ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เพื่อนรัก
“โจ๊กเหรอ
ว่างาย?”
ลานดาวทักต้นสายโทรศัพท์ด้วยกังวานเสียงนุ่มแน่นสดใส
“แหม! เสียงน่ารัก”
นนทกานต์ชม และเมื่อถูกชม เจ้าหล่อนก็หัวเราะร่วน ลากยาวในแบบจงใจเรียงรินเข้าหูอีกฝ่าย
เพื่อให้หวิวไหวใหลหลง
“น่ารัก แต่ไม่ควรจะรักนะคะ!”
น้ำหนักคำและหางเสียงดุกระเดียดไปทางปรามจริงจัง ลานดาวชอบเล่นอย่างนี้เสมอ คือยวนใจ
ให้นึกพิศวาสด้วยท่าทีหรือสุ้มเสียง ตามด้วยการกรีดหัวใจให้แสบเสียวด้วยวาจาตัดรอน ชั่วขณะนั้นนนท
กานต์นึกอยากถามหมอดูอุปการะขึ้นมาทันทีว่ากรรมชนิดนี้จะต้องได้รับผลเช่นไร
“ขอบใจที่ย้ำ วันนี้เรารู้แล้วว่าเราไม่ควรรักจ๊ะ”
“อุ๊ยตาย! น่าดีใจจริง อะไรมาดลใจคะ?”
“คน”
“ใคร?”
“หมอดู”
“จริงอ้ะ โจ๊กเนี่ยนะไปดูหมอ?”
“ใช่”
“ตั้งใจไปดูเรื่องอะไรเหรอ กระเป๋าหาย โฉนดที่ดินถูกขโมย หรือป้าสะใภ้ถูกจับไปเรียกค่า
ไถ่?”
“รู้ๆอยู่ ยังแกล้งถามอีก”
“โถ คนโง่ๆแต่น่ารักอย่างจ๊ะจะไปรู้อะไรคะ”
“ก็ไปดูเรื่องจ๊ะนั่นแหละ เพิ่งบอกหยกๆต้องไก๋ด้วย”
“ฮะๆ นึกถึงโจ๊กเดินตรงดิ่งเข้าไปหาหมอดูแล้วขำว่ะ คิดเลขเก่งๆไม่น่าสนใจเรื่องพรรค์นี้กับเขาเลย”
“ยืนเก้ๆกังๆอยู่ตั้งนานเหมือนกัน กว่าจะตัดสินใจ ความจริงกะดูหนังเท่านั้น แต่เห็นโต๊ะตั้งอยู่
เลยแวะดูหมอเสียหน่อยก่อน ทำไงได้ คนกำลังสับสน อยากคุยกับใครสักคนที่ถูกอุปโลกน์มาให้ตอบปัญหาหัวใจ”
“เหม่! จ๊ะอยู่ตรงนี้ให้ถามง่ายๆไม่ถาม ต้องไปพึ่งพาใครเสียเงินเสียทองทำไม ว่าแต่เป็นไง
มั่ง หมอดูบอกว่าไง”
เขาเริ่มได้ยินเสียงหล่อนเคี้ยวอะไรจั๊บๆ สงสัยครามครันว่าเหตุใดลานดาวยังหุ่นดีอยู่ได้ ทั้งที่กินขนมจุบจิบตลอดศก
“จะเป็นไงล่ะ หมอบอกว่าถ้ายังดันทุรังก็มีแต่แห้ว”
“ลูกอมรสบ๊วยก็มี ใครว่าจ๊ะมีแต่แห้วไว้แจก สู่รู้แท้ๆ”
“จุๆ อย่าว่าแกนะ ด่าอะไรอยู่ตรงนี้แกก็รู้นะ”
“ต๊าย! หมอดูหรือหมอผีกันแน่?”
“หมอดูนี่แหละ แต่แกเหมือนมีตาทิพย์ รู้เห็นอะไรหมด”
“ขนาดนั้น?”
“เอาเป็นสรุปว่าโทร.มาเพื่อประกาศว่าโจ๊กจะเป็นเพื่อนที่ดีของจ๊ะนะ จะไม่เรียกร้องอย่างวัน
ก่อนอีก บอกให้รู้ไว้ จะได้สบายใจ”
“ต้องอย่างนั้นสิพรรคพวก” ลานดาวยิ้มกริ่มอยู่อีกทาง “ว่าแต่ทำไมเชื่อคนง่ายนักล่ะ หมอดู
บอกว่าให้เลิกพยายามก็เลิกตามสั่งเลยหรือ?”
“เปล่า ถ้าพูดส่งเดชหรืออ้างลัคนาราศีอะไรจะไม่เชื่อเลย แต่นี่ เล่าแล้วเดี๋ยวจ๊ะหาว่าโกหก
ช่างเถอะ”
ได้ผล พอขุดบ่อล่อปลา ปลาก็กระโจนใส่ทันที
“เล่าซิ ทำไมเหรอ?”
“เริ่มขึ้นมาเนี่ยนะ เขาก็ทักโจ๊กว่าอยากดูเรื่องผู้หญิงใช่ไหม แบบว่ากำลังรักข้างเดียว เรางี้หูผึ่ง
เลย ที่ยิ่งกว่านั้น เขาบอกลักษณะของจ๊ะได้ถูกหมด เรางี้อ้าปากหวอ”
พอเรื่องวกมาเข้าตัว คราวนี้ลานดาวถึงกับหยุดกินขนม
“เขาบอกว่าไง?”
“ก็ ตรงกับที่โจ๊กรู้ว่าเป็นจ๊ะแล้วกันนะ แถมอีก คือรู้ลึกในรายละเอียดลึกลับเกี่ยวกับที่มาที่
ไปซึ่งรับรองว่าแม้แต่จ๊ะเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน”
“อย่างเช่น?”
“ชาติก่อนจ๊ะทำอะไรมาถึงสวย แล้วชาตินี้เมื่อไหร่จะเจอเนื้อคู่ที่อยู่กันได้ตลอดรอดฝั่ง”
“ยกเมฆหรือเปล่า?” แต่ไม่ทันรอคำตอบก็ถามติดกันเร็วปรื๋อ “ชาติก่อนทำยังไงถึงสวย แล้ว
ชาตินี้เมื่อไหร่จะเจอเนื้อคู่?”
“เขาก็บอกมาเยอะนะ เราจำไม่ถนัด พอรู้ว่ากินแห้วแน่ก็หมดกำลังใจ มัวแต่ซึมเศร้าคล้ายตุ๊ด
เก็บกด พูดอะไรมาเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวาตลอด ถ้าสนใจอยากไปฟังเขาพูดเองไหมล่ะ?”
“ที่ไหน?”
“ต้องให้โจ๊กพาไป”
“โธ่เอ๊ย! ยั่วให้อยากรู้ ที่แท้อยากควงเขาเที่ยว ไม่หลงกลหรอก”
“ไม่ไปก็ตามใจนะ”
ลานดาวชั่งใจอยู่ครู่ ก่อนตัดสินใจรับห้วนๆ
“ก็ได้!”
นนทกานต์เลือกวันหยุดเรียนตรงกับลานดาว ขับรถไปรับหล่อนที่บ้านเพื่อพาไปดูหมอตามนัด
“เคยคิดไหม ทำไมบางทีคนเราชอบคุยกันทางโทรศัพท์มากกว่าคุยกันแบบเห็นหน้าเสียอีก”
ชายหนุ่มถามเปรยเป็นการชวนคุยระหว่างอยู่ในรถ หญิงสาวกะพริบตาสองสามที นนทกานต์
มักมีโจทย์ชวนคิดมาถามฆ่าเวลาเป็นประจำ หลายครั้งเป็นเรื่องธรรมดา พบเห็นทั่วไป จนกระทั่งไม่มีใครใส่
ใจถามหาเหตุผลกัน
“ตอนคุยโทรศัพท์ เราจะรู้สึกว่าคู่สนทนาเป็นของเราคนเดียว จองตัวไว้สำหรับเราโดยเฉพาะ
ห้ามไปคุยกับคนอื่น”
“หนึ่งแต้ม! ให้เวลาสิบวินาทีคิดเหตุผลข้อต่อไป ถ้าตอบได้ห้าข้อจะมีรางวัล”
ลานดาวแค่นหัวเราะ ยกมือกอดอก
“รางวัลอะไรยะ?”
“ข้าวกลางวันหนึ่งมื้อกับหนังหนึ่งเรื่อง”
หญิงสาวเบะปากครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง
“ข้าวโอเค แต่ไม่ต้องแถมหนัง”
“อ้ะ! ลองตอบข้อต่อไป คุยโทรศัพท์ดียังไงอีก”
“คิดถึงเมื่อไหร่ก็โทร.คุยได้โดยไม่ต้องเดินทางให้เสียเวลา”
“ข้อสาม?”
ฝ่ายตอบมองออกไปข้างนอก เริ่มต้องเลือกค้นจากใจนานขึ้น
“เราซ่อนสีหน้าได้ แม้กำลังรำคาญหรือโกรธจัด แค่เงียบๆไป อีกฝ่ายก็ไม่รู้แล้ว”
“ข้อสี่?”
คราวนี้ลานดาวคิดนานขึ้นอีก ทุกคำถามที่ต้องการเหตุผลทางใจนั้น มักมีคำตอบง่ายๆใน
เบื้องแรกเสมอ แต่พอคิดลึกแบบเก็บตกให้ครบถ้วน ก็เหมือนเป็นเรื่องซ่อนเร้นลี้ลับ ทั้งที่คำตอบคล้าย
ปรากฏตรงหน้าอยู่แล้ว เพียงแต่ห่างไกลเลือนรางออกไปทุกที
“ตอนคุยกันแบบเห็นหน้า เราจะเลี่ยงหลบยากถ้าหากต้องการจบการคุย บางทีต้องขอตัวกัน
นาน ล่ำลากันยืดยาว หรือเป็นธุระต้องเดินไปส่ง ต่อให้ไม่พอใจอย่างไรก็ต้องมีขั้นตอนยุ่งยากจุกจิกกวนใจ
แต่คุยโทรศัพท์นั้นถ้าไม่พอใจมากๆ วางโชะเดียวจบ ถ้ามันโทร.มาอีกก็วางใส่มันอีก”
นนทกานต์ยิ้มกว้าง
“เอาล่ะ ข้อสุดท้าย?”
ลานดาวมองเล็งเบื้องหน้า เค้นคิดจริงจัง
“นึกไม่ออกแฮะ อ้อ!” หล่อนดีดนิ้วเป๊าะ ร้องแบบปิ๊งกะทันหัน “ถ้ากำลังกินขนม เราไม่ต้อง
แบ่งใคร แฮะๆ แกล้งชวนกิน แกล้งยื่นให้ทางโทรศัพท์ยั่วน้ำลายเล่นก็ได้ แต่เราหม่ำจั๊บๆอยู่คนเดียว อิอิ”
“อือ ข้อหลังนี้โจ๊กเคยโดนบ่อย”
หญิงสาวทำเสียงเอิ๊กอ๊าก นนทกานต์กล่าวสืบต่อ
“ความจริงเรามองให้เห็นข้อดีของอะไรสักอย่างได้ไม่จำกัด แต่ก็ขึ้นอยู่กับมุมที่เรายืนอยู่ด้วย”
“เหรอคะ แล้วโจ๊กเห็นเหตุผลอื่นยังไงอีก แค่ห้าข้อนี่ ข้อสุดท้ายจ๊ะต้องเริ่มเอาสีข้างเข้าถูแล้ว
นะ”
“งั้นฟังห้าข้อของเรานะ ต่างจากจ๊ะอย่างสิ้นเชิง”
“อื้อม์!”
หล่อนตั้งใจเงี่ยหู
“ข้อดีของการคุยโทรศัพท์ ข้อแรก มีเสียงของคนที่เรารักอยู่ในหูตลอดเวลา ข้อสอง ได้เวลา
ส่วนหนึ่งในชีวิตของเธอไว้เป็นของเราคนเดียว ข้อสาม เหมือนได้อยู่กับเธอในที่ส่วนตัวของเธอเองตาม
ลำพัง ข้อสี่ ถ้าทำให้เธอขัดเคืองก็ง้อได้เต็มที่โดยไม่ต้องกลัวใครได้ยิน ข้อห้า ”
นนทกานต์ร่ายยาวเป็นจังหวะจะโคนต่อเนื่องรวดเดียว มาเว้นวรรคนิดหนึ่ง ก่อนทอดเสียงแผ่วอ่อน
“ขณะถูกปฏิเสธ เธอจะไม่เห็นน้ำตาของเราเลย ”
ถ้อยคำของเขาทำเอาลานดาวชะงักงัน มองนิ่งไปข้างหน้าด้วยสัมผัสทางใจที่แตกต่างไป ทว่า
ครู่เดียวหล่อนก็เอ่ยได้เป็นปกติ
“ลูกไม้เรียกร้องความเห็นใจเริ่มเข้าท่าแล้ว พยายามต่อไปนะ สักวันอาจสำเร็จ”
“สัญญาว่าเป็นเพื่อนก็จะเป็นเพื่อน ไม่เซ้าซี้หรือหาลูกไม้มาออดอ้อนกวนใจหรอก รับรอง รู้ตัว
แล้วว่าโจ๊กไม่ใช่ผู้ชายแบบที่จ๊ะจะรัก”
“พูดเหมือนรู้เลยนะว่าฉันรักผู้ชายแบบไหน?”
“ไม่รู้ซี ว่าแต่จ๊ะน่ะ รู้หรือเปล่า?”
“รู้”
“แบบไหน?”
“แบบที่จะไม่หลงฉัน ”
หล่อนลดเสียงลงจนเกือบเป็นกระซิบ นนทกานต์ฟังแล้วหัวเราะออกมาดังๆ
“เคยเจอเหรอะ?”
“ไม่เคย ”
ชายหนุ่มถอนใจยาว
“จ๊ะแค่มีปัญหาคือยังไม่เคยเจอคนเสมอกันเท่านั้นแหละ ผู้หญิงทั่วไปเบื่อผู้ชายเพราะโกหก
เจ้าชู้ เอาใจไม่เก่ง ติดเพื่อน ขี้ลืม ไม่เห็นค่า ไม่ค่อยโทร.หา แต่สำหรับจ๊ะนั้นตรงข้าม มีแต่คนอยากจะเอาใจ
บานพะเรอ คนเอาใจเก่งก็เลยดูโหลไป สรุปให้ง่ายคือผู้ชายดีๆที่เข้ามายังไม่เร้าใจพอนั่นเอง”
ลานดาวสยายยิ้ม
“อือ! ดีนะ ฉันจะจำไว้ตอบคนอื่น ผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตฉันถึงจะดี แต่ก็ไม่เร้าใจ”
“ต้องบอกด้วยว่าไม่เร้าใจในสายตาเธอ อย่างอีตาสมโภชญ์ที่จ๊ะเพิ่งเหวี่ยงทิ้งให้หน้าตาหดหู่
เหมือนตัวตุ๊กตุ่นนั่นน่ะ สาวๆกรี๊ดกันจะตาย คนเรามีดีมากไปก็เป็นทุกข์เรื่องคู่ได้ง่ายๆเหมือนกันนะ น่า
กลุ้มแทน สมมุติว่าจ๊ะเจอคนที่จ๊ะรักได้ อยู่กันได้ยืดๆ ซึ่งเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรอยู่แล้ว แต่มีอันต้อง
แคล้วคลาดกัน จ๊ะจะเจอเข็มเล่มที่สอง สาม สี่ยังไงไหว”
“ก็คงต้องอยู่ตัวคนเดียว ฉันทำใจได้ ทุกวันนี้แม้แต่เพื่อนผู้หญิงก็ใช่ว่าสนิทอะไร อิจฉาตา
ร้อนกันเรื่อย นี่เพิ่งมีเรื่องระหองระแหง มึนตึงกันเพราะหาว่าฉันไปแย่งแฟนมัน จ๊ะอยู่ของจ๊ะดีๆ ดันมาว่าเรา
พูดแล้วยังโมโหไม่หาย นึกถึงตอนมันมาตู่ๆๆแล้วอยากตบซักฉาด”
หญิงสาวพูดแบบระบายอารมณ์ นนทกานต์ย่นคิ้วฉงน
“หมายถึง ”
“อีเอ๋ยนั่นแหละ”
เพื่อนหนุ่มแปลกใจ เพราะรู้จักฝ่ายนั้นดีว่าสนิทสนมกลมเกลียวกับลานดาวเพียงใด สะสวย
ไล่เลี่ยกันเสียด้วย ถ้าต้องทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่องผู้ชายคงสะท้อนหลายอย่าง เป็นต้นว่าความสวยไร้
ความหมาย หากผู้ชายสนใจใคร คนนั้นก็คว้าชัยในความมีเสน่ห์แรงไปครองเขาฟังหูไว้หูในเรื่องแย่งแฟน ด้วยเคยเห็นมาบ่อย คือบางทีลานดาวไม่มีเจตนา แต่เล่นหูเล่นตา
โปรยยิ้มบาดใจไปตามนิสัยชอบยั่วให้หลงเสียอย่างนั้น หล่อนทำนิดเดียวแต่มีผลมากเสมอ หากเป็นเหตุให้
เกิดความเข้าใจผิดว่านั่นคือการทอดสะพานก็หาใช่เรื่องน่ากล่าวโทษฝ่ายชายเสียทั้งหมด
แต่ไม่เลวนักหรอก หล่อนเปรยหลายหนแล้วว่ามีเพื่อนผู้หญิงนั้นจุกจิกน่ารำคาญ ถ้านั่น
หมายความว่าเป็นช่องทางให้เขาก้าวเข้ามาสนิทสนม จะแบบเพื่อนหรืออะไรก็ตามที นับว่าเป็นความพอใจ
ของเขายิ่งนักแล้ว
“ตกลงความสวยนี่เป็นบุญหรือเป็นเวรกรรมส่งสาปกันแน่ก็ไม่รู้เนอะ โจ๊กไม่เห็นจ๊ะเป็นสุขสัก
เรื่อง แฟนก็หาไม่ได้ เพื่อนสนิทมีก็ทะเลาะกัน ล้วนแต่เพราะสวยเกินเหตุทั้งนั้น”
“เรื่องบาปบุญกรรมเวรนี่เราจะเชื่อได้ยังไงล่ะ ว่ามันมีหรือไม่มี”
“ถ้าไม่มีมันก็น่าแปลกอยู่นะ คิดดูซี คนเราได้รับความอยุติธรรมมาแบบฟลุกๆงั้นหรือ บางคน
จนกรอบชนิดต้องนอนใต้สะพานลอย บางคนหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ขนาดอยากเอาปี๊บคลุมหัว บางคนเป็นที่รวม
ของความอัตคัดทุกชนิด ทั้งเงินทอง รูปโฉม สติปัญญา เข้าไหนก็น่ารังเกียจนั่น ต่างจากบางคนที่ทั้งรวย ทั้ง
รูปร่างหน้าตาหมดจด ทั้งฉลาดจ๋ามาแต่อ้อนแต่ออก ใครเห็นใครก็รัก จ๊ะว่าความแตกต่างของคนเราถูก
กำหนดด้วยเหตุเดียวคือความบังเอิญหรือ?”
“แหม! พูดลำบากนะคะ เพราะคุณสมบัติอันเพียบพร้อมในช่วงท้ายเหมือนโจ๊กจงใจชมจ๊ะ ถ้า
ให้ตอบตามตรงก็เท่ากับชมตัวเอง ”
ลานดาวพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน ประสานมือบิดไปบิดมาเล็กน้อยคล้ายเก้อเขินเอียงอาย
เหลือเกิน นนทกานต์อดหัวเราะไม่ได้
“จ๊ะ ถ้าเธอไม่อยากให้เราหรือใครๆลุ่มหลง ทำไมถึงชอบพูดจา ทำท่าน่ารักเหมือนหว่าน
เสน่ห์อย่างนี้อยู่เรื่อย?”
“อุ๊ย! เปล่านะคะ” ลานดาวทำตาโต “อันนี้ติดตัวมาแต่กำเนิด เป็นคุณสมบัติสามัญของสาวน้อย
ผู้แสนจะซื่อคนหนึ่ง ให้ช่วยยังไงดีล่ะ?”
“อือม์ โจ๊กรู้จักคนสวยบางคนที่สงบเสงี่ยม หลีกเลี่ยงจะเอาบ่วงเสน่ห์ไปคล้องใจใครแบบ
เอาเป็นเอาตาย แต่บางคนอย่างจ๊ะก็เหมือนทนไม่ได้ถ้าไม่มีใครมารักมาหลง ดูแล้วเป็นการตัดสินใจเลือก
มากกว่าเป็นคุณสมบัติติดตัวแต่กำเนิดนะ และโจ๊กว่าการตัดสินใจเลือกนั่นแหละคือกรรม ทุกคนจะต้อง
ได้รับผลของการเลือกแบบหนึ่งๆเสมอ”
ลานดาวเชิดหน้าหยิ่ง
“แต่ถ้าคิดว่าทุกความแตกต่างเกิดจากกรรม ถูกจำแนกด้วยกรรม บางทีก็น่าตั้งคำถามนะ ต้นไม้
ใบหญ้าที่มันไม่มีชีวิตจิตใจก็หลากสีหลายพันธุ์ ธรรมชาติความหลากหลายของพวกมันมาจากไหนล่ะ พวก
มันไปทำกรรมอะไรไว้?”
เจอคำถามนี้ คนไม่รู้คำตอบก็นิ่งบื้อไป
“ว่าไง?”
ลานดาวถามจี้ นนทกานต์ตอบเสียงอ่อย
“เดี๋ยวลองถามหมอดูสิ”
หญิงสาวยิ้มเยาะ
“คนเราส่วนใหญ่เชื่อเพราะคิด ไม่ใช่เชื่อเพราะรู้ อย่างเธอเนี่ยนะ แก่ตัวลงหัวล้านแหงๆ
หน้าผากเถิกขนาดนี้ พอถึงเวลาหัวล้านขึ้นมาค่อยคิดโทษกรรมโทษเวร คราวนี้หัวล้านเพราะอะไรดีล่ะ เมื่อ
ชาติก่อนเคยตีหัวนกตะกรุม หรือเคยด่านกตะกรุมให้น้อยเนื้อต่ำใจ?”
นนทกานต์หัวเราะออกมาอีก เริ่มสังเกตว่าอารมณ์ขันและความคิดพิสดารของลานดาวเป็น
เสน่ห์น่าลุ่มหลงอีกชนิดหนึ่งที่สาวสวยส่วนใหญ่ไม่ค่อยมี ทุกครั้งที่เขาหัวเราะเพราะคำพูดของหล่อน เขาจะ
มีอาการเคลิ้มหลงรัญจวน อยากถลาเข้าไปกอด อยากสารภาพว่ารักๆๆใจแทบขาดเสมอ
“จ๊ะนี่ทำให้คนหลงรักได้ด้วยอาวุธรอบตัวเลยนะ แค่คำพูดก็ยิงโดนใจบ่อยแล้ว”
ชายหนุ่มเปรยแบบขี้เกียจทนอัดอั้นคาอก ขณะนั้นเขาต้องหยุดรถที่สี่แยกไฟแดงในตำแหน่ง
คันหน้าสุด จึงเท้าศอกกับประตูในท่ากุมขมับน้อยๆด้วยความสังเวชใจตนเอง
“นี่แปลว่ากำลังจะหลงอีกเหรอ งั้นทำให้ขายหน้าดีไหม เธอจะได้เกลียดฉัน”
ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปกดแตรปี๊นๆ แต่เสหันไปทางอื่น ทำหลับตาไม่รู้ไม่ชี้ เป็นเหตุให้ผู้หญิงที่
นั่งซ้อนหลังมอเตอร์ไซค์ข้างหน้าหันมาใช้หางตาขุ่นเคืองชำเลืองแลนนทกานต์ ตามธรรมดาของคนโดน
เสียงดังกระทบโสต ที่คิดว่าคนขับนั่นเองเป็นผู้กด
พอรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร ตนเองเจอยัดเยียดความผิดเข้าให้แล้ว ชายหนุ่มก็กระตุกยิ้มโบกมือ
ให้สาวมอเตอร์ไซค์ทีหนึ่ง ไม่มีทางอื่นนอกจากรับหน้าไป พอประมาณว่าขอโทษที่เผลอโดนแตรให้หล่อนตกใจ
สาวมอเตอร์ไซค์หันหน้ากลับแบบทิ้งค้อนหนึ่งวง ซึ่งเรื่องคงจบแบบเงียบๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมี
มือดียื่นมากดแตรซ้ำอีกปี๊นใหญ่ นนทกานต์ทำหน้าเหวอร้องฮึ้ยดังๆ เพราะคราวนี้นอกจากสาวซ้อนหลัง
แล้ว พี่เบิ้มเจ้าของเบาะคนขี่ยังหันมาเพ่งจ้องด้วยความไม่พอใจอีกรายหันมองลานดาวก็เห็นทำหน้าตายหลับตาเฉย คอพับคออ่อนเหมือนสลบไสลไม่ได้สติ ตลกร้าย
ของหล่อนอาจทำให้เขาเลือดกบปากเสียคราวนี้ สาวบนหลังมอเตอร์ไซค์คงนึกว่าเขาบีบแตรเรียกหล่อนด้วย
ความอยากรู้อยากเห็นว่าหันมาจะสวยแบบมองหลังหรือเปล่า พอเห็นว่าสวยดีเลยเรียกอีก ซึ่งนั่นไม่เหมาะ
เลยถ้าพี่เบิ้มพลอยเข้าใจตามไปด้วย
นนทกานต์แยกเขี้ยวยิ้มเหย คราวนี้ยกสองมือและทำหัวผงกขึ้นลง หวังว่าทั้งสองคงไม่เห็นว่า
หน้าตาดีๆอย่างเขาเป็นพวกคิดสั้น เล่นเป็นเด็กปัญญาอ่อนขนาดนั้น อยากเผยความจริงด้วยการเอานิ้วชี้จิ้มๆ
ไปทางด้านซ้าย เป็นสัญญาณชี้บอกว่าตัวแสบที่แท้คือใคร แต่ก็จนด้วยเกล้า จำต้องรับสถานการณ์ถูกคุกคาม
ด้วยสายตาตามลำพัง เนื่องจากแม่ตัวดีไก๋หลับไปอย่างนั้น
หนุ่มมอเตอร์ไซค์ทำท่าชั่งใจว่าจะเอายังไงดี กระซิบกระซาบกับสาวซ้อนหลังแล้วในที่สุดก็
ตัดสินใจขี้เกียจเอาเรื่องให้เสียเวลาทำมาหากิน แค่ขมุบขมิบปากฝากข้อความคล้ายเรียกเขาว่า ‘เฮีย’ หรือ
อะไรทำนองนั้น แล้วหันกลับด้วยกระแสความขุ่นใจชัดเจน
นนทกานต์ถอนใจโล่งอก รอจนไฟเขียวแล้วค่อยๆเคลื่อนรถออกจากที่แบบรอทิ้งห่างจาก
มอเตอร์ไซค์ข้างหน้าระยะหนึ่งด้วยความเกร็งตกค้าง
เป็นอีกครั้งที่ลานดาวเล่นบ้าๆ ร้ายกว่านั้นคือเขาไม่รู้ว่าปฏิกิริยาทางใจของตนเป็นอย่างไรแน่
แปลกที่เคืองหล่อนเพียงนิดเดียว แต่กระเดียดไปทางเห็นขำ ทั้งที่มันล่อแหลมกับการถูกอัดกลางถนนแท้ๆ
“นี่คือวิธีห้ามไม่ให้ฉันเผลอไปหลงเธอ?”
“ใช่ นี่คือสัญญาณเตือนว่าถ้าเธอได้ฉันเป็นแฟนจะปวดหัวกว่านี้”หล่อนตอบทั้งหลับตายิ้มเย้ย
ลานดาวทักต้นสายโทรศัพท์ด้วยกังวานเสียงนุ่มแน่นสดใส
“แหม! เสียงน่ารัก”
นนทกานต์ชม และเมื่อถูกชม เจ้าหล่อนก็หัวเราะร่วน ลากยาวในแบบจงใจเรียงรินเข้าหูอีกฝ่าย
เพื่อให้หวิวไหวใหลหลง
“น่ารัก แต่ไม่ควรจะรักนะคะ!”
น้ำหนักคำและหางเสียงดุกระเดียดไปทางปรามจริงจัง ลานดาวชอบเล่นอย่างนี้เสมอ คือยวนใจ
ให้นึกพิศวาสด้วยท่าทีหรือสุ้มเสียง ตามด้วยการกรีดหัวใจให้แสบเสียวด้วยวาจาตัดรอน ชั่วขณะนั้นนนท
กานต์นึกอยากถามหมอดูอุปการะขึ้นมาทันทีว่ากรรมชนิดนี้จะต้องได้รับผลเช่นไร
“ขอบใจที่ย้ำ วันนี้เรารู้แล้วว่าเราไม่ควรรักจ๊ะ”
“อุ๊ยตาย! น่าดีใจจริง อะไรมาดลใจคะ?”
“คน”
“ใคร?”
“หมอดู”
“จริงอ้ะ โจ๊กเนี่ยนะไปดูหมอ?”
“ใช่”
“ตั้งใจไปดูเรื่องอะไรเหรอ กระเป๋าหาย โฉนดที่ดินถูกขโมย หรือป้าสะใภ้ถูกจับไปเรียกค่า
ไถ่?”
“รู้ๆอยู่ ยังแกล้งถามอีก”
“โถ คนโง่ๆแต่น่ารักอย่างจ๊ะจะไปรู้อะไรคะ”
“ก็ไปดูเรื่องจ๊ะนั่นแหละ เพิ่งบอกหยกๆต้องไก๋ด้วย”
“ฮะๆ นึกถึงโจ๊กเดินตรงดิ่งเข้าไปหาหมอดูแล้วขำว่ะ คิดเลขเก่งๆไม่น่าสนใจเรื่องพรรค์นี้กับเขาเลย”
“ยืนเก้ๆกังๆอยู่ตั้งนานเหมือนกัน กว่าจะตัดสินใจ ความจริงกะดูหนังเท่านั้น แต่เห็นโต๊ะตั้งอยู่
เลยแวะดูหมอเสียหน่อยก่อน ทำไงได้ คนกำลังสับสน อยากคุยกับใครสักคนที่ถูกอุปโลกน์มาให้ตอบปัญหาหัวใจ”
“เหม่! จ๊ะอยู่ตรงนี้ให้ถามง่ายๆไม่ถาม ต้องไปพึ่งพาใครเสียเงินเสียทองทำไม ว่าแต่เป็นไง
มั่ง หมอดูบอกว่าไง”
เขาเริ่มได้ยินเสียงหล่อนเคี้ยวอะไรจั๊บๆ สงสัยครามครันว่าเหตุใดลานดาวยังหุ่นดีอยู่ได้ ทั้งที่กินขนมจุบจิบตลอดศก
“จะเป็นไงล่ะ หมอบอกว่าถ้ายังดันทุรังก็มีแต่แห้ว”
“ลูกอมรสบ๊วยก็มี ใครว่าจ๊ะมีแต่แห้วไว้แจก สู่รู้แท้ๆ”
“จุๆ อย่าว่าแกนะ ด่าอะไรอยู่ตรงนี้แกก็รู้นะ”
“ต๊าย! หมอดูหรือหมอผีกันแน่?”
“หมอดูนี่แหละ แต่แกเหมือนมีตาทิพย์ รู้เห็นอะไรหมด”
“ขนาดนั้น?”
“เอาเป็นสรุปว่าโทร.มาเพื่อประกาศว่าโจ๊กจะเป็นเพื่อนที่ดีของจ๊ะนะ จะไม่เรียกร้องอย่างวัน
ก่อนอีก บอกให้รู้ไว้ จะได้สบายใจ”
“ต้องอย่างนั้นสิพรรคพวก” ลานดาวยิ้มกริ่มอยู่อีกทาง “ว่าแต่ทำไมเชื่อคนง่ายนักล่ะ หมอดู
บอกว่าให้เลิกพยายามก็เลิกตามสั่งเลยหรือ?”
“เปล่า ถ้าพูดส่งเดชหรืออ้างลัคนาราศีอะไรจะไม่เชื่อเลย แต่นี่ เล่าแล้วเดี๋ยวจ๊ะหาว่าโกหก
ช่างเถอะ”
ได้ผล พอขุดบ่อล่อปลา ปลาก็กระโจนใส่ทันที
“เล่าซิ ทำไมเหรอ?”
“เริ่มขึ้นมาเนี่ยนะ เขาก็ทักโจ๊กว่าอยากดูเรื่องผู้หญิงใช่ไหม แบบว่ากำลังรักข้างเดียว เรางี้หูผึ่ง
เลย ที่ยิ่งกว่านั้น เขาบอกลักษณะของจ๊ะได้ถูกหมด เรางี้อ้าปากหวอ”
พอเรื่องวกมาเข้าตัว คราวนี้ลานดาวถึงกับหยุดกินขนม
“เขาบอกว่าไง?”
“ก็ ตรงกับที่โจ๊กรู้ว่าเป็นจ๊ะแล้วกันนะ แถมอีก คือรู้ลึกในรายละเอียดลึกลับเกี่ยวกับที่มาที่
ไปซึ่งรับรองว่าแม้แต่จ๊ะเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน”
“อย่างเช่น?”
“ชาติก่อนจ๊ะทำอะไรมาถึงสวย แล้วชาตินี้เมื่อไหร่จะเจอเนื้อคู่ที่อยู่กันได้ตลอดรอดฝั่ง”
“ยกเมฆหรือเปล่า?” แต่ไม่ทันรอคำตอบก็ถามติดกันเร็วปรื๋อ “ชาติก่อนทำยังไงถึงสวย แล้ว
ชาตินี้เมื่อไหร่จะเจอเนื้อคู่?”
“เขาก็บอกมาเยอะนะ เราจำไม่ถนัด พอรู้ว่ากินแห้วแน่ก็หมดกำลังใจ มัวแต่ซึมเศร้าคล้ายตุ๊ด
เก็บกด พูดอะไรมาเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวาตลอด ถ้าสนใจอยากไปฟังเขาพูดเองไหมล่ะ?”
“ที่ไหน?”
“ต้องให้โจ๊กพาไป”
“โธ่เอ๊ย! ยั่วให้อยากรู้ ที่แท้อยากควงเขาเที่ยว ไม่หลงกลหรอก”
“ไม่ไปก็ตามใจนะ”
ลานดาวชั่งใจอยู่ครู่ ก่อนตัดสินใจรับห้วนๆ
“ก็ได้!”
นนทกานต์เลือกวันหยุดเรียนตรงกับลานดาว ขับรถไปรับหล่อนที่บ้านเพื่อพาไปดูหมอตามนัด
“เคยคิดไหม ทำไมบางทีคนเราชอบคุยกันทางโทรศัพท์มากกว่าคุยกันแบบเห็นหน้าเสียอีก”
ชายหนุ่มถามเปรยเป็นการชวนคุยระหว่างอยู่ในรถ หญิงสาวกะพริบตาสองสามที นนทกานต์
มักมีโจทย์ชวนคิดมาถามฆ่าเวลาเป็นประจำ หลายครั้งเป็นเรื่องธรรมดา พบเห็นทั่วไป จนกระทั่งไม่มีใครใส่
ใจถามหาเหตุผลกัน
“ตอนคุยโทรศัพท์ เราจะรู้สึกว่าคู่สนทนาเป็นของเราคนเดียว จองตัวไว้สำหรับเราโดยเฉพาะ
ห้ามไปคุยกับคนอื่น”
“หนึ่งแต้ม! ให้เวลาสิบวินาทีคิดเหตุผลข้อต่อไป ถ้าตอบได้ห้าข้อจะมีรางวัล”
ลานดาวแค่นหัวเราะ ยกมือกอดอก
“รางวัลอะไรยะ?”
“ข้าวกลางวันหนึ่งมื้อกับหนังหนึ่งเรื่อง”
หญิงสาวเบะปากครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง
“ข้าวโอเค แต่ไม่ต้องแถมหนัง”
“อ้ะ! ลองตอบข้อต่อไป คุยโทรศัพท์ดียังไงอีก”
“คิดถึงเมื่อไหร่ก็โทร.คุยได้โดยไม่ต้องเดินทางให้เสียเวลา”
“ข้อสาม?”
ฝ่ายตอบมองออกไปข้างนอก เริ่มต้องเลือกค้นจากใจนานขึ้น
“เราซ่อนสีหน้าได้ แม้กำลังรำคาญหรือโกรธจัด แค่เงียบๆไป อีกฝ่ายก็ไม่รู้แล้ว”
“ข้อสี่?”
คราวนี้ลานดาวคิดนานขึ้นอีก ทุกคำถามที่ต้องการเหตุผลทางใจนั้น มักมีคำตอบง่ายๆใน
เบื้องแรกเสมอ แต่พอคิดลึกแบบเก็บตกให้ครบถ้วน ก็เหมือนเป็นเรื่องซ่อนเร้นลี้ลับ ทั้งที่คำตอบคล้าย
ปรากฏตรงหน้าอยู่แล้ว เพียงแต่ห่างไกลเลือนรางออกไปทุกที
“ตอนคุยกันแบบเห็นหน้า เราจะเลี่ยงหลบยากถ้าหากต้องการจบการคุย บางทีต้องขอตัวกัน
นาน ล่ำลากันยืดยาว หรือเป็นธุระต้องเดินไปส่ง ต่อให้ไม่พอใจอย่างไรก็ต้องมีขั้นตอนยุ่งยากจุกจิกกวนใจ
แต่คุยโทรศัพท์นั้นถ้าไม่พอใจมากๆ วางโชะเดียวจบ ถ้ามันโทร.มาอีกก็วางใส่มันอีก”
นนทกานต์ยิ้มกว้าง
“เอาล่ะ ข้อสุดท้าย?”
ลานดาวมองเล็งเบื้องหน้า เค้นคิดจริงจัง
“นึกไม่ออกแฮะ อ้อ!” หล่อนดีดนิ้วเป๊าะ ร้องแบบปิ๊งกะทันหัน “ถ้ากำลังกินขนม เราไม่ต้อง
แบ่งใคร แฮะๆ แกล้งชวนกิน แกล้งยื่นให้ทางโทรศัพท์ยั่วน้ำลายเล่นก็ได้ แต่เราหม่ำจั๊บๆอยู่คนเดียว อิอิ”
“อือ ข้อหลังนี้โจ๊กเคยโดนบ่อย”
หญิงสาวทำเสียงเอิ๊กอ๊าก นนทกานต์กล่าวสืบต่อ
“ความจริงเรามองให้เห็นข้อดีของอะไรสักอย่างได้ไม่จำกัด แต่ก็ขึ้นอยู่กับมุมที่เรายืนอยู่ด้วย”
“เหรอคะ แล้วโจ๊กเห็นเหตุผลอื่นยังไงอีก แค่ห้าข้อนี่ ข้อสุดท้ายจ๊ะต้องเริ่มเอาสีข้างเข้าถูแล้ว
นะ”
“งั้นฟังห้าข้อของเรานะ ต่างจากจ๊ะอย่างสิ้นเชิง”
“อื้อม์!”
หล่อนตั้งใจเงี่ยหู
“ข้อดีของการคุยโทรศัพท์ ข้อแรก มีเสียงของคนที่เรารักอยู่ในหูตลอดเวลา ข้อสอง ได้เวลา
ส่วนหนึ่งในชีวิตของเธอไว้เป็นของเราคนเดียว ข้อสาม เหมือนได้อยู่กับเธอในที่ส่วนตัวของเธอเองตาม
ลำพัง ข้อสี่ ถ้าทำให้เธอขัดเคืองก็ง้อได้เต็มที่โดยไม่ต้องกลัวใครได้ยิน ข้อห้า ”
นนทกานต์ร่ายยาวเป็นจังหวะจะโคนต่อเนื่องรวดเดียว มาเว้นวรรคนิดหนึ่ง ก่อนทอดเสียงแผ่วอ่อน
“ขณะถูกปฏิเสธ เธอจะไม่เห็นน้ำตาของเราเลย ”
ถ้อยคำของเขาทำเอาลานดาวชะงักงัน มองนิ่งไปข้างหน้าด้วยสัมผัสทางใจที่แตกต่างไป ทว่า
ครู่เดียวหล่อนก็เอ่ยได้เป็นปกติ
“ลูกไม้เรียกร้องความเห็นใจเริ่มเข้าท่าแล้ว พยายามต่อไปนะ สักวันอาจสำเร็จ”
“สัญญาว่าเป็นเพื่อนก็จะเป็นเพื่อน ไม่เซ้าซี้หรือหาลูกไม้มาออดอ้อนกวนใจหรอก รับรอง รู้ตัว
แล้วว่าโจ๊กไม่ใช่ผู้ชายแบบที่จ๊ะจะรัก”
“พูดเหมือนรู้เลยนะว่าฉันรักผู้ชายแบบไหน?”
“ไม่รู้ซี ว่าแต่จ๊ะน่ะ รู้หรือเปล่า?”
“รู้”
“แบบไหน?”
“แบบที่จะไม่หลงฉัน ”
หล่อนลดเสียงลงจนเกือบเป็นกระซิบ นนทกานต์ฟังแล้วหัวเราะออกมาดังๆ
“เคยเจอเหรอะ?”
“ไม่เคย ”
ชายหนุ่มถอนใจยาว
“จ๊ะแค่มีปัญหาคือยังไม่เคยเจอคนเสมอกันเท่านั้นแหละ ผู้หญิงทั่วไปเบื่อผู้ชายเพราะโกหก
เจ้าชู้ เอาใจไม่เก่ง ติดเพื่อน ขี้ลืม ไม่เห็นค่า ไม่ค่อยโทร.หา แต่สำหรับจ๊ะนั้นตรงข้าม มีแต่คนอยากจะเอาใจ
บานพะเรอ คนเอาใจเก่งก็เลยดูโหลไป สรุปให้ง่ายคือผู้ชายดีๆที่เข้ามายังไม่เร้าใจพอนั่นเอง”
ลานดาวสยายยิ้ม
“อือ! ดีนะ ฉันจะจำไว้ตอบคนอื่น ผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตฉันถึงจะดี แต่ก็ไม่เร้าใจ”
“ต้องบอกด้วยว่าไม่เร้าใจในสายตาเธอ อย่างอีตาสมโภชญ์ที่จ๊ะเพิ่งเหวี่ยงทิ้งให้หน้าตาหดหู่
เหมือนตัวตุ๊กตุ่นนั่นน่ะ สาวๆกรี๊ดกันจะตาย คนเรามีดีมากไปก็เป็นทุกข์เรื่องคู่ได้ง่ายๆเหมือนกันนะ น่า
กลุ้มแทน สมมุติว่าจ๊ะเจอคนที่จ๊ะรักได้ อยู่กันได้ยืดๆ ซึ่งเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรอยู่แล้ว แต่มีอันต้อง
แคล้วคลาดกัน จ๊ะจะเจอเข็มเล่มที่สอง สาม สี่ยังไงไหว”
“ก็คงต้องอยู่ตัวคนเดียว ฉันทำใจได้ ทุกวันนี้แม้แต่เพื่อนผู้หญิงก็ใช่ว่าสนิทอะไร อิจฉาตา
ร้อนกันเรื่อย นี่เพิ่งมีเรื่องระหองระแหง มึนตึงกันเพราะหาว่าฉันไปแย่งแฟนมัน จ๊ะอยู่ของจ๊ะดีๆ ดันมาว่าเรา
พูดแล้วยังโมโหไม่หาย นึกถึงตอนมันมาตู่ๆๆแล้วอยากตบซักฉาด”
หญิงสาวพูดแบบระบายอารมณ์ นนทกานต์ย่นคิ้วฉงน
“หมายถึง ”
“อีเอ๋ยนั่นแหละ”
เพื่อนหนุ่มแปลกใจ เพราะรู้จักฝ่ายนั้นดีว่าสนิทสนมกลมเกลียวกับลานดาวเพียงใด สะสวย
ไล่เลี่ยกันเสียด้วย ถ้าต้องทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่องผู้ชายคงสะท้อนหลายอย่าง เป็นต้นว่าความสวยไร้
ความหมาย หากผู้ชายสนใจใคร คนนั้นก็คว้าชัยในความมีเสน่ห์แรงไปครองเขาฟังหูไว้หูในเรื่องแย่งแฟน ด้วยเคยเห็นมาบ่อย คือบางทีลานดาวไม่มีเจตนา แต่เล่นหูเล่นตา
โปรยยิ้มบาดใจไปตามนิสัยชอบยั่วให้หลงเสียอย่างนั้น หล่อนทำนิดเดียวแต่มีผลมากเสมอ หากเป็นเหตุให้
เกิดความเข้าใจผิดว่านั่นคือการทอดสะพานก็หาใช่เรื่องน่ากล่าวโทษฝ่ายชายเสียทั้งหมด
แต่ไม่เลวนักหรอก หล่อนเปรยหลายหนแล้วว่ามีเพื่อนผู้หญิงนั้นจุกจิกน่ารำคาญ ถ้านั่น
หมายความว่าเป็นช่องทางให้เขาก้าวเข้ามาสนิทสนม จะแบบเพื่อนหรืออะไรก็ตามที นับว่าเป็นความพอใจ
ของเขายิ่งนักแล้ว
“ตกลงความสวยนี่เป็นบุญหรือเป็นเวรกรรมส่งสาปกันแน่ก็ไม่รู้เนอะ โจ๊กไม่เห็นจ๊ะเป็นสุขสัก
เรื่อง แฟนก็หาไม่ได้ เพื่อนสนิทมีก็ทะเลาะกัน ล้วนแต่เพราะสวยเกินเหตุทั้งนั้น”
“เรื่องบาปบุญกรรมเวรนี่เราจะเชื่อได้ยังไงล่ะ ว่ามันมีหรือไม่มี”
“ถ้าไม่มีมันก็น่าแปลกอยู่นะ คิดดูซี คนเราได้รับความอยุติธรรมมาแบบฟลุกๆงั้นหรือ บางคน
จนกรอบชนิดต้องนอนใต้สะพานลอย บางคนหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ขนาดอยากเอาปี๊บคลุมหัว บางคนเป็นที่รวม
ของความอัตคัดทุกชนิด ทั้งเงินทอง รูปโฉม สติปัญญา เข้าไหนก็น่ารังเกียจนั่น ต่างจากบางคนที่ทั้งรวย ทั้ง
รูปร่างหน้าตาหมดจด ทั้งฉลาดจ๋ามาแต่อ้อนแต่ออก ใครเห็นใครก็รัก จ๊ะว่าความแตกต่างของคนเราถูก
กำหนดด้วยเหตุเดียวคือความบังเอิญหรือ?”
“แหม! พูดลำบากนะคะ เพราะคุณสมบัติอันเพียบพร้อมในช่วงท้ายเหมือนโจ๊กจงใจชมจ๊ะ ถ้า
ให้ตอบตามตรงก็เท่ากับชมตัวเอง ”
ลานดาวพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน ประสานมือบิดไปบิดมาเล็กน้อยคล้ายเก้อเขินเอียงอาย
เหลือเกิน นนทกานต์อดหัวเราะไม่ได้
“จ๊ะ ถ้าเธอไม่อยากให้เราหรือใครๆลุ่มหลง ทำไมถึงชอบพูดจา ทำท่าน่ารักเหมือนหว่าน
เสน่ห์อย่างนี้อยู่เรื่อย?”
“อุ๊ย! เปล่านะคะ” ลานดาวทำตาโต “อันนี้ติดตัวมาแต่กำเนิด เป็นคุณสมบัติสามัญของสาวน้อย
ผู้แสนจะซื่อคนหนึ่ง ให้ช่วยยังไงดีล่ะ?”
“อือม์ โจ๊กรู้จักคนสวยบางคนที่สงบเสงี่ยม หลีกเลี่ยงจะเอาบ่วงเสน่ห์ไปคล้องใจใครแบบ
เอาเป็นเอาตาย แต่บางคนอย่างจ๊ะก็เหมือนทนไม่ได้ถ้าไม่มีใครมารักมาหลง ดูแล้วเป็นการตัดสินใจเลือก
มากกว่าเป็นคุณสมบัติติดตัวแต่กำเนิดนะ และโจ๊กว่าการตัดสินใจเลือกนั่นแหละคือกรรม ทุกคนจะต้อง
ได้รับผลของการเลือกแบบหนึ่งๆเสมอ”
ลานดาวเชิดหน้าหยิ่ง
“แต่ถ้าคิดว่าทุกความแตกต่างเกิดจากกรรม ถูกจำแนกด้วยกรรม บางทีก็น่าตั้งคำถามนะ ต้นไม้
ใบหญ้าที่มันไม่มีชีวิตจิตใจก็หลากสีหลายพันธุ์ ธรรมชาติความหลากหลายของพวกมันมาจากไหนล่ะ พวก
มันไปทำกรรมอะไรไว้?”
เจอคำถามนี้ คนไม่รู้คำตอบก็นิ่งบื้อไป
“ว่าไง?”
ลานดาวถามจี้ นนทกานต์ตอบเสียงอ่อย
“เดี๋ยวลองถามหมอดูสิ”
หญิงสาวยิ้มเยาะ
“คนเราส่วนใหญ่เชื่อเพราะคิด ไม่ใช่เชื่อเพราะรู้ อย่างเธอเนี่ยนะ แก่ตัวลงหัวล้านแหงๆ
หน้าผากเถิกขนาดนี้ พอถึงเวลาหัวล้านขึ้นมาค่อยคิดโทษกรรมโทษเวร คราวนี้หัวล้านเพราะอะไรดีล่ะ เมื่อ
ชาติก่อนเคยตีหัวนกตะกรุม หรือเคยด่านกตะกรุมให้น้อยเนื้อต่ำใจ?”
นนทกานต์หัวเราะออกมาอีก เริ่มสังเกตว่าอารมณ์ขันและความคิดพิสดารของลานดาวเป็น
เสน่ห์น่าลุ่มหลงอีกชนิดหนึ่งที่สาวสวยส่วนใหญ่ไม่ค่อยมี ทุกครั้งที่เขาหัวเราะเพราะคำพูดของหล่อน เขาจะ
มีอาการเคลิ้มหลงรัญจวน อยากถลาเข้าไปกอด อยากสารภาพว่ารักๆๆใจแทบขาดเสมอ
“จ๊ะนี่ทำให้คนหลงรักได้ด้วยอาวุธรอบตัวเลยนะ แค่คำพูดก็ยิงโดนใจบ่อยแล้ว”
ชายหนุ่มเปรยแบบขี้เกียจทนอัดอั้นคาอก ขณะนั้นเขาต้องหยุดรถที่สี่แยกไฟแดงในตำแหน่ง
คันหน้าสุด จึงเท้าศอกกับประตูในท่ากุมขมับน้อยๆด้วยความสังเวชใจตนเอง
“นี่แปลว่ากำลังจะหลงอีกเหรอ งั้นทำให้ขายหน้าดีไหม เธอจะได้เกลียดฉัน”
ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปกดแตรปี๊นๆ แต่เสหันไปทางอื่น ทำหลับตาไม่รู้ไม่ชี้ เป็นเหตุให้ผู้หญิงที่
นั่งซ้อนหลังมอเตอร์ไซค์ข้างหน้าหันมาใช้หางตาขุ่นเคืองชำเลืองแลนนทกานต์ ตามธรรมดาของคนโดน
เสียงดังกระทบโสต ที่คิดว่าคนขับนั่นเองเป็นผู้กด
พอรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร ตนเองเจอยัดเยียดความผิดเข้าให้แล้ว ชายหนุ่มก็กระตุกยิ้มโบกมือ
ให้สาวมอเตอร์ไซค์ทีหนึ่ง ไม่มีทางอื่นนอกจากรับหน้าไป พอประมาณว่าขอโทษที่เผลอโดนแตรให้หล่อนตกใจ
สาวมอเตอร์ไซค์หันหน้ากลับแบบทิ้งค้อนหนึ่งวง ซึ่งเรื่องคงจบแบบเงียบๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมี
มือดียื่นมากดแตรซ้ำอีกปี๊นใหญ่ นนทกานต์ทำหน้าเหวอร้องฮึ้ยดังๆ เพราะคราวนี้นอกจากสาวซ้อนหลัง
แล้ว พี่เบิ้มเจ้าของเบาะคนขี่ยังหันมาเพ่งจ้องด้วยความไม่พอใจอีกรายหันมองลานดาวก็เห็นทำหน้าตายหลับตาเฉย คอพับคออ่อนเหมือนสลบไสลไม่ได้สติ ตลกร้าย
ของหล่อนอาจทำให้เขาเลือดกบปากเสียคราวนี้ สาวบนหลังมอเตอร์ไซค์คงนึกว่าเขาบีบแตรเรียกหล่อนด้วย
ความอยากรู้อยากเห็นว่าหันมาจะสวยแบบมองหลังหรือเปล่า พอเห็นว่าสวยดีเลยเรียกอีก ซึ่งนั่นไม่เหมาะ
เลยถ้าพี่เบิ้มพลอยเข้าใจตามไปด้วย
นนทกานต์แยกเขี้ยวยิ้มเหย คราวนี้ยกสองมือและทำหัวผงกขึ้นลง หวังว่าทั้งสองคงไม่เห็นว่า
หน้าตาดีๆอย่างเขาเป็นพวกคิดสั้น เล่นเป็นเด็กปัญญาอ่อนขนาดนั้น อยากเผยความจริงด้วยการเอานิ้วชี้จิ้มๆ
ไปทางด้านซ้าย เป็นสัญญาณชี้บอกว่าตัวแสบที่แท้คือใคร แต่ก็จนด้วยเกล้า จำต้องรับสถานการณ์ถูกคุกคาม
ด้วยสายตาตามลำพัง เนื่องจากแม่ตัวดีไก๋หลับไปอย่างนั้น
หนุ่มมอเตอร์ไซค์ทำท่าชั่งใจว่าจะเอายังไงดี กระซิบกระซาบกับสาวซ้อนหลังแล้วในที่สุดก็
ตัดสินใจขี้เกียจเอาเรื่องให้เสียเวลาทำมาหากิน แค่ขมุบขมิบปากฝากข้อความคล้ายเรียกเขาว่า ‘เฮีย’ หรือ
อะไรทำนองนั้น แล้วหันกลับด้วยกระแสความขุ่นใจชัดเจน
นนทกานต์ถอนใจโล่งอก รอจนไฟเขียวแล้วค่อยๆเคลื่อนรถออกจากที่แบบรอทิ้งห่างจาก
มอเตอร์ไซค์ข้างหน้าระยะหนึ่งด้วยความเกร็งตกค้าง
เป็นอีกครั้งที่ลานดาวเล่นบ้าๆ ร้ายกว่านั้นคือเขาไม่รู้ว่าปฏิกิริยาทางใจของตนเป็นอย่างไรแน่
แปลกที่เคืองหล่อนเพียงนิดเดียว แต่กระเดียดไปทางเห็นขำ ทั้งที่มันล่อแหลมกับการถูกอัดกลางถนนแท้ๆ
“นี่คือวิธีห้ามไม่ให้ฉันเผลอไปหลงเธอ?”
“ใช่ นี่คือสัญญาณเตือนว่าถ้าเธอได้ฉันเป็นแฟนจะปวดหัวกว่านี้”หล่อนตอบทั้งหลับตายิ้มเย้ย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น