คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : [ 8 ] : Torture
Chapter VIII : Torture?
รถยนต์สีดำวิ่งเข้าสู่รั้วคฤหาสน์ตระกูลปาร์คด้วยความรวดเร็ว แอ่งน้ำบนพื้นที่สัมผัสกับล้อรถสาดกระเซ็นเป็นสาย เครื่องยนต์ดับลงเมื่อถึงด้านหน้าคฤหาสน์ ซีวอนรีบลงไปเปิดรถให้ผู้เป็นนาย ก่อนจะนำล่วงหน้าไปผลักเปิดประตูบานใหญ่ ภายในห้องโถงชางมินกำลังเดินไปเดินมาอย่างร้อนใจ
“เกิดอะไรขึ้น?” ชางมินไม่เข้าใจเลย ทั้งที่วันนี้ก็ไม่ได้มีงานอะไรที่น่าจะเป็นอันตรายแท้ๆ แต่ซีวอนกลับติดต่อมาว่าให้เรียกปาร์คจองซู...หมอประจำตระกูลมาที่คฤหาสน์ให้เร็วที่สุด
“ไม่ใช่นายท่าน...“ คงเป็นเพราะไม่รู้จะบอกยังไง ซีวอนจึงถอยออกมาด้านข้างให้ชางมินเห็นสภาพร่างบางที่อยู่ในอ้อมแขนยูชอนด้วยตนเอง ชางมินได้แต่มองอย่างตกตะลึง ไม่ใช่เพียงเพราะนั่นคือแจจุง แต่เป็นเพราะบาดแผลเหล่านั้นหาก
“จองซูอยู่ไหน?” เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางกระชับอุ้มร่างบางที่เปียกปอนไป เนื้อตัวหนาวสั่น ดูเหมือนเสื้อคลุมตัวนอกที่เขาห่มให้ระหว่างทางที่มาช่วยได้ไม่มากนัก
“รออยู่ชั้นบนแล้วครับ” ยูชอนพยักหน้ารับพลางเดินตามเลขาหนุ่มขึ้นไป เพราะตอนแรกชางมินคิดว่าคนที่บาดเจ็บคือยูชอนเลยให้คนเตรียมของไว้ที่ห้องนอนของผู้เป็นนาย จะเปลี่ยนตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว และยูชอนเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ชางมินเลยปล่อยเลยตามเลย
ยูชอนวางร่างบางลงกับเตียงอย่างนุ่มนวล แล้วยกให้เป็นหน้าที่ของคุณหมอประจำตระกูล ถึงจองซูจะแปลกใจ แต่เรื่องส่วนตัวของเจ้านายน่ะ เขาไม่อยากยุ่ง ถ้าอยากให้รู้...ยูชอนคงบอกเองแล้ว จองซูจึงไม่ได้ปริปากถามออกไป เพียงแค่เริ่มลงมือรักษาตามหน้าที่ของตน
“นายท่านไปเปลี่ยนชุดเถอะครับ เดี๋ยวจะไม่สบาย นายด้วยซีวอน” ชางมินเรียกให้ยูชอนที่เหม่อมองแจจุงรู้สึกตัว สภาพที่เปียกปอนทั้งเจ้านายและลูกน้องทำให้ทั้งสองคนไม่สามารถปฏิเสธได้
“ฝากด้วยนะ”
ตอนที่ยูชอนออกมาหลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย หมอจองซูกำลังจัดการกับเศษแก้วที่ฝังลึกลงในเนื้อ นัยน์ตาคมมองเศษแก้วชิ้นเล็กชิ้นน้อยวางอยู่บนผ้าสีขาวแล้วต้องเบือนหน้าหนี ไม่อยากคิดว่าถ้าคนเจ็บรู้สึกตัวจะทรมานขนาดไหน ร่องรอยบาดแผลตามผิวกายละเอียดมีมากมาย แต่หนักที่สุดเห็นจะเป็นรอยไหม้ตรงหัวไหล่ตรงจุดที่โดนไฟจี้หนักจนแทบมองไม่เห็นรอยสักเสือดำที่เคยมีอยู่
“เรียบร้อยแล้วเหรอ?” ยูชอนเดินเข้าไปใกล้ๆร่างคนเจ็บ ขณะที่จองซูกำลังเก็บอุปกรณ์ต่างๆใส่กระเป๋า
“ครับ ที่เหลือผมฝากชางมินไว้แล้ว ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะตรวจมาอีกทีครับ”
“อืม ขอบใจนะ”
“ด้วยความยินดีครับ” จองซูยิ้มรับ...เพียงแค่ได้รับใช้ผู้เป็นนายจะเป็นเรื่องอะไรเขาก็ยินดีทั้งนั้น “ถ้างั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“ชางมินไปส่งทีสิ”
“ครับ” เลขาหนุ่มรับคำก่อนจะช่วยหมอจองซูถือของออกไป
ภายในห้องตอนนี้จึงเหลือเพียงยูชอนอยู่คนเดียว ชายหนุ่มนั่งลงตรงขอบเตียงที่ยังพอเหลือที่ว่าง เพราะแผลที่หลังทำให้ร่างบางต้องนอนคว่ำ ใบหน้าเรียวโผล่จากหมอนมาเพียงครึ่ง มือใหญ่ลูบไปตามรอยช้ำที่แก้มเบาๆอย่างเห็นใจ
“แผลพวกนี้มาจากไหนกันนะ” เสียงทุ้มพึมพำกับตัวเอง ยูชอนจำได้ว่าตอนที่เจอกันครั้งสุดท้ายแจจุงยังไม่มีรอยแผลพวกนี้อยู่เลย แสดงว่าเป็นแผลที่เพิ่งเกิด แต่ว่า...แล้วใครกันล่ะ ใครกันที่ทำให้กุหลาบดอกโปรดของชองยุนโฮต้องบอบช้ำถึงเพียงนี้ หากคำตอบก็แทบจะปรากฏในทันที
...ไม่มีใครทำได้หรอก นอกจากตัวยุนโฮเอง...
ไม่ได้ลงมือโดยตรง แต่ต้องเป็นคำสั่งของยุนโฮแน่ๆ อาทิตย์ที่ผ่านมามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นในตระกูลชองกันแน่นะ เรื่องใหญ่ขนาดไหนที่ทำให้ทิ้งขวางกุหลาบงามที่จงรักภักดีขนาดนี้ได้ลงคอ แล้ว...เจ็บปวดแค่ไหนกันนะ ถึงได้ร้องไห้หนักขนาดนั้น ทั้งที่ตอนอยู่กับเขาไม่เคยมีให้เห็นแม้แต่หยดเดียวเลยแท้ๆ
“ซีวอนอยู่ข้างนอกหรือเปล่า?” ยูชอนส่งเสียงออกไป เพียงครู่เดียว ร่างของหัวหน้าบอดี้การ์ดหนุ่มก็เข้ามา สายตาของเขามองไปที่ผู้เป็นนายซึ่งยังคงจ้องใบหน้าเรียวสวยโดยไม่ละสายตา
“ฝากบอกเยซองด้วย ฉันรู้แล้วว่าเมื่อเช้าคนของตระกูลชองมาเพ่นพ่านใกล้เขตเราทำไม”
“ทราบแล้วครับ แล้วเรื่อง...” ซีวอนไม่กล้าถามตรงๆ แต่ผู้เป็นนายคล้ายว่าจะรู้ มือที่สัมผัสแก้มขาวละออกมาอย่างช้าๆ
“รอให้ฟื้นก่อน แล้วฉันจะตัดสินใจอีกที”
“เข้าใจแล้วครับ” ซีวอนโน้มตัวโค้งลงก่อนจะออกจากห้องไป
.
.
.
ในความมืดมิด แจจุงมองเห็นแสงสีส้มๆจากโคมไฟ เปลือกตาบางขยับขึ้นลงพยายามปรับสายตาแต่การมองเห็นก็ยังเลือนราง มือเรียวขยับเปะปะบนเตียงที่จะใช้เป็นฐานยันกายลุก แต่กลับเจ็บแปลบที่ปลายเท้า หากยังไม่เท่ากับความทรมานที่แผ่กระจายทั่วแผ่นหลัง ร้อนราวกับถูกไฟเผา
“โอ๊ย!”
แจจุงสะดุ้งเฮือก นัยน์ตาคู่งามลืมตื่นเต็มตาพร้อมกับความเจ็บปวดที่ทำให้เหงื่อผุดพราวบนหน้าผากในอึดใจเดียว มือเรียวเลื่อนไปจับเหนือบาดแผลที่ถูกพันเอาไว้ด้วยผ้าก๊อตหน้าๆ หากความรู้สึกทรมานแทบจะพรากสติให้หลุดลอยยังคงแล่นปราดไปทั่วร่าง
ริมฝีปากบางเม้มแน่น ก่อนฟันคมจะฝังลงบนริมฝีปากเพื่อกลั้นความเจ็บปวด กระนั้นก็ยังต้องควบคุมลมหายใจไม่ให้หอบหนัก เพราะยิ่งหายใจแรงเท่าไหร่ ก็ยิ่งสะเทือนเท่านั้น เจ็บปวดจนแทบไม่อยากจะหายใจอีกต่อไป
“ใจเย็นๆ...”
เสียงทุ้มนุ่มปลอบโยนดังขึ้นในความมืดมิดที่มีเพียงแสงจากโคมไฟตั้งโต๊ะซึ่งอยู่ห่างออกไป แจจุงได้ยินเสียงนั้นอยู่เยื้องไปทางด้านหลังไม่ใกล้ไม่ไกลนี้เอง แต่ก็ไม่มีปัญญาจะเอี้ยวตัวกลับไปดูว่าใครเป็นเจ้าของเสียงปลอบโยนนั่น เสียงที่คล้ายกับว่าจะคุ้นเคยก็ไม่ใช่ จะไม่เคยได้ยินก็ไม่เชิง
“ใคร..” ร่างบางกัดฟันถาม ความเจ็บปวดแทบจะทำให้แจจุงเป็นบ้า เขาควรจะคิดอะไรให้ได้มากกว่านี้ ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วที่นี่ที่ไหน เกิดอะไรขึ้นกับเขาถึงได้ขยับตัวแทบไม่ได้เลย และ ใครกันที่ยืนอยู่ข้างหลังนั่น แต่ตอนนี้ในหัวแจจุงไม่เหลืออะไรเลยนอกจากความเจ็บปวด
“ฮือ..” แจจุงอยากจะร้องให้ดังๆ ให้สมกับความเจ็บปวดที่ครอบครองร่างของเขา แต่เพียงแค่จะหายใจแต่ละทียังเป็นเรื่องยากลำบากเหลือเกิน ร่างบางกัดริมฝีปากแน่น จนในที่สุดริมฝีปากก็แตก เลือดซึมจนรับรู้กลิ่นคาวเลือนในปาก แต่ไม่ว่าจะทำเช่นไร ความเจ็บที่รุมเร้าก็ไม่มีทีท่าจะทุเลาลงเลย
“อย่ากัดปากสิ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยอย่างไม่ชอบใจในการกระทำนั้น ร่างที่เคยอยู่ด้านหลังก้าวเข้าไปยืนในจุดที่แจจุงสามารถมองเห็นเขาได้ถนัด นัยน์ตาคู่งามที่ปรือจนแทบจะปิดเบิกกว้างในฉับพลัน เมื่อรับรู้ถึงตัวตนของอีกฝ่าย หากไม่ได้มีการลุกพรวดพราดอย่างที่ยูชอนคาดเดาไว้ แต่...คงเป็นเพราะทำอย่างนั้นไม่ได้มากกว่า ปลายนิ้วอุ่นแตะริมฝีปากชุ่มเลือดให้แรงกัดนั้นคลายออก
“อย่ากลัว...ฉันไม่ทำอะไรหรอก” ถ้อยคำปลอบโยนคล้ายจะได้ผล แววตาที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเมื่อครู่ลดเหลืออยู่เพียงหวาดระแวงไม่แน่ใจ แต่เพียงแค่นั้นก็ดีมากแล้ว
“...ทานยาหน่อยจะได้ดีขึ้น” ยูชอนหันไปหยิบยาแก้ปวดใส่มือบาง ความเจ็บปวดที่เกินจะทนทานทำให้แจจุงยอมเชื่อฟังง่ายๆ ปล่อยให้ยูชอนประคองลุกขึ้นมากินยาจนเสร็จเรียบร้อยถึงได้นอนลงตามเดิม ร่างบางหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนแทบครองสติไว้ไม่อยู่
สัมผัสเย็นสบายที่หน้าผากเรียกให้แจจุงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ยูชอนเอาผ้าขนหนูผืนนุ่มชุบน้ำอุ่นหมาดซับหยาดเหงื่อบนใบหน้า ก่อนจะเลื่อนลงมากดซับเลือดที่ริมฝีปากอย่างแผ่วเบา ก่อนจะดึงผ้านวมอุ่นมาคลุมร่างให้ แจจุงนึกว่าตัวเองคงตาฝาดเพราะความเจ็บปวดเสียแล้วถึงได้เห็นแววตาเป็นห่วงจากยูชอน
“ทำไม...” แจจุงอยากถามอยากจะรู้อะไรหลายอย่าง ติดแค่พอขยับตัวก็เจ็บแปลบจนสะดุ้ง ต้องหยุดทุกสิ่งที่คิดอยู่ในทันที มือเรียวกดตรงหัวไหล่แน่นราวกับว่ามันจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดนี้ได้
“นอนเถอะ ไว้แข็งแรงดีแล้วค่อยคุยกัน” ยูชอนตัดบทแล้วเดินหนีไปยืนพิงหน้าต่างในมุมที่เห็นใบหน้าร่างบางยามต้องแสงไฟสลัวๆได้ชัดเจน เขารอจนกระทั่งแจจุงหลับสนิทด้วยฤทธิ์ยาแล้วจึงกลับมาที่เก่า ร่างสูงย่อตัวลงข้างเตียงใช้หลังมือลูบผิวแก้มเนียนแผ่วเบา
ตอนที่เห็นแจจุงอยู่บนขอบสะพาน ยูชอนตกใจจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น เขารีบวิ่งออกไปรวบตัวร่างบางลงมาก่อนจะทันได้คิด ยิ่งเห็นน้ำตาก็ยิ่งรู้สึกว่าปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด เขาไม่เคยเห็นแจจุงร้องไห้มาก่อน บางที...อาจจะเป็นเพราะเหตุนั้น ชายหนุ่มคิดพลางถอนหายใจ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในตระกูลชองกันแน่
ยูชอนลุกไปปิดไฟที่ผนังห้องตั้งใจจะเดินไปนอนที่ห้องข้างๆซึ่งชางมินได้จัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แต่เดินไปได้แค่ก้าวเดียว เสียงเพ้ออย่างไม่รู้สึกตัวของคนบนเตียงก็ฉุดรั้งชายหนุ่มเอาไว้ เสียงหวานแผ่วเบาและอู้อี้ฟังแทบไม่รู้เรื่อง ทำให้ยูชอนต้องก้มตัวลงไปเงี่ยหูฟังใกล้ๆ
“คุณ..ยุนโฮ” ถ้อยคำนั้นทำให้ยูชอนเปลี่ยนสีหน้าเป็นมึนตึงในฉับพลัน คิ้วโก่งเรียวขมวดเข้าหากันแน่น ก่อนจะคลายลงอย่างช้าๆ เมื่อเห็นหยดน้ำที่ปลายหางตา มือใหญ่แตะประคองแก้มเนียนใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยน้ำตาที่ไหลซึมแม้ดวงตาจะปิดสนิท ต่อให้ไม่พอใจแค่ไหน...ยูชอนก็ใจร้ายกับคนเจ็บไม่ลง
“คราวนี้เท่านั้นนะ” ยูชอนเอ็ดเสียงค่อย ก่อนจะขยับตัวออกมาแต่มือเรียวบางกลับคว้าจับปลายชายเสื้อของเขาเอาไว้แน่น ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ไป...อย่า” แม้จะฟังไม่ค่อยรู้เรื่องแต่ก็พอจับใจความได้เป็นทำนองว่า...ไม่ให้ไป ยูชอนเดาได้เลยว่าแจจุงนึกว่าเขาเป็นยุนโฮ ความคิดที่ชวนให้หงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม ชายหนุ่มพยายามแกะมือแจจุงออก แต่เจ้าตัวก็ยิ่งกำแน่นไม่ยอมปล่อยสักที สุดท้ายยูชอนก็ถอดใจยอมแพ้
“ไม่ไปก็ได้” ร่างสูงพลิกตัวข้ามแจจุงอย่างระมัดระวัง ไปอยู่ข้างหลังร่างบางที่ยังกำชายเสื้อเขาแน่นแล้วแทรกตัวลงไปใต้ผ้านวมนุ่มผืนเดียวกัน อุณหภูมิภายในห้องอยู่ในระดับพอเหมาะที่ชวนให้หลับสบาย ยูชอนหันหลังให้แจจุงก่อนจะหลับตาลงนอน แต่ไม่ทันไรก็ต้องลุกขึ้นมานั่งอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงร่างที่นอนตัวสั่น
อากาศในห้องอาจจะกำลังดีสำหรับยูชอน แต่กับแจจุงแล้วมันคงเย็นเกินไป ชายหนุ่มปรับอุณหภูมิลงพร้อมกับกดผ้านวมให้แนบชิดกับผิวบางมากขึ้น
“หนาว~” เสียงหวานพึมพำอยู่ในลำคอ ขณะที่ยูชอนนอนลงอีกครั้ง มือใหญ่สอดไปใต้แผ่นหลังบางพลิกให้แจจุงหันหน้าเข้าหาเขาและดึงให้เข้ามาอยู่ใกล้ๆอย่างเบามือ พอรู้สึกถึงไออุ่นร่างบางก็เบียดตัวเข้าหาโดยอัตโนมัติ
.
.
.
เสียงถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาจากจุนซูที่นอนแผ่หลาอยู่บนเตียง นัยน์ตาคู่หม่นจับจ้องอยู่บนเพดานฝ้าที่ว่างเปล่า เขาหวังให้แจจุงหนีพ้นจากสายตาของตระกูลปาร์คแท้ๆ ไม่นึกว่าจะบังเอิญเจอกับปาร์คยูชอนเข้า ร่างเล็กก็ได้แต่หวังว่าแจจุงจะไม่เป็นไร
จุนซูปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปเรื่อยจนกระทั่งรู้สึกถึงความผิดปกติ คิ้วเรียวเล็กขมวดเข้าหากันขณะที่เงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา ห้องพักของจุนซูอยู่ในเรือนใหญ่ ไกลจากห้องของยุนโฮไม่มาก นับได้ว่าเป็นพื้นที่อีกส่วนหนึ่งที่น้อยคนจะกล้าเหยียบย่างเข้ามา ยิ่งในเวลากลางดึกแบบนี้ด้วยแล้ว
“ใคร!?” จุนซูตะโกนถามเสียงแข็งเมื่อเสียงฝีเท้านั้นหยุดลงตรงหน้าห้องของเขาเอง มือเล็กหยิบปืนที่ซ่อนไว้ใต้หมอนมาถือไว้แล้วย่องไปที่ประตูห้องอย่างเงียบเชียบ
“ใครน่ะ!?” เมื่อไม่ได้คำตอบจุนซูก็ถามย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงกระด้างกว่าเดิม มือที่ถือปืนเล็งไปที่ประตูอย่างไม่ไว้ใจ จนกระทั่ง...
“ฉันเอง” น้ำเสียงคุ้นหูที่ตอบกลับมาทำให้จุนซูต้องรีบวางปืนลงและเปิดประตูรับอย่างรวดเร็ว
“ขอโทษครับ ผมไม่รู้ว่าเป็นคุณ” ร่างเล็กก้มตัวโค้งลงอย่างรู้สึกผิด ระหว่างนั้นยุนโฮก็ก้าวเข้ามาในห้อง ร่างสูงเดินไปรอบๆราวกับจะสำรวจ ขณะที่จุนซูได้แต่ยืนนิ่งอยู่ที่ประตู
“ไม่เป็นไร แค่มีเรื่องอยากคุยด้วยน่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างไม่ติดใจพลางนั่งลงที่ปลายเตียง
“คุณยุนโฮไม่น่าลำบากเลย วิทยุบอกผมก็ได้นี่ครับ”
“อืม ฉันรู้ แต่อยากมาคุยด้วยตัวเองมากกว่า” ยุนโฮพูดเป็นนัย ให้ร่างเล็กรู้สึกถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ผ่านสายตา มือก็กวักเรียกให้ร่างเล็กเข้ามาหา จุนซูเอื้อมมือไปกดล็อคประตูและค่อยๆก้าวไปตามที่ยุนโฮเรียก วงแขนแกร่งโอบเอวบางให้เข้ามาใกล้ตัว จับสองมือเล็กที่เริ่มเกร็งขืนให้วางบนไหล่ของเขา ก่อนจะเริ่มปลดกระดุมที่ชายเสื้อตัวบางไล่ขึ้นไปสองสามเม็ด
“กลัวเหรอ?” ยุนโฮหยุดมือเมื่อถึงเม็ดที่สี่ที่อยู่ตรงหน้าอกซึ่งสัมผัสได้ว่าร่างเล็กกำลังสั่นอยู่น้อยๆ
“ไม่ใช่ครับ ผมแค่...ยังไม่เคย” เสียงปฏิเสธอย่างขลาดๆ น่าฟังชวนให้ยุนโฮคลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ ริมฝีปากอุ่นร้อนแนบลงบนหน้าท้องแบนราบ จูบพรมไปทั่วอย่างเพลิดเพลินอารมณ์ ขณะที่มือเล็กที่เกาะไหล่กว้างเกร็งแน่นทุกครั้งที่ถูกจูบ
“คุณยุนโฮ~” ร่างเล็กเบี่ยงตัวหนี แต่เมื่อถูกกักให้อยู่ในวงแขนแกร่งแล้วจะหลบไปไหนได้
“ไม่ชอบเหรอ” ยุนโฮถามทั้งที่ริมฝีปากยังไม่หยุดไล้ไปตามผิวขาว
“ปะ..เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างนั้น”
“แล้วมันอย่างไหนกันล่ะ” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์กล่าวอย่างนึกสนุกผสมกับความพอใจที่จุนซูโอนอ่อนอย่างว่าง่าย
“อย่าแกล้งกันสิครับ” เสียงหวานอ้อนวอนร้องขอ สองขาที่อ่อนแรงทำให้การทรงตัวไปได้ยากเต็มทน ทุกอย่างตกอยู่ในการควบคุมของยุนโฮอย่างง่ายดาย โดยที่ร่างเล็กก็เต็มใจให้เป็นแบบนั้น แม้จะต้องพยายามซ่อนหยดน้ำที่หางตาอย่างสุดความสามารถก็ตาม จุนซูพร่ำบอกตัวเองซ้ำๆให้อดทน
นี่มันยังแค่เริ่มต้นเท่านั้น...
To Be Con...
Sakura's Talk : อยากจะทอร์ค แต่ไม่มีเวลาทอร์คเพราะยุ่งมากจริงๆ จะสอบปลายภาค จะฝึกงาน จะทำสารนิพนธ์ ต้องแจ้งจบ ถ่ายชุดครุย รับปริญญา หางานทำ หนุ่มๆจะมา โอ๊ยยย...ร้อยพันกิจกรรมมากมาย พลอยก็พยายามจะลงเรื่อยๆแล้วกันนะคะ หายไปบ้างโปรดทำใจ TT TT ด้วยความคิดถึงคนอ่านทุกคน~ ♥
ปล.ลืมบอกว่าตอนหน้าทุกคนจะได้รู้จุดประสงค์ที่แลดูน่าสงสัยของจุนซูสักที รอติดตามกันต่อไปนะคะ ^^
Ricbird : คลาดกันไปนิดเดียวเอง เสียดาย 555 สุขสันต์วันสงกรานต์เช่นกันนะคะ คิดสิ่งใดสมหวังสมปรารถนาเช่นเดียวกันค่ะ แต่สงกรานต์นี้พลอยไม่ได้ไปไหนหรอกคะ เคลียร์งานหัวปั่นทีเดียว เล่นสงกรานต์กับตัวเองในห้องน้ำ (แลดูอาภัพมาก 5555) ปล.ยินดีด้วยที่คอมซ่อมเสร็จนะคะ พลอยจะได้ไม่เหงา ฮ่าๆๆ ^^
Angel's Wing : ของขวัญสงกรานต์มีค่ะ แต่ช้าไปหน่อยไม่ว่ากันนะคะ ^^ คือหนูยุ่งมากและขี้เกียจมาก (เพิ่ม ก. ไปอีกหลายล้านตัว 555)
-b g--s b- + + ไม้กาง เขน B G
ความคิดเห็น