ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Flaw Flower [Fic TVXQ : Soulmate]

    ลำดับตอนที่ #8 : [ 7 ] : Rose's Tear ( 100% )

    • อัปเดตล่าสุด 12 มี.ค. 55




    Chapter VII : Rose’s Tear



    คุกใต้ดินของตระกูลชองมีพื้นที่กว้างขวางอยู่ภายใต้ตัวคฤหาสน์ พื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นโกดังที่ใช้เก็บสินค้าต่างๆ อีกส่วนเป็นห้องโถงที่ถูกแบ่งออกเป็นห้องทึบๆหลายห้อง ด้วยบรรยากาศที่มืดแทบจะสนิท อากาศที่เบาบางจนชวนให้อึดอัด พื้นและผนังล้วนทำจากหินแข็งก้อนใหญ่เรียงติดกัน การถูกขังอยู่ในสถานที่แบบนี้ก็เหมือนฝันร้าย...

    แสงสว่างเพียงเบาบางจากช่องระบายอากาศเล็กๆปลุกให้ร่างบางที่นอนซบไปกับพื้นหินเย็นเฉียบอย่างหมดสภาพรู้สึกตัว เปลือกตาบางรับกับขนตางอนยาวค่อยๆลืมขึ้นอย่างยากลำบาก การสอบสวนคาดคั้นที่หนักหนาสาหัสยังคงทิ้งร่องรอยไว้ให้เห็นอย่างเด่นชัด เสื้อผ้าที่ใส่ติดตัวตั้งแต่คืนวันนั้นเปื้อนเลือดแห้งกรังและฉีกขาดเป็นริ้วไม่น่าดู ใบหน้าสวยหวานที่เคยสดใสซีดขาวราวกับร่างไร้ชีวิต ความอ่อนล้าทำให้แจจุงไม่อยากแม้แต่จะขยับตัว เกือบหนึ่งอาทิตย์เต็มๆที่ร่างบางถูกจองจำอยู่ในคุกใต้ดิน

    เสียงฝีเท้าจากไกลๆแว่วมาให้ได้ยิน แจจุงเดาเอาว่าคงเป็นฮยอกแจที่มาสอบสวนด้วยตัวเองเหมือนทุกวันที่ผ่านมา แต่เมื่อประตูห้องขังเปิดออก ภาพที่ปรากฏกลับไม่ใช่อย่างที่คิด กลายเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงกำยำสองคนที่ร่างบางไม่รู้จัก สายตาที่ไม่ประสงค์ดีของชายคนแรกที่ก้าวเข้ามาทำให้แจจุงถอยหนีไปที่มุมห้อง สองแขนตั้งการ์ดป้องกันตัวในทันที

    “พวกแกเป็นใคร!!?” เสียงหวานตะโกนกร้าว แต่คนพวกนั้นก็ยังเข้ามา แจจุงไม่รู้จุดประสงค์ของคนพวกนี้ บางทีอาจจะเป็นแค่พวกลูกน้องปลายแถวที่ลงมาเอาของในโกดังก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็เบาใจ หากแจจุงก็ต้องโยนความคิดนั้นทิ้งไปทันทีเมื่อมองเห็นปืนที่อยู่ในมือของทั้งสองคน

    “แหม! ดุจังเลยนะ คนสวย” ร่างสูงผิวปากจงใจยั่วยุอารมณ์ของร่างบางเต็มที่ หากเป็นในยามปกติมีใครหน้าไหนในตระกูลชองหรือจะกล้าทำกับกุหลาบของนายใหญ่ถึงขนาดนี้ มือหยาบเอื้อมไปจะจับคางเรียว แต่แจจุงก็ปัดออกไปก่อนจะมาถึงตัว

    “ออกไป!!” เสียงหวานตะโกนลั่น หวังไว้ลึกๆว่าอาจจะมีใครสักคนได้ยิน สภาพร่างกายเขาตอนนี้ยังไม่พร้อมจะรับมือกับการต่อสู้ใดๆ หากชายทั้งสองไม่ได้สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย

    นี่! ก่อนจะฆ่ามัน มาทำอะไรสนุกๆกันหน่อยดีไหมล่ะ?” เสียงแหบพร่าเอ่ยถามเพื่อนที่เข้ามาด้วยกัน ชายเสื้อตัวบางที่ฉีกขาดเป็นริ้วๆเผยให้เห็นสิ่งยั่วยวนอารมณ์ สายตาหื่นกระหายจ้องมองผิวเนียนที่เต็มไปด้วยรอยช้ำจากการทุบตีอย่างหนัก

    ก็ดีเหมือนกัน ไหนๆก็จะไม่ได้เห็นหน้าสวยๆนี่อีกแล้วสินะรอยยิ้มมีเลศนัยปรากฏบนใบหน้าของร่างสูงกำยำ มือหยาบกร้านยื่นมาคว้ายึดข้อมือเรียวไว้ คำพูดของชายคนนั้น แจจุงไม่อาจเข้าใจได้เลย ที่รู้อยู่อย่างเดียวตอนนี้คือ เขาต้องหนี!! หนีไปจากเงื้อมมือคนพวกนี้ให้ได้ มือเรียวบิดข้อมือให้หลุดจากการจับกุมอย่างเร็วและพุ่งตัวไปที่ประตูทางออก หากสภาพห้องที่เล็กและมีทางออกเพียงทางเดียวทำให้ร่างบางตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

    “จะรีบไปไหนล่ะคนสวย” มือหยาบคว้าคอเสื้อแจจุงได้จากด้านหลัง แต่สภาพที่หลุดลุ่ยทำให้มันขาดหลุดออกไป ร่างบางจึงยังไม่ถูกจับตัว เพียงแค่เสียหลักล้ม แต่แจจุงก็ใช้ข้อมือยันก่อนจะถึงพื้นแล้วพลิกกายขึ้น หากแรงกระแทกจากหมัดหนักๆที่พุ่งเข้าใส่อย่างรุนแรงทำให้ร่างบางตั้งตัวไม่ติด ล้มลงไปฟาดกับฐานของเสาคบเพลิงที่ช่วยให้แสงสว่างด้านนอกห้องล้มลงมา ถ่านหินร้อนระอุกระจายเต็มพื้น ชายคนแรกบีบคอร่างบางดึงเข้ามาใกล้และจู่โจมกลีบปากสีซีด หากก็ต้องรีบผละออกในทันทีเมื่อถูกฟันเล็กขบกัดที่ริมฝีปากจนเลือดไหล

    “ฤทธิ์เยอะนักนะ!” ความโกรธที่ถูกต่อต้านทำให้ร่างกำยำยิ่งทวีความรุนแรง เขาผลักร่างบางลงนอนกับพื้นที่เต็มไปด้วยถ่านที่หลายก้อนยังแดง มือหยาบกดหัวไหล่ข้างหนึ่งทับถ่านร้อนๆอย่างจงใจ

    “ฮื้อออออ!!” เสียงหวานหวีดร้องอย่างเจ็บปวด กลิ่นเหม็นไหม้เนื้อที่ปะทะประสาทรับรู้กลิ่นไม่น่ากลัวเท่ากับความร้อนที่จ่อเผาแผ่นหลัง แจจุงดิ้นรนพยายามสะบัดให้หลุดจากมือหยาบที่กดร่างเขาลง แต่อีกคนก็เข้ามาช่วยจับไว้เสียก่อนจะได้เป็นอิสระ ความเจ็บที่ลามไปทั่วแผ่นหลังแทบจะทำให้ร่างบางสิ้นสติ ใบหน้าสวยนิ่วหน้าอย่างทรมานก่อนจะแน่นิ่งไป

    “สลบไปแล้วว่ะ” ชายคนแรกหันไปบอกเพื่อนเมื่อเห็นแจจุงแน่นิ่งไป กระทั่งปล่อยมือแล้วก็ยังไม่ไหวติง อีกคนก็เลยปล่อยมือตาม ทันใดนั้น เปลือกตาบางก็ลืมขึ้น แจจุงกัดฟันข่มความเจ็บปวดดีดตัวขึ้นจากพื้นและวิ่งหนีออกไปให้เร็วที่สุด

    “บ้าฉิบ! ตามไปเร็ว!!” กว่าจะตั้งสติได้ว่าเมื่อครู่ กุหลาบงามแค่แกล้งทำเป็นสลบ แผ่นหลังบางก็ผ่านเลยสายตาไปจนใกล้จะถึงทางออกคุกใต้ดินแล้ว

    แจจุงวิ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆอย่างไม่รู้ทิศทาง ลมหายใจหอบหนักไม่เป็นจังหวะ หัวใจเต้นรัวแทบจะหลุดออกมาข้างนอก จนสุดท้ายก็ฝืนร่างกายที่ออกอาการประท้วงไม่ไหวจำต้องหยุดพัก มือเรียวใช้ผนังอาคารเป็นฐานช่วยพยุงตัว นัยน์ตาคู่งามมองสำรวจบริเวณรอบตัวเพื่อมองหาทางไปต่อ

    จากคุกใต้ดินขึ้นมาเป็นคฤหาสน์ฝั่งตะวันตกที่จะใช้ก็ต่อเมื่อมีการประชุมสำคัญ นอกจากนั้นก็เป็นที่พักสำหรับแขกของตระกูล โดยปกติถ้าไม่มีงานบริเวณนี้จะไม่มีใครอยู่เลย ด้านซ้ายมือเป็นสวนดอกไม้ของนายหญิงตระกูลชองคนก่อน หากเดินตัดไปตามทางเดินหินอ่อนก็จะออกไปข้างนอกคฤหาสน์ได้แล้ว ส่วนขวามือเป็นทางเดินทอดสู่ใจกลางคฤหาสน์ ปลายทางคือเรือนใหญ่ ที่พักของนายใหญ่แห่งเขตใต้

    หากเป็นในเวลาปกติ แจจุงคงเลือกไปทางขวาอย่างไม่ลังเลเลย แต่ไม่รู้ทำไมถึงเกิดไม่แน่ใจขึ้นมา เพียงชั่ววินาทีที่มัวแต่ครุ่นคิด ปลายหางตาก็มองเห็นชายสองคนนั้นที่ตามมาอย่างรวดเร็ว ร่างบางถอยเอาหลังชนผนังเผชิญหน้ากับชายทั้งสอง

    “ทำแบบนี้ ไม่กลัวคุณยุนโฮรู้รึไง?” แจจุงแค่ขู่หาเรื่องถ่วงเวลา หากถ้อยคำนั้นกลับทำให้ชายสองคนนั้นมองหน้ากันแล้วหัวเราะร่วนราวกับว่ามันเป็นคำพูดไร้สาระที่น่าขบขันสิ้นดี

    “หึ! คิดเหรอว่าพวกเราจะกล้าทำโดยไม่มีคำสั่งของนายใหญ่” วินาทีที่ได้ยินราวกับสรรพสิ่งรอบกายเงียบลง แจจุงไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เหมือนทุกอย่างหยุดค้างไปเสียเฉยๆคล้ายกับโลกพลิกกลับด้าน อาการตกตะลึงต่อสิ่งที่ได้ฟังส่งผลให้ขาคู่เรียวอ่อนแรงจนแทบยืนไม่อยู่

     

    ...นี่เป็นคำสั่งอย่างนั้นเหรอ!?

     

    “มะ...หมายความว่าไง”

    “ไม่เข้าใจเหรอ? นายถูกทิ้งแล้วยังไงล่ะ” ใบหน้าสวยที่ซีดเผือดดูๆไปก็น่าสงสารอยู่หรอก แต่มันก็เป็นความจริงที่พวกเขาได้รับคำสั่งให้มากำจัดอดีตกุหลาบดอกโปรดของเจ้านาย

    “ไม่...ไม่จริง!” แจจุงสั่นหัวอย่างไม่อยากจะเชื่อ ชายทั้งสองคนอาศัยจังหวะเข้ามาเกือบจะประชิดร่างบางที่ไม่ทันได้ป้องกันตัวเอง ทว่า...

    “โอ๊ย!” ชายคนแรกร้องเสียงหลงเมื่อรู้สึกเหมือนโดนอะไรบางอย่างหนักตกใส่ที่หัวจนภาพตรงหน้ามึนงงไปชั่วขณะ ไม่ต่างกับอีกคนที่ถึงกับทรุดลงไปกับพื้น พยายามจะหันไปมองคนที่เข้ามาช่วยแจจุงซึ่งซ่อนตัวอยู่บนหนังคาในมุมย้อนแสงจนมองไม่ออกว่าเป็นใคร

    “คะ..ใคร?” บุคคลปริศนาไม่ได้สนใจเสียงตะโกนกร้าวของคนพวกนั้น เพียงแค่โยนห่อผ้าขนาดเหมาะมือให้แจจุงที่รับโดยสัญชาตญาณทั้งที่ยังไม่ทันได้คิดอะไร

    “ไปซะ!

    พอได้สติแจจุงก็วิ่งหนีไปทันที เส้นทางที่ทอดออกนอกคฤหาสน์อยู่อีกไม่ไกลแล้ว ขณะที่ชายอีกสองคนรีบรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปที่เรือนใหญ่ ส่งผลให้คนอีกกลุ่มหนึ่งถูกส่งออกไปตามล่ากุหลาบงามแทน นัยน์ตาของร่างปริศนามองตามแผ่นหลังบางไปอย่างห่วงใย ก่อนจะหายตัวไปพร้อมกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น

     

    ...หนีไปให้ได้นะ แจจุง...

    .

    .

    .

    บรรยากาศภายในห้องทำงานของยุนโฮเงียบสนิท จุนซูยืนนิ่งสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆเลย ร่างเล็กยืนอยู่เคียงข้างผู้เป็นนายดังเช่นปกติ ถัดออกมาเป็นฮีชอลที่ตีสีหน้ายุ่งยากใจ แขนเรียวกอดอกแน่นอย่างไม่พอใจกับเรื่องที่ได้ยิน นัยน์ตาคู่นั้นตวัดมองคนของตัวเองที่ทำงานพลาดปล่อยให้แจจุงหนีไปได้ ขณะที่ยุนโฮยังคงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มือประสานกันอยู่บนโต๊ะ

    “หนีไปได้งั้นสินะ” แม้จะส่งคนตามหลังไปทันที แต่ฝีมือระดับแจจุง ต่อให้อยู่ในสภาพย่ำแย่แค่ไหนก็ไม่ถูกลูกน้องกระจอกๆจัดการได้แน่ ดูเหมือนเขาจะคิดผิดที่ยกหน้าที่นี้ให้ฮีชอลเป็นคนจัดการ

    “ขะ..ขออภัยครับ นายใหญ่” พอถูกขัดขวางชายทั้งสองก็รีบกลับมารายงาน ให้คนอีกกลุ่มตามไปจัดการ แต่โชคไม่เข้าข้าง เพราะแจจุงหนีเข้าเขตตระกูลปาร์คไปได้ซะก่อน จะเสี่ยงสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปในเขตศัตรูก็ทำไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องยอมปล่อยไปและกลับมารับโทษกับนายใหญ่ กระนั้นก็ไม่ลืมที่จะรายงานเรื่องที่มีใครก็ไม่รู้มาขัดขวางไว้ด้วย แต่ยุนโฮกลับมองว่าเป็นข้อแก้ตัวเสียมากกว่า

    “ช่างเถอะ ออกไปได้แล้ว ฉันไม่อยากเห็นหน้าพวกแก...” มือใหญ่โบกเพียงครั้งเดียว แทบทุกคนในห้องก็รีบกระวีกระวาดออกไปทันที ไม่มีใครอยากอยู่รองรับอารมณ์ของผู้เป็นนายนักหรอก ถ้าจะให้บอกตรงๆ เลยก็คือตั้งแต่วันที่รู้ว่ากุหลาบงามเป็นสายให้ศัตรู อารมณ์ของยุนโฮก็ฉุนเฉียวมากขึ้นทุกวัน

     

    ถามว่าเสียดายไหม?

     

    ...ก็เสียดายอยู่หรอกนะ แต่ถึงจะเป็นกุหลาบที่งดงามและหายาก ถ้ามันไม่รักดีล่ะก็...เก็บเอาไว้ก็เท่านั้น

     

    “นายด้วย...ฮีชอล” เสียงทุ้มออกปากไล่เลขาออกไปอีกคน

    “ทราบแล้วครับ” เลขาหนุ่มรับคำอย่างไม่เต็มใจนัก แววตาของความไม่พอใจถูกส่งไปให้อีกคนที่ได้รับสิทธิให้อยู่ต่อแต่เพียงผู้เดียวด้วยความเกลียดชังที่ทวีความรุนแรงมากว่าเดิม ฮีชอลเคยคิดว่าถ้ากำจัดแจจุงได้แล้ว จุนซูก็จะหมดความสำคัญไปด้วย แต่ไม่เลย...ยุนโฮกลับให้ความสนใจมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก

    เมื่อประตูปิดสนิทบรรยากาศภายในห้องก็เงียบสงบ มีเพียงเสียงลมหายใจกับเสียงจรดปากกาลงกับกระดาษเอกสารบนโต๊ะให้ได้ยิน จุนซูลอบมองผู้เป็นนายที่ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    เพราะความสนิททำให้จุนซูถูกยุนโฮสั่งห้ามและกันออกจากเรื่องนี้โดยเด็ดขาด หลักฐานที่ฮีชอลโยนใส่หน้ายุนโฮหนาแน่นเกินกว่าจะปฏิเสธได้ ภาพกุหลาบงามกับนายใหญ่แห่งตระกูลปาร์คจูบกันในซอกตึกคืนวันนั้น ชัดเจนเกินกว่าจะมองเป็นอื่น คงมีแต่จุนซูที่ดูออกว่าแจจุงไม่ได้เต็มใจจะอยู่ในสภาพนั้น แต่เลขาหนุ่มก็ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสจะเขี่ยแจจุงให้พ้นทางหลุดมือไป จุนซูทำได้เพียงแค่รับรู้แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกความเห็นใดๆ

    แน่นอน...จุนซูโกรธที่แจจุงไม่ยอมบอกความจริงแม้กระทั่งกับเขา แต่โมโหตัวเองมากกว่าที่ช่วยอะไรแจจุงไม่ได้เลย นอกจากปล่อยให้เพื่อนรักถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตาจากความผิดที่ไม่ได้ทำ ไม่เพียงแค่ร่างกาย แต่จิตใจยังแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี สุดท้าย จุนซูก็ได้แต่หวังว่าเพื่อนรักของเขาจะไม่เป็นอะไร ถ้าอยู่ในเขตตระกูลปาร์คละก็ คนของยุนโฮคงยื่นมือเข้าไปไม่ได้ เหลือก็แค่ซ่อนตัวให้พ้นจากคนของฝั่งนั้น...

    ยุนโฮวางปากกาเมื่อจัดการเอกสารทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย จุนซูจึงหยิบแฟ้มงานทั้งหมดจะเอาไปจัดเก็บตามปกติ แต่ยุนโฮกลับคว้าข้อมือเล็กไว้ ยื้อให้เข้าหาจนแฟ้มที่ร่างเล็กหอบไว้หล่นบนพื้น

    “คนที่ช่วยแจจุง...เป็นนายสินะ” เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ข้อมือเล็กถูกยึดไว้แน่น

    “คุณยุนโฮ” จุนซูไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ คิดอยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วเจ้านายหนุ่มต้องรู้ แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ แรงบีบรัดที่ข้อมือรุนแรงขึ้นจนร่างเล็กหวั่นใจ

    “ฉันเกลียดการถูกหักหลัง และสิ่งที่ฉันเกลียดมากที่สุดในโลกนี้ก็คือ คนทรยศ”

    “ผมรู้ครับ แต่ว่า...”

    “ต่อให้ไม่ได้ทรยศ แต่แจจุงก็โกหกฉัน” จุนซูอยากแก้ไขความเข้าใจผิด แต่กลับกลายเป็นว่าเขาต้องยอมจำนนต่อเหตุผลของเจ้านายหนุ่ม แค่อย่างเดียวเท่านั้นที่แจจุงทำผิด คือการโกหกเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้น

    “ฉันควรจะลงโทษยังไงดีที่นายไม่ยอมทำตามที่ฉันสั่ง!” ยุนโฮสั่งจุนซูง่ายๆแค่สี่คำ... ห้ามยุ่งเรื่องนี้

    “ผมยอมให้แจจุงตายไม่ได้จริงๆ คุณยุนโฮจะลงโทษอย่างไรก็ตามใจเถอะครับ” ร่างเล็กทำได้แค่ก้มหน้านิ่งยอมรับผิด

    “ถ้าฉันบอกให้ตามไปจัดการ นายก็คงไม่ยอมทำสินะ”

    “ครับ” จุนซูตอบอย่างไม่ลังเลเลย

    “งั้นก็ช่างเถอะ” เจ้านายหนุ่มคลายแรงบีบที่ข้อมือลง แต่ยังไม่ยอมปล่อย หากถ้อยคำที่คล้ายกับจะปล่อยเรื่องแจจุงไปนั้นทำให้ร่างเล็กประหลาดใจไม่น้อย

    “เอ๋...?”

    “แต่ว่า...นายต้องมาทำหน้าที่แทนแจจุงนะ” นัยน์ตาคมแฝงความนัยมองร่างเล็กด้วยสายตาจริงจัง ไม่มีแววล้อเล่น จะเป็นเพราะความพึงพอใจ หรือเป็นการลงโทษจุนซูก็ไม่อาจทราบได้ ริมฝีปากสีจัดเอ่ยคำที่หากเป็นคนอื่นคงถูกฆ่าไปแล้ว

    “ใจร้ายจังเลยนะครับ”

    “รู้อย่างนั้นแล้ว...นายจะยังอยู่ข้างๆฉันไหมล่ะ?”

    “ก็ผมเป็นตุ๊กตาของคุณนี่ครับ”  คำตอบนั้นทำให้นายใหญ่แห่งเขตใต้พอใจแค่ไหนดูได้จากการดึงร่างเล็กลงมากอด การกระทำที่ซ้อนภาพกับใครบางคนอย่างไม่ผิดเพี้ยนทำให้สีหน้าจุนซูเปลี่ยนไป ริมฝีปากสีจัดคลี่ยิ้มบาง...รอยยิ้มที่แฝงความนัยที่ยุนโฮจะไม่มีวันได้เห็น

     

    ถ้าแค่ร่างกาย...อยากได้เท่าไหร่ก็เอาไป

    แต่หัวใจ...ผมไม่มีวันมอบให้คุณ

    .

    .

    .

    กลุ่มก้อนเมฆสีดำลอยบดบังแสงอาทิตย์ทำให้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่มืดครึ้มลงถนัดตา สายลมพัดไหวรุนแรงมาพร้อมกับความชุ่มชื้น แจจุงหอบหิ้วร่างที่ไร้เรี่ยวแรงจวนเจียนจะล้มลงมาซ่อนตัวอยู่ด้านหลังลังขวดแก้วที่วางซ้อนเรียงกันหลายชั้นด้านหลังไนท์คลับแห่งหนึ่ง

    ร่างบางทิ้งตัวเองลงนั่งกับพื้นอย่างหมดสภาพ เหนื่อยหอบจนตัวโยนโยกไปตามจังหวะการหายใจ หยาดเหงื่อผุดพราวเต็มใบหน้า แขนเรียวปาดเหงื่อพวกนั้นออกอย่างลวกๆ แผ่นหลังที่บาดเจ็บคล้ายจะชาจนไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ขณะที่นัยน์ตาคู่ยังมองรอบกายอย่างหวาดระแวง  นานทีเดียวกว่าจะเบาใจได้ว่าหลุดจากการติดตามจากคนของตระกูลปาร์คแล้ว ทว่าแจจุงก็เพิ่งสังเกตเห็นความจริงบางสิ่งเช่นกัน

     

    ...เพราะแบบนี้นี่เองสินะ พวกนั้นถึงไม่ตามมา...

     

    หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือตามมาไม่ได้มากกว่า แจจุงไม่ได้ตั้งใจ เขาแค่วิ่งไปเรื่อยๆโดยไม่มีจุดหมาย ไม่คิดว่าจะผ่านเข้าเขตตระกูลปาร์คมาโดยไม่รู้ตัว พอตั้งสติได้มือเรียวก็เปิดห่อผ้าที่จุนซูโยนให้ ภายในมีจดหมาย ปืน และเสื้อคลุมตัวหนึ่ง แจจุงจัดแจงเหน็บปืนไว้ข้างตัว และสวมเสื้อคลุมเพื่อปกปิดรอยแผลที่หลัง ก่อนจะเปิดจดหมายออกอ่าน

    ...ตอนที่ได้อ่านจดหมายฉบับนี้ นายคงปลอดภัยดีแล้วสินะ ขอโทษที่ฉันช่วยอะไรนายไม่ได้เลย ตอนนี้คงมีหลายเรื่องที่นายอยากรู้ ฉันจะเล่าคร่าวๆแล้วกันนะ

    เรื่องรูปถ่ายพวกนั้น ฉันลองสืบหาที่มาของมันแล้ว แต่ดูเหมือนว่าพวกเราทุกคนจะเข้าใจผิด ไม่มีหนอนบ่อนไส้อะไรทั้งนั้น ฮีชอลแค่ส่งคนสะกดรอยตามนายอยู่ห่างๆ พอเห็นโอกาสก็รีบหยิบฉวยไว้ ฮีชอลอยากกำจัดนายและฉันให้ออกห่างจากคุณยุนโฮ อาจจะเป็นแค่เหตุผลงี่เง่าอย่างความอิจฉา แต่...ฉันค่อนข้างแน่ใจว่ามันไม่ใช่แค่นั้น ฮีชอลกุมความลับอะไรสักอย่างไว้อยู่ ฉันยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่จะลองสืบดู เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง แล้วก็...

    ถ้อยคำในจดหมายขาดช่วงไป คงเพราะคนเขียนไม่มั่นใจว่าจะเขียนข้อความเหล่านี้ลงไปดีหรือไม่...

    บอกตามตรงนะ ฉันไม่อยากให้นายต้องมารับรู้เรื่องนี้เลย แต่มันก็เป็นความจริงคุณยุนโฮออกคำสั่งให้กำจัดนาย แจจุง...นายก็รู้ว่าคุณยุนโฮฝังใจกับการถูกหักหลัง เวลามีเรื่องพวกนี้เขาจะตัดสินใจเด็ดขาดเสมอ แต่ครั้งนี้ฉันบอกได้เลยว่าเขาคิดผิด แล้วสักวันคุณยุนโฮจะรู้ว่าทำสิ่งที่สำคัญแค่ไหนหลุดมือไป เข้มแข็งนะ...แจจุง

    ขอโทษด้วยที่ฉันไม่ได้อยู่ข้างๆในเวลาที่นายต้องการ ขอโทษที่ฉันยังคงเป็นเพื่อนเลวๆที่ไม่เคยช่วยนายได้เลย แต่ถ้านายต้องการพบฉัน...รู้ใช่ไหมว่าเราจะเจอกันได้ที่ไหน

     

    รักษาตัวด้วย

    จุนซู

     

    แจจุงอ่านทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าความหมายของข้อความนั้นก็ไม่เปลี่ยนไป คำสั่งของยุนโฮเป็นเรื่องจริง แจจุงคิดว่าผู้ชายสองคนนั้นอาจจะโกหก แต่จุนซูไม่มีวันโกหกเขา...

    .

    .

    .

    พาหนะสี่ล้อคันหรูแล่นมาจอดอยู่หน้าไนต์คลับระดับไฮคลาส หนึ่งในจำนวนหลายร้านที่ตระกูลปาร์คเป็นเจ้าของ ด้วยรูปลักษณ์ที่เด่นสะดุดตารถเรียกให้ผู้คนที่สัญจรไปมาแถวนั้นต้องมองด้วยความสนใจ ประตูหลังเปิดออก ก่อนจะปรากฏเป็นร่างสูงของผู้นำตระกูลปาร์ค ใบหน้าหล่อจัดเรียบนิ่งเฉยชาให้ความรู้สึกน่าเกรงขามแม้เจ้าตัวจะไม่ทำอะไรเลยก็ตาม ราวกับเป็นเอกลักษณ์ของชายหนุ่มไปแล้ว

    “ไง เยซอง” เสียงทุ้มเอ่ยทักทายผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและลูกน้องของตน แม้จะยังเป็นเวลากลางวันแท้ๆ แต่ชายหนุ่มเจ้าของชื่อยังนั่งจิบไวน์หน้าตาเฉย

    “มาได้สักทีนะ นั่งก่อนสิ” เยซองว่าพลางหันไปสั่งให้ลูกน้องร่างผอมไปหยิบเอกสารในห้องมาให้ ขณะเดียวกันก็มีลูกน้องอีกสองคนเข้ามารายงานอะไรสักอย่างที่ยูชอนไม่ได้สนใจจะฟัง เพราะนัยน์ตาคมมัวแต่มองออกไปนอกหน้าต่าง เม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมาเป็นสายราวกับกำลังเต้นระบำ ร่างของผู้คนดูเลือนรางจนแยกแทบไม่ออกเมื่อมองผ่านกระจก ยูชอนนั่งมองโดยไม่ได้คิดอะไรจนกระทั่งไปสะดุดตากับร่างบางที่ชวนให้คิดถึงใครคนหนึ่งเข้า

     

    จะมาอยู่แถวนี้ได้ยังไง...ไม่ใช่หรอกมั้ง

     

    “ยูชอน?” เสียงเรียกของอีกฝ่ายทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัว ยูชอนหันกลับมารับเอกสารที่เยซองส่งให้ หยิบออกมาพลิกดูเช็คให้แน่ใจว่าเป็นของที่เขาต้องการแล้วจึงเก็บกลับไปในซองเหมือนเดิม

    “ดูนายยุ่งๆนะ”

    “ก็พอควร นายมาก็ดีแล้วจะได้ไม่ต้องรายงานหลายรอบ ...เมื่อเช้าคนของตระกูลชองมาเพ่นพ่านใกล้ๆนี่น่ะ เหมือนมาตามหาอะไรสักอย่าง แต่ก็ถอยกลับก่อนจะเข้าเขตเรา”

    “พวกมันมาทำไม?” มือใหญ่เผลอลูบคางตัวเองอย่างใช้ความคิด น้อยครั้งที่จะได้เห็นคนของตระกูลชองเข้ามาใกล้โดยไม่มีจุดประสงค์

    “ตอนนี้ยังไม่รู้ แต่พวกมันลุกลี้ลุกลนน่าดู นายระวังตัวไว้หน่อยก็ดี” เยซองว่าเสียงเครียด ยูชอนพยักหน้ารับรู้ ตั้งแต่ช่วงอาทิตย์ก่อน...ข่าวคราวของตระกูลชองก็เงียบหาย ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลยมาเป็นอาทิตย์ สงบซะจนน่าแปลกใจ

    “เข้าใจแล้ว นายทำงานต่อไปเถอะ ฉันจะกลับแล้ว”

    “ส่งตรงนี้นะ” เจ้าของร้านหนุ่มยกแก้วไวน์ที่ว่างเปล่าให้เป็นเชิงบอกลา ทั้งที่ดูทำตัวสบายๆคล้ายไม่เคยเป็นกังวลกับสิ่งใด ใครจะรู้ว่าเยซองไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น นอกจากเป็นหัวหน้าเขตที่มีพื้นที่ติดกับตระกูลชองซึ่งนับได้ว่าอันตรายมากแล้ว ชายหนุ่มที่ดูไร้แก่นสารนี้ยังมีหน้าที่ตรวจสอบคนที่ทำงานให้ตระกูลปาร์คทุกคน ตั้งแต่ระดับสูงไปจนถึงลูกกระจ๊อกเล็กๆ ไม่มีใครไม่ผ่านตาทั้งนั้น ถ้ามีคนทรยศหรือเป็นหนอนบ่อนไส้...เยซองควรรู้เป็นคนแรก

    .

    .

    .

    เสียงฟ้าร้องครวญครางดังลั่นไปทั่ว ผู้คนที่สัญจรไปมาต่างพากันหลบสายฝนอยู่ตามข้างทาง ผิดกับแจจุงที่เดินอยู่ท่ามกลางสายฝนด้วยสองเท้าที่เปลือยเปล่าอย่างเลื่อนลอย หยดน้ำจากท้องฟ้าช่วยซ่อนหยาดความเสียใจที่รินไหล แม้แต่เสียงสะอึกสะอื้นก็ถูกเสียงฝนกลบจนมิด ร่างบางเดินไปตามทางอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง


    “อึ่ก
    !!” แจจุงไม่รู้ตัวเลยว่าไปเหยียบเข้ากับเศษแก้วบนพื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ปลายแหลมคมแทงบาดเนื้ออย่างไม่ปรานี ราวกับจะตอกย้ำความเจ็บปวด หากในเวลานี้คงไม่มีบาดแผลใดจะเอาชนะความเจ็บปวดทางใจได้ ร่างบางที่อยู่ในสภาพเนื้อตัวเปียกปอนเลือดท่วมขายังคงฝืนตัวเองก้าวเดินต่อไป ปล่อยให้เลือดสีแดงสดไหลไปกับแอ่งน้ำบนพื้นเป็นทาง

     

    ...ข้างกายของยุนโฮไม่มีที่ว่างสำหรับเขาอีกแล้ว

    คิมแจจุงไม่มีที่ให้กลับ... ไม่มีที่ให้อยู่... ไม่มีที่ให้ไป

    แล้วหายใจต่อไปจะมีประโยชน์อะไร?

     

    ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่แจจุงมาหยุดยืนอยู่ตรงสะพานข้ามแม่น้ำ แม้สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมาอย่างหนัก แต่ร่างบางก็ยังยืนนิ่งอย่างไม่สะทกสะท้าน สายฝนทำให้เส้นผมสีดำลู่ลงกับใบหน้า มือบางเกาะขอบปูนของสะพานไว้ ทอดสายตามองลงไปยังสายน้ำผืนกว้าง ใต้น้ำลึกที่ไม่มีใครสนใจอาจจะเป็นที่ที่เหมาะสมสำหรับคนไร้ค่าอย่างเขาแล้วก็ได้ เมื่อบนแผ่นดินนี้ไม่มีที่ให้เขายืนอยู่อย่างมั่นคงได้เลยแม้แต่ที่เดียว...ไม่มี

     

    เสียงยางรถยนต์ไถครูดไปกับถนนที่เปียกชื้นคันแล้วคันเล่าสาดเอาน้ำที่เจิ่งนองบนพื้นกระเซ็นไปบนฟุตบาท สายฝนที่ถล่มเทลงมาทำให้การมองเห็นเป็นไปอย่างยากลำบาก กระนั้นสายตาที่ทอดมองออกไปนอกหน้าต่างรถกลับสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง

    “ซีวอนถอยรถหน่อย”

    “ครับ?” แม้คนขับรถจะยังไม่เข้าใจแต่ก็ทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายแต่โดยดี ตัวรถเริ่มเคลื่อนถอยหลังอย่างช้าๆ พอถอยไปได้ไม่ไกลยูชอนก็สั่งให้หยุด

    นัยน์ตาคมจ้องมองผ่านหยดน้ำที่หยดลงบนกระจกหน้าต่างไปตรงกลางสะพาน ร่างบางที่แลดูคุ้นตายืนอยู่ตรงนั้น ยูชอนค่อนข้างมั่นใจแม้จะเห็นเพียงแค่ด้านข้างว่านั่นคือแจจุง แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น ภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาต้องรีบเปิดประตูลงจากรถตรงไปหาร่างที่ทำท่าจะกระโดดลงไปจากสะพาน

    “จะทำบ้าอะไรน่ะ?” ร่างบางถูกรวบกอดไว้แน่นพร้อมๆกับที่ได้ยินเสียงสบถดังลั่นข้างหู ชั่วเสี้ยวนาทีที่คิดว่ากำลังจะร่วงหล่นไปเบื้องล่าง กลับถูกกระชากกลับมาให้อยู่ในอ้อมแขนอุ่น นัยน์ตาคู่งามตวัดมองอย่างไม่พอใจ แค่นี้ก็ทรมานมากพอแล้วทำไมยังต้องมาเจอผู้ชายคนนี้อีก...

    “คุณมายุ่งอะไรด้วย! ผมจะเป็นจะตายยังไงมันก็เรื่องของผม!” แจจุงพยายามสะบัดมือใหญ่ที่จับข้อมือตนไว้แน่น แต่ยูชอนกลับยิ่งบีบแขนคนที่เอาแต่ต่อต้านเขาแรงขึ้นอีก

    “ปล่อยนะ” น้ำเสียงหวานเปลี่ยนจากแข็งกระด้างมาเป็นอ้อนวอน แจจุงเจ็บตัวมากพอแล้วและไม่อยากเจ็บไปมากกว่านี้อีกแล้ว แต่ยูชอนก็แค่ผ่อนแรงลง หากยังไม่ยอมปล่อยข้อมือบางให้เป็นอิสระ พอแจจุงจะถาม ร่างสูงก็เอ่ยแทรกแทนคำตอบ

    “จนกว่านายจะยอมบอก”

    “หึ...ที่ถามน่ะเพราะไม่รู้เรื่องจริงๆหรือแค่อยากเยาะเย้ยกันแน่” แจจุงถามอย่างอ่อนแรง ตัวเขาในตอนนี้ไม่มีกำลังเหลือจะไปต่อกรกับใครทั้งนั้น เพียงแค่จะทรงตัวให้ยืนหยัดอยู่ได้ก็ยากเต็มที เมื่อแจจุงเงยหน้าขึ้นมายูชอนถึงได้เห็นน้ำตาที่ไหลปะปนกับสายฝน

    “...แจจุง” เป็นครั้งแรกที่ยูชอนเรียกชื่อร่างบางออกมาตรงๆ แต่กุหลาบงามที่เจ็บร้าวไปทั้งร่างกายและจิตใจไม่ทันได้ฉุกใจคิด นัยน์ตาคู่สวยปรือจนแทบไม่รับรู้ภาพอะไรตรงหน้า สองขาไร้เรียวแรงจะทรงตัว ก่อนจะล้มลงและสิ้นสติไปในอ้อมแขนของผู้เป็นศัตรู




    To Be Con...



    --------------------------- 100% ------------------------------------

    Sakura's Talk : หลังจากแปะเรียกเรตติ้ง(?)ไปหนึ่งคืนก็เอาตัวเต็มมาลงแล้วขอโทษที่ช้านะ เปิดเทอมหลังปีใหม่มาพลอยยุ่งมากจริงๆ ยุ่งจนแทบไม่มีเวลาจะเปิดคอมเลยด้วยซ้ำ ขอโทษด้วยที่ปล่อยให้ต้องรอนานกันขนาดนี้นะคะ TT TT

    ตอบข้อข้องใจ : เห็นแล้วคันไม้คันมืออยากตอบ ถามว่าเรื่องนี้คุณยุนเลวมั้ย? บอกตรงๆพลอยว่า...ไม่นะ ก็อย่างที่ยุนพูดไว้แหละคะ ว่าเกลียดการถูกหักหลังและคนทรยศ ถ้าแจจุงไม่โกหก(ซึ่งทำให้ยุนรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง) ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แจก็คงได้อยู่ข้างยุนต่อไปอยู่ดี ส่วนประเด็นรักไม่รัก สำหรับยุนโฮถ้าพูดตรงๆก็คือ มันเป็นแค่ "ความพอใจ" มากกว่าความรักอ่าคะ ส่วนจุนซู...คนนี้ความลับเยอะมว๊ากกกกกกกกก รอดูต่อไปแล้วกันนะคะ :)

    *แจ้งข่าว Revenge*
    เรื่องนี้ตอนจบใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้วคะ ขอเวลาปรับแก้อีกนิดหน่อย แล้วพลอยจะลงพร้อมกับการเปิดจองนะ ถ้ามีคนเอา 5555 XD!

    To ricbird >> ขอให้คอมซ่อมเสร็จเร็วๆนะคะ ร้านเนตบางร้านก็ไม่ดีคะ แถวหอพลอยก็ไม่ค่อยดีเหมือนกันล่มตลอด แต่...ถึงว่าช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นคอมเม้นต์เลยค่า คือไม่เห็นแล้วแอบเหงา เพราะหลังๆพลอยไม่ค่อยได้อัพบ่อย เวลาเข้ามาไม่เห็นเม้นต์เพิ่มเติมก็แอบห่อเหี่ยวไปทุกที 555 แล้วคุยกันอีกนะคะ ^^



    -b g--s b- + + ไม้กาง เขน B G
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×