คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ป้อมปราการแห่งโคโลเวน
รถม้าอันหรูหราที่ประดับประดาด้วยทองคำเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆตามเส้นทางอันขรุขระ เมฆค่อยๆเคลื่อนตัวมาบดบังแสงอาทิตย์ในช่วงเที่ยงวัน ช่วยบรรเทาความร้อนให้แก่บรรดาทหารโรมานอฟในชุดเกราะเหล็กอันหนักอึ้งได้บ้าง พวกเขาเคลื่อนตัวอย่างเป็นระเบียบตามความเร็วของรถม้า ที่ด้านหลังของมันนั้น ชายผู้ไว้ผมและหนวดเครายาวรุงรังท่าทางโทรม กำลังเดินตามรถม้าไปอย่างช้าๆ มือของเขาถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนที่เชื่อมติดกับรถม้านั้น
ด้านในรถม้าอันหรูหรา เมลฟีน่าได้นั่งบนเบาะสีแดง มันให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลมากแบบที่ชีวิตชาวไร่ที่เธอใช้มาตลอด 17 ปีไม่มีโอกาสได้สัมผัส เธอหันไปมองที่หน้าต่างของรถม้า แสงแดดจากภายนอกถูกปิดกั้นโดยผ้าม่านสีแดงสดที่ทำจากผ้าทอชั้นดี เมลฟีน่าลองเอามือจับดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น มันนุ่มนิ่มแบบที่เธอไม่เคยพบมาก่อน เธอจึงเอาใบหน้าไปถูไถกับมันอย่างเคลิบเคลิ้ม ท่าทางมีความสุขมาก
ผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเธอนั้นคือโอรสเพียงพระองค์เดียวแห่งจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ออกัสตัส เจ้าชายเมกิดโด้ พร้อมด้วยราชองครักษ์ของพระองค์ฟาบริโอ ทั้งสองคนนั่งนิ่งเงียบเฝ้ามองเมลฟีน่าด้วยความแปลกใจ ทำไมเด็กสาวตรงหน้าพวกเขาจึงทำตัวเอื่อยเฉื่อยแบบนี้อยู่ได้ เธอไม่รู้ตัวรึไงว่าจะต้องโดนประหารแน่ๆ นี่น่ะรึลูกสาวของจักรพรรดิพระองค์ก่อน.......นี่น่ะรึเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิโรมานอฟ!
“พอได้แล้วน่า” เมกิดโด้เอ่ยขึ้นทำลายความสุขของเมลฟีน่าลงในฉับพลัน เธอตื่นขึ้นจากความฝันแล้วลุกขึ้นมานั่งตามเดิม ก่อนจะเอ่ยถามพวกเขา
“พวกท่านจะพาข้าไปที่ไหนรึ?”
“.................ฟาบริโอ” เมกิดโด้พูดเป็นสัญญาณให้ฟาบริโออธิบายแทนก่อนจะหันหน้าไปมองวิวภายนอกหน้าต่าง ไม่อยากที่จะยุ่งเกี่ยวกับ ‘กบฏ’ คนนี้ให้มากนัก
“เมืองป้อมปราการโคโลเวนน่ะพะย่ะค่ะ” ชายผมทองพูดอย่างสุภาพ แม้จะเป็นกบฏแต่เมลฟีน่าก็เป็นคนในราชวงศ์ เขาจะต้องให้เกียรติเสมอ “เจ้าชายทรงประทับอยู่ที่เมืองนี้พอดีตอนที่มีราชโองการจากจักรพรรดิให้ออกตามตาตัวองค์หญิงให้พบแล้วนำกลับไปยังนครหลวงพะย่ะค่ะ เราก็เลยเริ่มออกค้นหาจากหมู่บ้านใกล้ๆเมือง แต่ไม่นึกเลยว่าจะพบพระองค์ได้รวดเร็วเช่นนี้.......แบบนี้จักรพรรดิต้องทรงอภัยโทษให้องค์ชายแน่พะย่ะค่ะ”
“พูดมากเกินไปแล้วฟาบริโอ!” เจ้าชายขึ้นเสียง เขาไม่อยากที่จะให้เมลฟีน่ารู้เรื่องอะไรบางอย่าง
“ขออภัย” ฟาบริโอกล่าว “ข้าพูดมากเกินไปจริงๆ”
“ขอถามอะไรอีกสักข้อนะ.......พวกท่านรู้เรื่องของข้าได้ยังไง? ข้าหมายถึง.....ข้าอยู่มาสงบๆตั้ง 17 ปี เป็นเด็กสาวชาวไร่อยู่ในหมู่บ้านเล็กๆสุดขอบจักรวรรดิ แล้วทำไมจู่ๆจักรพรรดิถึงสั่งจับข้าล่ะ?”
ฟาบริโอหันไปมองเมกิดโด้ เขายังคงนิ่งเฉยเป็นสัญญาณให้บอกไปได้
“อยู่มาวันหนึ่งจักรพรรดิทรงฝันพะย่ะค่ะ ข้าไม่ทราบว่าพระองค์ทรงฝันเห็นสิ่งใดแต่โหรหลวงของจักรพรรดิได้ทำนายความฝันนั้นเอาไว้ว่า.......ผู้ที่พระองค์เคยสังหาร จะคืนชีพขึ้นมาเพื่อโค่นล้มพระองค์........จักรพรรดิจึงทรงสั่งให้ทหารออกตามหาเด็กสาวอายุ 17 ที่มีตราประจำราชวงศ์โรมาน่าทันที”
“เอ่อ......แล้วพวกท่านคิดว่าคนอย่างข้าเนี่ยนะจะไปโค่นล้มจักรพรรดิได้?........ขนาดแกะในหมู่บ้านข้ายังต้อนแทบตายเลยนะ” เมลฟีน่าพยายามเจรจาโดยทำตัวให้มีท่าทางไร้พิษภัยมากที่สุด
“หน้าที่ของเรามีแค่พาพระองค์ไปพะย่ะค่ะ.........ที่เหลือจักรพรรดิจะทรงตัดสินพระทัยเอง.....................เราคงไปถึงโคโลเวนก่อนค่ำพะย่ะค่ะ เชิญบรรทมได้เลย”
“เอ๋~~~ จริงเหรอ! ถ้างั้นถึงแล้วปลุกด้วยนะ” เมลฟีน่าจึงเอาหัวพิงกับผ้าม่านอันนุ่มลื่นแสนสบายแล้วหลับไปในแทบจะทันที
เมกิดโด้ไม่รู้จะคิดยังไงดี เด็กสาวคนนี้ไม่ระวังตัวเกินไปแล้วจริงๆ ทำไมถึงมีความสุขกับชีวิตได้ถึงขนาดนั้นนะ?.......ทั้งที่ถูกพระบิดาของพระองค์ช่วงชิงทุกสิ่งในชีวิตไปแท้.....แล้วทำไมจึงไม่มีความเคียดแค้นชิงชังเลย........ทำไม?
ที่หมู่บ้านรีนส์ เด็กหนุ่มร่างผอม ผมสีดำ รีบเดินอย่างรวดเร็วด้วยความโกรธกลับมาที่บ้านของเพื่อนสมัยเด็กของเขาจนเธอเดินตามแทบไม่ทัน
“นี่สเตนใจเย็นๆสิ!” แอนนาพูด
“ไอ้เจ้าชายบ้านั่นมันจับตัวเมลฟีน่าไปนะ! จะให้ข้าใจเย็นอยู่ได้ยังไงกัน!” เด็กหนุ่มที่กำลังโกรธเถียงกลับไป “ที่บ้านเมลฟีน่ามีม้าอยู่ตัวนึงนี่ ข้าจะตามพวกเขาไป!”
“จะบ้าเหรอ! ถึงตามทันแล้วเจ้าจะทำยังไง! จะใช้วิชาดาบอันสุดยอดของเจ้าจัดการทหารยี่สิบสามสิบคนเหรอ!!”
“แอนนา! นี่ใช่เวลาพูดเล่นเหรอ!” เด็กหนุ่มชักจะเริ่มโกรธขึ้นมาจริงๆ แต่ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงคนบางคน “..........เดี๋ยวนะ”
“มีอะไร?” แอนนาถามด้วยความสงสัย แต่เมื่อทั้งสองเงียบเสียงลงเธอก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมาจากบ้านของเมลฟีน่าที่อยู่ข้างๆบ้านเธอ ที่นั่นไม่มีใครอยู่แล้วแน่ๆ
“ใครอ่ะ?” แอนนาถามสเตนที่เดินไปหยิบท่อนไม้ที่ตกอยู่แถวนั้นขึ้นมา
“มีทางเดียวที่จะรู้ได้” เด็กหนุ่มตอบแล้วจึงเดินตามเสียงนั่นเข้าไปที่สวนหลังบ้านของเมลฟีน่า มันใช่สวนซะทีเดียวเพราะต่อกับทุ่งหญ้ากว้างที่อยู่ด้านหลังหมู่บ้านไปจนถึงป่า มีเพียงรั้วไม้เล็กๆที่วิคเตอร์ปักเอาไว้เพื่อแสดงอาณาเขตบ้านของตนเองเท่านั้น ภายในเขตรั้วนั้นนอกจากบ้านของเมลฟีน่าแล้วด้านหลังก็มีคอกม้าเล็กๆอยู่หลังหนึ่งเพราะวิคเตอร์เลี้ยงม้าเอาไว้หนึ่งตัว แอนนากับสเตนค่อยๆย่องติดผนังบ้านของเมลฟีน่าไป เสียงที่พวกเขาได้ยินนั้นดังมาจากคอกม้าหลังบ้าน
เมื่อพวกเขามาถึงหน้าประตูคอกม้า พวกเขาก็รู้สึกได้ว่าเสียงที่พวกเขาได้ยินนั้นมันเป็นเสียงของใครบางคนกำลังเก็บของอะไรบางอย่าง
“เวรเอ้ยๆๆ ที่นี้จะทำยังไงดีวะเนี่ย” เสียงผู้ชายบางคนดังออกมา เขากำลังรีบร้อนเก็บของบางอย่างลงในหีบ
“ข้าจัดการเอง” แอนนากระซิบกับสเตนแล้วจึงเดินเข้าไปในคอกม้า ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเธอคือชายร่างท้วมคนหนึ่งกำลังพยายามปิดหีบที่เต็มไปด้วยสิ่งของอยู่ เขานั่งหันหลังให้เธอพอดี แอนนายกมือขึ้นไปทางชายร่างท้วมแล้วในทันใดนั้นเปลวเพลิงก็ลุกโชนขึ้นที่ฝ่ามือของเธอ ชายร่างท้วมหันมาทันที
“อย่าขยับนะ ถ้าไม่อยากถูกย่างสด” แอนนาเตือนไปทันทีพร้อมกันนั้นสเตนก็รีบวิ่งเข้ามาสมทบ ชายร่างท้วมคนนั้นมีผมและหนวดเคราสีน้ำตาลรุงรังเต็มหน้า เจสันนั่นเอง เขาดูสับสนมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“อะไร! อะไร! ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดนะ!” เขารีบแก้ตัวเป็นการใหญ่ก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าทั้งสองคนเป็นแค่เด็กวัยรุ่นเท่านั้น
“เดี๋ยวนะ........พวกเจ้าไม่ใช่พวกทหารนี่นา! มาทำอะไรที่นี่เนี่ย?”
“เราตังหากที่ต้องถาม เจ้าเป็นใครมาทำอะไรที่บ้านหลังนี้!!” สเตนขู่ไป
“ถ้าข้าไม่บอกเจ้าจะทำไม? จะเอากิ่งไม้นั่นมาฟาดข้าเรอะ!” เจสันท้าทายกลับไปพร้อมกับชักดาบออกมาจากฝัก แล้วชี้มันใส่สเตน แต่ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็พวยพุ่งเข้าหาเจสัน เขาก้มหลบอย่างรวดเร็วจนทำดาบหลุดออกจากมือ มันกระเด็นไปตกที่ข้างๆถังใส่น้ำสำหรับม้า เขาพุ่งตัวเข้าไปจะเก็บมันขึ้นมาแต่แอนนาชี้มือไปที่ถังน้ำ น้ำในนั้นเริ่มสั่นกระเพื่อม แอนนาตวัดมือไปในทิศทางที่เจสันกำลังพุ่งตัวไปทันใดนั้นน้ำในถังทั้งหมดก็พุ่งออกมากระแทกเจสันลงไปนอนบนพื้นฟาง เปียกโชกไปทั้งตัว เจสันพยายามจะลุกขึ้นยืนแต่เขาก็ถูกดาบของตัวเองจ่อเข้าที่ลำคอ
“ข้าจะถามอีกครั้งนะ.......เจ้าเป็นใคร?......เข้ามาในบ้านของเมลฟีน่าทำไม?” สเตนที่บัดนี้เป็นผู้ครอบครองดาบของเจสันถามเขาอีกครั้ง
“พวกเจ้ารู้จักองค์หญิง เอ้ย แม่หนูเมลฟีน่าด้วยเหรอ?”
“ไม่ต้องปิดบังหรอก พวกเรารู้ว่าเมลฟีน่าเป็นเจ้าหญิง เราเป็นเพื่อนสนิทของเธอ” แอนนาอธิบาย เธอยังคงยืนอยู่ที่เดิมเพราะสำหรับนักเวทย์แล้วการเข้าไปใกล้ตัวของศัตรูถือเป็นความเสี่ยงอย่างมาก
“ถ้างั้นพวกเจ้าก็ปล่อยข้าได้น่า� ข้าเป็นลูกน้องของแม่ทัพวิคเตอร์� เมื่อกี้พวกเจ้าไปที่ลานหมู่บ้านมาด้วยรึเปล่าน่ะ?”
“ไปมา......ทำไม?” สเตนถาม
“งั้นพวกเจ้าก็คงรู้แล้วว่าองค์หญิงกับท่านแม่ทัพโดนจับตัวไป� ตอนนั้นข้าก็อยู่ด้วยแต่ท่านแม่ทัพสั่งให้ข้าคอยดูอยู่เฉยๆเผื่อเกิดอะไรขึ้น� ดังนั้นปล่อยข้าได้แล้ว ข้าต้องรีบไปช่วยพวกเขา!”
เจสันพูดโดยไม่เกรงกลัวคมดาบที่จ่อลำคอของเขาอยู่เลย สเตนรู้สึกได้ถึงความจริงใจของเขาจึงปล่อยให้สเตนลุกขึ้นยืนแต่ยังคงถือดาบไว้กับตัว ชายร่างท้วมลุกขึ้นยืนแล้วใช้มือปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้า
“ท่านว่าจะไปช่วยพวกเขา..........ข้าขอไปด้วย” เด็กหนุ่มบอกด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ทันใดนั้นแอนนาก็รีบพูดห้ามขึ้นมาทันที
“เจ้าจะบ้าเหรอ! เจ้าไปจะทำอะไรได้! พวกนั้นมันเป็นทหารจักรวรรดินะ!”
“ข้ารู้ แต่ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเขาถูกฆ่าโดยไม่ทำอะไรเลย แอนนา” เด็กหนุ่มหันไปบอกกับเพื่อนสมัยเด็กของตนอย่างหนักแน่น ใบหน้าของเขาในตอนนี้ช่างเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและสมเป็นชายชาตรีเสียจนแอนนารู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าของเธอ
“อะ...อะ...โอ้ย!! ช่างหัวมัน! อยากไปก็ไป! แต่ข้าจะไปด้วยก็แล้วกัน!� ได้มั้ยลุง! ข้าน่ะใช้เวทย์มนต์คล่องนะ! แล้วข้าก็เรียนเวทย์มนต์ที่ปราสาทโคโลเวนด้วย ข้าพาเข้าไปข้างในได้นะ”
เด็กสาวรีบกลบเกลื่อนความอายของตนเองด้วยการหันไปถามเจสัน เขาเองก็ต้องคิดหนัก จะเอาเด็กพวกนี้ไปด้วยดีมั้ย แต่เขาก็ไม่มีอะไรต้องเสียนี่ แผนที่จะลอบเข้าไปข้างในปราสาทเขาก็มีอยู่แล้ว แต่ถ้ายัยเด็กเปี๊ยกนี่พาเข้าไปได้จริงๆก็จะช่วยได้มาก แล้วถ้าจะช่วยองค์หญิงเมลฟีน่าออกมาก็ต้องใช้จอมเวทย์มากเท่าที่จะหาได้
“ก็ได้! แต่พ่อแม่พวกเจ้าจะไม่ว่ารึไงน่ะ?”
“บ้านข้าคงไม่เป็นไรหรอก เพราะพวกพี่ๆข้าเรียนสูงๆ ค้าขายดีๆ กันทั้งนั้น� มีข้าคนเดียวที่ยังไม่ได้เรื่อง เดี๋ยวจะเขียนจดหมายบอกไว้� แล้วค่อยกลับมาโดนด่าทีหลัง” เด็กหนุ่มกล่าว ไม่มีความกังวลเลยสักนิดเดียว แต่เขารู้สึกเป็นห่วงแอนนามากกว่า
“แอนนา เจ้าล่ะ? เจ้าเป็นลูกสาวคนเดียวไม่ใช่เหรอ? แล้วพ่อแม่ของเจ้าจะ....”
“ไม่เป็นไร ข้าจะไปบอกพวกท่านว่าอาจารย์ของข้าที่ปราสาทโคโลเวนส่งนกฮูกมาเรียกตัวไปก็ได้”
“ก็ได้ ก็ได้� พวกเจ้าคงต้องเตรียมตัวล่ะสิ? รีบไปเร็วๆเลย ข้าจะรอแป้บเดียวนะ.......แล้วพวกเจ้ามีม้ามั้ย?”
“บ้านข้ามี! เดี๋ยวจะไปขอยืมมาให้เลยนะลุง!” แอนนาบอก ก่อนจะวิ่งออกไปจากคอกม้านั่น เจสันตะโกนตามหลังพวกเขาไป
“ข้าชื่อ เจสัน จำไว้!!”
-------------------------------------------------
เสียงจอแจจากภายนอกที่แทรกเข้ามาภายในรถม้าอันหรูหราปลุกเมลฟีน่าขึ้นมา เธอยังคงงัวเงียอยู่ เธอขยี้ตาตัวเองพลางถามอัศวินผมสีทองที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเธอ
“ท่านฟาบริโอ.....เรายังไม่ถึงเมืองโคโลเวนอีกเหรอคะ?”
“เราผ่านประตูเมืองมาแล้วพะย่ะค่ะ ขณะนี้กำลังมุ่งหน้าไปที่ปราสาท” ฟาบริโอยิ้มตอบอย่างนอบน้อม
“เอ๋! จริงเหรอ? ทำไมไม่ปลุกกันล่ะ!” เมลฟีน่าหันตัวกลับไปด้านหลังแล้วเปิดม่านออก
ภาพที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าเธอ ผู้คนจำนวนมากมายที่เดินจับจ่ายกันอยู่ในตลาดขนาดใหญ่ ทุกคนใส่เสื้อผ้าแบบยุโรปยุคกลาง ของที่วางขายอยู่นั้นก็มีมากมาย ทั้งเนื้อ ไก่� หมู� ผักและผลไม้ชนิดต่าง มีปลาอยู่บ้าง ไกลจากตลาดออกไปเธอเห็นบ้านเรือนทรงยุโรปที่สร้างจากอิฐนับร้อยนับพันหลัง และถัดจากบ้านเรือนเหล่านั้นก็เป็นกำแพงเมืองอันใหญ่โตที่สร้างจากหิน ดูราวกับว่าคงไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำลายมันได้
“โห......นี่น่ะเหรอเมืองใหญ่ ข้าไม่เคยออกจากหมู่บ้านมาก่อนเลยน่ะ!” เมลฟีน่าพูดด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ดีใจที่พระองค์ทรงชอบพะย่ะค่ะ......แต่ช่วยทรงลดเสียงลงหน่อยนะพะย่ะค่ะ” ฟาบริโอกล่าวพร้อมกับชี้ไปที่เจ้าชายผมสีแดงที่ขณะนี้นั่งหลับอยู่ข้างๆเขา
“ในที่สุดก็ทรงบรรทมได้สักที องค์ชายออกตามหาพระองค์ไม่ได้นอนเลยตลอดสามวันน่ะพะย่ะค่ะ.....คงโล่งใจก็เลยหลับไป”
เมลฟีน่ามองดูใบหน้าของเมกิดโด้ ถึงแม้ยามปกติเขาจะดูน่ากลัวแต่เวลานอนหลับใบหน้าของเขาดูอ่อนโยนมาก
“ฮิๆๆ พอมองดูดีๆแล้ว เมกิดโด้เนี่ยหน้าเหมือนผู้หญิงเลยนะเนี่ย ผมก็ค่อนข้างยาวด้วย”
คำพูดแบบไม่ได้คิดอะไรของเมลฟีน่า ทำเอาฟาบริโอขนลุกซู่ไปถึงสันหลัง
“ดีนะที่องค์ชายหลับอยู่...........ขืนได้ยินเข้าล่ะก็.........เมืองแตกแน่” อัศวินหนุ่มคิด ขณะที่ขบวนรถม้าค่อยๆเคลื่อนตัวผ่านกำแพงปราสาทขนาดใหญ่ที่สร้างจากหิน ด้านหลังกำแพงนั่นคือลานกว้างที่เป็นสถานที่ฝึกซ้อมดาบของเหล่าทหาร เหล่าทหารแห่งเมืองโคโลเวนจำเป็นต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ เพราะเป็นเมืองชายแดนที่อยู่ติดกับประเทศอริราชศัตรูอย่างจักรวรรดิซัรฮานีทางตะวันออกจึงมีสงครามย่อยๆอยู่ประปรายมาตั้งแต่อดีต แม้ว่าตั้งแต่สุลต่านอับดุลฮามิดที่ 2 ขึ้นครองราชย์ก็ยังไม่เคยมีสงครามมายาวนานถึง 17 ปีแล้ว แต่ชาวโรมานอฟก็มิอาจวางใจได้
ล้อไม้หยุดหมุนในที่สุด ทหารองครักษ์เดินเข้ามาเปิดประตูให้แก่เจ้าชายเมกิดโด้ก้าวเดินลงมา ฟาบริโอหยุดให้เมลฟีน่าเดินลงไปก่อนเขาแล้วจึงตามลงมา เมลฟีน่ารู้สึกสนใจปราสาทอันใหญ่โตที่เธอไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน ทางด้านขวาของเธอคือลานฝึกซ้อมดาบ ซึ่งทหารเมืองโคโลเวนหลายคู่กำลังตั้งใจฝึกซ้อมกันอย่างเต็มที่ ส่วนด้านซ้ายมือของเมลฟีน่าเป็นคอกม้าขนาดใหญ่ที่มีม้าศึกรูปร่างใหญ่โตและสง่างามอยู่จำนวนหนึ่ง
“ว้าย! ม้าสวยๆทั้งนั้นเลยนี่นา!” เด็กสาวผมสีทองกระโดดโลดเต้นเข้าไปดูม้าศึกด้วยความสนใจ
“ปล่อยไปแบบนั้นจะดีรึพะย่ะค่ะ?” อัศวินหนุ่มเอ่ยถามเจ้าชายเมกิดโด้
“........ปล่อยไปแบบนั้นก็ได้ แต่ห้ามนางออกไปนอกปราสาท ให้ทาสผู้หญิงตามเฝ้าก็ได้.......เราจะพักที่นี่สองวัน แล้วจะไปโรมูลัสกัน” เขามองดูเด็กสาวที่ไร้เดียงสาคนนั้นครู่นึงแล้วจึงหันหลังเดินเข้าปราสาทไป
ฟาบริโอตั้งใจที่จะหาทาสผู้หญิงในปราสาทให้ตามรับใช้เมลฟีน่า เขาจึงได้เรียกตัวหัวหน้าบ่าวรับใช้มา
�
�
“นี่! เจ้าน่ะ! เจ้าคนซารานี!” หัวหน้าบ่าวรับใช้ตวาดใส่เด็กสาวคนหนึ่งที่กำลังใช้ที่ตักน้ำตักน้ำขึ้นมาจากบ่อน้ำ
เด็กสาวคนนั้นตกใจจนทำถุงใส่น้ำตกลงบนพื้นจนแตกกระจาย เธอลนลานจนทำอะไรไม่ถูก เธอสวมชุดกระโปรงยาวแบบชาวโรมานอฟแต่ใส่ผ้าคลุมทับและใช้ผ้าสีดำปกปิดศรีษะของเธอไว้ เธอมีผิวแดงอ่อน ดวงตาสีดำกลมสวยงาม ใบหน้าของเธอถ้าหากว่ามันไม่ได้เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่นล่ะก็ถือว่างดงามอยู่ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
“ขะ...ขอโทษค่ะ! ขอโทษด้วยค่ะ!” เด็กสาวรีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ เธอก้มหน้าลงกับพื้นด้วยความกลัว ตัวของเธอสั่นไปทั้งร่าง
“ข้าบอกไปกี่ครั้งแล้ว! ที่นี่ไม่ใช่ซัรฮานีนะโว้ย! แต่งตัวแบบคนโรมานอฟเซ่! ไอ้ผ้าคลุมนั่นน่ะถอดออกซะ!” หัวหน้าบ่าวรับใช้ตวาดใส่เธอไม่หยุด พร้อมกับเดินเข้าไปจะกระชากผ้าคลุมของเธอออกด้วยตัวเอง
“หยุดนะ!” องค์หญิงตะโกนขึ้นมาดังลั่นจนพ่อบ้านร่างเตี้ยคนนั้นหยุดชะงัก สายตาทุกคู่ในบริเวณนั้นจับจ้องไปที่เด็กสาวผมทอง เธอก้าวเดินอย่างมั่นคงตรงไปหาพ่อบ้านร่างเตี้ยและเด็กสาวชาวซารานี
“มะ....มีอะไรรึพะย่ะค่ะองค์หญิง?” พ่อบ้านร่างเตี้ยถามด้วยความสงสัย แต่เมลฟีน่าไม่สนใจเขาเลย เธอก้มลงไปแล้วยื่นมือของเธอให้แก่เด็กสาวชาวซารานีนั่น
“สวัสดี ข้าชื่อเมลฟีน่า เจ้าล่ะ?” การกระทำของเมลฟีน่าทำให้ผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นตื่นตกใจกันเป็นอย่างมาก ไม่มีชาวโรมานอฟคนใดเลยที่จะคิดว่าเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ของพวกเขาจะยื่นมือให้แก่พวกนอกรีตชาวซารานี
เด็กสาวชาวซารานีเองก็ตกใจกับท่าทีของเมลฟีน่าเช่นกัน เด็กสาวผมทองคนนี้คิดจะทำอะไร? เป็นเจ้าหญิงเหรอ? แล้วยื่นมือมาให้เธอทำไม? คิดจะทำอะไรกันแน่?
“นี่ เจ้าชื่ออะไรเหรอ?” เมลฟีน่าถามขึ้นอีกครั้งนึง เด็กสาวชาวซารานีจึงตอบกลับมาด้วยเสียงที่เบาราวกับกระซิบ
“.........นูรีน.......นูรีน อัล-ฮีร่า”
“นูรีนเหรอ? ชื่อน่ารักดีนะ.......นูรีน ลุกขึ้นเถอะ จับมือชั้นสิ” เมลฟีน่ายังคงยื่นมือของเธอออกไป นูรีนจึงค่อยๆยื่นมือของเธอออกไปบ้าง
ทว่าทันใดนั้นพ่อบ้านร่างเตี้ยก็พุ่งเข้ามาตบหน้านูรีนจนเธอล้มลงไป ผ้าคลุมศรีษะสีดำหลุดออกมาเผยให้เห็นผมสีดำยาวหยักศกของเธอ
“เจ้า! นังคนซารานี นังคนนอกรีต! นังทาส! กล้าดียังไงจะมาแตะต้องตัวเชื้อพระวงศ์ของเรา!!” ชายคนนั้นตะโกนด่าทออย่างบ้าคลั่งและเข้ามาจะทำร้ายเธออีกแต่เมลฟีน่าก็เข้ามาขวาง
“หยุดนะ!! หยุดเดี๋ยวนี้! ท่านทำแบบนี้กับสตรีได้ยังไงกัน!”
พ่อบ้านหยุดชะงักไปเพราะเมลฟีน่า ตอนนั้นเองที่ฟาบริโอคิดว่ามันควรจบได้แล้ว เขาจึงชักดาบอัศวินของเขาออกมาจากฝัก
“องค์หญิงท่านทำแบบนี้ทำไม! ท่านเห็นใจพวกมัน!! พวกนอกรีต!!” พ่อบ้านยังคงไม่หยุดขณะที่ฟาบริโอเดินเข้ามา
“พอได้แล้ว!” ฟาบริโอกล่าวกับชายร่างเตี้ย แต่เขายังคงเถียงต่อไป
“แต่ว่า! ท่านแม่ทัพ.....นังนั่นเป็นพวกซารานีนะ!...พวกมัน....”
“เขาเป็นซารานีแล้วยังไง? เราเป็นสวาเดี่ยนแล้วยังไง?พวกเขาก็เป็นคนเหมือนกับพวกเราไม่ใช่รึไง!” เจ้าหญิงเมลฟีน่าพูดตัดบทพ่อบ้านคนนั้นไป “พวกเขาแตกต่างจากเราตรงไหน!?”
เมลฟีน่าเริ่มกล่าวความในใจของเธอออกมา ประชาชนและทหารที่อยู่โดยรอบต่างก็เริ่มล้อมวงกันเข้ามาดูเหตุการณ์ที่เกิด
“แค่เพียงเพราะว่าพวกเขาพูดภาษาต่างจากเรา! เพียงเพราะพวกเขามีวิถีชีวิตต่างจากเรา! เพียงแค่เพราะว่าพวกเขาเป็นทาส! นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ท่านจะทำกับพวกเขาเหมือนสัตว์นะ!”
เมลฟีน่ากล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง บ่งบอกว่าเธอพร้อมที่จะยืนหยัดเพื่อทาสชาวซารานีผู้นี้อย่างถึงที่สุด จนพ่อบ้านร่างเตี้ยไม่กล้าที่จะเถียงอีก ฟาบริโอจึงตัดสินใจที่จะจบเรื่องอันไร้สาระนี้สักที
“กล่าวได้ซาบซึ้งเป็นอย่างมากพะย่ะค่ะองค์หญิง” อัศวินผมสีทองเอ่ยขึ้น “เราได้ประจักษ์แล้วถึงความเมตตาที่พระองค์มีให้แก่เหล่าทาส ดังนั้นข้าจึงคิดว่าในการที่จะหาทาสหญิงเพื่อติดตามรับใช้พระองค์นั้นควรจะให้พระองค์เป็นผู้เลือกเอง� ท่านถูกใจทาสคนใดก็โปรดสั่งมาได้เลยพะย่ะค่ะ”
“เอ๋?.......ให้ข้าเลือกเนี่ยนะ?” เมลฟีน่าตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆก็ต้องมาเลือกคนที่จะเดินติดตามเธอไปทุกที่ในปราสาท เธอไม่รู้ว่าจะเลือกใครดี อันที่จริงเธอไม่รู้จักทาสคนใดในปราสาทเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนไหนเป็นทาส ดังนั้นคำพูดของฟาบริโอจึงหมายถึงว่าเธอจะต้องเลือกทาสเพียงคนเดียวที่เธอรู้จัก สาวน้อยผมดำหยักศกที่อยู่เบื้องหน้าเธอ......
“ถ้างั้น.....ข้าเลือกเจ้าก็แล้วกันนูรีน”
“เอ๋?....ละ..ละ...เลือกข้าเหรอเพคะ?......จะ..จะ....จะให้คนอย่างข้าไปติดตามองค์หญิงหรือเพคะ?” นูรีนถามด้วยเสียงที่เบาและสั่นระริกด้วยความกังวล
“เจ้าก็ได้ยินแล้วนี่นา จากนี้ไปจงเฝ้าติดตามรับใช้องค์หญิงซะ” ฟาบริโอย้ำกับเธอ
“ก็อย่างนี้ล่ะ จากนี้ไปก็ขอฝากตัวด้วยน้า~~ นูรีนจาง~~~” เมลฟีน่าซึ่งถอดตัวเองออกจากโหมดจริงจังกลับเข้าสู่โหมดสาวเอ๋ออีกครั้งนึง กล่าวกับนูรีน
“พะ.....เพคะ.....” สาวน้อยตอบกลับไป เมลฟีน่ายิ้มด้วยความดีใจที่จากนี้ไปเธอคงจะได้เพื่อนที่ดีเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง
-------------------------------------------------
ห่างออกไปทางตะวันออกของเมืองโคโลเวน สุดเขตชายแดนจักรวรรดิโรมานอฟ บนเทือกเขาอูรัลที่ขั้นระหว่างเขตแดนโรมานอฟกับทะเลทรายของชาวซัรฮานี มีค่ายทหารโรมานอฟแห่งหนึ่งตั้งอยู่ มันเป็นหนึ่งในค่ายทหารโรมานอฟหลายสิบค่ายที่ตั้งเรียงรายอยู่ตลอดแนวเขาอูรัลเพื่อคอยสอดส่องป้องกันการรุกรานของชาวซัรฮานีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาตลอดสิบเจ็ดปี บ้านพักของผู้บัญชาการและทหารยศสูงที่ทำด้วยไม้หลังเล็กๆตั้งเรียงกันสามหลัง ล้อมรอบด้วยเต็นท์ของพวกพลทหารนับสิบเต็นท์ ทั้งหมดนั้นล้อมรอบด้วยกำแพงไม้ที่สูงกว่าสามเมตร
ค่ายทหารเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีทหารประจำการไม่เกินหนึ่งร้อยคน ถ้าถูกกองทัพใหญ่บุกโจมตีพวกเขาคงไม่มีทางสู้ได้ แต่หน้าที่ของพวกเขาหาใช่การกำจัดศัตรูไม่ หากแต่เป็นการแจ้งข่าวการรุกรานตังหาก ทหารที่มาประจำการที่ค่ายชายแดนนี้จะต้องประจำการคนละหนึ่งปี จึงจะได้กลับบ้านไปหาครอบครัว
แสงอาทิตย์เริ่มลับไปจากขอบฟ้าตามมาด้วยความมืดที่เข้าปกคลุมท้องฟ้า มันเป็นคืนเดือนมืดที่ไม่มีแสงบนท้องฟ้าเลย เหล่าทหารยิ่งต้องระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม เปลวเพลิงถูกจุดขึ้นทั่วทั้งค่ายและบนกำแพง อากาศอันหนาวเย็นบนเทือกเขาทำให้เหล่าทหารที่เข้าเวรต้องถือคบเพลิงด้วยกันทุกคน บางคนก็ล้อมวงกันรอบกองไฟแม้ว่าพวกเขาจะสวมผ้มคลุมขนสัตว์หนาๆทับเสื้อเกราะแล้วก็ตาม
“เฮ้! พวกเจ้า! เข้าเวรอยู่นะ มานั่งผิงไฟกันแบบนี้ไปยังไง?” ทหารคนหนึ่งที่ท่าทางน่าจะเป็นผู้บัญชาการเดินเข้ามาหากลุ่มทหารสามคนที่นั่งสุมกองไฟอยู่ พวกเขาลนลานขึ้นมาทันที
“ขออภัยขอรับหัวหน้า เราจะรีบไป” ทหารพวกนั้นจะลุกขึ้นยืนแต่ผู้บัญชาการกลับเดินลงมานั่งด้วย
“ไม่ต้องไปหรอก ให้ข้าผิงด้วยก็พอแล้ว” ผู้บัญชาการบอกอย่างมีอารมณ์ขันจนทุกคนนั้นหัวเราะขึ้นมา พวกเขานั้นกินอยู่ด้วยกันมานานกว่าหกเดือนแล้วจึงมีความผูกพันกันเหมือนครอบครัวเดียวกัน แต่ทหารคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้วยก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวลอย่างมาก
“เอ่อ......หัวหน้าครับ...........ที่พวกเราไปทำแบบนั้น.......กับหมู่บ้านชาวซารานีนั่น......จะไม่เป็นไรแน่เหรอครับ?”
“เฮ้ย! เจ้าจะไปกังวลอะไร? เราได้ทั้งอาหาร ทั้งผู้หญิงกันเต็มอิ่มเลยนะโว้ย!” เพื่อนของเขาพูดขึ้นพลางยกเหล้าขึ้นซด “อีกอย่าง.....ไม่มีใครรอดไปเล่าเรื่องหรอกน่า”
“หึ......ถึงจะมีคนรอดไปได้ แต่พวกซัรฮานีนอกรีตจะทำอะไรกองทหารแห่งกองทัพโรมานอฟอันศักดิ์สิทธิ์อย่างเราได้เล่า!!” ผู้บัญชาการพูดขึ้นอย่างมั่นใจจนทหารอีกสองคนหัวเราะ
ทหารอีกสองคนกำลังถือคบเพลิงเดินตรวจตราบนกำแพง พวกเขาคอยสอดส่องดูให้แน่ใจว่าจะไม่มีพวกหน่วยสอดแนมของซัรฮานีหรือโจรชาวซารานีย่องเข้ามาได้ ก่อนที่ทหารคนหนึ่งจะหันไปทางเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของพวกที่อยู่ด้านล่าง เขายิ้มแล้วส่ายหัวอย่างเอือมระอา
“ท่านหัวหน้าเล่นมุขตลกอีกแล้วสิเนี่ย” เขาพูดพลางหันมาหาทหารอีกคนหนึ่งทว่า.........
เขาหายไปแล้ว?
ทหารคนนั้นงงมาก เพื่อนของเขาที่ยืนห่างกันไม่ถึงหนึ่งเมตรหายตัวไป อย่างไร้ร่องรอย มีเพียงคบเพลิงที่ตกอยู่บนกำแพง ทหารหนุ่มรวบรวมความกล้าชักดาบออกมา ดาบสองคมแบบยุโรปสีเงินวาววับส่องประกายท่ามกลางความมืด เขาค่อยๆก้าวท้าวอย่างระมัดระวังไปที่คบเพลิงที่ตกอยู่ แสงจากคบเพลิงทำให้เขาเห็นอะไรบางอย่าง เขาก้มลงไปมองใกล้ๆก็พบ.......เลือด! มันติดอยู่บนขอบกำแพง ทหารหนุ่มจึงรวบรวมความกล้าอีกครั้งหนึ่งยื่นหัวออกไปดูด้านล่างของกำแพงตรงจุดที่มีรอยเลือด.........
ฉับ!!
“อ้ากกกก!!!!” เสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงกลัวดังก้องไปทั่วทั้งค่าย กลุ่มของผู้บัญชาการที่กำลังผิงไฟอยู่กับทหารอีกสามคนลุกขึ้นและชักดาบออกมาทันที
“ไปดูเร็ว!!” ผู้บัญชาการสั่งก่อนจะวิ่งนำทั้งสามคนขึ้นไปบนกำแพง
พวกเขาวิ่งขึ้นมาถึงจุดที่มีเสียงร้อง แต่ไม่พบอะไรเลยนอกจากคบเพลิงกับดาบตกอยู่บนพื้นพร้อมกับกองเลือด
“อะไรเนี่ย?” ผู้บัญชาการก้มลงไปตรวจดู ทว่าทหารคนหนึ่งที่ยื่นคบเพลิงไปดูด้านนอกกำแพงก็เรียกเขา
“ท่านแม่ทัพครับ?......นั่นมันอะไรน่ะ?” ทั้งสี่คนยื่นศรีษะออกไปดูนอกกำแพง พวกเขาก็พบกับทหารที่หายไป........ทว่าพวกเขาถูกสับเป็นชิ้นๆ เป็นเพียงกองเนื้อที่ดูไม่ออกว่าเป็นใครที่ส่งกลิ่นเลือดเหม็นหึ่งไปทั่วบริเวณ
“พระเจ้า......นั่นคนของเราเหรอ?” ทหารคนนึงอุทานขึ้นมา ในขณะที่อีกคนหนึ่งหันมาถามผู้บัญชาการด้วยความกลัว
“หัวหน้า! เราถูกโจมตีเหรอครับ!?”
แต่ผู้บัญชาการที่เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างก็ไม่ได้สนใจที่ทหารคนนั้นถาม แต่เขาหันไปดูรอบๆก่อนจะถามขึ้นว่า
“คนของเราไปไหนกันหมด?”
ทหารอีกสามคนเริ่มสังเกตเห็นว่าทั้งที่เสียงดังขนาดนั้นน่าจะปลุกคนทั้งค่ายได้ แต่กลับมีเพียงพวกเขาสี่คนเท่านั้น คนอื่นๆที่อยู่เวรก็หายตัวไปหมด ความหวาดกลัวถึงขีดสุดเริ่มเข้าเกาะกุมจิตใจของเหล่าทหาร
“หะ...หัวหน้าครับ......เราจะทำยังไงกันดี?”
ผู้บัญชาการหันมาจะตอบทหารคนนั้นทว่าก็มีอะไรบางอย่างถูกเขวี้ยงมาจากความมืดเบื้องล่างมารัดรอบศรีษะของทหารคนนั้น และไม่ถึงพริบตาต่อมาร่างของทหารคนนั้นก็ล้มลงไปพร้อมศรีษะที่แหว่งไปครึ่งซีก สมองส่วนที่เหลือของเขาไหลออกมานองพื้น ทั้งสามคนที่เหลือตกใจสุดขีดรีบวิ่งลงจากกำแพง
“เหวอ!” ทหารคนหนึ่งวิ่งแยกออกไปจากกลุ่ม ในขณะที่ผู้บัญชาการกับทหารอีกคนหนึ่งตรงไปที่คอกม้า เขากลับวิ่งไปที่เต็นท์ทหาร แต่เมื่อเขาแหวกเต็นท์เข้าไปก็แทบผงะเพราะสิ่งที่พบ
กองเศษเนื้อและศพโชกเลือดที่ยังคงเหลือสภาพมนุษย์อยู่เละไปทั่วทั้งเต็นท์� ทหารคนนั้นรีบหันหลังกลับวิ่งไปที่คอกม้าบ้างทว่าจู่ๆเขาก็ล้มลง เขาไม่รู้ว่าตนเองล้มลงไปได้ยังไงทั้งที่ไม่มีอะไรให้สะดุด เขาพยายามลุกขึ้นแต่ก็ทำไม่ได้ เขาจึงยื่นมือไปจับที่ขาซ้าย.........แต่กลับไม่พบอะไร
“เหวอ!! ขาข้า!!!” ทหารผู้น่าสงสารดิ้นทุรนทุรายอย่างเจ็บปวด เลือดพุ่งออกมาจากขาซ้ายไม้หยุด เขาพยายามคลานหนีต่อไปอย่างไร้ความหวังแต่ก็มีลูกธนูสามดอกพุ่งออกมาจากเงามืดปักเข้าที่กลางหลังของเขา ปลิดชีพเขาในทันที
ผู้บัญชาการกับทหารหนุ่มอีกคนหนึ่งขึ้นขี่ม้าได้สำเร็จ พวกเขาขี่มันมุ่งตรงไปที่ประตูทางออกค่ายที่ถูกเปิดอยู่ อีกเพียงไม่กี่อึดใจพวกเขาก็จะปลอดภัย
ทันใดนั้น ร่างในชุดเสื้อคลุมดำทมิฬตั้งแต่หัวจรดเท้าก็โผล่ออกมาจากเงามืดเบื้องหน้า มายืนขวาทางออกของพวกเขาไว้ ไม่มีทางที่ทั้งสองคนจะยอมหยุดพวกเขายังคงควบม้าตรงไปที่ร่างดำทมิฬนั่น ทว่ามันก็ล้วงมือเข้าไปในผ้าคลุมก่อนจะปาอะไรบางอย่างออกมา มันคือใบมีดเล็กๆที่โค้งไปด้านหน้าและด้านหลังเป็นดาวกระจายสองแฉกนั่นเอง มันปาออกมาถึงสามอัน สองอันปักเข้าที่หน้าอกของผู้บัญชาการจนเขาตกลงจากหลังมาที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วลงไปกระแทกพื้นอย่างแรง ก่อนจะนอนนิ่งไปกับพื้น
ทหารที่เหลืออีกคนหนึ่งเอนตัวหลบดาวกระจากสองแฉกนั่นได้ ก่อนจะชักดาบออกมาฟาดใส่ร่างดำทมิฬนั่น แต่ร่างนั้นก็ก้มหลบลงในขณะที่ทหารคนนั้นควบม้าออกจากค่ายไป ทว่าร่างดำทมิฬไม่ยอมพลาดเป้าเพียงแค่นี้ มันปาดาวกระจายสองแฉกตามหลังทหารคนนั้นไป........เข้าเป้า ร่างนั้นฟุบลงไปบนหลังม้าที่ยังคงวิ่งต่อไปจนหาบลับไปในความมืด
ผู้บัญชาการนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นที่เย็นเฉียบ กระดูกหักไปทั้งร่าง ลมหายใจของเขาแผ่วเบา ทันใดนั้นมีใครบางคนเดินเข้ามายืนอยู่เบื้องหน้าเขา เขาพยามยามเงยหน้ามองแต่เมื่อเขาได้เห็นบุคคลนั้นเขาก็หวาดกลัวขึ้นมาอีก
“เจ้า.........เราสงบศึกกันอยู่นี่นา.......ทำไม......?” ผู้บัญชาการพยายามพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาเต็มที
“สงบศึกเหรอ?..........หว่านอะไรย่อมได้ผลนั้น ไม่เคยได้ยินรึไง?” ร่างๆนั้นก้มลงมาพูดกับเขา ร่างนั้นสวมชุดสีขาวเพียงคนเดียว ด้านหลังของร่างนั้นคือร่างดำทมิฬนับสิบร่าง
“หรือที่สุภาษิตโรมานอฟว่า ‘ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว’ ไงล่ะ?..........เมื่อสี่วันก่อนพวกเจ้าสังหารหมู่ชาวซัรฮานีกว่าร้อยคนแล้วเผาหมู่บ้านของพวกเขา พวกเจ้าข่มขืนผู้หญิง ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็ก แล้วเราก็คงไม่รู้เรื่องนี้ถ้าเกิดว่าเด็กสาวคนหนึ่งไม่บังเอิญรอดมาได้ ขอขอบคุณพระเจ้า........ทหารโรมานอฟเอ๋ย........ไม่ต้องพูดเรื่องสงบศึกกันแล้ว”
ใบหน้าของชายชุดขาวคนนั้นยังคงติดตาของผู้บัญชาการทหารโรมานอฟคนนั้นจนกระทั่งเขาสิ้นลมหายใจ.........
ความคิดเห็น