fanfic the untamed ปรมาจาร์เทพทรู
"ต่อให้ความถูกต้องจะเป็นอย่างไร แต่ข้าก็ยังยืนยันจะปกป้องคนที่ข้ารักจนกว่าชีพจะหาไม่...ข้ารักเวินฉิงเจ้าค่ะ!!"
ผู้เข้าชมรวม
460
ผู้เข้าชมเดือนนี้
12
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
(ปล.นิยายเรื่องนี้เกิดจากการมโน จับตำรานู้นผสมตำรานี้ และเนื้อเรื่องส่วนใหญ่ยึดตามซีรีย์นะเจ้าคะ~)
#อัปทุกๆวันหยุดสุดสัปดาห์ค่ะ ไม่เสาร์ก็อาทิตย์
ยามบ่ายของวันเสาร์ ภายในเรือนจำมีแสงแดดสว่างจ้า ผีเสื้อหลายชนิดบินดอมดมดอกไม้ในสวนหย่อมหน้าอาคาร ผิดกับบรรยากาศภายใน...ที่แสนจะหดหู่
"ฮึก!..ฉันจะหาตัวคนที่ใส่ร้ายผู้กองมาลงโทษให้ได้" หมวดสาวหน้าตาสวยหวาน ร้องไห้จนใหล่บอบบางของเธอไหวโยนไปตามแรงสะอื้น เธอเชื่อใจเขา และไม่มีทางคิดว่าเขาจะทำผิดร้ายแรงแบบนี้จริงๆ
"ไม่มีใครใส่ร้ายผมทั้งนั้น" ชายหนุ่มร่างสูงค่อนข้างล่ำ ยื่นมือออกนอกลูกกรง ประคองสองมือของหมวดอ้อนมากุมไว้
เขาคือผู้กองมือใหม่ ที่ถูกขนานนามว่าเทพทรู เพราะฝีมือเก่งกาจ มีคุณธรรม และรูปร่างหน้าตาที่สูงส่งราวกับเทวดา
มือของหญิงสาวสั่นเทาจนเขาต้องกระชับเอาไว้แน่นขึ้น เขายังยืนยันคำเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แม้กระทั่งสาบานว่าพูดความจริงก็เคยทำมาแล้ว
"แล้วน้องชายคุณล่ะ เขาจะปล่อยคุณให้ตายอย่างไร้เกียจแบบนี่ได้ลงคอเหรอ" ภาพของชายหนุ่มตรงหน้าพร่าเบลออยู่ภายใต้ม่านน้ำตา แม้เขาจะสวมชุดนักโทษ แต่ก็ไม่อาจลดทอนความสง่างามของผู้กองวายุลงได้
"...ปล่อยให้เขาไปตามทางของเขาเถอะ" ผู้กองวายุหลับตาลง ข่มกลั้นความอาลัยอาวรเอาไว้ ชีวิตของเขายินดีที่จะแลกเพื่อน้องชายอยู่แล้ว ไหนๆก็เหลือกันแค่สองคน ถ้ามีคนหนึ่งต้องไป เขาขอเป็นคนคนนั้นเอง
"ฉันปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไม่ได้--" เสียงหวานคร่ำครวญออกมา คิ้วเรียวงามขมวดแน่นอย่างเจ็บปวด เธอจะไม่ยอมเสียเขาไปแบบนี้หรอก
"หมวดอ้อน อย่าร้องไห้สิ" มือของชายหนุ่มนาบลงที่กรอบหน้าเรียวเล็ก บรรจงเช็ดน้ำตาที่เปียกข้างแก้มนวลออกอย่างทนุถนอม "ถ้ามัวแต่ร้องไห้อยู่แบบนี้ วิญญาณของผมคงไปไหนไม่ได้"
"เป็นห่วงก็บอกมาเถอะ" เธอแซวเขาถึงแม้จะร้องไห้อยู่ก็ตาม
"อืม ผมเป็นห่วง" น้ำตาของหญิงสาวคล้ายใบมีดคมกรีดลึกเข้าไปในใจเขา ผู้กองวายุฝืนยิ้มออกมาบางๆ
"ฉันขอโทษนะ ที่ช่วยคุณไม่ได้เลย" หมวดอ้อนกุมมือที่แนบอยู่ข้างแก้มของตน น้ำตาเม็ดโตร่วงออกมาจากดวงตาคู่งามอีกครั้ง
"อย่าโทษตัวเองสิครับ ตอนนี้ใครก็ช่วยผมไม่ได้ทั้งนั้นแหละ" ผู้กองวายุพยายามเอ่ยปลอบใจเธอ
"ฉันสัญญา ฉันจะมีแค่คุณคนเดียวตลอดชีวิต" หลังจากเธอพูดประโยคนั้น นิ้วชี้ของเขาก็แนบที่ริมฝีปากรูปกระจับบางสวย
"ผมอยากให้คุณได้เจอคนดีๆ มีคนมาดูแล ฉะนั้นอย่าสัญญาอะไรที่ไม่เป็นประโยช์นกับตัวเองเลยนะ" ผู้กองวายุส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม
"แต่คุณจะยอมได้เหรอ ตอนจ่าเชนเล่นมุขใส่ฉันก็หึงจะเป็นจะตาย" เธอดึงมือเขาออกก่อนจะก้มหน้าก้มตาพูดเสียงอ้อมแอ้ม
"นั่นมันตอนที่ผมมั่นใจว่าดูแลคุณได้ไง แต่ตอนนี้ ผมจะไม่อยู่แล้ว ผมก็เลยอยากให้คุณมีชีวิตที่ดีกว่านี้"
"หมดเวลาแล้วครับ" เสียงผู้คุมเรียกขึ้น ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามา แต่เมื่อเดินเข้ามาแล้วก็ยืนเก้ๆกังๆ เพราะไม่กล้าดึงตัวชายหนุ่มออกไปเหมือนที่เคยทำกับนักโทษคนอื่น
ผู้กองวายุเบี่ยงหน้ามามองผู้คุมที่อายุอ่อนกว่าด้วยความสงบ แสงจากภายนอกกระทบที่โครงหน้าคมสัน ทำให้ผิวขาวเนียนของชายหนุ่มสว่างขึ้นราวกับไม่ใช่มนุษย์ ผู้คุมร่างเล็กชะงักค้างไป
"ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งนะคะผู้กอง..." หมวดอ้อนปาดน้ำตา ฝืนยิ้มส่งเขาเป็นครั้งสุดท้าย
"...ผมรักคุณ" ชายหนุ่มอยากจะดึงเธอเข้ามากอดเหลือเกิน แต่คงทำได้แค่นี้จริงๆ เขาจำต้องเดินออกจากห้องเยี่ยมผู้ต้องขังไป โดยที่ผู้คุมเดินตามต้อยๆ
อดีตผู้กองไฟแรงถูกพาไปทำนั่นทำนี่นิดหน่อยพอเป็นพิธี ก่อนจะเข้าสู้ห้องประหาร
ร่างกายสูงโปร่งที่แม้จะใส่ชุดนักโทษก็ยังดูสูงส่งถูกรัดเข็มขัดติดกับเตียงในห้องฉีดสารพิษ หมอที่มาด้วยต้องทำใจสักพักก่อนจะค่อยๆทิ่มเข็มต่อสายน้ำเกลือที่เส้นเลือดใหญ่บนหลังมือเขา
วายุมองไปรอบห้อง เป็นเพียงห้องสีขาวธรรมดา ที่มีนักโทษจบชีวิตลงกี่ชีวิตมิทราบได้ หน้าต่างกระจกทึบ มองเห็นได้แค่จากด้านนอกเท่านั้น เสียงเครื่องจับการเต้นของหัวใจดังอยู่ข้างเตียงเป็นระยะ ทำให้จิตใจของเขาห่อเหี่ยวอย่างน่าประหลาด
หลังจากที่ธงสีแดงโบกสะบัด สารตัวแรกก็ถูกปล่อยเข้าไปในสายน้ำเกลือ สักพัก เปลือกตาของชายหนุ่มก็หนักอึ้ง เมื่อฝืนไว้ไม่ได้อีก ก็จำต้องหลับตาลง พร้อมหยดน้ำสีใสที่ไหลออกจากดวงตาคมกล้า..จบสิ้นสักที
หลังจากที่วายุจมลงไปในห้วงนิทรา สารคลายกล้ามเนื้อก็ถูกฉีดตามมาอีก ในหัวเขาเต็มไปด้วยภาพความทรงจำไหลย้อนกลับเป็นฉากๆ ทั้งคนรัก คนเกลียด ความฝัน ความรู้สึกต่างๆ ไหลบ่าเข้ามาในหัวของเขาราวกับน้ำเชี่ยวกราด
เสียงสัญญาณชีพจรที่ได้ยินข้างหูค่อยๆเบาลง ราวกับเขาได้เดินทางออกห่างต้นเสียงไปไกลแสนไกล ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือ เขารับผิดแทนน้องชาย ในโทษฐานฆ่าแม่ตัวเอง แล้วน้องชายของเขาก็ไม่กลับมาหาเขาอีกเลย
สารตัวสุดท้ายยังไม่ทันปล่อย เสียงสัญญาณชีพจรก็ลากยาวน่าใจหาย ทำให้ทุกๆคนรู้ว่า บุคคลผู้งดงามราวภาพวาดได้สิ้นชีวิตลงอย่างง่ายดายยิ่งนัก
หลังจากความพยายามอย่างหนักหน่วง แพขนตาหนาของชายหนุ่มก็ยกขึ้นมา เผยให้เห็นภาพตรงหน้าอย่างชัดเจน
"นี่มัน..." วายุมองสิ่งที่เห็นอย่างตกตะลึง ร่างของเขานอนแน่นิ่งอยู่เบื้องหน้า บรรดาผู้ช่วยทั้งหลายเดินเข้ามาในห้อง และทำการขอขมาชายที่นอนอยู่บนเตียง ซึ่งดูเหมือนคนที่หลับอยู่มากกว่าคนตาย
เขายกแขนของตนขึ้นมามอง มันโปร่งแสงอย่างเห็นได้ชัด และมือของเขาสามารถทะลุผ่านสิ่งต่างๆได้ด้วย
"ตามข้ามา" เสียงของชายอีกคนเรียกอย่างเรียบนิ่ง วายุหันไปตามต้นเสียง เห็นชายใส่สูทสีดำ เสยผมขึ้น หน้าตาคมดุ ผิวขาวซีดราวกับไม่เคยต้องแสงแดด ยืนกุมมืออยู่ที่มุมห้อง
"ครับ..." ไม่รู้อะไรดนใจให้เขายอมเชื่อฟังบุรุษผู้นั้นง่ายเหลือเกิน
แล้วชายร่างโปร่งแสงทั้งสองก็เดินทะลุกำแพงห้องไป
มารู้ตัวอีกที พวกเขาก็ยืนอยู่ที่ถนนเส้นหนึ่งพื้นเป็นสีขาวผิวเรียบ ไม่อาจระบุได้ว่าทำมาจากอะไร ถนนถูกขนาบข้างด้วยกำแพงไกลสุดลูกหูลูกตาและสูงจนดูเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด
วายุมองสถานที่ตรงหน้าอย่างประหลาดใจ ในกำแพงฝั่งขวาปรากฏสถานที่อันรื่นรม งดงาม และเหล่าผู้คนที่ดูเป็นมิตรเดินทักทายกัน บ้างก็เต้นรำ บ้างก็เล่นดนตรี
ในกำแพงฝั่งตรงข้ามมีแต่ความมืดหม่น หุบเขา ไฟ หมาป่าที่ดูน่ากลัว พวกคนไม่ใส่เสื้อผ้าโดนผู้คุมกระทำการทารุณอย่างไร้มนุษยธรรม
"ที่นี่คือที่คั่นแดนนรกกับแดนสวรรค์ เจ้าทำบุญและกรรมมาเท่ากัน ได้รับโอกาสให้เลือกว่าจะเสวยสุขหรือทุกข์ก่อน แต่เจ้าจะได้รับการชดใช้ทั้งกรรมดีและกรรมชั่วแน่นอน" บุรุษชุดดำข้างกายที่คาดว่าน่าจะเป็นยมทูตเอ่ยเสียงราบเรียบราวกับพูดคำนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งเจ้าตัวก็ยังยืนกุมมืออย่างสำรวมเช่นเดิม
"....ขอเวลาให้ผมคิดสักหน่อยได้ไหม" วายุเกิดความลังเลระหว่างทั้งสองฝั่ง เขากลัวที่จะต้องถูกทารุณกรรมแบบนี้ แต่ถ้าเขาเลือกสวรรค์ พอหมดวาระแล้วก็ต้องมาชดใช้กรรมอยู่ดี
"หากเจ้าคิดได้ก็จงเดินไปเองเถิด ข้าขอตัว" หลังจากพูดจบ ร่างของชายหน้าดุก็ค่อยๆเลือนหายไป
"ขอบคุณครับ" วายุได้แต่เอ่ยขอบคุณกับอากาศ เขามองไปที่กำแพงทั้งสองฝั่งอีกครั้ง ตัดสินใจจะเลือกนรกก่อน เพราะเวลาไปชดใช้กุศลกรรมบนสวรรค์จะได้ไม่พะวงเรื่องการลงทันฑ์
แต่ก่อนที่จะก้าวขาเข้าไปในกำแพงฝั่งซ้าย ชายหนุ่มกลับชะงัก แล้วมองไปที่ถนนเบื้องหน้า
"ถ้าเราเดินไปเรื่อยๆจะเจอกับอะไรนะ?" คนตัวสูงพึมพำ ก่อนที่สองเท้าของเขาจะหันออกจากกำแพง แล้วก้าวตรงไปเรื่อยๆ
ตลอดสองข้างทาง วายุได้เห็นถึงวิถีชีวิตของนรกและสวรรค์ เขาคิดมาตลอดว่าหนึ่งวันนรกเท่ากับหลายล้านปีของมนุษย์ ทุกสิ่งทุกอย่างในนรกคงเป็นสโลว์โมชั่นหมดแน่ๆ
แต่จริงๆแล้วมันไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อเห็นกับตาจึงรู้ว่าความเร็วของนรกก็ปกติ เพียงแต่มีวันที่ยาวนานเฉยๆ และการลงโทษที่ทรมาณแสนสาหัสก็สามารถทำให้สัตว์นรกรู้สึกเจ็บปวดราวกับเวลามันผ่านไปชั่วกัปชั่วกัลป์
น่าแปลกที่ยิ่งเดินไปมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งกระหายน้ำมากขึ้นเท่านั้น บนทางเดินที่ยาวไกลเหมือนไม่มีปลายทาง ทำให้ชายหนุ่มเริ่มจะถอดใจ คิดว่านี่เป็นเพียงหนทางสำหรับช่วยในการตัดสินใจก็เท่านั้น เหมือนการเดินชมสินค้าว่าจะเลือกชิ้นไหน
ก่อนที่เขาจะกระหายจนเดินต่อไปไม่ไหว ก็ปรากฏกำแพงใหญ่สูงตระหง่านปิดหนทางอยู่ไกลลิบ วายุรู้ได้ทันทีว่านั่นคือจุดสิ้นสุด เขาเดินกึ่งวิ่งเพื่อจะไปดูมันใกล้ๆ
เมื่อใกล้พอจะเห็นได้ชัดถนัดตา เขาพบเด็กสาวผมสีทองยืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่ เมื่อเดินเข้าไปจนถึงจุดที่เธอยืนอยู่ ก็พบว่าเธอเป็นเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม ดวงตาสีมรกต สวมเดรสผ้าไหมแขนกระบอกเท่าศอกกระโปรงยาวเท่าเข่า เป็นสีขาวเรียบๆทั้งชุด ผิวขาวนวลราวแสงจันทร์ขับให้เธอดูงดงามราวเทพธิดาตัวน้อย เธอยืนกุมมืออย่างสำรวมเหมือนกับยมทูตคนนั้น
"ท่านมีนามว่าอะไรเจ้าคะ" เสียงใสปานกระดิ่งแก้วเอ่ยถาม รอยยิ้มบางเบาแต่งแต้มบนใบหน้ากลมเล็กอย่างเป็นมิตร
"วายุครับ ชื่อเล่นชื่อวิน" เขาบอกชื่อของตนไปอย่างสุภาพ เพราะถึงแม้ว่าเธอจะมีร่างเป็นเด็กสาว แต่เขารู้ดีว่าดวงจิตของเธอสูงกว่าแน่นอน
"ข้าชื่ออรินทร์ฤดี เป็นผู้เฝ้าประตูเจ้าค่ะ" เธอแนะนำตัวบ้าง แล้วก็พูดต่อ
"คุณวิน โชคชะตานำพาคุณมาที่นี่ ครั้งนี้คุณไพโรจน์คงพาคุณมาใกล้กว่าปกตินะเจ้าคะ และคุณก็เลือกจะเดินมาทางนี้เสียด้วย" อรินทร์ฤดีเรียกชื่อยมทูตคนนั้น คนตัวสูงกว่าแอบคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่น่าจะพลาดกันได้ถ้าเป็นเทพ หรือยมทูตที่ชื่อไพโรจน์จะมีจุดประสงค์ให้เราได้เจอกัน?
"เขาเป็นผู้ชี้ทางเจ้าค่ะ ถ้าเป็นยมทูตจะพาท่านไปแดนยมโลกทันที" ดูเหมือนเธอจะรู้ในสิ่งที่เขาคิด
"..แล้วที่นี่คือที่ไหนครับ" วายุเอ่ยถาม มองประตูสีดำด้านหลัง พบว่ามันเป็นเพียงกรอบประตู สีดำคือพลังงานที่อยู่หลังกรอบประตูนั่น มันลอยปริ่มอยู่ที่กรอบประตูคล้ายน้ำหมึกในอวกาศที่ถูกกักพื้นที่แค่เพียงในนั้น
"สุดเขตมิติเจ้าค่ะ" คำตอบของเธอทำให้เขาประหลาดใจหนักมาก แต่ยังไม่ทันถามเธอก็ตอบเสียแล้ว
"มิติมีหลายมิติ ลอยวนอยู่ใน*พรหมัน มิติที่เราอยู่ก็เป็นหนึ่งในนั้น ประตูนี้คือทางเชื่อมไปมิติอื่น สำหรับผู้ที่อยากชดใช้กรรมในโลกมนุษย์ และอยากสะสมกรรมดีกรรมชั่วเพื่อเป็นตัวตัดสินอีกครั้ง" เด็กสาวอธิบายอย่างฉะฉาน เขาเพียงแค่ฟัง ส่วนคำถามในใจ เธอจะตอบต่อให้
(อ่านว่าพรม-มัน)
"พรหมัน คือแกนกลางจักรวาล ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดสิ้นสุด มีแต่การคงอยู่ วัฏสงสารเกิดขึ้นในพรหมันเจ้าค่ะ" อรินทร์ฤดีอธิบายต่อ
"แล้วคุณวิน อยากชดใช้กรรมในรูปแบบนี้หรือไม่เจ้าคะ" ในที่สุดเธอก็ถามเขาอีกรอบ ได้การพยักหน้าเป็นคำตอบกลับมา
"มิติจะเลือกดวงจิตเอง คุณวินจะได้ไปอยู่ในมิติที่เหมาะสมที่สุด เชิญดื่มเจ้าค่ะ" อรินทร์ฤดีเสกขวดทรงน้ำเต้าทำจากกระเบื้องสีขาวมายื่นให้วายุ เขามองขวดในมืออย่างสงสัย
"ข้าเรียกมันว่าน้ำล้างสมองเจ้าค่ะ ดื่มน้อยลืมความหลัง ดื่มมากลืมตัวตน แต่ทุกคนต้องดื่มถึงจะผ่านไปได้นะเจ้าคะ"
วายุยกขึ้นจิบเพียงเล็กน้อย แม้จะกระหายน้ำมากก็ตาม เพราะเขาเดาออกว่าอาการกระหายน้ำนี้เป็นกลอุบายให้ดื่มน้ำล้างสมองเข้าไปเยอะๆ
ทันทีที่สารละลายปริศนาสัมผัสลิ้น รสชาติมันหอมหวานมีกลิ่นคล้ายเหล้าหมักที่ไม่รู้ว่าหมักจากอะไร ร้อนรุ่มไปทั้งคอจนเขาไม่คิดจะจิบต่อ ชายหนุ่มจึงยื่นขวดนั้นคืนให้เด็กสาวร่างเล็ก
"ขอให้พระคุ้มครองนะเจ้าคะ" เธอรับขวดแล้วหลีกทางให้เขาเข้าประตูหมึกยึกยึ๋ยนั่น
"ขอบคุณครับ" วายุโค้งหัวให้อรินทร์ฤดี ก่อนจะหลับตา แล้วเดินเข้าไปในประตู
ความมืดมิดดั่งสีของจักรวาลค่อยๆดูดกลืนดวงจิตโปร่งแสงของชายหนุ่ม คล้ายว่าเขาจุ่มตัวลงไปในน้ำ จนในที่สุดกายละเอียดของเขาก็จมเข้าไปจนหมด
#จบตอน
แบบผสมปรัชญาอินเดียนิสสสนึงค่ะ
หมวดอ้อน
ผู้กองวายุ
ผลงานอื่นๆ ของ mobie lenlom ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ mobie lenlom
ความคิดเห็น