คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : >>> 9
Revenge, The Dark Way : Between the line
แสงอาทิตย์อันอบอุ่นสาดส่องผ่านบานกระจกหน้าต่างเข้ามาภายในห้อง ปลุกให้ร่างที่นอนฟุบอยู่ข้างเตียงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงกระพริบถี่เพื่อปรับระดับสายตากับแสงสว่าง มือเรียวขยี้ตาตัวเองเบาๆ ผ้าห่มที่คลุมไหล่อยู่ร่วงลงไปกองกับพื้น หากแต่สิ่งที่ทำให้เจ้าตัวต้องตกใจจนต้องขยี้ตาตัวเองอีกรอบเพื่อความแน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาด คือคนป่วยที่สมควรนอนอยู่บนเตียงกลับหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทิ้งไว้เพียงกระดาษโน้ตแผ่นน้อยที่วางไว้บนเตียงซึ่งเขียนด้วยถ้อยคำสั้นๆว่า ‘ไปเดินเล่น เดี๋ยวกลับมา’ หากแต่เป็นข้อความที่ทำให้คนอ่านต้องขมวดคิ้ว ไม่ต้องเดาเขาก็พอรู้ว่าจะออกไปทำไมในเวลาแบบนี้...ถ้าไม่ไปหาผู้ชายคนนั้น
จุนซูปลดปล่อยเรื่องราวหนักอกให้กลายเป็นเพียงธาตุอากาศ ไม่ได้นึกโกรธอะไรคนป่วยที่หนีไปนักหรอก แต่ที่หนักใจก็เพราะเป็นห่วงต่างหากละ บาดเจ็บมาขนาดนั้นแท้ๆ ยังจะฝืนสภาพร่างกายออกไปอีก และที่สำคัญเขาสมควรจะแก้ตัวให้ทุกคนฟังยังไงโดยไม่ต้องปริปากพูดเรื่องผู้ชายคนนั้นออกมาได้นะ แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว
...หวังว่าคงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นนะ...
.
.
.
ริมฝั่งแม่น้ำฮัน...แม่น้ำที่ได้ชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของกรุงโซลเป็นดังสายน้ำสายชีวิตที่หล่อเลี้ยงชาวเมืองมาเนิ่นนาน ด้วยความกว้างถึง 175 เมตรทำให้สะพานข้ามแม่น้ำสายนี้มีมากกว่ายี่สิบแห่ง ทัศนียภาพที่งดงามชวนให้หลงใหลดึงดูดใจ ริมฝั่งแม่น้ำจะมีสวนต่างๆ ไว้ใช้เป็นที่นั่งพักผ่อนอารมณ์หรือออกกำลังกาย แต่คงเป็นเพราะช่วงนี้เข้าฤดูหนาวแล้วผู้คนจึงบางตาลงมาก ยิ่งเป็นเวลาเช้าอย่างในตอนนี้ด้วยแล้ว ยิ่งน้อยลงมากจนเกือบร้างด้วยซ้ำ สายลมของเหมันต์ฤดูพัดผ่านเพียงแผ่วเบา แต่กลับหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ ต้นไม้ที่เหลือเพียงกิ่งก้านและใบอีกจำนวนไม่มากที่ต่างก็พากันปลิดตัวเองลงจากต้นชวนให้หดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก
“ฮัดเช่ย!! แค่ก...แค่ก ฮึก!!” เสียงจามดังมาจากร่างบอบบางผู้อยู่บนม้านั่งไม้ที่หันหน้าออกแม่น้ำในสวนแห่งหนึ่งแถบสะพานข้ามแม่น้ำฮัน แรงดันลมจากภายในกระทบกระเทือนไปถึงบาดแผล ความปวดร้าวแผ่กระจายไปทั่วร่างกายจนต้องใช้มือกดทับบนผ้าพันแผลที่เริ่มมีเลือดไหลซึมไว้แน่น พร้อมกับค้อมตัวลงเพื่อลดแรงสั่นสะเทือน คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเพื่ออดกลั้นต่อความเจ็บปวด
“หึ! ฝืนตัวเองไม่เข้าท่าเลยนะ คิมแจจุง” ริมฝีปากบางสีซีดตำหนิตัวเอง นัยน์สีนิลยามทอดมองยังผืนน้ำเบื้องหน้าดูว่างเปล่าและปวดร้าวกว่าที่เคย ความอ่อนแอที่นางพญาแห่งองค์กรไม่ค่อยแสดงให้เห็นบ่อยนัก มือเรียวผ่อนแรงกดที่บาดแผลออกอย่างช้าๆ ของเหลวสีแดงสดเปรอะเปื้อนปลายนิ้วเรียวมาเพียงเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าปากแผลคงเปิดแล้ว
แจจุงยักยิ้มให้ตัวเองอย่างสมเพส คิดแล้วก็น่าขำ...ทั้งที่ยุนโฮเป็นศัตรูของเขาแท้ๆ แต่เขากลับ...รักผู้ชายคนนี้จนหมดหัวใจ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ บางทีอาจจะเป็นตั้งแต่วันแรกที่เขาสองคนพบกันแล้วก็เป็นไปได้ และตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้อยากพบยุนโฮมากขนาดนี้ อยากพบจนถึงขนาดหนีทุกคนมาในแบบที่เรียกได้ว่าไม่เจียมสภาพตัวเองเลยสักนิด ทั้งยังไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าชายหนุ่มจะไม่จับเขา แต่เขาก็ยังอยากพบ... อยากจะนั่งคุยกันดีๆ อีกสักครั้ง แม้ว่ามันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ตาม
ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง
ภายในห้องประชุมกว้าง เก้าอี้หลายตัวถูกจับจองโดยเหล่าสมาชิกหน่วยปราบปรามพิเศษ หัวข้อเรื่องประชุมในวันนี้จะเป็นอะไรถ้าไม่ใช่เรื่องคดีเมื่อวาน คดีที่เหมือนเป็นการประกาศศักดาขององค์กรนักฆ่าระดับโลกอย่าง DL ในประเทศเกาหลีใต้ จนเกิดเป็นกระแสข่าวร้อน แหล่งข่าวสำคัญทั้งในและนอกประเทศต่างให้ความสนใจกันอย่างมากมาย ณ ขณะนี้จึงมีนักข่าวมารออยู่ที่หน้าตึกศูนย์รักษาความปลอดภัยและความมั่นคงแห่งชาติมากมายเหลือคณานับ แน่ละในฐานะสื่อมวลชนใครเล่าจะอยากพลาดข่าวสำคัญเช่นนี้
ภายในห้องเงียบสงัด ภาพสไลด์บนจอภาพคือรูปเด็กน้อยอายุเพียงสิบสามปี นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงฉายแววใสซื่อบริสุทธิ์ รอยยิ้มที่แต่งแต้มบนแก้มป่องนั้นดูน่ารักสดใสบ๊องแบ๊วสมกับเป็นคุณหนูผู้อ่อนต่อโลก...ภาพถ่ายของเด็กชายคิมจุนซูที่พอจะหาได้จากเหล่าเครือญาติที่มีสายเลือดเดียวกัน ส่วนรูปข้างกันนั้นเป็นรูปสเก็ตข้างกันนั้นเป็นของผู้นำเหล่า DL
“เด็กหนุ่มคนนั้น คือ คิมจุนซู ไม่ผิดแน่ครับ” ชางมินส่งแฟ้มข้อมูลให้กับผู้ร่วมงานทุกคนซึ่งรับไปดูด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกัน เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเปิดแฟ้มที่ภายในมีข้อมูลของคิมจุนซูที่ได้มาจากสำนักทะเบียนท้องที่ ซึ่งระบุประวัติเกือบทั้งหมดเอาไว้ตั้งแต่เกิดจนถึงอายุสิบสามปี หลังจากเกิดอุบัติเหตุจุนซูถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพังอย่างยากลำบาก จากลูกคุณหนูผู้เพียบพร้อมกลายเป็นเด็กน้อยผู้ยากไร้ บ้านที่อาศัยอยู่มาตั้งแต่เกิดก็ถูกยึด ไม่มีญาติคนไหนอยากรับเขาไปเลี้ยงเพราะคดีของพ่อ จนต้องระหกระเหินไปอยู่หอพักประจำของโรงเรียนด้วยเงินที่พ่อของเด็กน้อยเคยบริจาคให้โรงเรียน แต่เมื่อเงินบริจาคนั้นหมดลงเด็กน้อยก็ถูกไล่ออก กลายเป็นเด็กเร่ร่อนและหายตัวไปอย่างไร้วี่แวว หลังจากนั้นไม่มีใครรู้ว่าเด็กน้อยผู้สูญเสียพบกับองค์กรนักฆ่านั้นได้อย่างไร รู้แต่เพียงว่า...เจ็ดปีต่อมาเด็กน้อยคนนั้นเติบโตและกลับมาพร้อมกับความแค้นที่มีอยู่เต็มหัวใจ
ใบหน้าที่ได้เห็นเมื่อวานไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยเด็กมากนัก หากแต่ที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง คือ ลักษณะนิสัย ทั้งความเยือกเย็น โหดเหี้ยมเกินกว่าที่มนุษย์ปุถุชนโดยทั่วไปอย่างพวกเขาจะรับได้ ขนาดเจ้าหน้าฝ่ายพิสูจน์หลักฐานอย่างดงแฮที่เคยเห็นศพคนตายมาตั้งมาก แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่รู้สึกน่าสยดสยองขนาดนี้มาก่อน
“ไอ้ปีศาจ!! ฉันจะต้องจับมันให้ได้!!!” อึนฮยอกโยนแฟ้มลงบนโต๊ะ ชายหนุ่มปักใจเชื่อแล้วว่าจุนซูนั่นคือคนที่ทำให้น้องชายของเขาเป็นบ้าอย่างแน่นอน ยิ่งได้เห็นสิ่งที่ร่างเล็กทำเมื่อคืนนั้นเขาไม่มีข้อสงสัยเลย ความอาฆาตทั้งหมดจึงพุ่งเป้าไปที่ร่างเล็กแต่เพียงผู้เดียว โดยที่ชายหนุ่มจะไม่มีวันรู้ความจริงเลยแม้จนลมหายใจเฮือกสุดท้ายของตนเอง
“มีอะไรเหรอยุนโฮ?” ชางมินว่าพลางทิ้งตัวลงเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ข้างชายหนุ่ม เพราะเห็นยุนโฮทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างอยู่นานแล้วแต่ก็ไม่ยอมพูดมันออกมาสักที เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามและเป็นเสียงที่เรียกสายตาทุกคู่ให้หันมามองที่ชายหนุ่มเป็นทางเดียว
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่สงสัยว่าบนนั้นน่ะมีรูปสองคนไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมถึงมีข้อมูลคนเดียวล่ะ” ยุนโฮชี้ไปที่จอภาพราวกับนั่นคือเรื่องที่เขาอยากจะพูด ชางมินพยักหน้ารับรู้ก่อนจะตอบคำถามนั้น โดยไม่ได้สงสัยเลยว่า นี่น่ะหรือคือสิ่งที่ชายหนุ่มอยากพูด
“เรามีหลักฐานแค่ภาพสเก็ตนี้ ทำให้การหาประวัติของเขามันยากมาก ฉันพยายามสุดความสามารถแล้ว” ถ้าอัจฉริยะหนุ่มอย่างชิมชางมินบอกว่าหมดปัญญาละก็...นับว่าเป็นเรื่องยากที่จะหาข้อมูลจริงๆ
“เมื่อวานมีพวกมันคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ บางทีมันคงจะหยุดฆ่าคนไปสักพักละนะ”
“ทำไม...นายถึงมั่นใจอย่างนั้นล่ะ? ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนอื่นอยู่ไม่ใช่เหรอ?” ชางมินถามอย่างไม่เข้าใจเมื่อเห็นคังอินพูดด้วยความมั่นใจเสียเต็มประดา แต่คนตอบกลับเป็นตำรวจหนุ่มมากประสบการณ์จาก ICPO
“โดยปกติไม่มีนักฆ่าที่ไหนเขาเป็นห่วงเพื่อนกันแบบนั้นหรอกนะชางมิน อีกอย่างคนที่บาดเจ็บนั่นเป็นถึง Queen ไม่ใช่เหรอ? พวกเขาคงไม่ปล่อยให้คนสำคัญขององค์กรตายหรอกนะ...” ยุนโฮว่าขณะเดินไปที่หน้าต่าง นิ้วเรียวแหวกช่องมู่ลี่สีขาวออกเพื่อมองดูบรรดานักข่าวที่กำลังรอพวกเขาอย่างอดทน “ที่สำคัญ ฉันว่าเราหาทางออกจากที่นี่โดยไม่ให้พวกนักข่าวจับได้ก่อนจะดีกว่าไหม?”
ยุนโฮหันกลับมาถามอย่างขอความเห็น ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย แค่เหตุการณ์เมื่อคืนมันก็ทำให้พวกเขาเหนื่อยล้าจนเกินพอ แล้ว แถมยังต้องหิ้วตัวเองมาประชุมที่นี่แต่เช้าได้อีก นี่ก็เรียกได้ว่าพยายามสุดๆ แล้ว เป็นอันว่าการประชุมในวันนี้ก็สิ้นสุดลง ต่างคนต่างทยอยกันไปนอกห้องประชุมจนเหลืออยู่แค่ดงแฮและยุนโฮ
“ไม่ไปเหรอ?” ยุนโฮทักร่างเล็กที่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จามาตั้งแต่เริ่มประชุมแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะช็อกกับเหตุการณ์เมื่อวานอยู่หรือเปล่าถึงได้ไม่ยอมเอ่ยปากพูดอะไรเลย
“ฉันรู้นะ...ยุนโฮ เรื่องที่นายอยากพูดไม่ใช่เรื่องรูปนั่น แต่ว่า...ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะ เพราะฉันเองก็มีเรื่องที่พูดไม่ได้เหมือนกัน” คำพูดประโยคแรกของวันนี้จากดงแฮแต่กลับทำให้ยุนโฮถึงกับชะงัก นัยน์สีน้ำตาลเข้มจับจ้องเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานคนน่ารักที่ไม่ได้ปริปากพูดอะไรอีกนอกจากรอยยิ้มบางๆ แล้วเออกจากห้องไป ทิ้งไว้เพียงปริศนาให้ชายหนุ่มต้องคิด
กว่าจะหาทางออกมาจากศูนย์รักษาความปลอดภัยและความมั่นคงแห่งชาติได้โดยไม่ต้องเจอกับฝูงนักข่าวได้เล่นเอาชายหนุ่มแทบแย่ สุดท้ายพอรอดพ้นมาได้ก็เอาแต่เดินแบบไร้จุดหมาย เขามีเรื่องให้คิดมากพอที่จะลืมสนใจไปว่าขาคู่ยาวนั้นกำลังพาเขาไปที่ใด กว่าจะรู้ตัวอีกที เขาก็เดินมาจนถึงริมแม่น้ำฮันซะแล้ว
ยิ่งมาถึงที่นี่กลับยิ่งมีเรื่องให้คิดมากมาย นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองดูกระแสน้ำเอื่อยๆ ของแม่น้ำสายชีวิต แสงแดดของฤดูหนาวเบาบางเสียจนไม่รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น ยุนโฮทิ้งตัวลงบนม้านั่งริมแม่น้ำฮันตัวที่หันหลังให้แม่น้ำเพราะตัวที่หันไปทางแม่น้ำซึ่งอยู่คู่กันนั้นมีใครคนหนึ่งจับจองอยู่ก่อนแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจ ใบหน้าคมที่เคยเรียบนิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าเพื่อนร่วมงานเปลี่ยนเป็นคนละคน มีเพียงความไม่สบายใจและเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด ร่างสูงมองหาความงดงามของธรรมชาติที่อาจจะช่วยปัดเป่าความไม่สบายใจของเขาออกไป หากก็พบเพียงต้นไม้ที่กิ่งก้านนั้นไร้ซึ่งใบประดับ ดูแล้วทำให้ความรู้สึกนั้นแย่ยิ่งกว่าเดิมซะอีก
ยุนโฮหัวเราะเยาะตัวเองด้วยความสมเพส คิดแล้วก็น่าขำ...รู้ทั้งรู้ว่าแจจุงเป็นศัตรูของเขา แต่เขากลับปิดบังไม่ยอมบอกเรื่องพวกนี้ในที่ประชุม ด้วยเหตุผลประการเดียวว่าเขา...รักเจ้าของนัยน์ตาสีรัตติกาลคู่นั้นจนหมดหัวใจ โดยไม่รู้เลยว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ บางทีอาจจะเป็นตั้งแต่วันแรกที่พบกันแล้ว และตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้อยากเจอแจจุงมากขนาดนี้ อยากเจอจนกระทั่งเดินมาที่นี่โดยไม่รู้ตัว รู้อยู่แก่ใจว่าร่างบางบาดเจ็บซะขนาดนั้นออกมาข้างนอกได้ก็นับว่าเป็นเรื่องแปลกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น...เขาก็ยังอยู่ที่นี่เพียงเพราะคิดว่าบางทีอาจได้พบกัน
แต่แล้ว...มันกลับกลายเป็นเรื่องยากที่จะนั่งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ยิ่งมองไปรอบด้าน ความทรงจำของเวลาที่เคยมีโอกาสใช้ร่วมกันกลับมาทำร้ายเขาอย่างช้าๆ ความเป็นจริงเข้าทำร้ายจิตใจมากเกินกว่าเขาจะทนอยู่ที่นี่ต่อไป หากแต่เมื่อลุกขึ้น คนที่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวที่หันหน้าออกแม่น้ำก็ลุกขึ้นมาในจังหวะเดียวกันพอดี ยุนโฮจึงได้พบกับคนที่อยากเจอจนร่างกายฉุดนำให้มาโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่อีกคนหนึ่งนั้นก็นิ่งตะลึงไม่ต่างกัน
คิดว่าอยากพบ...แต่ไม่คิดว่าจะได้พบ
คิดว่าอยากเจอ...แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอ
“แจจุง
”
“ยุนโฮ...”
...ต่างคนต่างไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นอยู่ที่ใด
...หากสิ่งหนึ่งที่คนทั้งคู่ต่างก็รู้ดี
...พวกเขารู้ว่าจะพบกันได้ที่ไหน...
บรรยากาศแห่งความเงียบงันโรยตัวอย่างช้าๆ ไร้ซึ่งผู้คนในบริเวณนั้นราวกับสถานที่แห่งนี้จัดมาเพื่อให้เขาทั้งคู่ได้พบกัน ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีใครพูดอะไร...ทั้งที่มีเรื่องอยากพูดคุย อยากถาม อยากเล่ามากมาย แต่พอได้พบกันเข้าจริงๆ กลับพูดไม่ออก
“ฉัน...อยากคุยกับนาย / ฉันมีเรื่องอยากคุยด้วย...” น้ำเสียงหวานและทุ้มดังขึ้นพร้อมกัน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มสบประสานกับนัยน์ตาสีรัตติกาลคู่สวยอย่างมีความหมาย ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ แจจุงและยุนโฮทิ้งตัวลงนั่ง ณ ตรงจุดเดิมของตนเองอีกครั้ง ร่างบางอยู่ทางขวาสุดของม้านั่งไม้ตัวที่หันหน้าไปยังแม่น้ำ ขณะที่ม้านั่งไม้อีกตัวที่อยู่ติดกันซึ่งหันหลังให้แม่น้ำทางขวาสุดของมันก็ถูกจับจองโดยชายหนุ่ม ต่างคนต่างหันหลังให้กันและกัน ราวกับจะเป็นการเตือนตัวเองถึงความแตกต่างที่จำต้องยอมรับ
“ออกมาแบบนี้...ไม่เป็นไรแล้วเหรอ?” คำถามแรกที่แสดงได้ถึงความห่วงใยและอ่อนโยนไม่เปลี่ยนแปลงของยุนโฮเรียกรอยยิ้มบางๆ จากเรียวปากสวย นัยน์ตาคู่นั้นเหลือบมองคราบเลือดที่ยังติดอยู่บนปลายนิ้ว น้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มรื่นหูแต่ฟังดูอ่อนล้าจนชายหนุ่มรู้สึกได้
“อืม...ไม่เป็นไรหรอก หนักกว่านี้ก็เคยเจอมาแล้วนี่นา” ทั้งที่โดนยิงไปขนาดนั้น ผู้ที่ได้ชื่อว่า Queen แห่ง DL ยังออกมาเดินเล่นนั่งตากลมแต่เช้าในฤดูหนาวได้อย่างสบายๆ ด้วยเสื้อผ้าบางๆ ที่สวมเสื้อโค้ททับไว้เพียงตัวเดียวดูก็ไม่น่าจะช่วยให้อุ่นอะไรได้มากนักหรอก
“พวกนายนี่ ไม่มีจุดอ่อนกันเลยหรือไงนะ?” ฟังดูเหมือนชายหนุ่มออกจะผิดหวังที่แจจุงไม่เป็นอะไร แต่ร่างบางก็รู้ว่าชายหนุ่มแกล้งพูดไปอย่างนั้นเอง น้ำเสียงออกจะโล่งใจขนาดนั้นมีหรือคนอย่างเขาจะฟังไม่ออก
“จุดอ่อนน่ะเหรอ? มีสิ...ง่ายจนนายคาดไม่ถึงเลยล่ะ ว่าแต่นายเถอะ...ทำไมถึงมาที่นี่ได้?”
“ไม่รู้สิ พอรู้ตัวอีกที ขามันก็พามาถึงนี่ซะแล้วล่ะ...” พ่อตำรวจหนุ่มแก้ตัวด้วยเหตุผลที่ฟังดูไม่เข้าท่า แต่เป็นความจริงอย่างที่สุด พาเอาคนที่ได้ยินตกใจเสียเต็มประดา
“ตาบ้า!! นี่นายเดินเหม่อมาอย่างนั้นเหรอ!!? เดี๋ยวโดนรถชนตายกันพอดี”
“ฮ่าๆ มันช่วยไม่ได้นี่นา ก็เพราะใครบางคนนั่นแหละที่ทำให้ฉันเป็นแบบนี้...” ยุนโฮหัวเราะเสียงเบา แต่คนฟังกลับไม่ขำด้วยนัยน์ตาสีรัตติกาลทอดลงต่ำมองดูใบไม้สีน้ำตาลแกมเหลืองที่กราดเกลื่อนกระจายอยู่เต็มพื้นที่ทำด้วยหินจากธรรมชาติ ดูแล้วให้ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวอย่างบอกไม่ถูก แจจุงรู้สึกเหมือนว่าหัวใจของเขามีช่องว่างกำลังที่กำลังขยายตัวอย่างเชื่องช้า หากแต่กัดกร่อนทุกอณูของความรู้สึก
“ไม่จับฉันเหรอ?”
“ขี้โกงจังนะ นายก็รู้ว่าฉันทำไม่ลงใช่ไหม? ถึงได้ถามแบบนี้?” ยุนโฮเอนแผ่นหลังพิงพนักม้านั่งตัวยาว วางศีรษะลงบนช่องว่างระหว่างพนักม้านั่งทั้งสองตัว นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองท้องฟ้าสีเทาหม่นหมองที่ให้ความรู้สึกอ้างว่าง
“เปล่าสักหน่อย ถ้านายจะจับฉันจริง คิดว่าฉันจะหนีไม่ได้เชียวเหรอ?”
“นายทำได้แน่ ฉันรู้...” ต่อให้บาดเจ็บสาหัสยังไง แต่ถ้าเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่า ‘Queen’ ละก็ ถ้าจะหนีคงไม่ใช่เรื่องยาก “ว่าแต่...นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้คุยกันจริงๆ ใช่ไหม?” แจจุงรู้ว่าชายหนุ่มหมายถึงการพูดกันในฐานะที่ไม่มีคำว่า ‘หน้าที่’ เข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะเมื่อใดที่‘ หน้าที่’ กลับมา...เมื่อนั้นจะมีเพียง Queen แห่ง DL และ ตำรวจหนุ่มจากหน่วยปราบปรามเท่านั้น...
“อืม...”
บรรยากาศแห่งความเงียบงันที่น่าอึดอัดโรยตัวไปทั่วบริเวณ สายลมเย็นพัดเอื่อยๆ ให้ความรู้สึกเย็นสบายพัดเข้าหาริมฝั่งแม่น้ำ ราวกับจะปัดเป่าบรรยากาศที่ไม่พึ่งประสงค์ระหว่างทั้งสองคนออกไป สายลมที่แตกต่างจากความเหน็บหนาวยามเช้าโดยสิ้นเชิง หากแต่บทสนทนาที่กำลังจะเริ่มขึ้น...กลับกลายเป็นเรื่องสำคัญที่บ่งบอกถึงความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง
“ทำไมล่ะแจจุง? ทำไมต้องเป็นนายด้วย? ทำไม?” เสียงทุ้มเต็มไปด้วยความสับสน ยากเหลือเกินที่จะเก็บเอาไว้ ถ้าทำได้ก็อยากจะลืมมันไป ลืมสิ่งที่เห็นเมื่อคืน แล้วทำให้มันเป็นแค่ความฝัน...ฝันร้าย...ที่พอตื่นมาก็จะลืมมันไป แต่ความจริงกลับตอกย้ำให้รู้เสมอว่ามันไม่ใช่ความฝัน
“ยุนโฮ...นายรู้ไหม? ในโลกนี้มีอยู่สองอย่างที่ไม่มีวันตาย อย่างแรกคือความรัก อย่างที่สองคือความแค้น...” แจจุงเอนหลังพิงพนัก มือเรียววางลงบนปากแผลที่ใช้ชายเสื้อปิดไว้อีกครั้ง ดูเหมือนว่า...แค่ออกแรงพูดก็ทำให้สะเทือนไปถึงบาดแผลซะแล้ว
“นายก็เลยกลับมาที่นี่...เพื่อแก้แค้นอย่างนั้นเหรอ?” ยุนโฮเดาเอาเองจากเรื่องราวในอดีตของจุนซู แต่มันก็ทำให้ร่างบางรู้ได้ทันทีว่าทางฝ่ายตำรวจคงได้ข้อมูลทั้งหมดของร่างเล็กไปแล้ว ก็คิดอยู่แล้วว่าต้องรู้ แต่เรื่องพึ่งเกิดเมื่อคืนแท้ๆ ถือว่าพวกตำรวจทำงานกันได้รวดเร็วจริงๆ
“รู้เรื่องจุนซูแล้วสินะ?” ยุนโฮพยักหน้ารับเมื่อไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดเอาไว้ ”มันก็ใช่เหตุผลที่พวกเรากลับมาเพื่อแก้แค้น...นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญที่สุดก็เพื่อ...คนๆ นั้นต่างหาก” คนที่แจจุงพูดถึง ไม่ต้องบอกยุนโฮก็รู้ว่าหมายถึงใคร มีบุคคลเพียงคนเดียวที่เหล่าสมาชิก DL จะยอมทำทุกอย่างเพื่อเขาคนนั้น...คนที่เรียกตัวเองว่า Angel หัวหน้าองค์กรคนสำคัญบุคคลที่เต็มไปด้วยปริศนา
“เขาคนนั้นสำคัญกับนายมากเลยเหรอ?” ยุนโฮอดถามถึงใครคนนั้นไม่ได้ เขาไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมสมาชิกของ DL ทุกคนถึงได้จงรักภักดีกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำของตนนัก นี่คือหนึ่งในสิ่งที่ DL แตกต่างจากนักฆ่าโดยทั่วไป
”อืม
สำคัญสิ เขาเป็นคนที่ทำให้ฉันมีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้นี่นา ถ้าไม่มีเขา...ฉันคงตายไปตั้งแต่เจ็ดปีก่อนแล้ว” แจจุงค่อยๆ หลับตาลงระลึกถึงวันแรกที่ได้พบจองซู วันที่เขาตั้งใจจะลาจากโลกนี้ไป...
“นายก็เลยต้องทำงานตามที่เขาสั่ง?” อาจจะเป็นเพราะอาชีพของยุนโฮก็ได้มั้ง แจจุงถึงรู้สึกเหมือนโดนชายหนุ่มสอบปากคำอยู่เลย อยากจะหัวเราะที่ร่างสูงทำเหมือนเขาเป็นผู้ร้าย หากแต่สภาพตัวเองตอนนี้มันไม่เอื้ออำนวยนัก อีกอย่างตัวเขาเองก็เป็นผู้ร้ายจริงๆนั่นแหละ
“ไม่ใช่หรอก เขาคนนั้นไม่เคยบังคับ...ทุกอย่างที่เราทำลงไปล้วนมาจากความเต็มใจของพวกเราเองทั้งนั้น เขาแค่สอนให้เราดึงความเจ็บปวดมาเป็นพลัง และใช้ชีวิตอยู่ให้ได้ด้วยความแค้น...อย่างที่ฉันบอกนาย ความแค้นไม่มีวันตาย เพราะฉะนั้นพวกเราถึงยังมีชีวิตอยู่...”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าความเจ็บปวดที่นายเจอมันเป็นยังไง แต่อยู่แบบนี้นายมีความสุขแล้วงั้นเหรอ? ใช้ชีวิตอยู่กับความแค้นแบบนั้น ไม่ทรมานบ้างหรือไง?” คำถามนี้ของชายหนุ่ม...นอกจากแจจุงจะไม่ยอมตอบแล้วยังถามเขากลับเป็นเรื่องอื่นซะอีก
“นายเคยได้ยินเรื่องเงิน 1000 วอนไหม?” ยุนโฮนิ่งคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะส่ายหัว ร่างบางจึงเริ่มเล่าเรื่อง ”
มีครูคนหนึ่งตั้งคำถามกับเด็กนักเรียนในห้องของตนว่า มีเงินอยู่ 1000 วอนซื้อของไป 300 วอนจะได้เงินทอนเท่าไหร่ เด็กเกือบทั้งห้องตอบว่า 700 วอนแต่มีเด็กอยู่ 2 คนที่ตอบไม่เหมือนคนอื่น คนหนึ่งตอบ 200 วอน อีกคนตอบไม่ต้องทอน นายรู้ไหมว่าทำไม?” เสียงหวานหันไปถามซึ่งคำตอบก็ยังเป็นอย่างเดิม
“ไม่รู้สิ...ถ้าเป็นฉันก็คงตอบ 700 นะ” เรียวปากบางยิ้มรับคำตอบของชายหนุ่ม คำตอบที่คนส่วนใหญ่เองก็ตอบเช่นนี้ คนที่ตอบไม่เหมือนคนอื่นมักจะถูกมองว่าเป็นคนโง่...
”ครูคนนั้นจึงถามเด็กคนแรกว่าทำไม เด็กคนแรกจึงบอกว่า เงิน 1000 วอนของเขาเป็นเหรียญ 500 วอน 2 เหรียญ เมื่อซื้อของเขาก็ให้คนขายไปเหรียญหนึ่งจึงได้เงินทอนมา 200 วอน ครูจึงหันไปถามเด็กคนที่สองว่าทำไมถึงไม่เหลือเงินทอนเลย เขาตอบว่าในกระเป๋าของเขามีเหรียญ 100 วอนอยู่ 10 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 300 วอน เขาจึงให้เหรียญ 100 วอนไป 3 เหรียญ เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องทอน...” เรื่องเล่าจากร่างบางไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มเข้าใจสิ่งที่ Queen แห่ง DL ต้องการจะสื่อให้รู้เลยแม้แต่น้อย ยุนโฮนั่งค่อมตัวลงสองแขนวางบนตักพลางส่ายหัวไปมา น้ำเสียงที่มีแต่ความฉงนสงสัยเรียกร้องให้คนตรงหน้าบอกความต้องการที่แฝงอยู่ในเรื่องเล่า
“นายต้องการจะบอกอะไรฉันงั้นเหรอ?”
“
โลกของความถูกต้องกับโลกของความเป็นจริงนั้นต่างกัน โลกของพวกนาย คำตอบที่ถูกต้องจะมีเพียง 1 เสมอ ในขณะที่โลกแห่งความเป็นจริง ทุกคำถามอาจมีคำตอบได้เกินกว่า 1 คำตอบ ฉันแค่อยากบอกนายว่า ‘อย่าตัดสินความผิดของใคร เพียงแค่คำตอบของนายเอง’ การที่ฉันเลือกเดินบนเส้นทางนี้ มันก็เป็นหนึ่งในคำตอบที่ฉันเลือก...มันอาจไม่ถูกต้องในสายตานาย แต่สำหรับฉันมันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด...”
“แม้ว่ามันจะเป็นคำตอบที่เปลี่ยนให้นายกลายเป็นผู้ร้ายอย่างนั้นเหรอ?” สิ่งที่ยุนโฮถามไม่ได้สร้างความหนักใจให้ร่างบางในการตอบนัก หากแต่เรื่องราวแฝงอยู่ภายในนั่นต่างหากที่ทำให้ดวงหน้าสวยนั้นเศร้าลง
“นายไม่เข้าใจ...ยุนโฮ อย่างเรื่องของจุนซู สำหรับคนอื่นก็คงแค่คิดว่าเด็กคนนี้น่าสงสารจัง ทำไมถึงได้โชคร้ายแบบนี้นะ อะไรทำนองนั้นใช่ไหม? แต่ความเป็นจริงน่ะ...มันทรมานกว่านั้นหลายเท่าเลยนะ” ถ้าจะว่ากันแล้วในบรรดาพวกเขา คนที่มีความอดทนมากที่สุดก็คือจุนซู ทั้งที่ถูกทิ้งจากเครือญาติ จากเพื่อน จากโรงเรียน แต่ร่างเล็กก็ไม่เคยย่อท้อต่อชีวิต ดิ้นรนต่อสู้กับชีวิตเพื่อที่วันหนึ่งเขาจะได้มีโอกาสเปิดเผยความจริงเรื่องของพ่อ แต่ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย จากคุณหนูที่เคยเพียบพร้อมไปทุกสิ่งทุกอย่าง กลายไปเป็นคนธรรมดาที่เกือบจะไม่มีอะไรเลย แล้วก็กลายไปเป็น คนยากไร้ที่คนทั่วไปเรียกว่า ‘ขอทาน’
“ความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน...ทุกคนก็ต้องเคยพบกับมันมาทั้งนั้น แล้วทำไมถึงไม่ทำใจยอมรับมันล่ะ? ทำไมถึงไม่ก้าวผ่านมันไป แล้วทิ้งสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นไว้เบื้องหลัง ชีวิตคนเรา...บางครั้งก็มีเรื่องที่ขมขื่นบ้าง แต่ไม่ว่ายังไง...“ ยุนโฮยังพูดไม่ทันจบแจจุงก็แทรกขัดขึ้นมาซะก่อนด้วยความไม่อยากฟัง
“เรื่องที่นายพูดมันก็ถูก แต่เรื่องที่เจ็บปวดจนตายน่าจะสบายกว่ามีชีวิตอยู่ก็มีนะ
” น้ำเสียงหวานราบเรียบไม่ได้มีแววโกรธเคืองหรือเศร้าสร้อยแต่อย่างใด สิ่งที่แสดงออกจึงมีเพียงนัยน์ตาสีรัตติกาลที่เต็มไปด้วยความเศร้าซึ่งยุนโฮไม่มีโอกาสได้เห็น
“
แจจุง”
“ฉันรู้...นายคงไม่เข้าใจ ความเจ็บปวดของใครก็มีแต่เขาเท่านั้นที่จะรู้ว่ามันทรมานขนาดไหน คนทั่วไปแค่รับรู้แต่ไม่เข้าใจ...ถึงเข้าใจแต่ก็ไม่รู้สึก...”
...แจจุง...เกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่ อะไร!! ที่ทำให้นายเจ็บปวดถึงขนาดหันหลังให้กับโลกใบนี้!!??...
ท่ามกลางความเงียบระหว่างทั้งสองคน สายลมยังคงพัดผ่านทำหน้าที่ของมันโดยไม่ได้หยุดได้หย่อน แต่ลมเย็นสบายที่พัดเข้าหาฝั่งในตอนแรกกลับทำให้ร่างบางรู้สึกหนาวขึ้นมาจนต้องกระชับเสื้อโค้ทให้แน่นขึ้น ทว่ามือเรียวจำต้องชะงักไปด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวของชายหนุ่ม
“ฉันรักนาย...” ยุนโฮรู้ว่าการพบกันโดยไม่มี ’หน้าที่’ เข้ามาข้องเกี่ยวมันจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ในเมื่อเขาไม่อาจเปลี่ยนทางเลือกของแจจุงได้ นี่คงเป็นคำบอกรักครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เขาจะพูดได้ในตอนนี้เช่นกัน
“มันเป็นไปไม่ได้...ยุนโฮ ในเมื่อนายกับฉัน...เราต่างก็อยู่กันคนละฝั่งของเส้นขนาน นายเป็นตำรวจ ฉันเป็นผู้ร้ายมันก็แค่นั้น... แสงสว่างสำหรับนายคือความอบอุ่น แต่สำหรับฉันมันคือร่องรอยของความเจ็บปวด...” ร่างบางถอนหายใจเพียงแผ่วเบา เพราะประโยคต่อไปนั้นมันยากลำบากเหลือเกินที่จะพูดมันออกไป
“ลืมมันซะเถอะ ความรักของเรา มันคงเป็นได้แค่ภาพลวงตา...มองเห็นแต่สัมผัสไม่ได้ เพราะฉะนั้นลืมมันไปเถอะนะ” ร่างบางราวกับจะวิงวอนร้องขอ รู้ว่าคำพูดของเขาอาจทำให้ชายหนุ่มเจ็บ แต่จะทำไงได้ ในเมื่อนี่เป็นความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง...
“หมายความว่า...ทางเดินของเราจะไม่มีวันมาบรรจบกันได้เลยสินะ?” น้ำเสียงทุ้มพร่าเลือนความเจ็บปวดที่ปกปิดเอาไว้ไม่มิดจนร่างบางที่นั่งอยู่ด้านหลังรู้สึกได้ อยากบอกปฏิเสธไป แต่เขาทำไม่ได้ เพราะมันอาจทำให้เขาลืมไปว่าฐานะระหว่างเขาทั้งสองคนคืออะไร ตำรวจและผู้ร้ายระหว่างพวกเขาก็เป็นได้แค่นี้ แต่ยุนโฮจะรู้ตัวบ้างไหม ว่าคนถูกถามเองก็ทรมานไม่แพ้กัน เมื่อความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้ จำจะต้องลบเลือนมันไป ความผูกพันที่แม้จะพึ่งเกิดขึ้นได้ไม่นานแต่คนทั้งคู่ก็มั่นใจเสมอมาว่ามันคือ...ความรัก
แจจุงไม่อาจทนเพื่อมองเห็นยุนโฮเศร้าได้อีกต่อไปจึงเลือกที่จะหนีก่อนที่ยุนโฮอาจจะถามคำถามที่เขาไม่อยากตอบอย่าง “นายรักฉันหรือเปล่า?” ขึ้นมา ร่างบางลุกขึ้นยืนและหันไปหายุนโฮพร้อมๆ กับที่ชายหนุ่มยืนตามเมื่อรู้สึกว่าแจจุงกำลังจะไป
“พยกันคราวหน้า เราจะได้มาฆ่ากันจริงๆ แล้วนะ” แม้น้ำเสียงหวานที่พูดออกมาจะเรียบซะจนน่ากลัว แต่กลับมีหยาดน้ำใสไหลรินอาบแก้ม ชายหนุ่มอยากเอื้อมมือไปเช็ดให้ใจจะขาด แต่ก็ไม่อาจทำได้ เมื่อร่างบางลุกส่ายหน้าแล้วก็วิ่งจากไป นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองตามแผ่นหลังบางไปจนลับสายตา ยุนโฮรู้สึกถึงความชื้นบนมือซึ่งมีหยดน้ำเล็กๆ สองสามหยดอยู่บนนั้น เมื่อเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าฝนก็ไม่ได้ตก มองไปรอบเพื่อหาต้นไม้เพราะมันอาจเป็นน้ำค้างที่ตกมาจากต้นไม้ แต่ว่าเหนือม้านั่งทั้งสองตัวนั้นไม่มีกิ่งไม้อยู่เลย ในที่สุดชายหนุ่มก็รู้ว่า หยาดน้ำนั้นไม่ใช่ฝน ไม่ใช่หยาดน้ำค้างอะไรทั้งนั้น มันเป็นน้ำตาของเขาเองต่างหาก..
.
.
.
ทางด้านจุนซู ไม่รู้จะนับว่าเป็นความโชคดีได้ไหม? เมื่อร่างเล็กนั้นออกมาและพบว่าจองซูกับซีวอนไม่อยู่เนื่องจากมีงานด่วนกว่าจะกลับก็คืนพรุ่งนี้ ในขณะที่คิบอมก็ยังไม่ตื่น เหลือก็เพียงยูชอนกับซองมินที่พอยื่นกระดาษโน้ตของแจจุงให้ทั้งคู่ดูก็ทำสีหน้าแบบว่า...คนเจ็บที่ไม่เจียมตัวว่าเจ็บอยู่แบบนี้มีแจจุงคนเดียวนั่นแหละ ครั้นจะออกไปตามหาก็คิดว่าแม่ Queen คนงามนั่นคงไม่ยินดีสักเท่าไหร่หรอก ทุกคนจึงลงความเห็นว่าถ้ามันนานเกินไปจนผิดสังเกต ค่อยออกไปตามหา
และ ณ ปัจจุบันก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสองแล้ว จุนซูยังคงนั่งรอแจจุงอย่างกระวนกระวายใจแต่ไม่แสดงออก ในขณะที่คนอื่นยังเฉยได้ แน่ละก็คนอื่นคิดว่าร่างบางไปเดินเล่นนี่ ใครจะรู้ว่าที่แจจุงไปน่ะ ไปหาตำรวจเชียวนะ ถึงจะเป็นผู้ชายคนนั้นก็เถอะ ยังไงเขาคนนั้นก็เป็นตำรวจแล้วจะให้จุนซูสบายใจได้ยังไง!?
“เจ้าหญิงของผม...เป็นอะไรไปครับ?” คนที่เรียกจุนซูแบบนี้ก็มียูชอนคนเดียวนั่นแหละ ร่างเล็กที่ทำหน้ามุ้ยมาตั้งแต่เมื่อกี้หันไปตอบคนรักอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ก็แจจุงนะสิ นี่มันบ่ายสองแล้วนะยังไม่กลับเลย!!”
“โธ๋...จุนซูก็ ฉันไปปลุกคิบอมให้เอาไหมจะได้รู้ว่าแจจุงอยู่ที่... นั่นไง พูดถึงก็มาเลย” ยังไม่ทันขาดคำเสียงประตูบ้านก็ดังขึ้นมาบ่งบอกถึงใครสักคนที่กลับมาแล้ว ทั้งที่ยังไม่เห็นหน้าแต่คำพูดกลับลอยไปทักทายก่อนแล้ว
“กลับซะบ่ายเลยนะ รู้ไหมจุนซูชะเง้อแล้วชะเง้ออีกแทบแย่นะ” ยูชอนพลางเดินไปหาคนเจ็บที่พึ่งกลับมา ใบหน้าสวยซีดผิดปกติ แต่ยูชอนไม่ทันสังเกตเห็น
“ก็สภาพแบบนี้มันเดินลำบากนี่!” เสียงหวานเถียงกลับแต่ดูเหมือนจะทนสู้กับร่างกายที่เอาแต่ประท้วงการกระทำของเขาไม่ไหวแล้ว แจจุงค่อยๆ น้อมตัวลงแล้วทรุดตัวลงไปกองกับพื้น มือเรียวกุมท้องทางด้านซ้ายไว้แน่น
“แจจุง!! แจจุง!!” ยูชอนปราดเข้าไปรับศีรษะร่างบางได้ทันก่อนจะกระแทกพื้น เสื้อโค้ทเปิดออกให้เห็นผ้าพันแผลที่ถูกย้อมด้วยเลือดสีแดงข้น มือเรียวที่ยูชอนจับอยู่สัมผัสได้แต่อุณหภูมิที่ต่ำจนน่ากลัว ลมหายใจรวยระรินคล้ายจะหยุดลงได้ทุกชั่วขณะ
“จุนซู! ไปปลุกคิบอมที” ชายหนุ่มหันไปสั่งคนรักก่อนใช้สองแขนแกร่งช้อนตัวร่างบางขึ้นมาอย่างระมัดระวังเมื่อเลือดยังคงไหลซึมออกมาไม่หยุด ดูเหมือนแจจุงจะหมดสติไปแล้ว
ปัง!! ปัง!!
“คิบอม!! คิบอม ตื่นสิ” จุนซูเคาะประตูห้องคิบอมทั้งแรง ทั้งดัง แบบไม่กลัวประตูพังเลยสักนิด
“ง่า...มีอะไรเหรอฮะ?” เด็กหนุ่มที่พึ่งโผล่หน้าออกมาจากประตูบ่งบอกความงัวเงียได้เป็นอย่างดี ก็เมื่อคืนกว่าจะได้นอนเกือบเช้าเข้าไปแล้วยิ่งกินยานอนหลับเข้าไปด้วยนี่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมอัจฉริยะหนุ่มถึงไม่ตื่นแม้มันจะเป็นเวลาบ่ายแล้วก็ตาม
“แจจุง!!” เพียงแค่ชื่อของคนเจ็บหลุดปากจุนซูมาเท่านั้นล่ะ คิบอมตาสว่างทันที ไม่ต้องรอให้เรียกซ้ำรอบสอง อัจฉริยะหนุ่มรุดไปห้องของร่างบางเจ้าของชื่อนั้นโดยมีจุนซูตามไปติดๆ
ที่ห้องมียูชอนกับซองมินรออยู่แล้ว ของที่ต้องใช้ร่างเล็กก็เตรียมมาให้เรียบร้อยในเวลาอันรวดเร็ว พอเห็นสภาพแจจุงเท่านั้นแหละ คิบอมโผเข้าหาร่างบางแทบไม่ทัน ไม่มีเวลาจะถามสาเหตุหรืออะไรทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือรักษาชีวิตของแจจุงไว้ให้ได้ อัจฉริยะหนุ่มจัดการเย็บแผลที่เปิดออกใหม่อย่างใช้สมาธิ ในขณะที่จุนซูใช้ผ้าค่อยเช็ดเหงื่อที่ใบหน้าสวย พวงแก้มใสตอนนี้ขาวซีดราวกับคนไม่มีชีวิต ลมหายใจของร่างบางอ่อนมากซะจนน่าเป็นห่วง
"แจจุง...เจ็บมากไหม? แจจุง... " จุนซุพูดเสียงสั่นรู้อยู่หรอกว่าถามไปร่างบางก็ตอบเขาไม่ได้ หยดน้ำใสเริ่มปริ่มบนนัยน์ตาสีน้ำตาลแดงคู่สวย ริมฝีปากบางกัดเม้มไว้ด้วยความอดกลั้น ยูชอนดึงร่างเล็กเข้ามาในอ้อมแขนเอนศีรษะกลมซบลงกับบ่าของเขา ยกให้ซองมินทำหน้าที่แทนจุนซู
ใช้เวลาเพียงไม่นานคิบอมก็เย็บแผลเสร็จ หากแต่อาการร่างบางก็ยังไม่ดีขึ้น ริมฝีปากบางซีดเซียว ผิวกายเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งทั้งที่เหงื่อออก อัจฉริยะหนุ่มบอกสาเหตุสั้นๆ เกิดจากการเสียเลือดมากเกินไป ก่อนจะรุดออกจากห้องไปที่ห้องครัวซึ่งมีตู้ยาอยู่ที่นั่นมือของเด็กหนุ่มหยิบโน้นสลับนี้จนได้ตัวยาที่ต้องการก็ขึ้นไปที่ห้อง เพราะพวกเขายังมีเรื่องยุ่งยากกว่านั้นรออยู่
“พี่จุนซู...นี่ฮะ” คิบอมยื่นยาทั้งหมดให้จุนซูจัดการ เรื่องที่ยากที่สุดคือการทำให้แจจุงยอมทานยานั่นแหละ ตอนตื่นที่ว่ายากแล้ว ตอนไม่ได้สตินี่ไม่ต้องพูดกันเลย
”ไม่เอาน่า แจจุง ขอร้องละ อย่าดื้อสิ กินยาหน่อยนะ แจจุง...” เจ้าหญิงตัวน้อยพยายามแล้วพยายามอีกที่จะบังคับคนสวยให้ยอมทานยา แต่ดูท่าแล้วคงไม่เป็นผล
“เฮ้อ
” เสียงจุนซูถอนหายใจยอมแพ้ต่อความดื้อแพ่งของคนสวยจริงๆ แจจุงไม่ยอมเปิดปากให้ป้อนยาได้เลยสักนิดแล้วแบบนี้เขาจะทำยังไงได้...นอกจากวิธีสุดท้าย ร่างเล็กหันไปหาคิบอมกับซองมินเพื่อขอความเห็น ทั้งคู่พยักหน้าเพราะรู้ดีว่าจุนซูหมายความถึงอะไร
“ยูชอน / พี่ยูชอน” สามเสียงเรียกประสานกันขนาดนี้ แล้วจะให้พ่อหนุ่มยูชอนทำไงได้พอจะรู้ชะตากรรมตัวเองอยู่หรอก เวลาแจจุงไม่สบายแล้วไม่ยอมทานยาทีไรก็เป็นหน้าที่เขาทุกทีนี่นา
“ฉันอีกแล้วเหรอ?” ถามไปอย่างนั้นแหละก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าไม่มีทางเลือก ไอ้วิธีนี้มันก็ไม่ได้ลำบากอะไรนักหรอก แต่เป็นวิธีที่ถ้าแจจุงรู้เข้าละก็หน้าอย่างเขาก็โดนเอาตายได้นะ แต่นั่นแหละเขายอมให้แจจุงฆ่า ดีกว่าต้องทนเห็นร่างบางทรมานแบบนี้
“โทษทีนะ...” ยูชอนกระซิบคำขออนุญาตแผ่วเบาก่อนรับยาทั้งหมดมาจากจุนซูแล้วโยนเข้าปากตัวเอง แขนข้างหนึ่งสอดเข้าไปใต้แผ่นหลังประคองร่างบางขึ้นเพียงเล็กน้อยไม่ให้กระทบกระเทือนบาดแผล ก่อนจะจรดริมฝีปากลงไปอย่างอ่อนโยน ในที่สุดร่างบางก็ยอมกลืนยาทั้งหมดลงไปจนได้ ซองมินส่งแก้วน้ำให้ยูชอนอย่างรู้หน้าที่ ชายหนุ่มรับมาก่อนใช้วิธีเดิมอีกครั้ง แต่ร่างสูงอาจจะเร่งเกินไปซะหน่อยทำให้ร่างบางเกิดการสำลักน้ำ
“ฮึก! แค่ก!”
“แจจุง!” มือใหญ่ลูบแผ่นหลังบางไปมาจนอาการค่อยทุเลาลง เสียงลมหายใจเริ่มกลับมาเป็นปกติ ชายหนุ่มค่อยๆวางร่างบางลงกับเตียงนุ่ม โดยมีจุนซูจัดหมอนให้
หลังจากให้แจจุงทานยาไป ทั้งสี่คนก็ค่อยดูอยู่ไม่ห่าง ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทบ่งบอกถึงเวลาที่ล่วงเลยมาจนค่ำ เมื่อเห็นว่าค่ำแล้วคิบอมจึงออกตัวบอกทุกคนว่าคืนนี้เขาจะเฝ้าแจจุงเอง แต่จุนซูเองก็อยากแก้ตัว ในขณะที่ซองมินกับยูชอนเองก็อยากทำเหมือนกัน
เมื่อหาข้อสรุปไม่ได้ว่าใครจะเป็นคนนอนเฝ้าแจจุง...ทั้งสี่คนจึงตกลงที่จะนอนห้องนี้ด้วยกัน โดยคิบอมกับยูชอนโดนจุนซูไล่ให้ไปอาบน้ำซะก่อนเพราะเสื้อผ้าและตามเนื้อตัวของทั้งคู่นั้นเลอะเทอะไปด้วยเลือดที่ตอนนี้แห้งกรังจนกลางเป็นสีน้ำตาลหมดแล้ว ตามด้วยซองมินที่จัดการเก็บผ้าพันแผลและเอากะละมังที่บรรจุน้ำไปเปลี่ยนมาใหม่
ซองมินเอาน้ำมาให้เจ้าหญิงตัวน้อยก่อนจะขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะสภาพเขาเองก็ไม่ได้สะอาดกว่าสองคนนั้นสักเท่าไหร่หรอก ตอนนี้ในห้องจึงมีจุนซูค่อยเฝ้าคนเจ็บอยู่เพียงลำพัง มือเล็กใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นคอยซับหยาดเหงื่อเม็ดเล็กบนใบหน้าสวยที่ยังผุดขึ้นมาอย่างไม่ได้หยุดได้หย่อนที่
“ขอโทษนะ...ฉันไม่น่าปล่อยให้นายไปเลยจริงๆ” แค่เหตุการณ์เมื่อวานเขาก็รู้สึกผิดมากพออยู่แล้ว ยิ่งเขาละเลยปล่อยแจจุงออกไปข้างนอกทั้งที่บาดเจ็บจนกลับมานอนซมแบบนี้เขายิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปใหญ่ หยดน้ำตาเริ่มปริ่มในดวงตาอีกครั้ง หากแต่เสียงเปิดประตูทำให้ร่างเล็กจำต้องปาดมันออกไป
“ยูชอน อาบน้ำไวจังนะ” เสียงใสทักคนรักที่เข้ามาพร้อมกับสองมือที่มีของพะรุงพะรังทั้งผ้านวมผืนใหญ่และหมอนอีกสองใบ ชายหนุ่มกองอุปกรณ์การนอนไว้ที่มุมหนึ่งของห้องแล้วไปนั่งใกล้จุนซู
“ก็กลัวคนแถวนี้เฝ้าคนเจ็บอยู่คนเดียวจะรู้สึกผิดจนร้องไห้ออกมาอีกนะสิ แต่ดูเหมือนฉันจะคิดผิดไปนะ” มือหนาวางลงบนศีรษะกลมสวย ขยี้เส้นผมนุ่มเบาๆ
“ไม่หรอกดูเหมือนนายจะเดาถูกเป๊ะเลยล่ะ” ร่างเล็กเอนหลังพิงแผงอกแกร่งสถานที่ที่เขารู้สึกสบายใจทุกครั้งยามที่ได้แอบอิง ยูชอนโอบเอวให้ร่างเล็กขึ้นมานั่งบนตัก ความอบอุ่นที่เจ้าหญิงตัวน้อยแสนรัก ที่นั่งพิเศษราวกับเป็นราชบัลลังก์แห่งความสุข ชายหนุ่มคนรักผู้เป็นดั่งสายลมแห่งรักของเขาเสมอมา เพียงแค่มียูชอนอะไรที่ไม่สบายก็คล้ายจะถูกชายหนุ่มปัดเป่าออกไปจนหมด
“แล้วตอนนี้ยังอยากร้องไห้อยู่ไหม?” น้ำเสียงทุ้มที่เพียงแค่ได้ฟังก็รู้สึกสบายใจ จุนซูส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วมือเล็กนั้นก็ดึงให้ยูชอนโน้มใบหน้าลงมา แม้ชายหนุ่มจะไม่รู้ว่าร่างเล็กต้องการอะไรแต่ก็โอนอ่อนตามแรงบังคับแต่โดยดี ใบหน้าหล่อคมคายถูกรั้งเข้ามาใกล้ก่อนร่างเล็กจะประกบจูบล้ำลึกอย่างไม่ทันให้ชายหนุ่มได้ตั้งตัว ความอ่อนโยนนุ่มละมุนแนบประทับกันเป็นเวลาเนิ่นนาน ใบหน้าคมเอียงเปลี่ยนองศาเพื่อตอบรับสัมผัสของอีกฝ่าย รสสัมผัสนิ่มนวลกลั่นกรองจากความรักเชื่อมโยงคนสองคนให้ตอบรับกันและกันอย่างคุ้นเคย
เจ้าของนัยน์ตาคมดูจะแปลกใจอยู่มากที่เจ้าหญิงตัวน้อยเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่จุนซูก็ไม่ปล่อยให้ชายหนุ่มได้นึกสาเหตุเอาเอง เรียวปากสีสดไขข้อข้องใจให้กับสัมผัสเมื่อกี้อย่างกระจ่างแจ้งด้วยคำพูดประโยคเดียว แต่กลับเรียกรอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้าของร่างสูง
“จูบล้างไง“
“’งั้น...ขออีกทีได้ไหมอ่ะ?”
“ตาบ้า!” น้ำเสียงเล็กต่อว่าคนมักมากอย่างเขินอาย พอได้คืบจะเอาศอก พอได้ศอกจะเอาวา...ถ้ายอมไปแล้วคืนนี้จะได้เฝ้าแจจุงไหมเล่า!? แต่ยูชอนก็ยังไม่ยอมแพ้เถียงกลับไปอย่างข้างๆ คูๆ ว่า “ก็เมื่อกี้ฉันป้อนยาไปครั้งหนึ่งแล้วก็น้ำอีกหนึ่งก็ต้องเป็นสองสิ”
“ทีเรื่องอย่างนี้ละ ฉลาดนักนะ” ถึงกลีบปากสวยจะเอ่ยต่อว่าแต่มือเล็กกลับประคองใบหน้าหล่อให้เข้ามาใกล้ รสสัมผัสอันหอมหวานดั่งตกลงไปในห้วงแห่งฝันกำลังเริ่มขึ้นอีกครั้ง หากไม่มีใครเข้ามาขัดจังหวะละก็นะ...
“คิบอมเปิดประตูให้หน่อยสิ!” เสียงเล็กสั่งคนที่ตามหลังมาให้เนื่องจากสองมือของซองมินนั้น ข้างหนึ่งคือหมอนกับผ้าห่ม ในขณะที่อีกข้างก็เป็นน้ำดื่มและแก้วสำหรับคนเจ็บ โดยที่ไม่ได้หันไปมองเลยว่าคนที่ตนเรียกนั้นก็มีสภาพไม่ต่างกัน ไหนจะโน้ตบุ๊คคู่ใจ ไหนจะเครื่องนอน แล้วจะเอามือที่ไหนไปเปิดให้ได้เล่า!
“ไม่มีมือเหมือนกันละน่า...เรียกให้พี่จุนซูเปิดให้สิ”
“ง่ะ...ก็ไม่อยากขัดจังหวะหวานนี่!”
“หวานอะไรกันเล่า พี่ยูชอนอาบน้ำอยู่ไม่ใช่เหรอ!?”
“ก็เมื่อกี้...”
“เลิกเถียงกันได้แล้ว พวกนายนี่นะ เถียงกันได้ทุกที่ทุกเวลาจริงๆ เลย” ประตูห้องเปิดออกเป็นเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มนั่นเอง ใบหน้าคมออกจะบึ้งตึงอยู่เล็กน้อยแสดงให้เห็นเลยว่าคำพูดที่ซองมินว่าไว้นั้นเป็นจริงอย่างไม่ต้องสงสัย คิบอมได้แต่ประท้วงในใจอย่างเงียบๆ
...พี่ครับ เข้าใจว่ารักกัน แต่ว่าเพลาลงบ้างก็ได้นะครับ อย่างน้อยก็ต่อหน้าคนเจ็บน่ะ!!...
เพราะอาการของร่างบางที่ทอดกายนิ่งอยู่บนเตียงนุ่มนั่นยังไม่น่าไว้วางใจ ถึงจะยังทรงตัวไม่แย่แต่ก็ไม่ดีขึ้น ยาที่ให้ไปไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะไข้ยังคงขึ้นสูงตลอดเวลา ทั้งสี่คนตกลงกันว่าจะผลัดเวรกันคอยดูแลคนเจ็บ เวรคนแรกตกเป็นของอัจฉริยะหนุ่ม ขณะที่สามคนนั้นแยกกันหามุมเหมาะนอนพักผ่อนเพื่อรอรับเวรต่อ
ภายในห้อง ณ ปัจจุบันจึงมีแต่ความเงียบที่แผ่กระจายอยู่ทั่วห้อง บรรยากาศมืดวังเวงของช่วงเวลากลางคืนไม่ได้ทำให้อัจฉริยะหนุ่มเกิดอาการกลัวแต่อย่างไร คิบอมเอาหมอนมาพิงผนังข้างๆ เตียงแล้วนั่งเฝ้าแจจุงอยู่อย่างนั้น นัยน์ตาสีอำพันมองนางพญาคนงามอย่างไม่วางตา ก่อนจับมือของร่างบางมาเกาะกุมไว้ มือเรียวบางคู่นี้เคยช่วยฉุดเขาออกมาจากนรกแห่งความสับสน ปัดเป่าความเจ็บปวดออกไปจากหัวใจที่บอบช้ำ โอบอุ้มเขาไว้ด้วยสองแขนที่บอบบางแต่ก็เข้มแข็ง คนเพียงคนเดียวที่ถูกเขาวางไว้ในตำแหน่งสำคัญที่สุดของชีวิตโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ แล้วผู้ชายคนนั้นมีสิทธิอะไรมาทำให้คนสำคัญของเขาเป็นแบบนี้...!!
ยิ่งคิดเด็กหนุ่มก็ยิ่งโมโห ถ้าไม่ติดว่ากฎที่ห้ามฆ่าคนนอกเหนือจากคำสั่งของพวกเขามันสำคัญละก็ รับรองว่าคังอินหมดลมหายใจไปจากโลกนี้นานแล้ว คิบอมยังคงนั่งคิดอะไรคนเดียวไปเรื่อยเปื่อยจนได้ยินเสียงแหบแห้งลอยมาตามอากาศอย่างแผ่วเบา
“ฮึก...ฮือ
ไม่นะ...”
“พี่แจจุง” เด็กหนุ่มพยายามสะกิดเรียกสติร่างบางที่เพ้อไม่หยุดเพราะพิษไข้ สองแขนเรียวกวาดไปมาในอากาศราวกับว่าต่อสู้กับอะไรบางอย่างอยู่
“ไม่...ไม่!!!!!” แจจุงทั้งดิ้นทั้งขัดขืนไม่ยอมให้คิบอมจับตัวเขาได้เลยสักนิด มือเรียวปัดไปมาจนโดนแก้มเด็กหนุ่มเข้าอย่างแรงทำเอาชาไปทั้งใบหน้า แต่เจ็บแค่นี้อัจฉริยะหนุ่มไม่สนใจหรอก ที่ห่วงยิ่งกว่าคือบาดแผลนั่นต่างหากล่ะ ถ้ามันเปิดออกอีกครั้งล่ะก็...คราวนี้ไม่รอดแน่ๆ
“แจจุง!!” ยูชอนพุ่งเข้ามาช่วยจับไหล่ทั้งสองของร่างบางและกดลงกับเตียงให้อยู่นิ่งๆ ซองมินก็ช่วยจับขาไว้ ขณะที่จุนซูช่วยปลอบจนไม่นานร่างบางก็ค่อยๆ สงบลงแต่เล่นเอาทุกคนเหงื่อตก เมื่อจัดให้เรือนร่างบางนอนลงบนเตียงนุ่มแล้ว คิบอมถึงพึ่งรู้สึกตัวว่าคนที่นอนไปแล้วทำไมถึงได้ตื่นขึ้นมาได้ก็ไม่รู้ เพราะแค่เสียงเพ้อของแจจุงน่ะ มันไม่ได้ดังขนาดจะปลุกทุกคนได้หรอกนะ
“พี่...ไม่ได้หลับเหรอฮะ?”
“ข่มตาหลับลงซะที่ไหนกันล่ะ
” คำตอบของยูชอนบ่งบอกทุกอย่างในตัวของมันได้ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องต่อความยาวสาวความยืดอะไรกันอีกต่อไป สุดท้ายไอ้ที่ตกลงจะผลัดเวรกันก็เป็นอันล้มเลิกเมื่อไม่มีใครข่มตาหลับลง ที่นอนใหม่จึงกลายเป็นรอบเตียงของนางพญาคนงาม
.
.
.
ผืนฟ้าที่เคยมืดมิดค่อยๆ สว่างไสวขึ้นตามลำดับ แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านกระจกหน้าต่างลอดผ้าม่านเข้ามาภายในห้องนอนกว้างจนเรือนร่างบอบบางบนเตียงรับรู้ถึงรุ่งอรุณวันใหม่ที่เดินทางมาเยือน เปลือกตาบางค่อยๆ เลื่อนขึ้นเผยให้เห็นนัยน์ตาคู่สวยที่กระพริบถี่เพื่อปรับสายตารับกับแสงสว่างภายในห้อง
แจจุงมองสำรวจตัวเองและรอบด้าน บาดแผลที่ท้องถูกพันผ้าซะใหม่อย่างเรียบร้อย ในขณะที่ข้างเตียงด้านขวา...อัจฉริยะหนุ่มนอนฟุบอยู่ข้างเขาโดยที่มือยังกำผ้าขนหนูชุบน้ำอยู่แน่น ถัดจากคิบอมไปก็เป็นซองมินที่นั่งพิงผนังห้องหลับแบบไม่กลัวปวดหลังเลยสักนิด ทางปลายเตียงที่เป็นเบาะนั่งยาวต่อจากเตียงถูกร่างสูงยึดโดยการนอนเหยียดยาวเต็มพื้นที่ ไล่มาจนถึงคนสุดท้ายที่อยู่ซ้ายมือ...ผู้เป็นเจ้าของความอบอุ่นที่กอบกุมมือเขาไว้ตลอดเวลา จำนวนคนในห้องที่มีมากซะจนเจ้าของห้องแอบแปลกใจว่าเป็นเพราะอะไรถึงได้ยกโขยงกันมาทุกคนแบบนี้
...นี่มานอนที่ห้องเขากันหมดเลยเหรอ?...
ร่างบางเอื้อมมือไปจะหยิบผ้าขนหนูชื้นแฉะที่อยู่ในมือเด็กหนุ่มออก ถึงเขาจะพยายามขยับมือให้นิ่งและเบาเพียงใด...แต่คิบอมก็ยังรู้สึกตัวพลันดีดตัวลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำเอาแจจุงสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะวางผ้าผืนนั้นไว้ที่หัวเตียง...
“พี่แจจุง!!” เสียงของอัจฉริยะหนุ่มที่แฝงไปด้วยความดีใจและตกใจคละกันไปดังซะจนปลุกทุกคนในห้องให้ตื่นขึ้นมาด้วย ในขณะที่แจจุงใช้แขนทั้งสองข้างยัดร่างตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง
"ขอโทษนะ...พี่ทำให้นายตื่นใช่ไหม?...โอ๊ย!!.." แจจุงหน้าเหยเกเมื่อรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่แล่นริ้วไปทั่วยามขยับร่างกายจนเกือบทิ้งร่างลงกระแทกเตียง ดีว่าจุนซูนั้นไวพอที่จะใช้แขนรองรับแผ่นหลังนั้นไว้ได้และประคองให้นางพญาคนงามอยู่ในท่านั่ง แต่จนตอนนี้ก็ยังไม่มีใครพูดอะไรเล่นเอาใบหน้าสวยออกอาการเหรอหรา ก็ทุกคนเอาแต่เงียบแล้วก็จ้องหน้าเขาอย่างเอาเป็นเอาตายเลยนี่
“ยะ
อย่ามองฉันแบบนั้นสิ” น้ำเสียงแหบแห้งร้องออดอ้อนเสียงอ่อยเหมือนเด็กที่ทำผิดมา พยายามฉีกยิ้มกว้างสู้กับเพื่อนๆ แต่ก็มีอันล้มเหลวไปเพราะอาการระคายเคืองที่คอจนต้องไอโขลกเสียงดังแทน ร้อนถึงซองมินที่รีบรินน้ำใส่แก้วให้เกือบไม่ทัน จุนซูประคองแก้วให้ดื่ม แต่ร่างบางก็จิบไปเพียงเล็กน้อยให้พอชุ่มคอ และเจ้าหญิงตัวน้อยก็ไม่ปล่อยให้ร่างบางทำตัวไม่ถูกอีกต่อไป
“นายมันดื้อ! รู้ตัวไหม? คิมแจจุง!!” คำต่อว่าที่พรั่งพรูมาพร้อมกับหยดน้ำตาบนพวกแก้มเจ้าหญิงแห่งองค์กรเรียกรอยยิ้มบางเบาให้เกิดขึ้นบนใบหน้าสวยหวาน ถึงเนื้อความจะไม่ได้สื่อความหมายออกมาตรงๆ แต่ร่างบางก็รู้ดีว่าจุนซูเป็นห่วง ร่างเล็กโผเข้ากอดนางพญาคนงามเป็นคนแรก
“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง...” มือเรียวบางลูบเส้นผมนุ่มเพื่อปลอบโยน ขณะที่น้ำเสียงสั่นๆ ของอัจฉริยะหนุ่มและหยาดน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาเหยี่ยวข่าวคนน่ารักเรียกให้แจจุงใช้แขนข้างขวาที่ว่างอยู่ดึงทั้งสองคนเข้ามากอด
“ผม...นึกว่าพี่จะไม่อยู่...กับผมแล้วซะอีก...”
“โธ่เอ๊ย! เจ้าเด็กน้อย พี่ไม่ตายง่ายๆ หรอกน่า พี่สัญญากับพวกนายแล้วว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปนี่นา พี่ไม่ทิ้งพวกนายไปก่อนหรอกนะ” คนเจ็บคลายวงแขนของทุกคนออก แล้วเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้อัจฉริยะหนุ่ม แต่ไหนแต่ไรมาคิบอมไม่ใช่คนบ่อน้ำตาตื้น ไม่ใช่คนที่จะมาร้องไห้ให้เห็นกันได้ง่ายๆ แม้ว่าจะโดนทำร้ายให้เจ็บช้ำจิตใจมามากขนาดไหนแต่เด็กหนุ่มก็ไม่เคยร้องไห้เลยสักครั้ง ถ้าไม่นับตอนฝันร้าย ถือว่ายากมากที่จะได้เห็นน้ำตาของเด็กหนุ่ม แต่ตอนนี้คิบอมกำลังร้องไห้เพราะเขา หยาดน้ำร่วงหล่นจากนัยน์ตาสีอำพันด้วยความเป็นห่วง
" ไม่เอาน่า เด็กโง่! ร้องไห้ทำไม? พี่ยังไม่ตายสักหน่อย นี่ไง...พี่จับมือนายอยู่นี่ไง อย่าร้องไห้เลยนะ” แจจุงดึงเด็กหนุ่มเข้ามากอดเบาๆ อีกครั้ง มือเรียวขยี้เส้นผมอย่างเอ็นดู
“ว่าแต่ว่า ยูชอน...นายไม่อยากกอดฉันหน่อยเหรอ" นัยน์ตาคู่สวยหันไปหาเจ้าของใบหน้าคมที่กอดอกเต๊ะท่ายืนพิงผนังห้องอยู่เพียงลำพังไม่ยอมเข้ามาสักที
“นึกว่าจะไม่ถามซะแล้ว?” พอถูกถามยูชอนก็เดินเข้าไปนั่งชิดขอบเตียงแบบไม่ต้องให้เชิญมา มือใหญ่โอบร่างบางเข้ามากอดไว้อย่างเบามือ ด้วยกลัวว่าจะไปโดนบาดแผลของแจจุงเข้า น้ำเสียงทุ้มเอ่ยตัดพ้อด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างอะไรกับทุกคนเลย
“รู้ตัวไหมว่าทำให้เป็นห่วงแค่ไหน? ตอนเห็นนายล้มลงไปแบบนั้นทำให้ฉันใจหายแค่ไหน? รู้ตัวบ้างรึเปล่า?”
“ขอโทษนะ ฉันขอโทษ” มือเรียวตบแผ่นหลังร่างสูงเบาๆ เพื่อปลอบโยนก็รู้อยู่ว่าชายหนุ่มเป็นคนอ่อนไหวขนาดไหน ที่ไปยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นคงเพราะกลัวว่าจะเผลอร้องไห้ให้เขาเห็น แต่พอเอาเข้าจริง ก็ร้องไห้อีกอยู่ดีไม่ใช่เหรอ จริงๆ เลยน้า~ นายเนี่ย
ถึงแม้ว่าเรื่องราวก่อนหน้านั้นหรือหลังจากนี้จะโหดร้ายสักเพียงใด แต่...เขารู้เสมอว่า เมื่อใดที่กลับมาหาทุกคน เขาจะไม่เจ็บ...ไม่เหงา...ไม่ทรมานอีกต่อไป เพียงแค่เราทุกคนอยู่ด้วยกัน เพียงแค่นั้นก็ไม่มีอะไรต้องกลัว สำหรับเขา DL คือครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่อาจหาได้ที่ไหนอีก และเขาจะไม่มีวันยอมสูญเสียมันไป แม้ว่าจะต้องสู้กับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวใจของเขาก็ตาม เพราะนี่คือสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับเขา
มันไม่ยากเลย... ถ้าพวกตำรวจจะใช้ความคิดสักนิดว่าจุดอ่อนของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวคืออะไร มันเป็นสิ่งที่ง่าย...ง่ายซะจนไม่น่าเชื่อว่าองค์กรนักฆ่าที่ได้ชื่อว่าเก่งที่สุดในโลกจะกลัวมัน...
...สิ่งที่เหล่า DL ทุกคนหวาดกลัวมากที่สุด...
ก็คือ...การสูญเสีย...
อาจเป็นเพราะว่าช่วงชีวิตที่ผ่านมา
ต่างคน...ต่างสูญเสียอะไรไปมาก...
มากเกินกว่าจะทนรับความเจ็บปวดจากการสูญเสียใดๆ ได้อีกแล้ว
กลับมาพล่ามยาวๆ ให้คนอ่านเมื่อยสายตากันอีกแล้ว 55+
ก่อนอื่นอยากให้ดูรูปหัวเรื่องนะค่ะ มันเป็นม้านั่งสองตัวหันออกจากกันดูออกไหมค่ะ
(ฝีมือไม่ถึงขออภัย 55+)
รู้สึกว่าตอนนี้มันแต่งยากมากกกกกกกกกก... แก้แล้วแก้อีกหลายรอบเหลือเกิน
1 เดือนกับ 11 หน้าเวิร์ดคงไม่น้อยเกินไปนะค่ะ (รึเปล่าหว่า???)
เอาเป็นว่าเปิดเทอมเริ่มมีเวลาแล้วจะ (พยายาม) ปั่นให้เร็วขึ้นนะค่ะ โฮะๆ
ปล.เรื่องที่ถามกัน อดีตของจุนซูตอนเจอกับ DL นั้นไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ มีแน่นอน
เพียงแต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้ ต้องเป็นตอนที่.... บอกไม่ได้ให้ค้นหากันเอาเอง
ปล2.เตือนไว้ก่อนสำหรับคนที่จะอ่านเรื่องนี้ต่อ ความเศร้าแบบโศกนาฏกรรมกำลังจะเข้าครองงำฟิกเรื่องนี้(?)
ปล3. รู้สึกไหมว่ามันออกแนวโซลเมท!!! แต่ไม่ต้องห่วง...มันจะเป็นฟิกยุนแจ(น่าจะเรื่องเดียว) ที่มีโซลเมทตามหลอกหลอนบ้างเป็นบางครั้งบางคราว (ซึ่งไม่ได้มีอะไรเลยนอกจาก กอด ปลอบ จูบ (ตอนนี้ไง) ฯลฯ) อืม...มันเริ่มจะโซลเมทมากไปจริงๆนั่นแหละ เหอๆ (ยังมีหน้ามาหัวเราะ -*- ช่วยไม่ได้นะค่ะ มีคนรีเควสมา ใครก็ไม่รู้อ่ะ 55+)
ปล4.กำลังจะมีโครงการรีปริ๊นท์ Forgotten Angel รอบ 3 (ที่คาดว่ามันจะเป็นรอบสุดท้ายสักที -*- ) ใครสนใจก็เตรียมทุนทรัพย์ไว้ด้วยน้า ( Maze of love Ver. SJ เล่ม 1 2 ด้วยจ้า)
ปล5. คนแต่งโหมดบ้าบอ แต่ก็รักคนอ่านที่สุดในโลกเลย พล่ามยาวตามเคย
ปล6.จบ!!! (แกจะจบเพื่อ???)
-b g--s b- + + ไม้กาง เขน B G
ความคิดเห็น