด แม้จะให้คนอื่นเรียกมันว่าอุ๊ยโหย แต่หล่อนกลับเรียกมันว่า ‘ลูก’ ทุกคำ และนึกว่าตนอุปาทานไปคนเดียวด้วยอำนาจความพิศวาสแทบขาดใจ
    อุปการะขยายความต่อ
    “วันที่อยากได้ลูกหมามาเลี้ยง ใจหนูนึกว่าสุ่มไปเลือกตัวไหนก็ได้จากลูกหมานับร้อยนับพันตัว แต่ความจริงคือกรรมสัมพันธ์ได้เลือกไว้ให้เราแล้ว คือตัวที่หนูกำลังเลี้ยงอยู่นี่เอง เมื่อใดก็ตามที่เกิดร่วมยุคกัน มันจะอยู่ในที่ที่หนูไปเอามาชุบเลี้ยงให้ความรักความอบอุ่นได้เสมอ เพราะผลของกรรมที่ยอมตายแทนกันนั้นจะส่งกระแสเรียกให้กลับมาสงเคราะห์กันในชาติใหม่ได้แรงกว่ากรรมชนิดอื่น… คราวนี้หนูคงเชื่อแล้วสินะว่าภพภูมิและการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง”
    “ไม่สงสัยอีกแล้วค่ะ” ณชะเลปาดน้ำตาตอบเสียงเครือ “แล้วหนูจะทำยังไงถึงจะช่วยส่งให้มันไปเกิดในภพที่ดีกว่านี้ได้คะ?”
    “สิ่งมีชีวิตแต่ละเผ่าพันธุ์จะมีสภาพเด่นที่มันติดข้องอยู่ อย่างภพหมาสวยๆที่หนูเลี้ยงอยู่นี่จะติดความเย่อหยิ่ง ความอาจหาญเกินตัว ถ้ามีหนทางกล่อมให้มันละความติดข้องกับภพแห่งความเป็นเช่นนี้ ก็จะหลุดจากภพแห่งความเป็นเช่นนี้ได้”
    “กล่อมมันยังไงคะ?”
    “สัตว์ที่ถูกมนุษย์เลี้ยงอย่างใกล้ชิดจะมีสิทธิ์พัฒนาจิตวิญญาณให้สูงส่งขึ้นได้ไม่ยากหรอก เจ้าของเป็นอย่างไร มันก็ซึมซับมาอย่างนั้น สัมผัสทะนุถนอมของคนมีศีลสัตย์จะช่วยให้คลื่นจิตของมันสงบ อ่อนโยน ยิ่งหนูพูดและทำกับมันด้วยข่ายคลื่นธรรมะมากขึ้นเท่าไหร่ ก็พลอยเหนี่ยวนำให้จิตของมันคล้อยตามกระแสธรรมะไปด้วยมากขึ้นเท่านั้น”
    ณชะเลเล็งแลอุปการะด้วยลักษณาการเงียบนิ่งเป็นดุษณี ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อเหนี่ยวนำจิตเจ้าอุ๊ยโหยให้เป็นกุศล ทุกวันนี้หล่อนก็นำมันมาหมอบข้างๆทุกครั้งที่สวดมนต์ไหว้พระ ซึ่งเป็นการเปล่งเสียงแสดงความเคารพนบนอบต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว แต่ต่อไปจะทำยิ่งกว่านั้น เช่นให้มันเห็นหล่อนใส่บาตรพระถี่บ่อยที่สุดจนกลายเป็นภาพติดตา!
    ละอองฝนเห็นน้องสาวนั่งเงียบขรึมก็เป็นฝ่ายถามหมอดูบ้าง
    “ที่หมาแมวมีความผูกพันเป็นพิเศษ และมักได้รับอภิสิทธิ์เป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านคนนี่ก็เพราะชาติใกล้เคยเป็นมนุษย์หรือเปล่าคะ?”
    “มีส่วนใช่นะ คนเราลดชั้นลงไปเกิดเป็นหมาแมวกันเยอะ โอกาสเจอญาติเก่าในร่างหมาแมวจึงสูงกว่าสัตว์ชนิดอื่น กรรมจะทำให้หมาแมวมีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป กับทั้งตกแต่งรูปร่างหน้าตาให้มู่ทู่น่าเอ็นดู โดยเฉพาะลูกหมาจะขาสั้น ตัวสั้น เตะตาให้เกิดความอยากเลี้ยงทันที โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงจะถูกชะตากับสัตว์เลี้ยงหน้าตาน่ารักที่มีสัญชาตญาณขี้อ้อน ยอมเหนื่อยเลี้ยงดูมันง่ายเป็นพิเศษ”
    “อย่างถ้าไปเกิดเป็นปลาชะโด โอกาสที่เจอแล้วปิ๊งก็ไม่มีสิคะ? ตัวกลมฟันแหลมไม่น่ารักอย่างนั้น”
    อุปการะหัวเราะ
    “เห็นไหมล่ะว่ากำเนิดต่างๆจะให้โอกาสผิดแผกกัน กรรมของพวกปลาชะโดตกแต่งรูปร่างหน้าตาให้น่าเกลียด สร้างสัญชาตญาณดุร้ายก้าวร้าวติดตัวมาแต่เกิด และดลใจให้มนุษย์เราเรียกมันไปในทางตลก”
    กล่าวจบก็ยกข้อมือดูนาฬิกา ซึ่งพอเป็นสัญญาณให้พี่น้องสองสาวทราบว่าน่าจะสมควรแก่เวลาแล้ว
    “สรุปคือที่ทรายเขาต้องทำ คืออโหสิให้กับแฮกเกอร์ แล้วก็เลิกทรมานใจกับการโทษตัวเองเสียทีว่าเป็นคนผิดที่ลากเพื่อนมาร่วมเคราะห์ร้ายใช่ไหมคะ?”
    ละอองฝนถามแทนน้องด้วยความห่วงใย
    “ใช่ ครั้งนี้หากหนูไม่อาฆาตแค้น คิดอโหสิให้กับแฮกเกอร์โดยดี ก็ถือว่าสะสางกรรมชุดที่ไปวางยาพิษสัตว์เลี้ยงในอดีตชาติเรียบร้อย”
    “หนูอโหสิให้เขาค่ะ”
    ณชะเลรีบพูดและหมายความตามนั้น อุปการะเห็นจิตของเด็กสาวให้อภัยอย่างสะอาดสะอ้านจึงพยักหน้าช้าๆ คล้ายเป็นสัญญาณรับรองว่ากรรมเป็นอโหสิจริง
    “ดีแล้ว”
    ละอองฝนเหลียวมองน้องสาว เห็นท่าทางสดชื่นหายวิตกก็หันกลับไปหาพ่อหมออย่างขอถามเป็นข้อแถมสุดท้าย
    “อยากรู้จังค่ะว่าแฮกเกอร์จะเป็นตัววิบัติไปอีกนานแค่ไหน กว่าจะสำนึกผิดและต้องชดใช้กรรม บางทีกฎแห่งกรรมก็ทำงานช้าจัง คนชั่วลอยนวลสร้างความเสียหายกับสังคมได้หลายปีไม่ยักเป็นไร”
    “ที่กรรมชั่วให้ผลช้า บางทีเพราะได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองจากบุญเก่าช่วยพยุงไว้นาน อย่างคนที่สุขภาพแข็งแรงเพราะออกกำลังกายดี ถึงกินเหล้ามากก็เหมือนไม่เป็นไร ต่อเมื่อถึงจุดหนึ่งความแข็งแรงช่วยไม่ไหว ก็กลายเป็นโรคตับแข็งขึ้นมา”
    สีหน้าของเด็กสาวคลายอาการสงสัยลงอีกครั้ง
    “ก็จริงนะคะ แฮกเกอร์กี่รายต่อกี่รายที่สร้างความเสียหายมากๆ ลงเอยด้วยคุกทั้งนั้น เพราะทางการตามล่าอย่างเอาเป็นเอาตาย ข้ามประเทศ ข้ามปี”
    อุปการะยิ้มเล็กน้อยเยี่ยงผู้รู้นัยแห่งกรรมอันซับซ้อนลึกซึ้ง
    “คนบางคนต้องทำบาปอย่างมหันต์แล้วสำนึกผิดเสียก่อน ถึงจะมีแรงบันดาลใจทำบุญเป็นอนันต์เพื่อไถ่โทษ คนที่สามารถทำให้ใครๆเดือดร้อนได้เป็นล้านน่ะ บารมีเก่าย่อมไม่ใช่น้อยๆนะ ไม่อย่างนั้นธรรมชาติไม่ให้อำนาจล้นเหลือมาขนาดนั้นหรอก วันหนึ่งหนูอาจเห็นเขาทำอะไรได้อย่างที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อนก็ได้”
    “เช่นอะไรคะ?”
    “เช่นเปลี่ยนความเชื่อของคนเกือบครึ่งโลกให้เป็นไปในทางเดียวกันไง!”
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×