คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ความตาย
ช่วงเช้าของวันที่สองหลังจากที่เมลฟีน่าถูกพามาถึงเมืองโคโลเวน มันเป็นยามเช้าที่อากาศแจ่มใส แสงแดดไม่แรงมากนักเหมาะแก่การเดินเล่นเป็นอย่างมาก ฟาบริโอกับทหารคุ้มกันอีกสี่คนเดินตามเจ้าหญิงผมทองผู้เอาแต่ใจตัวเองไปตามท้องถนนของตลาดใจกลางเมืองโคโลเวน� ฟาบริโออยู่ในเสื้อสีขาวที่ทำจากผ้าลินิน กางเกงเองก็เช่นกันแต่ย้อมสีดำโดยที่เขาสวมเสื้อโค้ทสีดำคลุมตัวอีกชั้นหนึ่ง ในขณะที่ทหารคุ้มกันสวมเพียงเสื้อเกราะนวมกับหมวกเหล็กเท่านั้น ส่วนตัวเมลฟีน่าเองก็สวมเสื้อลินินสีน้ำตาลกับกางเกงสีดำแล้วทับด้วยผ้าคลุมยาวที่มีฮู้ด ดูแล้วเหมือนผู้ชายมากกว่า ซึ่งทั้งนูรีนกับฟาบริโอต่างก็เตือนให้เธอสวมเสื้อผ้าที่ดูสมเป็นผู้หญิงกว่านี้แต่เธอก็ไม่ฟัง
เมลฟีน่าเดินดูสินค้ามากมายที่วางขายอยู่ด้วยความสนใจอย่างยิ่ง เธอไม่เคยเข้ามาในตลาดที่ใหญ่โตแบบนี้มาก่อน แล้วก็คิดเอาไว้ตั้งแต่เห็นที่นี่ตอนที่เข้าเมืองมาแล้วว่าจะต้องลองมาเดินให้ได้ เธอจึงไปขอร้องฟาบริโอในตอนทานอาหารเช้าแต่เธอก็ไม่ได้รับอนุญาตแต่มีหรือที่เมลฟีน่าจะยอมแต่โดยดี เธอโวยวายและอ้อนวอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งๆที่อยู่ในเวลาอาหารซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่สมควรกระทำเลย เธอจึงโดนเมกิดโด้ไล่ตะเพิดออกมาจนได้พร้อมกับให้ฟาบริโอมาคอยติดตาม
“โห......นี่อะไรเนี่ย? มีแต่ของที่ไม่เคยเห็นทั้งนั้นเลย!” เมลฟีน่าพูดด้วยความตื่นเต้นเมื่อเธอเดินมาถึงร้านแห่งหนึ่งซึ่งมีแต่ของแปลกๆที่เธอไม่เคยเห็น เช่นผ้าที่เป็นมันเงาหรือพรมที่ถักทอด้วยลวดลายสวยงามและซับซ้อนที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมาในชีวิต
“ของพวกนี้เป็นสินค้าจากซัรฮานีเพคะ” นูรีนอธิบาย “แต่พ่อค้าชาวซัรฮานีไม่ได้รับอนุญาตให้ค้าขายในดินแดนโรมานอฟเพราะฉะนั้นร้านนี้คงเป็นของพ่อค้าชาวโรมานอฟที่เดินทางไปค้าขายที่ซัรฮานี”
“อ้าว แล้วชาวโรมานอฟค้าขายในซัรฮานีได้เหรอ?” เมลฟีน่าถามด้วยความสงสัย
“ได้เพคะ จักรวรรดิซัรฮานีให้เสรีภาพแก่ผู้ที่เข้าไปอย่างสันติทุกคนเพคะ”
“แล้วทำไมชาวซัรฮานีถึงค้าขายในโรมานอฟไม่ได้ล่ะ?” ไม่ว่านูรีนจะอธิบายยังไงเมลฟีน่าก็ไม่เข้าใจอยู่ดีจนเธอไม่รู้จะตอบยังไง ฟาบริโอจึงพูดออกมาแทน
“เพราะสงครามศักดิ์สิทธิ์เมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อนพะย่ะค่ะ”
“สงครามศักดิ์สิทธิ์.......อะไรอ่ะ?” เมลฟีน่าเดินเข้ามาฟังฟาบริโอใกล้ๆด้วยความสนใจ เขาจึงเริ่มเล่าต่อ
“เมืองศักดิ์สิทธิ์ของชาวซารานี มีชื่อว่านครอัล-กุดร์ เป็นเมืองใหญ่ที่สุดทางตะวันตกสุดของจักรวรรดิซัรฮานี�ตั้งอยู่ห่างจากเมืองนี้ลงไปทางใต้ใช้เวลาขี่ม้าประมาณ�10 วัน� เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนศาสนจักรสวาเดี่ยนของพวกเราชาวโรมานอฟมีมติว่าเราไม่ควรปล่อยให้ศาสนาใหม่ของพวกซัรฮานีนอกรีตทางตะวันออกเติบโตมากไปกว่านี้ จักรพรรดิจัสติเนี่ยนที่ 2 กับสังฆราชย์อินโนเซนต์จึงมีคำสั่งรวบรวมกองทัพศักดิ์สิทธิ์แห่งโรมานอฟเพื่อยึดเมืองศักดิ์สิทธิ์ของพวกซัรฮานี”
“กองทัพศักดิ์สิทธิ์ทำสำเร็จ พวกเรายึดเมืองอัล-กุดร์ได้ และใช้มันเป็นตัวต่อรองกับพวกซัรฮานี คือเราจะให้ชาวซารานีเข้ามาทำการแสวงบุญเหมือนแต่ก่อนได้ แต่ถ้าหากซัรฮานีรุกรานโรมานอฟเมื่อใด พวกเราจะจุดไฟเผาเมืองนั้นให้ราบ.......นับแต่นั้นมา ซัรฮานีก็ไม่เคยรุกรานเราอีกเลย”
“แต่กระนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะชนะ.......จักรพรรดิหลายพระองค์คิดว่าอัล-กุดร์จะเป็นตัวหมากที่ดีที่จะใช้รุกยึดดินแดนซัรฮานีเข้าไปอีก แต่มันไม่เป็นแบบนั้นน่ะสิพะย่ะค่ะ”
“ทำไมล่ะ?” เมลฟีน่าถามด้วยความตื่นเต้น อยากฟังต่อใจจะขาดแต่นูรีนก็พูดแทรกขึ้น
“เพราะว่าทะเลทรายแห่งซารานีไม่เคยปราณีผู้รุกรานเพคะ” ทั้งฟาบริโอและเมลฟีน่าหันไปมองเธอ มันเป็นการเสียมารยาทอย่างมากที่ทาสอย่างเธอพูดขัดเจ้านายขึ้นมา แต่เธอก็พูดด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในประเทศของเธอ
“แววตานั่น...........ไม่ค่อยสมกับเป็นทาสเลยนะ” ฟาบริโอพูด
“ขออภัยด้วยค่ะ” นูรีนตอบด้วยแววตาที่ยังคงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ฟาบริโอจึงพูดต่อ
“แต่ก็ถูกของเจ้า......กองทัพโรมานอฟไม่เคยไปได้ไกลกว่าอัล-กุดร์ สุดท้ายเราก็ทำได้แค่สร้างเสริมความแข็งแกร่งให้กับเมืองอัล-กุดร์ จนมันกลายเป็นเมืองป้อมปราการใหญ่ที่สุดทางตะวันออกของเรา”
เมลฟีน่ารู้สึกสับสน เธอไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องการเมือง เธอไม่เข้าใจว่าทำไมโรมานอฟจะต้องบุกโจมตีซัรฮานีตั้งแต่ตอนแรกด้วย แต่เธอก็ตัดสินใจที่จะไม่พูดออกไป แล้วพวกเขาก็เดินดูสินค้าต่างๆในตลาดต่อไปเรื่อยๆ พวกเขาเดินเข้ามาจนถึงเขตประตูเมืองด้านตะวันออกซึ่งทั้งผู้คนและร้านค้าเริ่มเบาบางลง พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะกลับไปที่ปราสาท ทว่าตอนนั้นเองก็มีเสียงอึกทึกดังมาจากทางประตูเมือง
“หยุด! หยุด!!” ทหารยามสี่คนหยุดชายขี่ม้าคนหนึ่งไว้ที่หน้าทางเข้าประตู ร่างของเขาปกคลุมด้วยผ้าคลุมขนสัตว์ เมื่อม้าถูกหยุดลงชายคนนั้นก็ร่วงลงจากหลังม้าทันที
เมลฟีน่าไม่รอช้า เธอวิ่งอย่างรวดเร็วตรงไปที่ชายคนนั้น คนอื่นๆวิ่งตามเธอไป ทหารยามเกือบจะขวางเธอไว้แต่เมื่อฟาบริโอสั่งเธอจึงผ่านไปได้ เมลฟีน่าเข้าไปประคองร่างของชายคนนั้นเอาไว้ ตัวของเขาเย็นมากแต่เธอก็รู้สึกถึงสัมผัสลื่นๆและอุ่นๆที่หลังของเขา เมื่อเธอขยับตัวเขาดูก็พบว่ามีอาวุธบางอย่างปักอยู่ที่หลังของเขา มันมีรูปร่างส่วนหนึ่งคล้ายดาวกระจายผสมกับมีดขว้าง มีเลือดไหลออกมาจากแผลมาก แต่เลือดนั้นเริ่มกลายเป็นสีดำ
“ไปตามหมอมา” ฟาบริโอสั่งทหารติดตามคนหนึ่งซึ่งรีบวิ่งออกไปทันที แล้วเขาจึงหันมาหาเมลฟีน่า “อย่าจับอาวุธนั่นนะพะย่ะค่ะ มันอาบยาพิษเอาไว้”
เมลฟีน่ามองหน้าของทหารคนนั้น มันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความเจ็บปวด ตัวของเขาเริ่มสั่น เมลฟีน่าเองก็ไม่รู้จะทำยังไง เธอเองก็หวาดกลัวไม่แพ้กัน เธอไม่เคยเจอใครที่บาดเจ็บสาหัสขนาดนี้มาก่อน เธอตัดสินใจทำสิ่งที่เธอทำได้ให้ดีที่สุดด้วยการกุมมือของเขาเอาไว้แล้วเริ่มพูดให้กำลังใจเขา
“ท่านชื่ออะไรเหรอคะ?” เมลฟีน่าเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน ชายคนนั้นจึงตอบมาด้วยเสียงที่สั่นระริก
“ระ...โรเบิร์ต....”
“โรเบิร์ต ไม่เป็นไร ท่านจะไม่เป็นอะไรหรอกนะ ข้าจะอยู่กับท่านเอง”
“โรเบิร์ต เกิดอะไรขึ้น?” ฟาบริโอเอ่ยถาม หลังจากที่เห็นชุดเกราะโรมานอฟที่เขาใส่ ทหารชายแดนอย่างเขาบาดเจ็บสาหัสออกมาแบบนี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ “ใครทำกับท่านแบบนี้?”
“ข้าว่ามันไม่ใช่เวลาเหมาะที่จะถามอะไรเขานะ” เมลฟีน่าแย้งด้วยความเป็นห่วงในตัวชายผู้อยู่ตรงหน้า แต่กับเรื่องฉุกเฉินเช่นนี้ฟาบริโอไม่อาจรอได้
“ขออภัยพะย่ะค่ะ แต่ข้าว่ามันต้องเป็นเรื่องร้ายแรงแน่ๆ” นายทหารหนุ่มกล่าวตอบองค์หญิงแล้วจึงสอบถามพลทหารผู้บาดเจ็บต่อ “เจ้ามาจากสังกัดอะไร? ใครทำเช่นนี้กับเจ้า?”
แม้สติจะเลือนรางเต็มทนทว่าทหารหนุ่มก็ยังคงเข้าใจในสิ่งที่ถูกถาม และเข้าใจว่ามันสำคัญต่อความอยู่รอดของอาณาจักรเพียงใด ดังนั้นถึงจะเจ็บปวดเจียนตายแต่เขาก็กัดฟันตอบทุกคำถามที่ถูกถามมาด้วยเสียงที่ค่อยๆอ่อนเบาลงเรื่อยๆ
“ข้ามาจาก.......ค่ายสังเกตการณ์.......ชายแดน.....บนภูเขาอูรัล.........”
“ดีมาก ว่าต่อไป พรรคพวกเจ้าล่ะ?”
“พะ.....พวกเขา.....ทุกคน.......ไม่มีอะไรเหลือ.....อีกแล้ว.......” สิ่งที่ออกมาจากปากอันสั่นเทิ้มนั้นสร้างความตกใจให้กับทุกคนที่ได้ยิน ฟาบริโอเค้นถามชายคนนั้นต่อไป
“ฝีมือใคร? พวกซัรฮานีงั้นรึ?” เมื่อได้ยินคำถามนี้แววตาของโรเบิร์ตผู้น่าสงสารก็เบิกกว้างขึ้นมาพร้อมกับความทรงจำอันแสนเลวร้ายที่หวนคืนกลับมา เงาดำทมิฬที่วูบไหวอยู่ในความมืด หิมะสีขาวบริสุทธิ์ที่ถูกย้อมด้วยโลหิตสีแดงฉานของพวกพ้องที่เหลือเพียงเศษซากที่มิอาจเรียกได้แม้กระทั่งศพ
“พะ....พวกมัน!.....เงาดำนั้น....พวกมันเข้ามา.....พร้อมกับความมืดในยามราตรี........เข่นฆ่าสังหาร.......ทุกคน.......”
มาจนถึงจุดนี้โรเบิร์ตก็เกิดอากาศช็อคและสั่นอย่างรุนแรง เมลฟีน่าพยายามจับตัวเขาให้อยู่นิ่งๆและยังคงพูดให้กำลังใจเขาตลอดช่วงวินาทีสุดท้ายแห่งชีวิต ทว่าโรเบิร์ตก็จับข้อมือของเมลฟีน่าอย่างแรงพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆเธอ จนทหารองครักษ์สามคนที่เหลือเตรียมชักดาบออกจากฝัก ทว่าโรเบิร์ตนั้นไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด เขาเพียงต้องการสารภาพบาปที่ได้กระทำเอาไว้ให้ใครบางคนได้รับรู้ก่อนที่จะตายจากไปเท่านั้น
“......ขะ....ข้ามิได้ตั้งใจ......จริงๆนะ......แต่คนอื่นๆเห็นชอบกันหมด” เมลฟีน่าไม่เข้าใจว่าโรเบิร์ตพยายามจะบอกอะไรเธอกันแน่แต่ก็ปล่อยให้เขาพูดต่อไป “ข้า......ขอโทษ......เป็นเพราะเรา.......เพราะเรา.......”
มือที่กำข้อมือของเมลฟีน่าคลายกำลังออกและร่วงลงสู่พื้นพร้อมกับหนึ่งชีวิตที่จบสิ้นลงไป ทุกคนในที่นั้นนิ่งเงียบไม่มีใครรู้ว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จนกระทั่งฟาบริโอต้องสั่งการออกมาทำลายความเงียบนั้นลง
“นำศพเขาออกไปจากพื้นที่! แล้วนำอาวุธสังหารที่ปักอยู่ที่หลังเขาไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจหาที่มาซะ! ส่งหน่วยสอดแนมไปที่ดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่ค่ายชายแดนอูรัล! เพิ่มเวรยามที่กำแพงและทั่วทั้งเมืองเป็นสองเท่า! เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตราคนเข้าเมืองด้วย!” เหล่าทหารยามที่กำแพงรับคำสั่งและปฏิบัติตามในทันที
“องค์หญิง ข้าคิดว่าในวันนี้เรากลับปราสาทกันก่อนจะเป็นการดีกว่าพะย่ะค่ะ” ฟาบริโอหันไปบอกเมลฟีน่าที่ยังคงนั่งอยู่กับพื้น แต่เธอก็ยังคงนิ่งเหมือนไม่ได้ยินที่เขาบอก ฟาบริโอจึงย้ำคำไป “องค์หญิง?”
“เอ๋? จ๋า? มีอะไรเหรอ?” เมลฟีน่าสะดุ้งแล้วรีบหันกลับมาเผยให้เห็นโลหิตสีแดงปนดำที่ชโลมเปรอะอาภรณ์หรูหราเต็มไปหมด
“ข้าว่า......รีบกลับไปทำความสะอาดร่างกายก่อนจะดีกว่านะพะย่ะค่ะ”
------------------------------------------------------------------------------------------
ไม่ถึงครึ่งชั่วยามต่อมา สาวน้อยผมทองก็ยืนอยู่ในห้องอาบน้ำขนาดใหญ่ที่ถูกปูด้วยกระเบื้องสีขาวบริสุทธิ์ทั่วทั้งห้อง และประดับประดาด้วยเครื่องประดับที่ทำจากทองคำแทบทั้งสิ้น รวมทั้งอ่างอาบน้ำที่ใหญ่พอที่จะให้คนลงไปอาบพร้อมกันได้ถึงสี่คน ซึ่งด้านนอกของห้องนั้นจะมีเตาไว้ใช้ต้มน้ำให้ร้อนแล้วจึงนำมาเทลงในอ่างซึ่งในเรื่องนี้นูรีนได้จัดแจงทำให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมลฟีน่ายังคงยืนเหม่อมองรอยเลือดที่ติดอยู่ที่เสื้อผ้าของเธอ เธอรู้สึกแปลกอย่างที่อธิบายไม่ได้ เธอเพิ่งจะเคยเห็นคนตายต่อหน้าต่อตาเป็นครั้งแรก แถมคนคนนั้นยังตายลงในอ้อมกอดเธออีกตังหาก เธอสบตากับเขาตรงๆเลยในตอนที่เขาสิ้นใจ เธอรู้สึกแปลกมากเหลือเกิน
“เอ่อ.....องค์หญิงเพคะ?” นูรีนที่ยืนรอเมลฟีน่าถอดเสื้อออกมานานแล้วตัดสินใจถามขึ้น
“จ๋า?”
“ถ้าไม่ทรงถอดเสื้อออกก็อาบน้ำไม่ได้น่ะสิเพคะ?”
“อ้ะ! ขอโทษนะ เหม่อไปหน่อยน่ะ” ว่าแล้วสาวน้อยผมทองยาวสลวยก็ค่อยๆปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด เผยให้เห็นผิวขาวเนียนสวย “เอ้อ แล้วก็นูรีนไม่ต้องมาอาบน้ำให้ข้าก็ได้นะ ข้าอาบคนเดียวมาตลอดน่ะ”
“ขออภัยด้วยเพคะ แต่มันเป็นหน้าที่ของข้า ละเว้นไม่ได้หรอกค่ะ” สาวน้อยตอบพลางถอดผ้าคลุมศรีษะสีดำออกเผยให้เห็นผมหยักศกสีดำยาวประต้นคอ
“หืม......เข้มงวดจังเลย..........แล้วนูรีนไม่ถอดเสื้อผ้าลงมาอาบด้วยกันเลยล่ะ? น่าสนุกดีออก” เมลฟีน่าซึ่งถอดเสื้อผ้าออกหมดแล้วจนอยู่ในร่างเปลือยเปล่าเอ่ยถาม ซึ่งคำถามนั้นทำให้นูรีนถึงกับหยุดกึกไปแวบนึงเลยทีเดียวก่อนจะตอบกลับมา
“ขะ....ขออภัยด้วยค่ะ มันไม่เหมาะสมหรอกค่ะ” นูรีนตอบขณะที่เมลฟีน่าค่อยๆก้าวลงไปแช่ในอ่างน้ำร้อน แต่เธอก็มีเหตุผลอื่นๆด้วยเช่นกันที่ไม่สามารถบอกเมลฟีน่าได้จึงได้แต่คิดอยู่ในใจ “หุ่นสวยสมส่วนแบบนั้น ใครจะกล้าไปโชว์สู้ล่ะ..........อีกอย่างนึง.....ที่หน้าอกของข้า........”
“อา.....สบายจังเลย” สาวน้อยผมทองค่อยๆแช่ลงไปในอ่างน้ำร้อนจนกระทั่งร่างของเธอจมลงไปถึงต้นคอ ในขณะนั้นเองนูรีนก็เดินไปที่ชั้นวางของที่อยู่ริมห้องแล้วหยิบกล่องกล่องนึงออกมา เมื่อเธอเดินกลับมาที่อ่างเมลฟีน่าก็เห็นว่าในนั้นเต็มไปด้วยกลีบกุหลาบสีแดงสด จึงเอ่ยถามไปด้วยความสงสัย “เอากุหลาบมาทำอะไรเหรอ?”
“ผสมน้ำเพคะ กลิ่นกุหลาบจะได้แทรกซึมอยู่ทั่วร่างกายองค์หญิง” สาวน้อยผมดำหยักศกตอบพลางค่อยๆหยิบกลีบกุหลาบออกมาแล้วโปรยลงไปในอ่าง เมลฟีน่าจ้องมองกลีบกุหลาบสีแดงสดที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆบนผิวน้ำเบื้องหน้าเธอ ทันใดนั้นสีแดงสดที่ติดตาและกลิ่นคาวเลือดก็แวบกลับเข้ามาในความทรงจำของเธออีก ช่วงเวลาที่ทหารหนุ่มที่ชื่อโรเบิร์ตตาย ภาพที่เธออยากลืมไปให้เร็วที่สุด ร่างกายของเธอเริ่มสั่นด้วยความกลัวที่เธอต้องอดกลั้นมาตลอดเพราะไม่อยากให้คนอื่นๆเป็นห่วง
“งั้นข้าจะไปเตรียมเสื้อผ้าก่อนนะเพคะ เชิญแช่น้ำตามสบาย” นูรีนกล่าวแล้วจึงเดินไปที่ประตู ทว่าเสียงที่สั่นเทาก็หยุดเธอเอาไว้
“อย่าไปนะ” เมลฟีน่าลุกขึ้นจากอ่างน้ำอย่างรวดเร็ว จากนั้นวิ่งเข้าไปหานูรีนด้วยร่างที่เปียกโชก เธอกระแทกนูรีนอย่างแรงจนทั้งคู่ล้มลงไปที่พื้น
“อะ..อะไรเหรอเพคะองค์หญิง?” นูรีนที่เพิ่งตั้งสติได้ถามเมลฟีน่าซึ่งบัดนี้ร้องห่มร้องไห้เป็นการใหญ่อยู่ที่ตักของเธอ
“ข้า.....ช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย..........เขาตายไปต่อหน้าต่อตาข้าเลย..........” เมื่อมาถึงจุดนี้นูรีนก็เข้าใจว่าเมลฟีน่าคงจะสะเทือนใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันก็เป็นธรรมดากับคนที่เพิ่งจะเคยเห็นคนตายเป็นครั้งแรก.......ไม่เหมือนกับตัวของเธอ เธอจึงปล่อยให้เมลฟีน่าระบายความในใจต่อไป “เขา....เขายังหนุ่มอยู่เลย อายุไม่ต่างกับข้าเท่าไหร่เอง......แต่กลับ.....ต้องมาตายก่อนเวลาอันควร........ทำไมนะ.....ทำไมข้าถึงช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย”
“มันถึงเวลาของเขาแล้ว......เท่านั้นเพคะ” นูรีนเริ่มพูดขึ้นบ้าง เธอหวังว่าจะสามารถทำให้เมลฟีน่าเลิกโทษตัวเองในเรื่องนี้ได้ “พวกข้า.......ชาวซารานีอย่างเรา มีความเชื่อว่า......คนเราทุกคนมาจากพระเจ้า และสุดท้ายเมื่อถึงเวลาที่สมควรเราทุกคนก็จะต้องกลับไปสู่พระองค์........ชายผู้นั้นไม่ได้ตายก่อนเวลาอันควรเพคะ......ไม่มีอะไรที่องค์หญิงหรือแม้แต่หมอที่เก่งที่สุดในโลกใบนี้จะทำได้ ดังนั้น......อย่าโทษตัวเองเลยนะเพคะ”
นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่นูรีนจะทำให้กับเมลฟีน่าได้ หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเธอว่าจะสามารถยอมรับมันได้หรือไม่� นูรีนปล่อยให้เมลฟีน่าร้องไห้ต่อไปเช่นนั้นจนกว่าน้ำตาจะหยุดไปเอง.........
------------------------------------------------------------------------------------------
“ฝีมือพวกซัรฮานี!!” รัชทายาทแห่งโรมานอฟซึ่งอยู่ในชุดขุนนางที่ทำจากผ้าไหมหรูหราย้อมด้วยสีแดงทรงกล่าวด้วยเสียงที่ดังลั่นพร้อมกับทุบมือลงบนโต๊ะด้วยความโกรธ เขาอยู่ในห้องพักพร้อมกับฟาบริโอขุนศึกคู่ใจ “พวกมันแน่!!”
“เรายังไม่มีหลักฐานพะย่ะค่ะ” ฟาบริโอชี้แจงแก่นายเหนือหัวของตน “ข้าว่าพวกซัรฮานีไม่น่าจะหาญกล้ามารุกรานเราได้”
“แล้วเราต้องไปหาที่ไหนกันเล่า จึงจะได้หลักฐานที่เจ้าว่ามาน่ะ!!”
“ได้โปรดทรงสงบสติอารมณ์ก่อนเถอะพะย่ะค่ะ ข้าได้ส่งคนสอดแนมออกไปดูแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น กลางดึกคืนนี้ก็คงจะกลับมาถึง จนกว่าจะถึงตอนนั้นข้าคิดว่าเราไม่ควรจะด่วนสรุปไปก่อนจะดีกว่า”
ด้วยคำพูดที่มีเหตุผลของผู้ที่เป็นทั้งสหายและอาจารย์ของตน เมกิดโด้จึงยอมสงบลงบ้าง “ได้......งั้นพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
“พะย่ะค่ะ นั่นแหละจึงจะสมเป็นผู้ที่จะสืบทอดจักรวรรดิอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้” ฟาบริโอกล่าวชื่นชมผู้ที่เป็นทั้งนายเหนือหัวและลูกศิษย์ของตนด้วยความจริงใจ มันมิใช่การประจบประแจงหรือการเสแสร้งแต่อย่างใด “ส่วนคืนนี้...........ท่านเจ้าเมืองเชิญพระองค์ไปร่วมงานสังสรรค์ที่จะจัดขึ้นคืนนี้พะย่ะค่ะ”
“ได้ ข้าจะไป” เมกิดโด้ตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด การเข้าร่วมงานสังคมเพื่อเสริมสร้างฐานะทางการเมืองเป็นหน้าที่ที่เขาต้องทำมาตลอดตั้งแต่จำความได้ แต่ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา “เออ นี่ฟาบริโอ”
“พะย่ะค่ะ?”
“บอกให้เมลฟีน่าไปร่วมงานด้วยนะ” คำสั่งของเมกิดโด้สร้างความลำบากใจให้ฟาบริโอเป็นอย่างมาก เขายอมได้กับการที่เมกิดโด้จะปล่อยให้เมลฟีน่าเดินไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบเพราะองค์จักรพรรดิสั่งให้นำตัวเธอกลับไปที่นครหลวงอย่างไร้รอยขีดข่วน แต่ทว่าการให้เมลฟีน่าไปร่วมงานสังสรรค์ของคนระดับสูงมันคนละเรื่องกันเลย เพราะเรื่องราวการรอดชีวิตของเมลฟีน่าเป็นเพียงข่าวลือที่ถูกพวกของวิคเตอร์แพร่กระจายไว้ในหมู่ชนระดับรากหญ้ามานานกว่า 16 ปี จนกลายเป็นเรื่องไร้สาระของบรรดาขุนนาง เชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูงที่เชื่อฟังออกัสตัส แต่กระนั้นฝ่ายที่ไม่พอใจในการปกครองของออกัสตัสก็มีอยู่เช่นกันเพียงแต่ไม่มีใครกล้าขึ้นมาเป็นผู้นำพวกเขา
“ไม่ได้นะพะย่ะค่ะ การให้องค์หญิงออกไปพบกับพวกชนชั้นสูงข้าว่าไม่ใช่ความคิดที่ดีหรอก” ฟาบริโอคัดค้านอย่างหนักแน่น
“ทำไมล่ะ?”
“องค์จักรพรรดิทรงสั่งเพียงแค่ให้นำตัวนางกลับไป หากทรงรู้ว่าพระองค์ให้นางไปเข้าร่วมงานเลี้ยงของชนชั้นสูงล่ะก็.....”
“เขาจะทำไม?......ฆ่าข้าเหรอ?” เมกิดโด้หันมาถามด้วยสีหน้าที่ดูเศร้าอย่างบอกไม่ถูก จนฟาบริโอยอมอ่อนลงเพราะรู้ว่าเขาคงยังไม่ลืม ‘เหตุการณ์นั้น’ แน่ๆ
“ทำไมท่านถึงอยากให้องค์หญิงไปร่วมงานด้วยล่ะ”
“หึ.....เจ้าคิดว่าอย่างยัยนั่นจะมีปัญญาเข้างานสังคมเป็นรึไง? ข้าอยากดูยัยนั่นทำตัวเองอับอายต่อหน้าประชาชนน่ะ” เมกิดโด้กล่าวแล้วจึงก้มลงหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ในขณะที่ฟาบริโอก็เหนื่อยใจกับนิสัยเสียของเจ้านายของตน ทว่านิสัยนั้นไม่ใช่ ‘การแกล้งคนอื่น’ แต่เป็นการที่เขา ‘ปากไม่ตรงกับใจ’ ต่างหาก
“หึ.....คงจะอยากให้องค์หญิงได้เปิดหูเปิดตาบ้างสินะ” เขาคิดในใจแต่ก็มิได้พูดออกไป แล้วเขาจึงถามต่อ “แล้วจะแนะนำตัวองค์หญิงกับแขกคนอื่นๆว่าอย่างไรพะย่ะค่ะ?”
“ใช้มุขเดิมสิ เจ้าหญิงเมลฟีน่าญาติของข้าที่มาจากโรแมกน่า” เมกิดโด้บอก เขาหมายถึงตอนที่ฟาบริโอจะหาทาสมาตามรับใช้เมลฟีน่าในตอนแรกที่มาถึงเมืองนี้ เขาก็บอกกับหัวหน้าคนรับใช้ไปเช่นนั้น โรแมกน่านั้นคือเกาะใหญ่นอกชายทะเลทางตะวันตกสุดของจักวรรดิโรมานอฟ ปกครองโดยเจ้าชายวลาดิเมียร์ ญาติผู้น้องของออกัสตัส ซึ่งมีธิดาพระองค์หนึ่งที่มีนามว่าเมลฟีน่าเช่นเดียวกัน
“นั่นข้าแค่ใช้กับพวกประชาชนธรรมดา แต่คนพวกนี้เป็นขุนนางนะพะย่ะค่ะ บางคนก็เป็นเชื้อพระวงศ์ ถ้าเกิดว่ามีใครเคยเห็นองค์หญิงเมลฟีน่าคนนั้นล่ะ?” ฟาบริโอยังคงแสดงความกังวลอยู่ แต่เมกิดโด้ก็กล่าวต่อไป
“เมลฟีน่าคนนั้นไม่เคยออกจากเกาะเลยด้วยซ้ำ ข้าเองยังเคยเจอแค่ครั้งเดียวตอน 7 ขวบล่ะมั้ง........แถมโคโลเวนนี่เป็นเมืองเกือบอยู่ตะวันออกสุดของโรมานอฟเลยนะ ขุนนางแถวนี้ไม่มีใครเคยไปโรแมกน่าหรอก.......แต่ถ้าเจ้ากังวลก็บอกเจ้าเมืองโคโลเวนให้ช่วยเล่นละครหน่อยก็ได้ รายนั้นสนิทกับบิดาข้ามาก เขาช่วยอยู่แล้ว”
ในที่สุดองครักษ์ก็ต้องยอมแพ้ให้กับความดื้อรั้นของเจ้านายตน เขากล่าวว่า “ถ้าท่านยืนกรานเช่นนั้น......ข้าก็จะไปแจ้งให้องค์หญิงเมลฟีน่ากับท่านเจ้าเมืองทราบพะย่ะค่ะ”
แต่ก่อนที่จะออกไปจากห้องฟาบริโอก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่งจึงหันไปบอกเจ้าชาย
“ข้าให้ม้าเร็วส่งข่าวไปที่เมืองหลวงแล้วว่าท่านพบตัวองค์หญิงเมลฟีน่าแล้วนะ” เมื่อได้ยินดังนี้เจ้าชายเงยหน้าขึ้นมามองเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย “บิดาท่านจะต้องภูมิใจในตัวท่านองค์ชาย”
ฟาบริโอกล่าวทิ้งท้ายแล้วจึงเดินออกไป ทิ้งเมกิดโด้ที่นั่งคิดอยู่เพียงลำพัง “มันจะเป็นไปได้เหรอ?”
ในคืนนั้น ตัวปราสาทโคโลเวนสว่างไสวไปด้วยแสงไฟประดับที่ถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม เสียงเพลงที่บรรเลงโดยวงดนตรีอันดับหนึ่งของเมืองโคโลเวนล่องลอยไปทั่วบริเวณปราสาท ทั้งเครื่องดีดและเครื่องเป่าชนิดต่างๆประสานเสียงกันจนเป็นทำนองที่ไพเราะ จุดที่คึกคักที่สุดในปราสาทในตอนนี้คงเป็นที่อื่นไปไม่ได้นอกจากห้องโถงใหญ่ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงที่ถูกประดับประดาด้วยผ้าสีขาว แสงสว่งจากโคมเทียนโคมระย้าและดอกไม้สวยงามมากมาย
อาหารที่หรูหราจำนวนมากมายถูกจัดวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ทั้งของหวาน ของคาวและผมไม้หายากจากแผ่นดินซัรฮานีและเอเซี่ยน โดยมีบริกรในชุดขาวยืนเตรียมพร้อมรับใช้แขกอยู่แทบทุกมุมของห้อง แขกที่ถูกเชิญมาในงานนี้ก็จำพวกขุนนางต่างๆและครอบครัว พวกพ่อค้าและบาทหลวงชั้นสูงในเมือง และบรรดาเศรษฐีมีชื่อทั้งหลาย ต่างเดินทางมาร่วมงานกันในชุดที่หรูหราหลากหลายสีสัน เหล่าขุนนางต่างก็พูดคุยไถ่ถามเรื่องการเมืองและธุรกิจกันในขณะที่บรรดาภรรยาของพวกเขาเองก็พูดคุยกันอย่างถูกคอ
แต่ในตอนที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินกับงานเลี้ยงอยู่ เสียงเพลงก็เงียบลง ทุกคนในห้องต่างหันไปมองที่ประตูทางเข้าห้องโถง ผู้ประกาศชื่อผู้เข้าร่วมงานก็ก้าวออกมาอย่างมั่นคง เขาสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่ดังกึกก้องไปทั้งห้องโถง
“เจ้าชายรัชทายาทในสมเด็จพระจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ออกัสตัส! เจ้าชายเมกิดโด้ ลาร์ เดอ โรมาน่า!!”
เมื่อกล่าวจบชายคนนั้นก็ก้าวหลบออกจากหน้าทางเข้า และเมกิดโด้ในชุดผ้าไหมสุดหรูสีแดงประดับด้วยทองพร้อมกับผ้าคลุมขนสิงโตสีทองก็โผล่ออกมาจากทางเดิน ตามหลังมาด้วยฟาบริโอที่อยู่ในชุดขุนนางหรูหราสีขาวที่มีตราสัญลักษณ์นกฟินิกซ์สีทองที่หน้าอก
ทุกคนในห้องโถงต่างยืนตัวตรงขึ้นเป็นเกียรติแก่เจ้าชายผู้สืบทอดราชย์บัลลังก์ของพวกเขา ทันทีที่เมกิดโด้ก้าวเท้าเข้ามาในห้องโถงเสียงดนตรีก็เริ่มดังขึ้นเป็นทำนองเพลงประจำชาติของจักรวรรดิโรมานอฟ พร้อมกันนั้นแขกทุกคนต่างก็พร้อมใจกันร้องทำนองเพลงออกมาจนกลายเป็นเสียงที่ดังกึกก้องไปทั้งปราสาท
จักรวรรดิโรมานอฟอันยิ่งใหญ่ของเรา จักปกครองผืนพิภพ
จากสุดขอบทะเลโรม่าตะวันออก จรดสุดเขตแดนตะวันตกของพวกนอกรีต
ทุกหนแห่งบนดราโกเนีย เพลงชาติของพวกเราจักถูกป่าวประกาศ
ให้โลกได้รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของฟินิกซ์ศักดิ์สิทธิ์
ทุกชนชาติจักต้องก้มหัวให้แก่นครศักดิ์สิทธิ์แห่งโรมูลัส
พวกเราจักครอบครอบทุกๆสิ่งบนผืนพิภพนี้
พวกนอกรีตจักต้องถูกทำลายล้างด้วยคมดาบอันศักดิ์สิทธิ์
ในนามแห่งพระผู้เป็นเจ้า
เมื่อเพลงประจำชาติจบลงเมกิดโด้กับฟาบริโอก็เดินมาจนถึงกลางห้องโถง แล้วเจ้าชายเมกิดโด้ก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนทำตัวตามสบายได้ ก่อนจะเริ่มพูดทักทายผู้ที่มาร่วมงาน
“ข้าขอขอบคุณท่านผู้มีเกียรติทุกๆท่าน ที่มาร่วมงานในคืนนี้......และต้องขอบคุณท่านวอลแตร์ เจ้าเมืองโคโลเวนที่ต้องลำบากจัดงานเลี้ยงใหญ่โตเพื่อต้อนรับข้า”
เจ้าชายพูดพลางหันไปหาชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีน้ำเงินหรูหรา ใบหน้าของเขามีหนวดเคราพอสมควร เขาก้มหัวให้แก่เจ้าชาย
“มิได้พะย่ะค่ะ องค์ชายเมกิดโด้อุตส่าเสด็จมายังเมืองชายแดนเกือบสุดขอบตะวันตกเช่นนี้ เราก็ต้องต้อนรับให้สมกับพระเกียรติ”
“ขอบคุณท่านมาก และก็ขอบคุณทุกๆท่านที่ให้เกียรติมา เชิญพวกท่านสนุกกันต่อได้เลย” เมกิดโด้พูดจบการทักทายบรรดาแขกที่มาร่วมงาน แล้วก็คนต่างก็หันกลับไปจดจ่อกับสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่เช่นเดิม แต่ก็มีเหล่าขุนนางบางคนที่รีบพาบุตรีของตนเองเข้ามาหาองค์ชายทันที
“องค์ชายพะย่ะค่ะ ข้า เคานท์ วิลเลี่ยม เบอแลงค์ แห่ง โคโลเวน เป็นเกียรติยิ่งที่ได้พบท่าน” ขุนนางคนนั้นพยายามประจบประแจงเมกิดโด้และแนะนำลูกสาวตัวเองให้เขาได้พบ “นี่ลูกสาวของข้า แองเจล่า พะย่ะค่ะ”
“เป็นเกียรติยิ่งที่ได้พบท่านเพคะองค์ชาย” สาวน้อยอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเมกิดโด้ เธอมีหน้าตาน่ารัก ผิวพรรณขาวผ่องสวยงาม ใส่ชุดราตรีสีแดงสดสวยงามเป็นอย่างยิ่ง เป็นหญิงสาวที่เด็กหนุ่มคนไหนเห็นก็คงอยากได้มาครอบครอง ทว่าสำหรับเมกิดโด้ไม่ใช่เช่นนั้น มีบุตรสาวขุนนางมากมายที่เข้ามาหาเขาแต่ก็ยังไม่เคยมีใครที่ต้องตาเขาเลย
“เป็นเกียรติสำหรับข้าเช่นกันท่านหญิง” เมกิดโด้กล่าวพร้อมกับโน้มตัวลงไปจุมพิตที่หลังฝ่ามือของหญิงสาว แต่เขาแค่ทำตามมารยาทเท่านั้นเพราะถ้าหากเขาต้องเลือกคู่ครองล่ะก็ เธอจะต้องเป็นสตรีที่สามารถช่วยเขาในการปกครองจักรวรรดิได้ ไม่ใช่คุณหนูที่รู้จักแต่การแต่งหน้าทาตาเท่านั้น เขาคิดอยู่บ่อยๆว่านั่นคงเป็นเหตุผลที่เขาไม่เคยสนใจบรรดาคุณหนูทั้งหลายที่เข้ามาหาเขา หรือบางทีอาจจะเป็นแค่เพราะเขายังไม่เคยพบเจอคนที่ถูกใจจริงๆก็เป็นได้
ทว่าในตอนนั้นเสียงอันดังก้องของผู้ประกาศชื่อผู้เข้าร่วมงานก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าหญิงเมลฟีน่า แห่ง โรแมกน่า!!”
ทุกสายตาหันไปมองที่ประตูทางเข้าห้องโถง แล้วก็ต้องตกตะลึงกันไปหมด หญิงสาวผู้แสนงดงามในชุดราตรีสีขาวบริสุทธิ์แบบเปิดหัวไหล่ ผิวสีขาวอมชมพูดูมีน้ำมีนวลและผมสีทองยาวสะท้อนแสงระยิบระยับ สะกดสายตาของบรรดาบุรุษในห้องนั้นไว้ได้ทั้งหมด เช่นเดียวกับบรรดาสตรีที่ต่างเฝ้ามองด้วยความอิจฉา
ความคิดเห็น