คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เด็กสาวชาวไร่
ท้องฟ้ายามค่ำคืนเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานเพราะเปลวเพลิงที่กำลังโหมไหม้ปราสาทแนวโกธิคของยุโรปอยู่ มันเป็นปราสาทที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง สร้างจากหินมีขนาดที่ใหญ่โต ตั้งอยู่ใจกลางของมหานครศักดิ์สิทธิ์โรมูลัส เมืองหลวงแห่งจักรวรรดิโรมานอฟ ซึ่งภายในเมืองกำลังวุ่นวายกันเป็นอันมากเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีพระราชวังหลวง ผู้คนตื่นตระหนก บางคนก็เก็บตัวอยู่ในบ้าน บางคนก็ออกมาที่ถนนเพื่อมองดูเปลวเพลิงที่กำลังโหมกระหน่ำ กระจกลายโมเสคที่เคยสวยงามของพระราชวังหลวงเริ่มแตกออกเพราะความร้อนในขณะที่พวกทาสในพระราชวังพยายามช่วยกันดับไฟอย่างเต็มที่
“ใครก็ได้รีบไปที่ห้องบรรทมพระจักรพรรดิเร็วเข้า!!” ข้ารับใช้ในราชวังคนหนึ่งตะโกนขึ้นด้วยความห่วงใยจักรพรรดิของตน
“ไม่ได้หรอกขอรับ! ทางนี้ไฟมันไหม้แรงเกินไป เราต้องหาทางอื่นแล้ว!” ทหารคนหนึ่งแนะนำ
“งั้นก็รีบไปหาเข้าสิ! ไม่ใช่แค่ฝ่าบาทนะ จักรพรรดินีกับองค์หญิงแล้วก็ท่านมหาอุปราชก็หายตัวไปด้วย!”
เหล่าข้ารับใช้ซึ่งกำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือนายของตนเองนั้น ไม่รู้เลยว่าที่อีกฟากนึงของพระราชวัง เหตุการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่ากำลังเกิดขึ้น
“ฝ่าบาท ทางนี้พะย่ะค่ะ เดินระวังด้วย” ชายหนุ่มผิวขาว ผมดำยาว ในชุดเกราะอัศวินโรมานอฟระดับสูง สีขาวมีรูปไม้กางเขนสีแดงที่หน้าอก กำลังนำทางจักรพรรดิหนุ่มหลบหนีจากอะไรบางอย่าง
จักรพรรดิคอนสแตนติน บรอง เดอ โรมาน่ามีผมสีดำ ผิวขาว ไว้เครารูปร่างสันทัดสวมเสื้อคลุมสำหรับนอนที่หรูหราประดับด้วยทอง มือขวาถือดาบยาวแบบยุโรปที่มีใบมีดสีขาวฝักดาบประดับด้วยทองคำและเพรชจากเอเซี่ยน ที่เดินตามหลังพระองค์มาคือองค์จักรพรรดินีคอเนเลีย ซึ่งเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงามมาก ผมยาวสีทองงดงามของพระองค์เป็นที่เลื่องลือไปจนสุดขอบเอเซี่ยนเลยก็ว่าได้ ในอ้อมกอดของพระองค์คือองค์หญิงเมลฟีน่าที่เพิ่งประสูติได้เพียงไม่กี่เดือน โดยมีทหารโรมานอฟอีก 2 นาย เดินปิดท้าย
“อีกไกลมั้ยวิคเตอร์?” จักรพรรดิทรงตรัสถาม วิคเตอร์ เรนนอฟ หัวหน้าหน่วยราชองครักษ์
“เลี้ยวตรงหัวมุมนั่นก็ถึงทางออกลับแล้วพะย่ะค่ะ” วิคเตอร์ตอบ แต่เมื่อพวกเขาเลี้ยวไปสิ่งที่พบกลับเป็นทหารโรมานอฟอีกกลุ่มหนึ่งที่มีกันมากกว่าสิบคน และคนอีกคนนึงที่สวมชุดขุนนางหรูหรามีผ้าคลุมประดับทอง
“ข้านึกแล้วว่าพวกท่านต้องหนีมาทางนี้ท่านพี่” ชายที่สวมชุดขุนนางพูดขึ้น
“ออกัสตัส เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้!! ข้าอุตส่าให้เจ้าได้เป็นถึงมหาอุปราช ยังไม่พอสำหรับเจ้าอีกเรอะ!!” จักรพรรดิตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ พระอนุชาของพระองค์จึงตอบกลับ
“ราชวงศ์โรมาน่าของเราคงไม่มีมาจนถึงบัดนี้หากไม่แย่งชิง! ท่านพี่ชอบประวัติศาสตร์น่าจะรู้ดีมิใช่รึ?”
“นั่นก็จริง! แต่การฆ่าฟันแย่งชิงอำนาจในราชวงศ์เรามันหมดไปในยุคของท่านพ่อแล้ว! ท่านสอนเสมอให้เราปกครองด้วยหลักการแห่งพี่น้องเจ้าจำไม่ได้รึไง!”
“จักรพรรดิจะมี 2 คนไม่ได้! หากข้าไม่ได้เป็นจักรพรรดิ! พี่ก็อย่าหวังว่าจะได้เป็น! ฆ่ามันให้หมด!!”
สิ้นเสียงสั่งของมหาอุปราช ทหารมากกว่าสิบคนก็กรูเข้าใส่กลุ่มของจักรพรรดิ
“ปกป้องฝ่าบาท!!” วิคเตอร์สั่งลูกน้องทั้งสองคนแล้วพวกเขาทั้งสามก็วิ่งเข้าไปปะทะกับทหารของออกัสตัสที่มีมากกว่าได้อย่างสูสี
“ถ้าเห็นท่าไม่มีละก็......พาลูกหนีไปซะ” จักรพรรดิตรัสขึ้นก่อนจะชักดาบสีขาวบริสุทธิ์ของพระองค์ออกมาและวิ่งไปต่อสู้กับออกัสตัส
“ท่านพี่!.....” องค์จักรพรรดินี พยายามจะห้ามพระสวามีแต่พระองค์ก็กลัวเกินกว่าจะก้าวตามไปได้
จักรพรรดิและออกัสตัสฟาดฟันดาบใส่กันอย่างดุเดือด
“หึ......ดาบครูเซด ดาบศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งผู้ปกครองจักรวรรดิโรมานอฟ.........อีกเดี๋ยวก็เป็นของข้า” ออกัสตัสยิ้มอย่างได้ใจและยกดาบขึ้นเตรียมฟันพี่ชายของตนอีกรอบ แต่จักรพรรดิเห็นช่องโหว่ของเขาแล้ว ในพริบตาเดียวพระองค์พุ่งเข้าไปฟาดดาบใส่ออกัสตัสอย่างดุเดือดจนเขารับไว้ไม่ไหว ดาบกระเด็นหลุดมือไป
ออกัสตัสล้มลงบนพื้น เขาเงยหน้าขึ้นมาพบว่าจักรพรรดิกำลังเดินเข้ามาหาเขา ด้วยความหวาดกลัวออกัสตัสรีบคลานหนีอย่างไร้เกียรติ
“ไม่ต้องกลัวไป ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก แต่อย่าหวังว่าจะได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลย” จักรพรรดิตรัส พระองค์ไม่สามารถตัดใจสังหารน้องชายร่วมสายโลหิตได้ ด้วยความโกรธแค้นออกัสตัสจึงตะโกนออกไป
“ทำไมพระเจ้า! เหตุใดข้าจึงไม่มีสิทธิ์ได้เป็นจักรพรรดิ! เพียงเพราะพี่เกิดก่อนข้าแค่ปีเดียวรึ!!”
จักรพรรดิทรงมองเข้าไปในดวงตาของพระอนุชาแล้วกล่าวขึ้นว่า
“ถ้าหากเจ้ามีความสามารถมากกว่าข้าจริง ข้าก็พร้อมที่จะมอบตำแหน่งจักรพรรดิให้เสมอ...........แต่นี่........ที่เจ้าไม่ได้เป็นจักรพรรดิ มันก็เป็นเพราะว่าเจ้า......ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นจักรพรรดิ.......เพียงแค่นั้นแหละ”
จักรพรรดินีกอดพระธิดาไว้ในอ้อมอกขณะที่เฝ้าดูพระสวามีด้วยความห่วงใย จนพระองค์ไม่ทันสังเกตเห็นว่าเพดานด้านบนเริ่มเกิดรอยร้าวขึ้นมาและมันก็ถล่มลงมาในที่สุด
“กรี๊ด!!!!”
“คอเนเลีย!!” จักรพรรดิพุ่งตัวเข้าไปผลักจักรพรรดินีออกมาจนพระองค์ถูกเศษหินจากเพดานบาดที่น่องขา
“ฝ่าบาท!!” วิคเตอร์จะเข้าไปช่วยนายของตนแต่ก็ถูกทหารของออกัสตัสคนนึงฟันดาบใส่เขาจึงต้องหยุดเพื่อป้องกันตนเอง ลูกน้องของเขาอีกสองคนก็สู้อย่างเต็มที่ พวกเขาฆ่าศัตรูไปได้ 2-3 คนแล้วแต่พละกำลังก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ ทหารคนหนึ่งป้องกันดาบที่ฆ่าศึกฟันมา เขาถีบเข้าไปที่ขาของข้าศึกคนนั้นแรงพอที่จะทำให้กระดูกหักได้ ข้าศึกทรุดตัวลงทหารคนนั้นฟาดดาบลงไปอย่างแรงจนทะลุหมวกเหล็กและกะโหลกศรีษะของข้าศึกคนนั้นเลือดและสมองไหลพุ่งออกมา ยังไม่ทันที่ทหารคนนั้นจะได้พัก ทหารข้าศึกอีกคนนึงเข้ามาทางด้านหลังแล้วฟาดดาบใส่เขา ทหารคนนั้นดึงดาบออกมาจากกะโหลกไม่ได้เขาจึงตัดสินใจในเสี่ยววินาทียกแขนซ้ายขึ้นมาป้องกัน ดาบทะลุเสื้อเกราะเข้าไปในเนื้อและกระดูกของเขา ความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่สมองแต่เขากัดฟันสู้ ใช้หัวที่ใส่หมวกเหล็กของตนเองกระแทกเข้าไปที่หมวกเหล็กของข้าศึกอยากแรงจนมันเซไปด้านหลัง แขนของเขาห้อยอยู่กลางอากาศแต่ไม่ได้ขาดออกจากกันเลือดไหลโชกออกมาจากเสื้อเกราะ เขากัดฟันยกดาบขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าใส่ข้าศึกที่นอนอยู่ที่พื้น ข้าศึกคนนั้นเองยังคงมึนงงอยู่เนื่องจากถูกกระแทกศรีษะอย่างแรง เขารีบควานหาดาบบนพื้น เมื่อหยิบได้จึงหันกลับไปแทงเข้าใส่ทหารองครักษ์ที่วิ่งเข้ามา ปลายดาบทะลุเสื้อเกราะไปจนถึงหลังขององครักษ์แต่องครักษ์ก็ขอยอมตายอย่างไว้ลาย เขาแทงดาบสวนเข้าไปที่ใบหน้าของทหารข้าศึกคนนั้นแล้วร่างทั้งสองก็ร่วงลงสู่พื้น
องครักษ์อีกคนนึงสู้อยู่เคียงข้างวิคเตอร์พวกเขาสู้อยู่กับทหารข้าศึกอีกสี่คนที่เหลือ องครักษ์ใช้ดาบสองเล่มสู้กับข้าศึกสองคน ขณะที่วิคเตอร์ใช้เพียงเล่มเดียว องครักษ์ฟาดดาบในมือขวาเข้าใส่ข้าศึกคนนึง มันยกดาบขึ้นป้องกันและตวัดดาบจนดาบหลุดออกจากมือขวาขององครักษ์แต่เขาหมุนตัวและใช้ดาบในมือซ้ายฟันใส่หน้าอกของข้าศึกคนนั้น ทะลุเสื้อเกราะเกราะเลือดพุ่งออกมาแล้วมันก็ล้มลงไป ข้าศึกอีกคนนึงฉวยโอกาสนั้นฟันเข้าไปที่ไหล่ซ้ายขององครักษ์จนเลือดไหลออกมา เขาเปลี่ยนไปถือดาบไว้ในมือขวาข้าศึกคนนั้นพุ่งเข้ามาอีกครั้งนึง องครักษ์ก้มหลบดาบที่ฟันมาและแทงสวนทะลุท้องข้าศึกคนนั้นเขาดึงดาบออกมาเลือดและลำไส้ก็ไหลทะลักออกมาด้วย องครักษ์เห็นวิคเตอร์กำลังสู้กับข้าศึกสองคนอยู่จึงจะเข้าไปช่วยแต่วิคเตอร์ห้ามไว้
“ไม่ต้องห่วงข้า! ไปช่วยฝ่าบาท!” วิคเตอร์บอกขณะที่ฟาดดาบเฉือนไหล่ซ้ายข้าศึกคนหนึ่งไป องครักษ์คนนั้นจึงรีบวิ่งไปหาจักรพรรดิ
ออกัสตัสเมื่อเห็นว่าพี่ชายของตนบาดเจ็บที่ขา ก็ไม่ได้มีความสำนึกเสียใจกับสิ่งที่ตนทำลงไปแต่อย่างใดเขาหยิบดาบขึ้นมาแล้ววิ่งเข้าไปฟันจักรพรรดิ
“ฝ่าบาทระวัง!!” จักรพรรดินีกรีดร้องขณะที่จักรพรรดิกัดฟันยืนขึ้นใช้ดาบของตนปัดป้องดาบของออกัสตัสแต่ด้วยขาที่บาดเจ็บทำให้การป้องกันเป็นไปอย่างยากลำบาก จนในที่สุดออกัสตัสก็เตะเข้าไปที่ขาข้างที่บาดเจ็บจนจักรพรรดิล้มลง จักรพรรดินีรีบคลานเข้าไปหาพระองค์
“ฝ่าบาท!!!” ทหารองครักษ์วิ่งเข้ามาหวังจะช่วยเหลือ เขาฟันดาบใส่ออกัสตัสแต่ออกัสตัสก็หลบได้และฟันดาบใส่หลังของเขาอย่างแรงเลือดไหลทะลักออกมาแล้วองครักษ์ก็ล้มลงไป ออกัสตัสจึงค่อยๆเดินเข้าไปหาพี่ชายของตนที่นอนอยู่บนพื้น
“พี่ไม่ต้องห่วงนะ.......ข้าจะดูแลจักรวรรดิของพี่ให้เอง........แล้วก็เมียกับลูกสาวพี่ด้วย” ออกัสตัสแสยะยิ้มอย่างน่ารังเกียจพร้อมกับยกดาบขึ้น
วิคเตอร์พุ่งเข้ามาชนออกัสตัสและดันมันไปจนกระแทกกำแพงราชวัง จากทางที่เขาวิ่งมาปรากฏศพของทหารของออกัสตัสสองศพโดยที่ศพนึงมีดาบเสียบทะลุหน้าอกอยู่ วิคเตอร์ยื้อแย่งดาบกับออกัสตัสจนกระทั่งมันหลุดมือทั้งคู่ไป วิคเตอร์ไม่รอช้าชกเข้าไปที่หน้าออกัสตัสจนล้มลงไปเลือดกำเดาไหลออกมาไม่หยุดและแน่นิ่งไป วิคเตอร์รีบเข้าไปดูอาการจักรพรรดิ
“เราต้องรีบไปต่อพะย่ะค่ะ ต้องรีบห้ามพระโลหิตให้พระองค์” วิคเตอร์บอกพลางฉีกผ้าคลุมของตนเองมาพันแผลให้จักรพรรดิ แต่พวกเขาไม่ได้สังเกตว่าออกัสตัสเพียงแค่แกล้งสลบไปเท่านั้น มันค่อยๆชักมีดออกมาและขว้างใส่จักรพรรดิอย่างรวดเร็ว
สายโลหิตค่อยๆไหลออกมาจากแผลที่หน้าอกของจักรพรรดินี พระองค์ทิ้งลูกสาวสุดที่รักลงกับพื้นและใช้ตัวเองกำบังให้จักรพรรดิ พระองค์ทรงล้มลงท่ามกลางเสียงร้องไห้ขององค์หญิงตัวน้อย วิคเตอร์จะลุกขึ้นไปจัดการกับออกัสตัสแต่มันก็วิ่งหนีไปก่อนแล้ว เขาจึงเดินไปอุ้มองค์หญิงขึ้นมา จักรพรรดิกอดภรรยาสุดที่รักไว้ในอ้อมแขน ใจของพระองค์แตกสลาย องค์จักรพรรดินียังคงมีลมหายใจแผ่วเบาพระองค์ตรัสขึ้นว่า
“ขอ...ร้อ...ง......อย่า.....ตายนะ....ลูกแม่” พระองค์ตรัสขึ้นทั้งน้ำตาพร้อมกับดึงจี้ห้อยคอสีทองที่มีตัว R ตัวใหญ่สลักไว้ด้านหน้า ออกมาจากคอตนเองแล้วนำไปคล้องคอองค์หญิงก่อนจะสิ้นใจ แต่ยังไม่ทันที่จะได้มีเวลาเสียใจเสียงฝีเท้าจำนวนมากและเสียงของออกัสตัสก็ลอยมาตามทางเดิน
“พวกมันอยู่ข้างหน้านี่ล่ะ! รีบไปฆ่ามัน!!”
“ฝ่าบาท เราต้องรีบไปแล้วพะย่ะค่ะ” วิคเตอร์รีบพูดแต่จักรพรรดิก็ส่ายศรีษะ
“เจ้าต้องอุ้มเมลฟีน่า......พยุงข้าไปด้วยไม่ไหวหรอก จะทำให้เสียเวลาเปล่าๆ”
“ไม่ อย่าทรงตรัสเช่นนั้น ลุกขึ้นเถิด......พระองค์พาองค์หญิงไปก็ได้ ข้าจะถ่วงเวลาพวกมันไว้ให้” วิคเตอร์ผู้จงรักษ์ภักดีพยายามเปลี่ยนใจนายของตน แต่จักรพรรดิกลับยื่นดาบของพระองค์ออกไปให้วิคเตอร์
“ดาบครูเซด......สัญลักษณ์ของผู้ปกครองที่แท้จริงแห่งโรมานอฟ ออกัสตัสไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นจักรพรรดิ ถ้าเป็นไปตามความคิดของข้า.....ขออย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย ภายในยี่สิบปีนี้ ความอ่อนแอของเขาจะชักนำให้ข้าศึกของเราเข้ามารุกรานโดยเฉพาะพวกซัรฮานี......สุลต่านองค์ใหม่เพิ่งขึ้นครองราชย์ พวกมันคงไม่โจมตีเราเร็วๆนี้ แต่พวกมันมาแน่ ในยุคของเมลฟีน่า........ดังนั้น ถ้าเธอเติบโตขึ้น....จงมอบดาบเล่มนี้ให้เธอ ตราบใดที่มันยังอยู่ในมือของเมลฟีน่า......จักรวรรดิเราก็ยังคงมีอนาคต ข้าขอฝากเจ้าช่วยดูแลลูกสาวข้า......จะได้มั้ย?”
“.........ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังพะย่ะค่ะ”
“อา.....ถือเป็นคำสั่งสุดท้ายจากข้าละกันนะ” จักรพรรดิยิ้มให้กับเพื่อนสมัยเด็กของตน ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะแก้มของเมลฟีน่าที่เหนื่อยจนหลับไปแล้ว
“ใจจริง พ่ออยากให้ลูก......ได้เติบโตขึ้นมาแบบเด็กผู้หญิงธรรมดามากกว่า......ขอโทษจริงๆนะ ไปได้แล้ววิคเตอร์” จักรพรรดิสั่ง วิคเตอร์จึงเดินไปทุบกำแพงตรงผนังบริเวณนั้นแล้วมันก็เปิดออก แต่เขาก็หยุดแล้วหันกลับมามองอีกครั้ง......เป็นครั้งสุดท้าย แล้วจึงเข้าทางลับไปแล้วมันก็ปิดลง
จักรพรรดิรวมแรงเฮือกสุดท้ายหยิบดาบขององครักษ์ที่ตายลุกขึ้นยืน ออกัสตัสก็โผล่มาพร้อมกับทหารอีกกว่ายี่สิบคน แต่จักรพรรดิก็ยืนเผชิญหน้าโดยไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
“พวกแก.......อย่าเห็นว่าข้าเจ็บขาแล้วประมาทเชียวล่ะถ้าไม่อยากตาย......ข้าไม่ออมมือให้หรอกนะ” จักรพรรดิตรัสด้วยใบหน้าที่ไร้ความหวาดกลัว
“........ฆ่า” ออกัสตัสสั่งเพียงคำเดียว ทหารกว่ายี่สิบคนก็กรูเข้าไปพร้อมๆกัน
“ย้าก!!!!!!!!” จักรพรรดิยกดาบของพระองค์ขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปปะทะกับทหารกลุ่มนั้นท่ามกลางพระราชวังที่กำลังตกอยู่ในกองเพลิงนั่นเอง..........
...................................................................................................... 16 ปี ต่อมา ..............................................................................................................
จักรวรรดิโรมานอฟ จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ของชาวสวาเดี่ยนที่มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอันดับต้นๆของทวีปดราโกเนีย ล้อมรอบโดยเทือกเขาเฮริดทางตะวันออกและเทือกเขากอลทางตะวันตก จึงเป็นจักรวรรดิที่เข้มแข็งไม่เคยถูกผู้ใดรุกรานมานานกว่าสี่ร้อยปีนับแต่ที่ราชวงศ์โรมาน่าก่อตั้งจักรวรรดินี้ขึ้นมา
นครศักดิ์สิทธิ์โรมูลัส เมืองหลวงแห่งจักรวรรดิโรมานอฟ เป็นเมืองที่มีความงดงามเป็นอย่างมาก ตึกรามบ้านช่องถูกสร้างจากตามสถาปัตยกรรมโรมันโบราณ จึงเต็มไปด้วยอาคารที่มีเสาค้ำยันขนาดใหญ่ มีรูปภาพสีน้ำมันถูกวาดไว้ที่กำแพงต่างๆอย่างงดงาม มหาวิหารเซนต์เรมุสซึ่งมีขนาดใหญ่และงดงามที่สุดในบรรดาโบสต์นับพันของจักรวรรดิตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวง ตัวตึกสีขาวที่มีกระจกโมเสคงดงาม ลานกว้างใจกลางวิหารพร้อมกับไม้กางเขนทองคำขนาดยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง นับเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวโรมานอฟที่ศรัทธามั่นในศาสนาของพวกเขา
แต่ห่างออกไปจากเมืองหลวงที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน ข้ามผ่านป่าดำแห่งไคร์ ผ่านทุ่งราบโฮมิ่งและป้อมปราการแห่งกัลป์เลีย ที่สุดขอบชายแดนของจักรวรรดิยังมีหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า รีนส์ เป็นหมู่บ้านเกษตรกรรมขนาดเล็กมีจำนวนประชากรไม่ถึงสองร้อยคน
“เมลฟีน่า เมลฟีน่า เรนนอฟ ตื่นได้แล้ว..................ตื่นได้แล้วย่ะยัยขี้เกียจสันหลังยาวไร้จรรยาบรรณชาวไร่!!”
เด็กสาวผมสีดำทรงทวินเทลที่ใส่เสื้อกระโปรงยาวตามแบบหญิงยุโรปยุคกลางเตะเด็กสาวผมทองยาวสลวยที่นอนอยู่บนเตียงจนตกลงไปบนพื้น
“เอ๋....อะไรอ่ะ?......แผ่นดินไหวเหรอ?” เด็กสาวผมทองที่ชื่อเมลฟีน่าใช้มือขยี้ตาด้วยความงัวเงีย เธออยู่ในชุดนอนวันพีซยาวสีชมพูสดใส
“แผ่นดินไหวบ้านเจ้าสิยะ” เด็กสาวผมดำพูดต่อ
“บ้านข้าก็อยู่ข้างๆบ้านเจ้านั่นแหละแอนนา” เมลฟีน่าโต้กลับพร้อมกับลุกขึ้นแล้วเริ่มบิดขี้เกียจไปมา เธอเป็นสาวน้อยอายุสิบหกปีที่มีสุขภาพร่างกายที่เติบโตแข็งแรงสมวัยถึงแม้จะค่อนข้างซุ่มซ่ามและเอ๋อในบางครั้ง “อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์อะไรกันยะ มันสายแล้วนะ รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงไปกินข้าวเร็ว” แอนนาบอกพลางถอนหายใจ เธอมีร่างกายที่ค่อนข้างเล็กและเตี้ยมากเมื่อเทียบกับเมลฟีน่าทั้งๆที่อายุเท่ากัน แถมยังไม่ค่อยจะมีมนุษยสัมพันธ์และอารมณ์ร้อนสุดๆ
“ได้เลยจ้า” เมลฟีน่าตอบแล้วเริ่มถกเสื้อนอนขึ้นเดี๋ยวนั้นเลย เผยให้เห็นเรียวขาที่ขาวนวล
“ว้ากกกก!!ๆๆๆๆ” เสียงร้องของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นทันที เด็กสาวทั้งสองหันไปดูก็พบว่ามีเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันยืนเอามือขวาปิดหน้ามือซ้ายชี้มาที่เมลฟีน่า “นั่นเจ้าจะบ้ารึไง! ข้ายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้! ยังจะเปลี่ยนเสื้อโดยไม่มองอีกรึไง!!”
“อ้าว สเตน?” เด็กสาวทั้งสองคนแปลกใจ
“อ้าว เจ้าอยู่ด้วยเรอะ?” แอนนาถามขึ้น
“ก็เดินขึ้นมาพร้อมกับเจ้านั่นแหละ!!” สเตนพูดเสียงดังอย่างหัวเสีย เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีร่างกายค่อนข้างผอม สูงกว่าเมลฟีน่าเล็กน้อย ผมสั้นสีดำ
“ฮะฮะฮะ สเตนนี่ยังจืดจางเหมือนเดิมเลยนะ ไม่รู้สึกตัวว่าอยู่เลยนะเนี่ย” เมลฟีน่าบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มจนใบหน้าของสเตนเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมาเขาจึงหันหน้าหลบ
“พูดแบบนี้ข้าควรจะดีใจหรือเสียใจดีเนี่ย” เขาคิดในใจ
“เอ้าๆ! ลงไปข้างล่างกันดีกว่า! เมลฟีน่ารีบเปลี่ยนชุดแล้วตามลงมาเร็วๆด้วยคุณลุงวิคเตอร์เขาออกไปที่ไร่นานแล้วนะ!” แอนนาพูดขึ้นพร้อมกับเดินไปลากสเตนออกไปจากห้อง
“โอ้ย! เบาๆหน่อยสิยัยเตี้ย! ว้ากกกกก!!!!” สติของแอนนาขาดผึงทันทีที่ได้ยินคำว่าเตี้ย เธอถีบสเตนจนกลิ้งตกบันไดลงไปข้างล่างทันที
เมื่อทั้งสองคนออกไปแล้วเมลฟีน่าก็เปลี่ยนเสื้อผ้า เธอไม่ชอบใส่ชุดกระโปรงยาวของสตรี แต่ชอบใส่เสื้อกับกางเกงขายาวแบบบุรุษมากกว่าเมื่อแต่งตัวเสร็จแล้วเธอก็เดินไปที่ประตู แต่ก่อนที่จะเดินออกไปเธอก็หยุดและเดินกลับมาที่เตียงเธอหยิบจี้ห้อยคอสีทองที่มีตัว R ตัวใหญ่สลักไว้ด้านหน้าขึ้นมา คล้องมันไว้ที่คอและซ่อนส่วนตัวจี้ไว้ในหน้าอกเสื้อ
“ขอโทษนะคะท่านแม่......เกือบลืมแล้วสิ” เธอพูดเบาๆแล้วจึงรีบวิ่งลงบันไดมา
เมลฟีน่าทานอาหารเช้าที่ลุงของเธอวิคเตอร์ทำไว้ให้แล้วทั้งสามคนก็เดินออกมาจากบ้านของเมลฟีน่า พวกเขาเดินผ่านใจกลางหมู่บ้านไป ระหว่างทางเมลฟีน่าทักทายชาวบ้านคนอื่นด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ถึงจะซุ่มซ่ามและทำผิดพลาดอยู่บ่อยๆแต่เธอก็เป็นเด็กที่ขยันขันแข็งและร่าเริงจึงเป็นที่รักใคร่ของผู้คนในหมู่บ้าน พวกเขาเดินมาจนมาถึงไร่นาของบ้านเมลฟีน่า ที่นั่นมีคนคนหนึ่งกำลังต้อนแกะสิบกว่าตัวให้กินหญ้าอยู่แถวนั้น ชายวัยกลางคนผมสีดำยาวรุงรังท่าทางค่อนข้างโทรมคนนั้นหันมาเห็นพวกเมลฟีน่าที่เดินมา
“มีอะไรให้พวกเราช่วยมั้ยคะท่านลุงวิคเตอร์!” เมลฟีน่าถามอย่างร่าเริง
“เมลฟีน่า ลุงบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องมาช่วยงานที่ไร่หรอก ลุงจัดการคนเดียวได้ รีบไปฝึกเวทย์มนต์ให้คล่องๆซะ” วิคเตอร์บอก
“อีกแล้วเหรอท่านลุง? ทำไมล่ะคะ? เด็กสาวชาวไร่แบบหนูไม่เห็นจำเป็นต้องฝึกเวทย์มนต์เลยนี่นา น่าเบื่อด้วย ทำไร่สนุกกว่าอีก” เมลฟีน่าพยายามขอร้อง
“อย่าคิดแบบนั้นสิ เจ้าคงไม่ได้เป็นชาวไร่ไปตลอดชีวิตหรอกน่ะ สักวันเจ้าจะต้องได้เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้”
“แต่ข้าชอบชีวิตชาวไร่นี่นา! ข้าไม่ได้อยากใช้เวทย์มนต์ได้เก่งแบบแอนนาแล้วก็ไม่อยากฟันดาบเก่งแบบสเตนด้วย!”
“ได้ ข้ายอมแพ้ ถ้างั้น.......ไปฝึกเวทย์มนต์หนึ่งชั่วโมง แล้วมาต้อนแกะไปกินหญ้า” ท้ายที่สุดวิคเตอร์ก็ต้องยอมแพ้ให้แก่ความหัวรั้นของหลานสาว เมลฟีน่าดีใจจนออกนอกหน้า
“เย้! สำเร็จ!”
“แต่ว่าต้องตั้งใจฝึกจริงๆนะ.....แอนนาข้าขอรบกวนเจ้าด้วยนะ”
“ค่ะท่านวิคเตอร์ ไว้ใจข้าได้เลย” แอนนาบอกก่อนจะลากเมลฟีน่าไปตรงที่โล่งใกล้ๆแล้วเริ่มการฝึก
“งั้นวันนี้จะสอนเวทย์จุดไฟให้นะ เวทย์พื้นฐานนะเนี่ย” แอนนาเริ่มอธิบายพร้อมกับหยิบไม้เล็กออกมาจากกระเป๋ากระโปรง
“ใช้คฑาสำหรับฝึกนี่เป็นตัวรวบรวมพลังเวทย์ ตั้งจิตให้มั่นแล้วร่ายมนต์” ทันใดนั้นก็มีเปลวไฟลุกโชนขึ้นที่ปลายคฑา
“ว้าว! แอนนาเก่งจังเลย” เมลฟีน่าชมอย่างตื่นเต้น
“หึ ก็แค่เวทย์มนต์ สู้ตัวต่อตัวกับนักดาบไม่ได้หรอก” สเตนพูดขึ้นมา เด็กสาวทั้งสองหันมาพร้อมกันแล้วพูดขึ้นว่า
“อ้าว....อยู่ด้วยเหรอ?”
“........ตลอดแหละ” สเตนตอบทั้งที่ยังเก๊กหล่อเหมือนเดิมแต่ในใจนั้นปวดร้าวเป็นที่สุด
“ไหนเจ้าลองดูสิ” แอนนายื่นไม้คฑาให้เมลฟีน่า
“จ้ะ! ตั้งจิตให้มั่น รวมสมาธิแล้วร่ายมนต์สินะ” เมลฟีน่าเริ่มร่ายมนต์แต่เปลวเพลิงกลับพุ่งออกมาจากคฑาอย่างแรงจนสเตนหงายหลังคว่ำไปและแอนนาก็รีบก้มลงทันที ส่วนเมลฟีน่าลนลานทำอะไรไม่ถูกได้แต่ชี้คฑาขึ้นด้านบน
“ปล่อยมือสิยะ! ปล่อยมือ!!” แอนนาตะโกนบอกเมลฟีน่าจึงทำตาม เปลวเพลิงดับลงและคฑาก็ตกลงสู่พื้นดิน เมลฟีน่าทรุดลงกับพื้น
“แหะๆ พลาดไปหน่อย” เมลฟีน่าเอามือเกาหัวพลางหันไปพูดกับแอนนา
“มา ‘แหะๆ’ ทำไมยะ! นี่เจ้าคิดจะเผาพวกเรารึไง!!”
“โทษทีๆ แต่ข้าก็ทำตามที่เจ้าบอกแล้วนี่นา”
“นั่นแหละปัญหาของเจ้า ที่เจ้าใช้เวทย์มนต์ไม่เก่งนี่ ไม่ได้อยู่ที่พลังเวทย์ อันที่จริงพลังเวทย์ในตัวเจ้ามันมากเกินไปด้วยซ้ำ แต่เจ้าดันควบคุมมันไม่ได้นี่สิ” แอนนาอธิบาย
“ใช่มั้ยล่ะ? ข้าน่ะไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้หรอก เพราะงั้นข้าไปต้อนแกะล่ะนะ” เมลฟีน่าจะเดินจากไปแต่แอนนาก็จับเธอเอาไว้ก่อน
“ไม่มีพรสวรรค์ก็ต้องฝึกให้มากๆสิยะ!!”
“ม่ายยยยย!!!!!!”
เด็กสาวทั้งสองคนฝึกฝนวิชาเวทย์มนต์กันอย่างสนุกสนาน(อยู่คนเดียว) โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่ามีเด็กหนุ่มจืดจางคนหนึ่งนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆนั่น ตอนนั้นเองที่วิคเตอร์เดินเข้ามา
“อ้าว มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะสเตน?”
“ท่านลุงครับ.....ผมนี่มันจืดจางขนาดนั้นเลยเหรอครับ” สเตนพูดทั้งน้ำตา แต่ดูเหมือนวิคเตอร์จะคิดว่าเขาล้อเล่นจึงไม่ใส่ใจแล้วเดินมานั่งลงข้างๆเขา
“ข้ารู้สึกขอบใจเจ้าจริงๆสเตน” วิคเตอร์พูดขึ้นขณะที่ทอดสายตามองดูเมลฟีน่าที่กำลังหัวเราะเพราะทำไฟไหม้ผมของแอนนา “กับแอนนาด้วย.....ที่เป็นเพื่อนกับเมลฟีน่าตลอดมา”
“เอ๋ อะไรกันครับจู่ๆก็.....”
“เด็กคนนั้นไม่มีพ่อแม่นี่นะ ถึงข้าจะพยายามทำตัวแทนพ่อของเขามากเท่าไหร่แต่ก็ไม่ไหวจริง ถ้าไม่มีพวกเจ้าละก็เมลฟีน่าคงไม่โตมาเป็นเด็กที่ร่าเริงแบบนี้แน่”
“แต่ข้าคิดว่าท่านน่ะ เป็นคนที่น่ายกย่องมากเลยนะครับ” สเตนเริ่มพูดบ้างทำให้วิคเตอร์หันมามองเขา “ถึงพ่อของเมลฟีน่าจะเป็นน้องชายของท่านแต่ท่านก็ไม่จำเป็นต้องรับเมลฟีน่ามาเลี้ยงหลังจากที่พ่อแม่เธอเสียไปแล้วก็ได้นี่ครับ แค่ไปฝากไว้กับโบสถ์ก็ได้แท้ๆ แต่ท่านกลับเลี้ยงเธอมาด้วยตัวคนเดียวตั้ง 15 ปี...อ้ะ จะ 16 แล้วสินะครับ ผมว่าที่เมลฟีน่าโตมาเป็นคนที่ร่าเริงแบบนี้คงเพราะไม่อยากให้ท่านที่ต้องทำงานหนักทุกๆวันเป็นห่วงนั่นแหละครับ แถมยังชอบช่วยงานในไร่อีกตังหาก”
วิคเตอร์อึ้งไปเล็กน้อยกับคำพูดของสเตนก่อนจะยิ้มแล้วพูดต่อ
“ข้าคิดว่าตัวข้าเองไม่ได้เป็นคนดีขนาดนั้นหรอกนะ......แต่ก็ขอบใจเจ้ามาก จากนี้ไปก็ช่วยเป็นเพื่อนกับเมลฟีน่าต่อไปด้วยนะ”
“แน่นอนครับ!”
คืนนั้นที่บ้านของเมลฟีน่า เธอกับวิคเตอร์กำลังทานอาหารเย็นกันอยู่
“แล้วแอนนาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยล่ะ โอ้ะ จริงสิ ก็ผมไหม้ไฟนี่นา ฮ่าฮ่าฮ่า”
“ฮะๆๆ ......เมลฟีน่า อาทิตย์หน้าเจ้าก็อายุครบ 17 ปีแล้ว ถ้าถึงวันนั้นข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเจ้าหน่อยนะ”
“เรื่องอะไรเหรอคะ?” เมลฟีน่าถามด้วยความสงสัย
“ไว้ถึงวันนั้นก็รู้เองล่ะ” วิคเตอร์บ่ายเบี่ยงทำให้เมลฟีน่ายิ่งสงสัย
“น่าสงสัย......อ้ะ รึว่า!” เธอทำท่าตกใจมากๆ “ข้าเป็นสาวแล้วก็เลยจะจับคลุมถุงชน!”
“..............ไม่ใช่หรอกน่ะ อีกอย่างนะจะไปคลุมถุงชนกับใครได้ ในหมู่บ้านนี้เด็กหนุ่มที่ยังไม่ได้แต่งงานก็มีแต่สเตนคนเดียว แล้วพ่อหนุ่มนั่นก็ชอบอยู่กับแม่หนูแอนนาไม่ใช่เรอะ?” วิคเตอร์พูดขึ้นมาแบบนั้นทำเอาเมลฟีน่าหันควับมาเลย
“ใครบอก?”
“อ้าว ไม่ใช่เรอะ? ข้ามองนึกว่าใช่ซะอีก”
“ใช่อะไรมองเนี่ยท่านลุง? ข้าไม่เห็นว่าจะเป็นแบบนั้นซักกะนิด”
ทันใดนั้นสีหน้าของวิคเตอร์ก็เปลี่ยนไปทันที
“ไม่นะ” เขาพึมพำก่อนจะบอกกับเมลฟีน่า “อย่าขยับไปไหนนะ”
“มีอะไรเหรอ?” เมลฟีน่าถามด้วยความสงสัยแต่วิคเตอร์ก็ลุกออกจากโต๊ะแล้วตอบสั้นๆว่า “อย่าขยับ”
วิคเตอร์หยิบขวานสำหรับตัดฟืนที่วางอยู่ข้างๆโต๊ะขึ้นมากุมไว้ในมือแล้วค่อยๆก้าวไปที่หน้าต่างที่ปิดม่านอยู่ ทันใดนั้นวิคเตอร์พุ่งตัวผ่านผ้าม่านออกไป ตัวเขากระแทกร่างๆนึงล้มลงเขาขึ้นไปคร่อมบนร่างนั้นแล้วใช้ด้ามขวานกดคอร่างนั้นเอาไว้
“เจ้าเป็นใคร! บอกมาไม่งั้นตาย!!” วิคเตอร์ตะคอกใส่ร่างนั้นมันมืดมากจนเขามองไม่เห็นใบหน้า
“อะไรกันเนี่ยท่านลุง!” เมลฟีน่าถือตะเกียงเดินออกมา
“อย่าเข้ามาเมลฟีน่า!” วิคเตอร์ตะคอกทำให้เมลฟีน่าหยุดกึก แสงไฟจากตะเกียงทำให้เห็นใบหน้าของชายวัยกลางคนที่โทรมมากและมีหนวดเครารุงรัง ร่างกายของเขาค่อนข้างท้วมสวมเสื้อสีน้ำตาลเก่าๆขาดๆ และกางเกงขายาว
“ข้า....ข้าเอง ท่านหัวหน้า” ชายคนนั้นพูดขึ้น และเมื่อวิคเตอร์หน้าเขาชัดเจนก็จำได้
“..........เจสัน.......ข้านึกว่าเจ้าตายแล้ว”
“ข้าจะตายก็เพราะท่านนี่แหละ รีบปล่อยข้าได้แล้ว” ชายร่างท้วมเริ่มพูดเมื่อนึกว่าวิคเตอร์จะดีกับตนแต่เขากลับกดขวานลงแน่นขึ้นอีก
“มาที่นี่ทำไม! ข้าเคยสั่งไว้ว่าถ้าข้าไม่เรียกไปห้ามใครติดต่อมาเด็ดขาดไง!”
“ข้าขอโทษจริงๆแต่ว่า.......ข้าต้องมาเตือนท่าน”
“เตือน.....เรื่องอะไร?”
“................พวกมันรู้แล้วว่าพระนางยังมีชีวิตอยู่” เจสันพูดสิ่งที่วิคเตอร์กลัวมาตลอด 16 ปีออกมา เขาคิดว่าจะมีเวลาเตรียมตัวอีกสักสองสามปีเสียอีก เขาปล่อยตัวเจสันแล้วหันมาหาเมลฟีน่า
“เรื่องที่ข้าบอกว่าจะบอกเจ้าในวันเกิดอายุ 17 น่ะ........ข้าจะบอกเลยก็แล้วกัน”
ความคิดเห็น