คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เจ้าชายแห่งโรมานอฟ
เมลฟีน่านั่งนิ่งเงียบอยู่ที่โต๊ะทานอาหารภายในบ้านของเธอ ฝั่งตรงข้ามคือวิคเตอร์กับเจสัน เธอพูดอะไรไม่ออกเลยหลังจากที่ได้ฟังความจริงทั้งหมดจากวิคเตอร์ เธอเป็นเจ้าหญิงเหรอ? พ่อแม่ของเธอเป็นจักรพรรดิกับจักรพรรดินี? พวกท่านถูกฆ่าโดยน้องชายของพ่อ? จักรพรรดิคนปัจจุบัน!!
“นี่.....นี่เป็นเรื่องจริง.....สินะคะ?” เด็กสาวเอ่ยปากถามชายที่เธอเคยเชื่อว่าเป็นลุงแท้ๆมาตลอด
“พะย่ะค่ะ องค....”
“ไม่นะ!!” เมลฟีน่าตะโกนขึ้นกลบเสียงตอบของวิคเตอร์เพราะเธอไม่อยากได้ยินมัน เธอลุกขึ้นยืนในหัวมันหมุนไปหมด น้ำตาเริ่มคลออยู่ในดวงตาสีฟ้า เธอยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วเริ่มเดินวนไปมา เธอไม่อยากยอมรับความจริงเรื่องนี้ เธอเป็นแค่เด็กสาวชาวไร่อายุ 17 ปี เธอใช้ชีวิตอยู่กับลุงมาตลอด เธอมีชีวิตที่สงบสุขและมีความสุขดีแล้ว เธอมีเพื่อนที่รักเธอ เธอไม่อยากให้อะไรเปลี่ยนแปลง
“องค์หญิง” วิคเตอร์เอ่ยปากพูดขึ้นแต่เมลฟีน่าก็ขัดขึ้นอีก
“เมลฟีน่า.......เรียกข้าว่าเมลฟีน่าเหมือนเดิมเถอะค่ะ........ขอร้องล่ะ” เธอก้มหน้าบอกวิคเตอร์
“...........เมลฟีน่า........ข้ารู้ว่ามันยากสำหรับเจ้า ที่จู่ๆจะต้องมารู้ความจริงแบบนี้.........แต่เจ้าต้องยอมรับมัน......”
“ไม่!!!” เธอตะโกนออกมาก่อนจะวิ่งหนีขึ้นไปที่ห้องของตัวเอง
“เมลฟีน่า!!” วิคเตอร์ลุกขึ้นจากที่นั่ง แต่เจสันก็กล่าวเตือนเขา
“ให้เวลานางหน่อยเถอะหัวหน้า นางเพิ่ง 17 เอง”
“แต่.........เจ้าบอกว่าออกัสตัสรู้ว่าเมลฟีน่ายังมีชีวิตอยู่.....ได้ยังไง?” วิคเตอร์หันไปถามอดีตลูกน้องของตนเองด้วยความสงสัย เขาคิดว่าแผนการที่เขาวางเอาไว้รอบคอบดีแล้วแน่ๆ หลังจากที่เขาพาเมลฟีน่าที่ยังเป็นทารกหนีออกมาจากปราสาทในคืนวิปโยคเมื่อ 16 ปีก่อน เขารวบรวมทหารองครักษ์ที่ภักดีและไว้ใจได้จำนวนหนึ่ง เขาให้กระจายข่าวลือออกไปว่าเขาพาเจ้าหญิงน้อยหนีเข้าไปซ่อนอยู่ในตึกแห่งหนึ่ง ทหารของออกัสตัสปิดล้อมตึกแห่งนั้น และตามที่เขาคาดการณ์ไว้พวกมันไม่ส่งคนเข้าไปตรวจดู แต่มันเผาวอดไปทั้งตึกพร้อมกับผู้คนที่อยู่ในนั้น เขายอมสังเวยชีวิตคนยี่สิบกว่าคนเพื่อให้ออกัสตัสเชื่ออย่างสนิทใจว่าไม่มีเชื้อสายของจักรพรรดิคอนสแตนตินรอดมาได้ เขาทำถึงขนาดนั้นแต่ทำไมมันถึงรู้ได้!!!
“ข้าก็ไม่ทราบแน่ชัดหรอก แต่พวกมัน......สั่งให้ทหารค้นหาเด็กสาววัยรุ่นทั่วทั้งนครหลวงโรมูลัส.........พวกมันจะให้พวกผู้หญิงตรวจดูเด็กสาวพวกนั้นแล้วพวกมันก็ปล่อยพวกนางกลับไป เหมือนพวกมันตามหาอะไรสักอย่าง.......ข้าก็ไม่รู้นะว่ามันหาอะไร! มันไม่บอกอะไรเลยจู่ๆก็เรียกเด็กสาวไปตรวจ แล้วก็สั่งทหารค้นบ้านประชาชนทั้งนคร.......แล้วข้าเลยติดต่อไปหาเพื่อนที่อยู่เมืองใกล้ๆ.......มันบอกว่าโดนเหมือนกัน แล้วพวกทหารยังส่งคนออกค้นตามหมู่บ้านทุกหมู่บ้านด้วย ข้าเลยใช้ม้าที่เร็วที่สุดรีบบึ่งมาที่นี่ แต่ที่นี่อยู่ไกลมาก.....เราคงมีเวลาซักวันสองวันล่ะ.........ตอนนี้ข้าว่า ท่านไปดูองค์หญิงหน่อยดีกว่านะ”
วิคเตอร์ก้าวอย่างมั่นคงขึ้นบันได ทว่าแต่ละก้าวที่เขาเหยียบลงไปกลับหนักอึ้ง ต่อจากนี้เขาจะทำตัวยังไงกับเมลฟีน่าดี ไม่ใช่แค่เมลฟีน่าที่คิดว่าเขาเป็นลุงแท้ๆแต่เขาเองก็เลี้ยงดูเมลฟีน่ามาเหมือนลูกแท้ๆตลอดเวลา 16 ปี แต่มันเป็นไปไม่ได้เขารู้อยู่แก่ใจดี เธอเป็นเจ้าหญิง เขาเป็นเพียงแค่ผู้ปกป้องเธอเท่านั้น...........
“เมลฟีน่า.......ข้าเข้าไปนะ” วิคเตอร์ค่อยๆเปิดประตูห้องนอนของเมลฟีน่าออก เธอนอนอยู่บนเตียงเอาผ้าห่มคลุมตัว
วิคเตอร์เดินเข้าไปลากเก้าอี้ที่ตั้งอยู่มุมห้องมานั่งลงข้างๆเตียงของเธอ
“ข้า......ขอโทษ ขอโทษที่ปิดบังเจ้า ข้ารับคำสั่งสุดท้ายจากจักรพรรดิให้คอยดูแลเจ้า แต่ว่า.......เจ้าก็เหมือนกับลูกสาวแท้ๆของข้า..............ข้าไม่รู้จะพูดยังไงดี แต่ข้า”
“นางสวยรึเปล่า?” เมลฟีน่าพูดขัดขึ้นมา “แม่ของข้า”
“นางเป็นสตรีที่งดงามที่สุดที่ข้าเคยพบ ทั้งรูปโฉม......และนิสัย...........พ่อของเจ้าก็เช่นกัน เขาเป็นเพื่อนสมัยเด็กของข้า และเป็นชายที่กล้าหาญที่สุดที่ข้าเคยรู้จัก”
เมลฟีน่าเริ่มโผล่ศรีษะออกมาจากผ้าห่มเพื่อฟังสิ่งที่วิคเตอร์เล่า
“ข้ารู้ว่าข้าไม่เคยเล่าเรื่องพ่อกับแม่แท้ๆของเจ้าให้เจ้าฟังเลย แต่เจ้าน่ะ.........เหมือนกับแม่ของเจ้ามาก ยกเว้นดวงตากับนิสัยน่ะ ได้มาจากพ่อเต็มๆเลย”
“พวกท่านถูกฆ่าจริงๆเหรอ? โดยอาแท้ๆของข้าเนี่ยนะ?” เด็กสาวเริ่มไถ่ถามมากขึ้น เธออยากรู้เรื่องราวของตัวเธอเองให้มากยิ่งขึ้น
“ใช่........ออกัสตัส เขาเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าอะไรก็ต้องเป็นที่หนึ่งเสมอ แต่เขาก็ไม่เคยเอาชนะพี่ชายของเขาได้สักเรื่องนึง นั่น.....อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาก่อเหตุการณ์ในคืนนั้นขึ้นมาก็ได้”
“นี่.....จี้อันนี้น่ะ มันเป็นของท่านแม่จริงๆใช่มั้ย?” เมลฟีน่าหยิบจี้สีทองที่มีตัว R สลักอยู่ด้านหน้าออกมา
“ใช่ นางให้เจ้าเอาไว้ก่อนที่จะสิ้นใจ”
“เดี๋ยวข้าจะต้องจากที่นี่ไปแล้วใช่มั้ย?......ต้องจากแอนนากับสเตนด้วยใช่รึเปล่า?” แอนนาถามสิ่งที่เธอกลัวที่สุดออกไป ทั้งที่เธอเองก็รู้คำตอบอยู่แล้ว
“ข้าขอโทษด้วยจริงๆ แต่ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่ ถ้าพวกมันหาตัวเจ้าพบ ชาวบ้านคนอื่นๆรวมทั้งสองคนนั้นอาจจะต้องรับเคราะห์ไปด้วยก็ได้”
“ถ้างั้น.......ข้าก็จะไป.......ไม่ว่าท่านจะพาข้าไปที่ไหน”
“ข้าจะพาเจ้าไปยังที่ปลอดภัย ที่ที่เจ้าสามารถที่จะเรียนรู้เรื่องราวต่างๆที่จำเป็นสำหรับการเป็นผู้นำและรวบรวมพรรคพวกผู้มีอุดมการณ์เดียวกัน แล้วเมื่อถึงเวลาที่เจ้าพร้อม เราจะชิงจักรวรรดินี้คืนให้แก่เจ้า.......ผู้นำที่ชอบธรรม” วิคเตอร์กล่าวจบก็ยืนขึ้นแล้วเดินไปที่ประตู แต่ก่อนที่จะเปิดประตูออกไปเขาก็หันกลับมาอีกครั้ง
“ถ้าหากเจ้าอยากให้ข้าพูดกับเจ้าเหมือนกับที่ผ่านมา ข้าก็จะทำ.........พรุ่งนี้เช้าไปบอกลาเพื่อนๆเจ้าซะ” เขากล่าวแล้วจึงเดินออกจากห้องไป
เช้าวันต่อมาเมลฟีน่าลุกขึ้นจากเตียงตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยดวงตาที่เขียวคล้ำ เธอร้องไห้และไม่ได้นอนเลยตลอดทั้งคืน เธอล้างหน้าแปรงฟัน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว แล้วเดินลงบันไดมาในเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงขายาวสีน้ำตาล สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตาเธอคือชายร่างท้วมที่กำลังทานอาหารเช้าอยู่อย่างมูมมาม เขาเหลือบมาเห็นเธอจึงรีบวางชามใส่สตูว์ลงใช้ผ้าเช็ดคราบอาหารที่เลอะเคราแล้วจึงลุกขึ้น
“อรุณสวัสดิ์พะย่ะค่ะ องค์หญิง” เจสันกล่าวด้วยใบหน้าที่เป็นมิตร
“อรุณสวัสดิ์ค่ะเจสัน” เมลฟีน่าตอบกลับไป พยายามยิ้มอย่างเต็มที่ ตอนนั้นเองที่วิคเตอร์เดินออกมาจากห้องครัว
“เมลฟีน่าอาหารเช้าเสร็จแล้ว มาทานเร็วๆสิ”
“เอ่อ....ไม่ดีกว่าค่ะ ข้าไม่หิวเท่าไหร่ เดี๋ยวข้าจะไปหาแอนนากับสเตนนะ”
“เดี๋ยวก่อน!” วิคเตอร์เรียกเธอไว้และเดินเข้าไปหาเธอก่อนจะยื่นห่อผ้าห่อหนึ่งให้เธอ “ขนมปังน่ะ เอาไปกินรองท้องซะหน่อยเถอะ”
“...........ขอบคุณค่ะ” เมลฟีน่ายิ้มอ่อนๆขอบคุณเขา เธอเริ่มคิดว่าถึงแม้จากนี้ชีวิตเธอจะต้องเปลี่ยนแปลงไปแต่ก็จะยังมีวิคเตอร์ที่คอยห่วงใยเธอเสมอ จากนั้นเธอก็เดินออกจากบ้านมา
เธอเดินมาที่บ้านของแอนนาซึ่งตั้งอยู่ข้างๆบ้านของเธอ เธอครุ่นคิดมาตลอดทั้งคืนว่าจะอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพวกเขายังไงดี จะบอกเรื่องโกหกไปแล้วจากกันโดยที่พวกเขาไม่ต้องรู้อะไรเลย หรือจะจากไปแบบไม่ต้องร่ำลากัน แต่เธอไม่อยากจากไปโดยไม่บอกกล่าวเพื่อนสนิทเพียงแค่สองคนที่เธอมี แล้วเธอก็ไม่อยากที่จะโกหกพวกเขาอีกด้วย เธอจึงตัดสินใจที่จะบอกความจริงกับพวกเขา
เมลฟีน่ายืนอยู่หน้าประตูบ้านของแอนนา เธอรวบรวมความกล้าเตรียมเคาะประตูตอนที่มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เมลฟีน่า?”
เธอหันไปตามเสียงนั้น ก็พบสเตนกับแอนนาเดินมาด้วยกันบนถนน
“ต๊าย.....วันนี้ท่าทางฝนจะตกนะเนี่ย แม่จอมสายตื่นเช้าเป็นด้วย” แอนนาพูดขึ้น “ข้าไปตลาดมาน่ะขากลับก็เจอสเตน กำลังว่าจะเดินไปปลุกเจ้าอยู่พอดี”
“นี่ทั้งสองคน..........ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องบอกพวกเจ้า ช่วยฟังหน่อยนะ”
“เอ๋?” เด็กทั้งสองแปลกใจมาก วันนี้เพื่อนของพวกเขาแปลกไปมาก ทั้งตื่นเช้าและยังทำท่าทางจริงจังกับชีวิตแบบนี้อีก
เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงต่อมาหมดไปกับการที่แอนนากับสเตนตั้งหน้าตั้งตาฟังสิ่งที่เพื่อนสนิทของพวกเขาเล่าอยู่ใต้ต้นไม้ขนาดใหญ่บนเนินใกล้ๆหมู่บ้าน หลังจากที่ฟังจบพวกเขาแทบไม่อยากเชื่อ
“นี่มัน......เป็นเรื่องจริงสินะ?” แอนนาเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“ใช่ เรื่องราวทั้งหมดเป็นความจริง แล้วในวันนี้ข้ามาเพื่อบอกลาพวกเจ้า เพราะถ้าข้ายังอยู่ต่อไปหมู่บ้านแห่งนี้อาจจะเจอกับอันตรายได้” เด็กสาวผมสีทองกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยทำให้เด็กสาวผมทรงทวินเทลรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที เธอยื่นมือไปกระชากคอเสื้อของเมลฟีน่าเข้ามา
“อย่ามาพูดเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ! อะไรกันเล่า! เจ้าจะมาลาพวกเราแล้วก็ไปง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ!” แอนนาตะคอกใส่เมลฟีน่า เธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ความรู้สึกของเธอสับสนไป น้ำตาเริ่มเอ่อนองดวงตาสีนิลที่สวยงาม
“เจ้าคิดว่าถ้าเจ้าไปแล้วพวกมันจะไม่มาที่นี่เหรอ! เจ้าคิดว่า......เจ้าคิดว่า.......ฮือ...” แอนนาอดทนต่อไปไม่ไหว เธอเริ่มร้องไห้ออกมา เมลฟีน่าที่เห็นดังนั้นยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก เธอไม่อยากให้พวกเขามีอันตราย เธอไม่อยากให้พวกเขาต้องเป็นทุกข์ เธอแค่อยากให้พวกเขามีความสุขและใช้ชีวิตต่อไปหลังจากที่เธอจากไปแล้ว เมลฟีน่าดึงร่างเล็กๆร่างนั้นเข้ามาสวมกอด หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาความทุกข์ของเธอได้
แอนนารับรู้ความอบอุ่นจากร่างกายของเมลฟีน่าได้ มันทำให้จิตใจของเธอสงบลง เธอเริ่มนึกย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาดีๆที่เธอกับสเตนและเมลฟีน่ามีร่วมกัน เมลฟีน่าจะเป็นคนคอยห้ามเสมอเวลาที่เธอกับสเตนทะเลาะกัน เวลาที่เธอมีเรื่องทุกข์ใจอะไรก็สามารถปรึกษากับเมลฟีน่าได้ เพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ............
“ขอโทษนะแอนนา แต่ข้าต้องไปจริงๆ” เมลฟีน่าพูดขึ้น หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“ข้ารู้....ข้าขอโทษแต่ว่า.....ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องไปเสี่ยงอันตราย ข้า....ข้า.....” แอนนาเริ่มที่จะร้องไห้ขึ้นมาอีกจนเธอเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง ตอนนั้นเองสเตนก็พูดขึ้นมาแทนเธอ
“เราทั้งสองคนเป็นห่วงเจ้านะเมลฟีน่า”
“ข้ารู้ เจ้าทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่ข้าเคยมี” เมลฟีน่าตอบ น้ำตาหยาดเล็กๆเริ่มไหลออกมา เธอยังคงกอดแอนนาไว้ในอ้อมแขน
พวกเขาทั้งสามคนตัดสินใจที่จะใช้ช่วงเวลาสุดท้ายอยู่ด้วยกันให้นานที่สุด พวกเขานั่งพูดคุยเรื่องราวต่างๆที่เคยพบเจอด้วยกันอยู่ในบ้านของแอนนา
ที่ถนนสายหนึ่งที่มุ่งตรงเข้ามาสู่หมู่บ้านรีนส์ ทหารม้านับสิบคนขี่ม้ามาตามถนนสายเล็กๆนั่น พวกเขาสวมเสื้อเกราะอัศวินโรมานอฟ เป็นเกราะแผ่นเหล็กสีเงินแวววาวทั่วทั้งลำตัว แขน ขา ส่วนภายในนั้นสวมเกราะโซ่ถัก มีหมวกเหล็กที่มีลักษณะปิดทั้งใบหน้ามีช่องสำหรับมองที่บริเวณดวงตา แต่ละคนถือหอกยาวเป็นอาวุธ เบื้องหลังพวกเขาคือรถม้าที่สร้างจากไม้และตกแต่งอย่างงดงาม บนประตูนั้นคือเครื่องหมายตัว R สีทองขนาดใหญ่ ตราประจำราชวงศ์โรมาน่า ใช้ม้าถึง 4 ตัวในการลากรถม้านี้ ด้านหลังของรถม้าก็มีทหารราบโรมานอฟจำนวนกว่ายี่สิบคนเดินแถวตามมาอย่างเป็นระเบียบ พวกเขาสวมชุดเกราะโซ่ถักโดยมีชุดคลุมเป็นสีแดงและมีลายนกฟีนิกซ์สีเหลืองที่หน้าอกซึ่งเป็นธงชาติของจักรวรรดิโรมานอฟและสวมหมวกเหล็กทรงกรวย พวกเขาแต่ละคนมีดาบแบบยุโรปเหน็บไว้ข้างลำตัว และถือโล่ทรงสามเหลี่ยมที่มีลายแบบเดียวกับชุดคลุม
“ถ้านางไม่อยู่ที่นั่นล่ะ?” เสียงชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนรถม้าพูดขึ้น
“เราหามาสามหมู่บ้านแล้วที่อยู่ใกล้ๆเมืองโคโลเวน นี่เป็นหมู่บ้านสุดท้าย ถ้าไม่มีอีกเราก็จะลงใต้.....ไปเวเนเชีย” เสียงเด็กหนุ่มพูดตอบ “เราจะต้องหานางให้เจอเป็นคนแรก.......ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม”
แอนนากับสเตนเดินมาส่งเมลฟีน่าที่บ้านเมื่อตะวันเริ่มคล้อย พวกเขาเริ่มจะทำใจได้แล้วกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“เจ้าจะออกเดินทางพรุ่งนี้เช้าสินะ?” แอนนาถามขึ้น “งั้นพรุ่งนี้เราจะมาส่ง”
“ขอบใจจ้ะแอนนา” เมลฟีน่ายิ้มให้เป็นการขอบคุณน้ำใจที่เพื่อนของเธอมีให้จนถึงที่สุด “ถึงข้าไม่อยู่แล้วก็ดีๆกันไว้นะ อย่าทะเลาะกันล่ะ”
“ฮะๆๆ เรื่องนั้นคงยากหน่อยล่ะขอรับ องค์หญิง” สเตนพูดขึ้นบ้าง แต่เมลฟีน่าก็ทำหน้าบึ้งตึงใส่เขา
“อย่าเรียกองค์หญิงสิ! ข้าไม่ชอบนะ” เมลฟีน่าบอกพร้อมกับทำท่างอนใส่เขา.....มันช่างน่ารักจริงๆ น่ารักเสียจนสเตนไม่กล้าสบตาเธอ
“ฮะๆ ล้อเล่นน่าเมลฟีน่า......ถ้ามีโอกาสก็กลับมาที่นี่ด้วยนะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว! ข้าให้สัญญาเลย” เมลฟีน่ายืนยันคำมั่นสัญญาของเธอด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
พวกเขากำลังจะแยกย้ายกันกลับบ้านตอนที่เสียงระฆังในหมู่บ้านดังขึ้น
“นี่มัน......ระฆังรวมคนเหรอ?” แอนนาพูด หันไปทางโบสถ์ของหมู่บ้าน
“เกิดอะไรขึ้นกันนะ?” สเตนพูดด้วยความสงสัย แต่เมลฟีน่าไม่รีรอ เธอรีบวิ่งตรงไปที่ใจกลางหมู่บ้านทันที
“เมลฟีน่า!!” สเตนกับแอนนาวิ่งตามเธอไป
พวกเขาวิ่งมาจนมาถึงลานกลางหมู่บ้าน ชาวบ้านคนอื่นๆทั้งเด็ก คนหนุ่มสาวและคนชราต่างก็มารวมตัวกันและไถ่ถามกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ลุงจ๊ะ เกิดอะไรขึ้นรู้มั้ย?” แอนนาถามคุณลุงร้านขายผักประจำหมู่บ้าน
“รู้สึกว่าพวกขุนนางจะมีเรื่องอยากพูดกับพวกเรานะ” เขาตอบ
ในขณะที่ผู้คนมาชุมนุมกันมากขึ้นนั้นพวกเมลฟีน่าก็ถูกเบียดจนแยกออกจากกัน ทันใดนั้นก็มีมือของใครบางคนจับข้อมือของเมลฟีน่าไว้แน่นมากแล้วดึงเธอออกมาจากฝูงชน เขาดึงเธอแยกออกมาหลบที่ข้างๆบ้านหลังหนึ่งบริเวณนั้น
“ท่านลุง! อะไรกันคะเนี่ย?” เมลฟีน่าถามวิคเตอร์ที่ดึงตนเองออกมาด้วยความโกรธแต่เขากลับบอกให้เธอเงียบ
ทันใดนั้นทั้งทหารราบและทหารม้าโรมานอฟก็จัดขบวนเข้าล้อมผู้คนที่อยู่กลางลานหมู่บ้าน ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้น
“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!” ชายคนหนึ่งตะโกนขึ้น
“อะไรกันเนี่ยผู้ใหญ่บ้าน!?” ชายอีกคนหนึ่งถามผู้ใหญ่บ้านชราซึ่งยืนอยู่ข้างๆนายทหารโรมานอฟผู้สวมชุดเกราะโซ่ถักและชุดคลุมสีขาวทั้งตัวที่มีลายกางเขนสีแดงที่หน้าอก และมีผ้าคลุมสีขาว สวมหมวกเหล็กทรงกรวย เขามีผิวสีขาวเฉกเช่นชาวโรมานอฟส่วนใหญ่ ผมสั้นสีทองถูกปิดไว้โดยหมวกเหล็กและนัยน์ตาสีเขียวมรกต อายุของเขาน่าจะใกล้เคียงกับวิคเตอร์
“ทุกคนใจเย็นๆกันนะ! พวกท่านขุนนางแค่มีเรื่องจะสอบถามพวกเราเท่านั้นเอง!” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวด้วยเสียงที่สั่นเทาเนื่องจากเขาชรามากแล้ว
“เราแค่จะตรวจสอบอะไรบางอย่างเท่านั้น จะไม่มีใครเสียหายหรือได้รับบาดเจ็บถ้าให้ความร่วมมือ!” นายทหารโรมานอฟกล่าวขึ้นก่อนจะหันไปที่รถม้าที่จอดอยู่ด้านหลังแล้วยื่นมือไปเปิดประตู
เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินลงมาจากรถม้านั่น เขามีดวงตาและผมสีแดงเพลิงยาวประบ่า สวมชุดเกราะสีขาวแบบเดียวกับนายทหารของเขาแต่ไม่ได้สวมหมวกเหล็ก เขาน่าจะมีอายุพอๆกับเมลฟีน่า มีผิวสีขาวและใบหน้าที่จัดว่าหล่อมาก แต่มันกลับเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เขาเดินมายืนข้างๆนายทหารทำให้เห็นว่าเขาเตี้ยกว่าเล็กน้อย เขามองดูกลุ่มของชาวบ้านด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชิงชังแล้วจึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง
“ข้าคือ.......เจ้าชายเมกิดโด้ ลาร์ เดอ โรมาน่า!!........โอรสแห่งจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ออกัสตัส!!............จงนำ......เด็กสาวทุกคนในหมู่บ้านนี้ออกมา!!”
ทันใดนั้นเหล่าทหารราบเริ่มเดินเข้าไปดึงตัวเด็กสาววัยรุ่นออกมาจากกลุ่มคน บิดาหรือพี่น้องบางคนที่พยายามจะขัดขวางก็ต้องยอมจำนนเมื่อเจอกับคมดาบ
ทหารคนหนึ่งเดินมาพบแอนนาเข้าสเตนจึงเข้ามาขวางไว้ ทหารคนนั้นจ้องมองเธอครู่นึงแล้วจึงเดินผ่านไป
“ทะ....ทำไมพวกมันถึงไม่ทำอะไรข้าล่ะ?” แอนนากระซิบถามสเตน
“ไม่รู้สิ......มันคงนึกไม่ถึงมั้งว่าเจ้าอายุ
“หนอย.......จบเรื่องนี้แกโดนแน่” แอนนาคิดด้วยความแค้น รู้สึกเหมือนตัวเองโดนหลอกด่า
เด็กสาวสิบกว่าคนจากจำนวนชาวบ้านสองร้อยกว่ายืนเรียงแถวกันอยู่ด้านหน้าเจ้าชายเมกิดโด้ เขาเดินดูพวกเธอทีละคนจากด้านซ้ายมาจนสุดด้านขวา เขาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าเด็กสาวผมสั้นทรงกะลาคนหนึ่ง เด็กสาวในชุดกระโปรงยาวยืนตัวสั่นด้วยความกลัว ก้มหน้าไม่กล้าสบตากับเจ้าชายผู้เย็นชาเบื้องหน้า
ทันใดนั้นเจ้าชายเมกิดโด้ก็ยื่นมือไปกระชากคอเสื้อของเด็กสาวคนนั้นแล้วดึงมันออกจนขาด เผยให้เห็นเนินอกสีขาวนวล
“กรี๊ด!!” เด็กสาวกรีดร้องพร้อมกับก้มตัวลงด้วยความกลัว เหล่าชาวบ้านไม่อาจทนการกระทำอันเลวร้ายเช่นนี้ได้ แต่ก็มิอาจหาญกล้าสู้กับเหล่าองครักษ์ของเจ้าชายได้
เจ้าชายพยายามมองไปที่ต้นคอของเด็กสาวคนนั้น จากนั้นก็ทำแบบเดียวกันกับเด็กสาวคนถัดไป และคนถัดๆไปแต่พระองค์ไม่มีท่าทีที่แสดงถึงเจตนาที่ชั่วร้ายเลย เหมือนกับว่ากำลังมองหาอะไรบางอย่างจากเด็กสาวเหล่านั้น
“ไม่มี......” พระองค์พูดขึ้นเมื่อตรวจสอบเด็กสาวคนสุดท้ายแล้ว
“เรารีบไปตอนนี้เถอะ ตามข้ามาเงียบๆนะ” วิคเตอร์กระซิบบอกเมลฟีน่าแล้วเริ่มย่องออกไปด้านหลัง แต่เมลฟีน่ายังคงกังวลว่าเจ้าชายจะทำอะไรต่อไป
“เมลฟีน่า! เราต้องไปกันแล้ว” วิคเตอร์เตือนเธออีกเมื่อเห็นว่าเธอไม่ยอมตามมา
เจ้าชายเมกิดโด้เดินเดินเข้าไปหาผู้ใหญ่บ้านผู้ชราภาพด้วยความโกรธ ก่อนจะกระชากเขาเข้ามาใกล้ๆ
“เด็กสาวในหมู่บ้านมีแค่นี้จริงรึ?.......จริงรึ!!” เมกิดโด้ถามด้วยความโกรธ
“อะ..องค์ชาย.....ได้โปรด.....” ชายชราพยายามร้องขอความเมตตา แต่เจ้าชายไม่สนใจ เขาผลักชายชราล้มลงไปบนพื้นดิน
“ได้.....ในเมื่อเป็นเช่นนี้.......ข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้หมด! จะได้แน่ใจ!!” เจ้าชายทรงตะโกนออกมาด้วยความโกรธจนชาวบ้านทั้งหลายต่างพากันเสียขวัญ
“ฝ่าบาท ได้โปรดอย่าทรงทำเช่นนั้นเลย” นายทหารโรมานอฟขอร้องนายของตน
“ข้าต้องให้แน่ใจว่าสิ่งที่เป็นภัยต่อจักรวรรดิจะถูกกำจัดฟาบริโอ นั่นเป็น......หน้าที่ของผู้ที่จะเป็นจักรพรรดิ” เจ้าชายตอบ แต่นายทหารนามฟาบริโอยังคงพูดต่อไป
“ผู้ที่จะเป็นจักรพรรดิมิใช่แค่ต้องปกป้องจักรวรรดิแต่จะต้องปกป้องประชาชนของจักรวรรดิด้วย.......นั่นคือสิ่งที่ข้าสอนท่านเสมอ ลืมไปแล้วรึ?” ฟาบริโอพูดสั่งสอนเจ้าชายแห่งจักรวรรดิอย่างไม่เกรงกลัว
“ใช่......ข้าจำได้....ขอโทษด้วย” เจ้าชายเมกิดโด้ตรัสกับผู้ที่เป็นทั้งอาจารย์และผู้ดูแลตนมาตั้งแต่ยังเล็ก ทรงรู้สึกละอายใจกับนิสัยใจร้อนของตนเอง
“เฮ้ย! ถึงจะเป็นเจ้าชายก็เถอะทำแบบนี้มันจะมากไปแล้วนะโว้ย!!” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งอดกลั้นความโกรธไว้ไม่อยู่ ได้ตะโกนออกมา
“สามหาวนัก!!” ทหารคนหนึ่งใช้ด้ามดาบทุบไปที่ชายคนนั้นอย่างแรงจนล้มลงไป ชาวบ้านคนอื่นๆไม่มีใครกล้าให้ความช่วยเหลือ ทหารคนนั้นยกดาบขึ้นจะฟาดซ้ำอีกครั้งนึง
“หยุดนะ!!” เมลฟีน่าวิ่งเข้ามาเอาร่างของตัวเองบังให้ชายคนนั้น ทหารคนนั้นจึงไม่ฟาดดาบลงมา
“อย่าน่า!!” วิคเตอร์วิ่งตามเธอมาอยู่ข้างๆ และยอมก้มหัวขอร้องทหารคนนั้น
“ข้าขออภัยด้วย หลานสาวข้าไม่ทันคิด โปรดยกโทษให้ด้วยเถอะ”
เมื่อเห็นดังนี้ทหารคนนั้นจึงเดินออกมา แต่ทว่าคนที่เดินเข้ามาแทนเขากลับเป็นเจ้าชายเมกิดโด้!! พระองค์ทรงทอดพระเนตรมาที่เด็กสาวผมสีทองยาวสลวยที่อยู่ด้านหน้า และค่อยๆก้าวเข้ามา จนมายืนอยู่ข้างหน้าเธอ พระองค์ก้มลงมามองหน้าเธอใกล้ๆ ก่อนจะยื่นมือไปจับบางอย่างที่ห้อยอยู่ที่คอนวลสวยของเธอ จี้ของแม่ของเธอนั่นเอง!!
เธอไม่ได้สังเกตุเลย มันคงหลุดออกมาจากด้านในเสื้อตอนที่เธอวิ่งเข้ามาช่วยชายคนที่ถูกทำร้าย จี้สีทองแวววาว พร้อมด้วยตัว R ที่สลักไว้ด้านหน้า ไม่มีทางเลยที่เจ้าชายจะไม่รู้จักมันเพราะพระองค์ก็มีของแบบเดียวกันอยู่หนึ่งอันห้อยอยู่ที่คอ! พระองค์จ้องมองจี้นั้นก่อนจะเบนสายตากลับมาที่เมลฟีน่า แล้วก็ทรงตรัสขึ้น
“ข้าหาเจ้าเจอแล้ว.......”
ทันใดนั้นวิคเตอร์ชักมีดที่เหน็บไว้ในเสื้อข้างเอวฟันออกไปหมายปลิดชีพเจ้าชาย ทว่าฟาบริโอชักดาบของเขามาป้องกันไว้ได้
“เป็นเกียรติยิ่งที่ได้พบกันอีกครั้ง ท่านแม่ทัพเรนนอฟ” ฟาบริโอบอกแล้วจึงดันวิคเตอร์ออกไปพร้อมกันนั้นเจ้าชายก็ตะโกนขึ้น
“นักรบเวทย์!!” ชายสวมเสื้อคลุมมีฮู้ดสีแดงสามคนเดินออกมาจากกลุ่มทหาร คนหนึ่งเดินมาอยู่ต่อหน้าผู้คนแล้วเริ่มร่ายมนต์
“ข้าแด่เทพอัคคีเฮเฟสตัส โปรดประทานอำนาจแห่งเพลิงมาให้แก่ข้า” ทันใดนั้นเองเปลวเพลิงก็ลุกขึ้นที่มือทั้งสองข้างของเขา เขาเริ่มเคลื่อนไหวด้วยท่าทางที่งดงามและดุดันเปลวเพลิงในมือก็ยิ่งลุกโชนขึ้น เขาเอามือมารวมกันรวมเปลวเพลิงให้เป็นก้อนแล้วเขวี้ยงไปที่บ้านหลังหนึ่งจนมันระเบิดออกเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ชาวบ้านทุกคนต่างหมอบลงด้วยความกลัว เมลฟีน่าจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตกตะลึง
“ถ้าเจ้าขัดขืน........ข้าจะทำลายหมู่บ้านนี้ให้สิ้นซาก” เจ้าชายทรงตรัสกับเมลฟีน่า เธอมองเข้าไปในดวงตาของเขา รู้สึกได้ว่าเขาเอาจริงแน่ เธอรู้สึกกลัวมาก แต่เธอก็ไม่อาจปล่อยให้คนอื่นๆต้องมารับเคราะห์ไปด้วยได้ เธอจึงตัดสินใจในที่สุด
“เข้าใจแล้ว......ข้าจะไปกับพวกท่าน”
“องค์หญิง!” วิคเตอร์พยายามจะห้ามเธอแต่เมลฟีน่ายกมือขึ้นหยุดเขาแล้วจึงพูดต่อ
“แต่มีข้อแม้ว่าท่านต้องไม่มายุ่งกับหมู่บ้านนี้อีก”
เจ้าชายทรงมองเข้าไปในดวงตาของเธอ ไม่มีความหวาดหวั่นอยู่ในนั้นแม้แต่น้อย พระองค์จึงให้สัญญาแก่เธอ
“ได้ ข้าให้สัญญา แต่ไม่รวมถึงวิคเตอร์ เรนนอฟ ข้าจะปล่อยเขาไปไม่ได้ เขาจะต้องกลับไปรับโทษกบฏที่นครหลวง”
“อะไรกัน!” เมลฟีน่าพยายามจะต่อต้านแต่คราวนี้กลับเป็นวิคเตอร์ที่พูดขึ้นมา
“ไม่เป็นไร!....ไม่เป็นไร เมลฟีน่า” เขายิ้มให้แก่เธอ เจ้าชายมองดูพวกเขาทั้งสองคนก่อนจะหันหลังแล้วเดินกลับไปที่รถม้า
“พาพวกมันไป!!”
“ขอเชิญมากับข้าพะย่ะค่ะ องค์หญิง” ฟาบริโอเดินเข้ามาพูดกับเมลฟีน่า แต่เธอยังคงเป็นห่วงวิคเตอร์
“แต่ว่า.....”
“ไม่เป็นไร.....ไปเถอะ” วิคเตอร์ปลอบใจเธอ เธอจึงยอมเดินตามฟาบริโอขึ้นไปนั่งในรถม้าของเจ้าชาย
“ข้าฝากความหวังไว้กับเจ้าแล้วนะ.....เจสัน” วิคเตอร์คิดขณะที่ทหารโรมานอฟใช้โซ่ผูกข้อมือเขาไว้กับด้านหลังของรถม้า แล้วพวกทหารก็จากไป รวดเร็วเหมือนกับตอนที่พวกเขาเข้ามา
ชาวบ้านผู้ชายต่างพากันถถเถียงกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บางคนก็ก่นด่าเหล่าทหาร หลายคนสงสัยว่าทำไมพวกมันถึงจับตัวเด็กสาวในหมู่บ้านของเขาไป พวกผู้หญิงก็รีบพาเด็กๆกลับเข้าไปในบ้าน
“ไอ้.....ไอ้บ้านั่นมันใครกันวะ! ไอ้เจ้าชายบ้านั่น! มันจับเมลฟีน่าไป!” สเตนยังคงสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“แบบนี้ไม่ดีแน่” แอนนาพูดขึ้น
“มันจะ....มันจะฆ่าเธอรึเปล่า?”
ความคิดเห็น