คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : >>> 8
Revenge, The
ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดมิดเสียจนไม่อาจหาจุดสิ้นสุดได้ราวกับห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่ เคว้งคว้างและเงียบเหงา ดวงจันทร์และดวงดาวที่ทอแสงมาตลอดคืนกำลังโรยแรงอ่อนลงเมื่อพบกับแสงของดวงอาทิตย์ที่กำลังขับไล่ความมืดให้ผ่านพ้นไป แสงสว่างนั้นยิ่งใหญ่และทรงพลังขนาดที่ดวงจันทร์หรือดวงดาวก็มิอาจเทียบได้... ยังไม่รวมถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมาให้โลกใบนี้มีชีวิตชีวา หากแต่นั่นก็เพียงความคิดของคนที่ไม่รู้จัก ”ความจริง” ของโลกใบนี้ก็เท่านั้น
นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงวาววับจับจ้องภาพที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างงดงามเกินคำบรรยายใดๆ เมื่อรุ่งอรุณมาเยือนเสียงนกตัวน้อยร้องเจื้อยแจ้วประสานเสียงกันเป็นเพลงไพเราะเพราะพริ้งราวกับจะอวยพรให้การทำงานวันนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี มือเรียวผลักบานหน้าต่างออกไปด้านนอก กลิ่นไอเย็นของลมหนาวพัดเข้ามา ผ้าม่านไหวพลิ้วตามตามแรงลม ร่างเล็กยืนอยู่อย่างนั้นจนสักพักก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่โอบกอดร่างของเขาเอาไว้ด้วยความอ่อนโยน เสียงทุ้มต่ำกระซิบแผ่วเบาข้างใบหูนิ่มอย่างนุ่มนวล
“ตื่นเช้าจังเลยนะครับ...ที่รัก”
“ก็...ฉันรอวันนี้มานานแล้วนี่นา... ” จุนซูไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากรอยยิ้มที่แฝงความรู้สึกบางอย่าง ทั้งยินดี...และเจ็บปวดไปพร้อมๆ กัน ชายหนุ่มคลายวงแขนลง มือซ้ายล้วงกระเป๋าหยุกหยิก ก่อนจะนำของสิ่งหนึ่งทาบไปที่เรียวคอของร่างเล็ก
“ยูชอน...” จุนซูเรียกชื่อเจ้าของสายสร้อยเงินเล็กๆ ที่มีจี้เป็นหินสีม่วง... Amethyst...อัญมณีที่เชื่อกันว่าผู้ที่ได้ครอบครองมันไว้จะโชคดี
“ของขวัญสำหรับวันนี้...” ชายหนุ่มประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากเนียนไล้ลงมาที่พวงแก้มขาวและจบลงที่เรียวปากสีสวยเป็นเวลาเนิ่นนาน พวงแก้มขาวแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อนๆ รสสัมผัสอ่อนโยนหอมหวานจนไม่อยากจะให้ความอบอุ่นนี้สิ้นสุดลงเลย
...ก๊อก...ก๊อก...
เสียงเคาะประตูขัดจังหวะความสุขระหว่างพวกเขา แต่ยูชอนก็ยังไม่ยอมถอนริมฝีปากออกเขาปล่อยให้คนเคาะรออยู่อย่างนั้น แต่เสียงเคาะก็ยังดังขึ้นเรื่อยๆ มือเล็กแตะแขนชายเพื่อเรียกให้สนใจคนที่อยู่หน้าประตูและกำลังเคาะมันอย่างเอาเป็นเอาตาย ความจริงจุนซูก็ไม่อยากปล่อยให้ยูชอนไปหรอกนะ แต่กลัวว่าประตูมันจะพังซะก่อนนะสิ และยูชอนก็พอเข้าใจความหมายดีถึงได้ยอมละจากความหอมหวานไปเปิดประตูด้วยอารมณ์ขุ่นมัวเล็กน้อย เขารู้ดีว่าคนที่จะมาในเวลาเช้าขนาดนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...ซองมิน
“ว่าไง?”
“โธ๋! พี่ไม่ต้องมาทำเสียงแบบนั้นเลยนะ ผมไม่ได้อยากจะขัดเวลาพี่สักหน่อย ผมกลัวพี่จะหมดแรงก่อนงานคืนนี้หรอก...” ซองมินแลบลิ้นใส่ร่างสูงอย่างล้อเลียน ความเซี้ยวแสบที่ทำให้ยูชอนต้องส่ายหน้าอย่างเอือมระอาพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ต่อให้ฟังคำแก้ตัวยังไง...ก็รู้ว่าเจ้าเหยี่ยวข่าวตัวแสบน่ะ จงใจมาแกล้งเคาะอยู่แล้ว แน่นอนว่ามันไม่ใช่ครั้งแรก ดูเหมือนซองมินจะมีความสุขทุกครั้งที่ได้ขัดอารมณ์ของเขาซะเหลือเกิน
“ต่อไหม?” ยูชอนหันมาถามหลังจากไล่คนมากวนไปแล้วพร้อมกับประตูที่ปิดสนิท
“...ยังมีเวลานี่” เจ้าหญิงตัวน้อยยิ้มพร้อมกับคำตอบที่ทำให้ร่างสูงยิ้มกริ่ม ขาคู่ยาวสาวเพียงไม่กี่ครั้งก็ถึงร่างเล็ก มือซ้ายโอบเอวบางให้แนบชิด ขณะเดียวกับที่มืออีกข้างเชยเรียวคางขึ้นแล้วประทับริมฝีปากอุ่นลงไปอีกครั้ง
.
.
.
“ลงมากันได้สักทีนะครับ...” เสียงใสทักทายขณะนั่งมองคู่รักประจำองค์กรเดินลงมาจากบันไดห้องโถงกลาง เหยี่ยวข่าวตัวแสบล้อเลียนอย่างไม่กลัวตายเพราะยังไงยูชอนก็ทำได้แค่ส่งสายตาอาฆาตมาเท่านั้นล่ะน่า และก็เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ ซะด้วย
“ซองมิน..!!”
“อะไรเหรอครับ?”
“เปล่า
” สุดท้ายก็เถียงไม่ออก อันที่จริงไม่รู้จะเถียงอะไรมากกว่า ยูชอนกับจุนซูแยกย้ายกันไปนั่งประจำที่ที่โต๊ะอาหาร เก้าอี้ตรงหัวโต๊ะถูกหัวหน้าองค์กรคนสำคัญจับจองนั่งรออยู่แล้ว ทางฝั่งซ้ายมือของจองซูเรียงตามลำดับจะเป็น ยูชอน ซีวอน และ คิบอม ในขณะที่ทางฝั่งขวาคือ แจจุง จุนซู และ ซองมิน
“เริ่มได้เลย ซองมิน...คิบอม...” จองซูว่าเมื่อเห็นยูชอนกับจุนซูนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว คนถูกเรียกชื่อสองคนลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร คนหนึ่งใช้เจ้าโน้ตบุ๊คคู่ใจฉายภาพสไลด์โดยใช้โทรทัศน์เป็นสื่อ ส่วนอีกคนยืนอยู่ข้างหน้าจอเตรียมอธิบาย น้องเล็กขององค์กรเจ้าของเส้นผมสีทองสุกสว่าง ใบหน้าเรียบนิ่งไม่เหลือแววขี้เล่นแบบเมื่อห้านาทีก่อนหน้านี้เลย
ภาพบนหน้าจอปรากฏเป็นรูปของชายแกร่างท้วมคนหนึ่ง คนที่ทำให้จุนซูต้องลุกขึ้นยืนเพื่อมองให้ชัดๆ อีกครั้ง นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงฉายแววหวั่นไหว เขาจำผู้ชายคนนี้ได้...เลขาของพ่อ
“ผู้ชายคนนี้...โซฮีจุน อดีตเคยเป็นเลขาของคิมจุนซอง...ประธานบริษัท คิม แอร์ไลน์ เขาอยู่เบื้องหลังคดีถ่ายโอนหุ้นที่ประธานคิมโดนกล่าวหาก่อนจะเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เขาเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ถ้าจะให้พูดง่ายๆ ผู้ชายคนนี้อาศัยความไว้ใจของท่านประธานคิมยักยอกและถ่ายโอนหุ้นของบริษัทไปจนเรื่องแดงขึ้นมาเลยหาทางออกให้ตัวเองโดยการใส่ร้ายให้ท่านประธานรับผิดแทนจนเป็นคดีติดพันกันในชั้นศาล แล้ว... พี่...?” ซองมินเงียบไปเมื่อเห็นจุนซูก้มหน้าหลับตาลงอย่างใช้ความคิดแล้วประสานมือทั้งสองข้างที่วางเท้าอยู่บนโต๊ะแตะหน้าผาก
“ไม่เป็นไร... พูดต่อเถอะ...”
“วันนี้...เมื่อเจ็ดปีก่อนเป็นวันที่ศาลนัดตัดสินความ ท่านประธานและคุณนายคิมเดินทางไปเพื่อฟังคำศาลตัดสินแต่กลับเกิดอุบัติเหตุจนเสียชีวิตก่อนไปถึงศาล ตำรวจบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุเพราะถนนลื่นเนื่องจากฝนตกแต่ความจริงแล้วรถคันนั้นถูกตัดสายเบรก เมื่อศาลเห็นว่าท่านประธานไม่มาแก้ต่างให้ตัวเองจึงตัดสินว่าท่านประธานคิมมีความผิดจริงให้ยึดทรัพย์สินของตระกูลคิมทั้งหมดคืนให้กับบริษัทและหลุดออกจากตำแหน่งประธานโดยสิ้นเชิง...” เสียงใสเล่าเรื่องในอดีตของคนที่นั่งเงียบ จุนซูเอามือออกจากหน้าผากแล้วลืมตาขึ้นมองซองมินอีกครั้ง นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงฉายแววแข็งกร้าวไร้ซึ่งความวูบไหวเช่นในตอนแรก
“ว่าแผนคืนนี้มาเลย...”
“คืนนี้...โซฮีจุนในฐานะประธานบริษัทคิม แอร์ไลน์ คนปัจจุบันได้จัดงานเพื่อฉลองที่ได้ตกลงร่วมมือกับบริษัทซองที่ทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์เป็นผลสำเร็จ ...แน่นอนว่างานนี้นอกจากประธานของทั้งสองบริษัทแล้ว จะมีบริษัทอื่นๆมาร่วมแสดงความยินดีด้วย ผมคิดว่ามันเป็นโอกาสดีที่เราจะใช้มันเปิดโปงความชั่วของผู้ชายคนนี้...ลบล้างสิ่งที่เขากล่าวหาพ่อของพี่...” ร่างเล็กพูดจบก็หันไปมองคิบอมซึ่งกำลังรออยู่แล้ว เด็กหนุ่มออกมาอธิบายแผนการเข้าไปในงานอย่างคร่าวๆ
“...ด้วยความที่เป็นงานเลี้ยงของบริษัทใหญ่หลายแห่งจึงมีการจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัยมากกว่าปกติ อีกอย่างระบบรักษาความปลอดภัยของที่นั่นไม่ได้ใช้ระบบออนไลน์ทำให้เราไม่สามารถเจาะเข้าไปได้ นอกจากจะเข้าไปจัดการกับระบบภายใน แถมยังมีการขอความคุ้มครองจากตำรวจด้วย ที่แน่ๆ พวกนั้นคาดการณ์ไว้ว่างานนี้อาจจะมีคนที่เป็นเป้าหมายของเราอยู่ ถึงได้ส่ง ‘หน่วยปราบปราม’ นั่นมาร่วมงานครั้งนี้ด้วย ดังนั้น...เราจะไม่ใช้วิธีแอบเข้าไป แต่จะเข้าไปตรงๆ เสมือนเป็นแขกของงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย เพียงแต่ว่า...เป็นแขกไม่ได้รับเชิญก็เท่านั้นเอง...” อัจฉริยะหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้ม แล้วเริ่มพูดเกี่ยวกับหน้าที่ของแต่ละคนหลังจากเข้าไปข้างในได้แล้ว หลังจากนั้นจองซูก็ได้พูดถึงเรื่องเสื้อผ้าที่จะใส่ไปงานเลี้ยงคืนนี้ ซึ่งในตู้เสื้อผ้าของแต่ละคนไม่ได้มีของใครที่เหมาะกับงานนี้เลยสักนิด นางฟ้าคนงามจึงได้พาทุกคนไปหาซื้อเสื้อผ้ากันที่ร้านขนาดใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นคนรู้จักของเขาเอง
.
.
.
ณ ร้านเสื้อผ้า ‘Flamboyant’
“ พี่จองซู เนี่ยเหรอครับ ร้านที่พี่ว่า...” คิบอมถามอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อสายตาตัวเองเท่าไหร่นัก ก็ดูชื่อร้านสิ ส่อซะขนาดนั้น มันน่าไว้ใจที่ไหนกันเล่า!!
“พี่รู้ว่านายคิดอะไรอยู่นะ...คิบอม เข้าไปกันเถอะ” เจ้าของนัยน์ตากลมโตคู่สวยผลักบานประตูที่ทำจากกระจกเข้าไปด้านในของร้านที่การตบแต่งหรูหราเหมือนกับชื่อร้านไม่มีผิด พนักงานสาวน้อยน่ารักคนหนึ่งเข้ามาทักทายด้วยยิ้มบริการ
“สวัสดีค่ะ ดิฉัน...ยุนอา มีอะไรให้ช่วยไหมค่ะ?”
“ขอโทษนะครับ ชินดงอยู่ไหม?” ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้ตอบอะไร เสียงที่แหลมเสียจนแสบแก้วหูก็ดังมาจากราวเสื้อผ้าที่อยู่ด้านหลังพวกเขา แต่ก็เป็นเสียงที่ทำให้จองซูยิ้มออก
“ทึกกี้!!!!!~” ร่างของหนุ่มอ้วนท้วมวิ่งเข้ามากอดร่างบางเตรียมโผกอด หากไม่มีมือของคนขี้หวงมาดันหัวของเข้าไว้ไม่ให้ถึงตัวจองซูได้ซะก่อน ชินดงหันมาต่อว่าร่างสูงอย่างเคืองๆ
“ง่ะ..ซีวอนนี่ใจร้ายยย
”
“ผมหวงนี่ครับ...” ร่างสูงยิ้มร่าตอบกลับไปอย่างคนมีชัย แต่กับคนทั้งหมดที่มองอยู่นี่ล่ะ...ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขาเลย นอกจากชายหนุ่มร่างท้วมตรงหน้ามีชื่อว่า ‘ชินดง’ เป็นคนรู้จักของจองซูและซีวอน แต่ที่แน่ๆ ดูจากเครื่องแต่งกายสีสันฉูดฉาดรวมกับผ้าพันคอขนนกสีแดงแป๊ดกับหมวกทรงสูงสีเดียวกันที่สวมใส่อยู่ และน้ำเสียงที่ดัดให้เล็กจนหวีดแหลมเมื่อกี้ ทำให้ทุกคนฟันธงแล้วว่า...คนๆนี้ เป็นกระเทย!!
...ถึงว่ามันแหม่งๆตั้งแต่เห็นชื่อร้านแล้ว...
“เฮ้อ~ ช่างมันเถอะ ว่าแต่วันนี้มาหาฉันถึงนี่มีอะไรล่ะ?”
“คืนนี้มีงานเลี้ยงช่วยหาชุดให้พวกเราทุกคนหน่อยได้ไหม?”
“ได้! แต่มีข้อแม้นะว่า ฉันจะเป็นคนเลือกชุดให้เอง...” ชินดงยิ้มหวานหยาดเยิ้ม แต่เป็นอาการและคำพูดที่ทำให้จองซูต้องเหงื่อตกในทันใด เพราะรู้จักกันตั้งแต่เด็กทำให้เขารู้นิสัยเพื่อนคนนี้ดี ถึงชินดงจะแต่งตัวได้ไม่เข้ากับตัวเองมากแค่ไหน แต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการออกแบบเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายและการแต่งตัวให้คนทั่วๆไปล่ะก็ หมอนี่ก็มือหนึ่งไม่มีสองไม่เป็นรองใครเหมือนกัน แต่ที่เขากังวลน่ะ...เรื่องที่เจ้าตัวจะเลือกชุดให้ต่างหากเล่า!
“ก็ได้ นายนี่ชอบบังคับกันจริงๆเลยน้า~”
“โฮะๆ เอาเถอะบอกรายละเอียดมาสิ...“ เสียงหัวเราะดังก้องแต่กับคนอื่นดูมันออกจะน่ากลัวซะมากกว่า จองซูส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจกะความขี้เล่นของเพื่อนก่อนจะตอบไป
“ประธาน 1 รอง 1 เลขา 2 บ๋อย 3 ไหวไหม?”
“แน่นอนอยู่แล้ว โรงแรมอะไร?” ชินดงใช้เวลาคิดประมวลในสมองว่าใครสมควรจะใส่ชุดอะไรอยู่ในหัว โดยไม่ลืมถามถึงโรงแรมที่จัดการเพราะชุดบริกรของแต่ละแห่งนั้นไม่เหมือนกัน
“Heaven Princess”
“หรูดีนี่เหมาะจะใช้ชโลมเลือดเลยนะ ตามมาสิ” แล้วทุกคนก็ตามร่างท้วมเข้าไปในห้องส่วนตัวด้านหลังร้าน ไม่นานหลังจากนั้นยูชอนสวมเชิ้ตขาวสวมสูทสีดำที่ทอจากขนแกะแท้อย่างดีไว้ข้างนอกและผูกเนคไทสีน้ำเงินกรมท่าดูภูมิฐานราวกับเป็นประธานบริษัทที่ไหนสักแห่ง ส่วนคิบอม, ซีวอนและซองมินอยู่ในชุดบริกรเสิร์ฟอาหารของโรงแรมที่เป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวสวมทับด้วยเสื้อกั๊กดำและกระดุมสีเทากับหมวกสีดำที่แตกต่างจากชุดของโรงแรมอื่นๆ พร้อมกันนั้นยังมีป้ายเข็มกลัดสีทองที่เป็นชื่อของพวกเขาแต่ละคนกลัดไว้ที่หน้าอกอย่างเรียบร้อย ตามด้วยจองซูและจุนซูที่เป็นสูทธรรมดาเรียบๆเหมาะกับตำแหน่งเลขาดี เหลือก็เพียงอีกคนเดียวที่ดูจะใช้เวลานานกว่าเพื่อนเลย... ระหว่างรอคิบอมก็หันมองดูนาฬิกา เวลาแห่งการรอคอยใกล้เข้ามาแล้ว สักพักหลังจากนั้น..
“นี่!นี่!! ดูสิผลงานชิ้นโบว์แดงของฉันเลยนะ... โฮะๆ พริตตี้มากเลยใช่ม่ะ? โฮะๆ ” เสียงหัวเราะที่ไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่ปรากฏออกมาพร้อมกับร่างบางของ ‘Queen’ แห่ง DL ในราตรีสีขาวบริสุทธิ์ กระโปรงผ้าฝ้ายยาวคลุมเข่าประดับด้วยไข่มุกขาว เส้นผมนุ่มปล่อยยาวระต้นคอประดับด้วยไข่มุกเม็ดเล็กๆ ดูสวยงาม ขณะที่ชินดงผู้เป็นเจ้าของผลงานยืนเชิดอย่างภาคภูมิใจแต่กับตัวแจจุงเองกลับก้มหน้านิ่งซ่อนแก้มแดงๆ ไว้ด้วยความอาย ส่วนสาเหตุที่เขาต้องใส่ชุดกระโปรงแบบนี้น่ะเหรอ มันก็มาจาก...
“ชินดง!! นายล้อฉันเล่นหรือไงห่ะ??”
“โธ๋! จองซูไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย ฉันไม่มีกางเกงไซด์ 24 นิ้วนี่!!“ ชินดงว่าพลางหมุนตัวแจจุงไปด้วยให้จองซูเห็นสัดส่วนโดยรอบ ”เอวบางซะขนาดนี้ จะให้ฉันไปหาที่ไหนเล่า แค่เปลี่ยนจากรองประธานไปเป็นภรรยาท่านประธานคงไม่เป็นไรมั้ง?” และก็เป็นเหตุผลที่ให้จองซูต้องยอมรับอย่างเถียงไม่ออก และคาดว่าคงเป็นเหตุผลเดียวกับที่แจจุงยอมใส่ด้วย
“เอาเถอะ ฉันพอเข้าใจ... ยังไงก็ ขอบใจมากนะชินดง...”
“Flamboyant ยินดีรับใช้ทุกเวลา หุหุ”
.
.
.
“ซองมิน! นายเอาสไลด์เก็บไว้ไหนน่ะ ฉันหาไม่เจอ”
“นายตาเซ่อหรือเปล่าห่ะ? มันก็อยู่ในนั้นแหละหาดูเองเหอะ”
“ฉันบอกว่ามันไม่อยู่ไงเล่า? นายเป็นคนเก็บไม่ใช่เหรอ? มาหาเองดิ!!”
“ก็ฉันใส่ไว้ในนั้นมันจะหายไปไหนได้เล่าพูดไม่รู้เรื่องรึไงนายนี่!!!” เสียงทะเลาะกันในเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้จะเป็นใครไปได้ นอกจากเหยี่ยวข่าวตาไวและอัจฉริยะหนุ่ม ก็บอกอยู่แล้วว่าสองคนนี้น่ะหาเรื่องกัดกันได้ตลอดเวลาทั้งที่มีสาระและไม่มีสาระ ธรรมดาคนอื่นก็จะทนๆ ฟังสองคนนี้กัดกันอยู่หรอกนะ แต่มันไม่ใช่วันนี้เนี่ยสิ...
“คิบอม!! ซองมิน!! พี่ให้เวลาห้าวินาที ถ้าพวกนายยังไม่หยุด บอกมาเลยว่า’อยากตายคนละกี่รอบ....?’ ” น้ำเสียงเยียบเย็นจากราชินีคนงามที่เส้นความอดทนขาดผึงไปซะแล้ว นัยน์ตาสีนิลคมกริบยิ่งกว่าคมมีดที่ซ่อนอยู่ที่โคนขาซะอีก สายตาที่ทำให้เหยี่ยวข่าวและอัจฉริยะเลิกกัดกันในทันที
“งะ...มะ...ไม่ดีกว่าครับ...”
“ผมก็ไม่ฮะ...”
สองคู่กรณีปฏิเสธเป็นพัลวัน คิบอมหันไปต่อว่าซองมินอย่างเงียบๆ โดยทำปากขมุบขมิบว่า โดยที่ร่างเล็กเองก็ทำกลับมาไม่ต่างกัน ก็พวกเขาดันลืมไปเลยว่าแจจุงกำลังหงุดหงิดเพราะโดนยูชอนล้อเรื่องที่เอวบางจนไม่มีขนาดกางเกงที่พอดีจนต้องใส่กระโปรงแทนอยู่เนี่ยสิ
“แหม...ภรรยาประธานอย่าอารมณ์เสียสิ เดี๋ยวไม่สวยนะ ฮ่าๆ” น้ำเสียงล้อดังทะเล้นมาจากเบาะนั่งด้านหน้าของรถตู้คันใหญ่ที่มีซีวอนเป็นผู้ขับ
“ยูชอน...” แจจุงเรียกชื่อคนล้อเสียงเย็น แต่ร่างสูงก็ยังทำเป็นเล่นไม่ได้สนใจอารมณ์ขุ่นมัวที่ปรากฏบนใบหน้าสวยเลย สุดท้ายแจจุงก็ได้แต่ส่งสายตาคาดโทษไปให้โดยไม่ได้พูดอะไรอีก ในขณะที่คิบอมกับซองมินมองหน้ากันเป็นเชิง ‘พักรบชั่วคราว’ เพราะไม่เช่นนั้นอาจมีเหตุการณ์ไม่พึ่งประสงค์เกิดขึ้นมาก็ได้ ต่างคนก็ต่างทำงานของตัวเองไป เสียงผิวปากเป็นเพลงของยูชอนผู้ซึ่งพยายามยั่วโมโหราชินีคนสวยอยู่ตลอดเวลา ถึงตอนนี้ร่างบางจะยังนั่งเงียบ แต่ถ้าระเบิดขึ้นมาละก็...อัจฉริยะหนุ่มไม่อยากจะคิด
เฮ้อ~พี่ครับ ผมเข้าใจว่าพี่สนุกแต่ช่วยห่วงชะตากรรมพวกผมบ้างเถอะ ผมยังไม่อยากตายคามือพี่แจจุงนะคร๊าบบบบ...
.
.
.
แสงอาทิตย์ล่วงลับขอบฟ้า ลานจอดรถของโรงแรมเต็มไปด้วยรถยนต์ยี่ห้อหรูหรามากมายหลายคัน พนักงานของโรงแรมคอยเปิดประตูรถเพื่อต้อนรับแขกผู้มีเกียรติที่มางานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ รถพอร์ชสีบรอนซ์เงินเลี้ยวตามรถคันอื่นๆ เข้ามาทางด้านหน้าของโรงแรม เมื่อรถหยุดเพื่อส่งผู้โดยสารพนักงานหนุ่มก็เปิดประตูรถออก หญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งลุกออกมายืนรอคนที่ขับรถไปหาที่จอด ไม่นานชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มในเสื้อสูทที่ดูหรูหราก็เดินมาหาหญิงสาว ทั้งคู่ควงแขนกันเดินเข้าไปในงานเลี้ยง ทางเดินยาวปูพรมสีแดงขลิบทองแสดงถึงความยิ่งใหญ่และหรูหรา ที่หน้าห้องจัดงานเลี้ยงจะมีพนักงานที่คอยตรวจบัตรเชิญเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีแขกที่เข้ามาในงานโดยไม่มีบัตรเชิญ มือเรียวยื่นบัตรเชิญให้พนักงานผู้รับบัตร ความงดงามราวกับนางฟ้าก็มิปานถึงกับทำให้พนักงานที่คอยตรวจบัตรเชิญหน้าห้องโถงที่ใช้จัดงานเลี้ยงถึงกับมองจนตาค้าง
“ขอโทษนะครับ มีปัญหาอะไรรึเปล่า?” เสียงทุ้มทักท้วงพนักงานหนุ่มที่ไม่ยอมคืนบัตรให้สักที ความจริงก็แกล้งทักไปอย่างนั้นแหละ พอจะรู้อยู่หรอกว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้พนักงานหนุ่มชะงักไป ถ้าไม่ใช่คนที่ควงแขนเขาอยู่
“ขะ...ขอโทษครับ ชะ...เชิญด้านในได้เลยครับ” พนักงานหนุ่มที่พึ่งรู้สึกตัวรีบละล่ำละลักตอบ ก่อนจะผายมือเชิญให้ทั้งคู่เดินผ่านเข้าซุ้มประตูห้องโถงไป ประตูซุ้มดอกไม้ก็คงจะสวยดีอยู่หรอกนะ หากใต้ดอกไม้พวกนั้นไม่ใช่เครื่องตรวจจับอาวุธละก็... ยูชอนคิดในใจขณะเดินผ่านมันอย่างช้าๆ โดยที่ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นมาเลย ทั้งๆ ที่ภายใต้ชุดสูทสุดหรูกับชุดราตรีแสนงามนั้นซ่อนอะไรไว้ตั้งมาก แน่นอนว่าเครื่องไม่ได้เสีย เพราะทันทีที่พวกเขาทั้งคู่ผ่านไปอยู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมา ก่อนพนักงานจะขอค้นตัวชายที่เดินตามหลังพวกเขามาซึ่งมีเหล็กแท่งยาวที่ใช้ด้ามขาเอาไว้อยู่ในขาข้างซ้ายเพราะพึ่งได้รับการผ่าตัดมา
แล้วทำไมเขาเดินผ่านถึงไม่ดังน่ะเหรอ? เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับอัจฉริยะหนุ่มขององค์กร อะไรที่ดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องยุ่งยาก คิบอมก็ทำมันได้อย่างง่ายๆ เสมอ ครั้งนี้เองก็เช่นกัน... นัยน์ตาสีน้ำตาลคมเริ่มมองกวาดไปทั่วเพื่อสำรวจรอบบริเวณห้องที่ใช้จัดงานเลี้ยง ซึ่งเป็นห้องโถงทรงกลมโปร่งสองชั้นซึ่งเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดของโรงแรมมีบันไดโค้งทอดลงมาจากชั้นสองปูด้วยพรมแดงเช่นเดียวกับทางเดินข้างนอกเมื่อกี้นี้ ข้างบันไดมีเวทีทรงกลมที่ตกแต่งอย่างด้วยดอกไม้และผ้าอย่างหรูหราโดยมีฉากหลังสีขาวสูงขึ้นมาอยู่ด้านหลังเพื่อใช้ฉายสไลด์ แต่ตอนนี้มีนักร้องนักดนตรีกำลังร้องเพลงขับกล่อมรอเวลาที่ประธานคนสำคัญจะปรากฏตัว และเนื่องจากชั้นสองเป็นบริเวณที่ไม่ได้ใช้ในงานเลี้ยง พวกตำรวจจึงยึดไว้เป็นที่เฝ้าระวังป้องกันภัย รวมทั้งหน่วยปราบปราม DL ด้วย
“King & Queen Clear!” แจจุงส่งสัญญาณผ่านต่างหูเงินรูปไม้กางเขนที่หูข้างซ้าย ซึ่งพวกเขาใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างกันให้คนอื่นๆ ที่ล่วงหน้าเข้ามาในงานแล้วได้รับทราบว่าพวกเขาเข้ามาในงานสำเร็จแล้ว
“รับทราบ Queen” เสียงตอบรับมาจากอัจฉริยะหนุ่มในชุดเด็กเสิร์ฟของโรงแรมที่อยู่ในห้องครัวซ่อนตัวอยู่หลังตู้เย็นเก่าซึ่งไม่ได้ใช้งาน พร้อมกับซองมิน ในขณะที่ซีวอนมจองซูและจุนซูแยกย้ายกันอยู่ในจุดต่างๆ ของห้องโถง เมื่อแจจุงติดต่อมาก็หมายความว่าตอนนี้พวกเขาทุกคนเข้ามาในงานเลี้ยงนี้เรียบร้อยแล้ว
“Queen
พวกตำรวจนอกเครื่องแบบเป็นหน่วยปราบปราม DL ทั้งหมด มีหกคน สังเกตได้จากเข็มกลัดสี่เหลี่ยมสีทองที่ปกคอเสื้อด้านซ้าย... ส่วนหัวหน้าใหญ่และตำรวจนายอื่นๆ อยู่ด้านบน มีพนักงานรักษาความปลอดภัยของโรมแรมประจำอยู่ด้านนอก...” อัจฉริยะหนุ่มมอบหน้าที่ให้ซองมินอธิบายโครงสร้างของห้องอย่างละเอียด รวมถึงแต่ละจุดที่มีตำรวจนอกเครื่องแบบประจำอยู่ เพราะเจ้าตัวเองนั้นกำลังจัดการกับระบบรักษาความปลอดภัยทั้งหมด ปกติมันก็ไม่ยากสักเท่าไหร่หรอกนะ ถ้าไม่ใช่ว่ามีคนเข้ามาแก้ให้มันดูยุ่งยากขึ้นมา...ชางมิน แต่ก็นั่นแหละมันไม่ได้เกินความสามารถของคิบอมสักเท่าไหร่หรอก นิ้วเรียวเคาะปุ่ม ENTER บนแป้นพิมพ์เบาๆ รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า...ที่เหลือก็เพียงรอเวลา...เวลาที่จะล่าเหยื่อ!!
“อืม...” แจจุงตอบรับก่อนจะตัดการติดต่อไป ดวงหน้าสวยหันไปหายูชอนที่รออยู่ ก่อนทั้งคู่จะแยกกันเดินดูบริเวณงานโดยรอบเพื่อมองหานายตำรวจนอกเครื่องแบบตามจุดที่ซองมินได้บอกไว้
แจจุงมองดูจนทั่วแล้วก็พบแค่ห้าคนเท่านั้น สามในห้าคนนั้น คือชางมิน คยูฮยอนและอึนฮยอก พอร่างบางจะถอดใจเลิกหาเพราะใกล้ได้เวลาสำคัญแล้วก็พบกับแผ่นหลังของใครคนหนึ่งที่แสนคุ้นตาเขา... พอตั้งใจจะเรียกชายหนุ่มก็เดินเข้าห้องน้ำไปเสียแล้ว ถ้าเป็นเวลาปกติแจจุงคงเดินตามไปดูให้แน่ใจว่าใช่อย่างที่ตัวเองคิดหรือเปล่า แต่ในชุดกระโปรงแบบนี้คงไม่เหมาะนักหรอก
“...คง...ไม่ใช่ยุนโฮหรอกมั้ง? หมอนั่นจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง...” เสียงหวานรำพึงกับตัวเองแต่ก็ยืนรออยู่แถวหน้าห้องน้ำเพื่อจะดูให้แน่ใจ
“Queen...” ยูชอนเรียกแจจุงผ่านทางต่างหูไม้กางเขน ร่างบางจึงต้องตัดใจไม่รอชายคนนั้นออกมาแล้วรีบกลับไปหายูชอนทันที
.
.
.
ขณะเดียวกันบริเวณชั้นสอง
“ท่านครับ ได้เวลาแล้วครับ...” เลขาหนุ่มเตือนเจ้านายที่มัวแต่คุยกับลีซูมาน หัวหน้าหน่วยปราบปราม DL และเป็นหัวหน้าของการคุ้มกันในงานนี้ด้วย
“อืม...เข้าใจแล้ว ยังไงก็ขอฝากด้วยนะครับ...” ประธานโซฮีจุนตอบเลาขาหนุ่มที่ก้มหน้านิ่ง ก่อนจะหันมากำชับเรื่องงานคืนนี้กับซูมานอีกครั้ง แล้วเดินลงบันไดไปโดยมีเลขาหนุ่มเดินตามมาด้วย พอมาถึงด้านล่างก็ทักทายแขกผู้มีเกียรติที่ได้รับเชิญมาทุกท่าน โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าในบรรดาคนที่เขาทักทายนั้น มีคนที่ไม่รู้จักอยู่ด้วย
“ดูท่าทางเรียบร้อยน่าเชื่อถือดีนะ” ยูชอนพูดเสียงเบาหลังจากแกล้งทำเป็นเข้าไปทักทายคนสำคัญของงานด้วย ประโยคคำพูดที่เหมือนจะชม แต่คนที่มาด้วยกันก็รู้ว่าราชาหนุ่มแค่ประชด
“ถึงหลอกคนอื่นได้อย่างแนบเนียนยังไงล่ะ” เจ้าของนัยน์ตาสีนิลเรียบเฉยฉายแววเย็นชา มือเรียวแตะไปที่ต่างหูไม้กางเกงเพื่อติดต่อกับทุกคน
“Are you ready?”
“Anytime Queen
”
งานเลี้ยงเริ่มดำเนินขึ้นเมื่อประธานโซฮีจุนขึ้นไปกล่าวทักทายบนเวทีพร้อมกับพูดถึงความสำเร็จที่ได้ร่วมมือกัน ก่อนจะเชิญประธานบริษัทซองขึ้นมาอีกคน ทั้งคู่จับมือกันแสดงความยินดีต่อกัน เสียงปรบมือแสดงความยินดีดังก้อง แล้วพิธีกรบนเวทีก็เริ่มเปิดสไลด์ที่เกี่ยวกับบริษัททั้งสอง พร้อมกับเล่ารายละเอียดต่างๆ ไปด้วย จนในที่สุดภาพสไลด์ก็มาถึงรูปสุดท้ายที่เป็นการจับมือกันของประธานทั้งสอง เสียงปรมมือดังขึ้นอีกครั้ง
แต่แล้วจู่ๆ ภาพสไลด์บนเวทีก็เปลี่ยนไปกลายเป็นภาพข่าวการตายของสองสามีภรรยาตระกูลคิม อดีตประธานบริษัท คิม แอร์ไลน์ ตามด้วยสไลด์ เอกสารที่ไม่ว่านักธุรกิจคนไหนก็ดูออกว่ามันเป็นเอกสารที่ถูกปลอมแปลงมา บ่งบอกถึงความผิดที่โซฮีจุนได้กระทำไว้ เกิดเสียงฮือฮาขึ้นในห้องที่จัดงานเลี้ยง ประธานโซฮีจุนทั้งโกรธจนตัวสั่นทั้งกลัวจนหน้าซีด รีบสั่งให้เลขาหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังของตนไปจัดการความผิดพลาดนี้
“รีบไปปิดสไลด์เดี๋ยวนี้เลย!!” ร่างท้วมตะโกนเสียงกร้าว แต่เลขาที่ถูกสั่งก็ยังยืนนิ่งก้มหน้าก้มตานิ่งไม่ขยับ ฮีจุนยิ่งโกรธหนักเข้าไปอีก แต่พอเลขาหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาแล้วถอดหมวกออก เขาถึงได้รู้ว่า...
“แกไม่ใช่เลขาของฉัน...!!”
“ขอโทษนะครับ แต่คงต้องขอให้คุณอยู่เฉยๆ ไว้... มันยังไม่จบแค่นี้หรอกครับ” จองซูในคราบเลขาของฮีจุน ตอบด้วยรอยยิ้ม...แต่เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ประธานโซฮีจุนล้มลงไปนั่งกองกับพื้นเลยทีเดียวด้วยปืนกระบอกสีดำในมือที่จ่อมาตรงหน้าผากของเขา ความเงียบเกิดขึ้นในชั่วอึดใจเดียว ก่อนที่คังอินซึ่งยืนอยู่แถวนั้นจะเข้าไปจับตัวจองซู มือเรียวหันปืนไปทันที เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับกระจกหน้าต่างที่แตกกระจาย กระสุนนัดนั้นเฉียดตำรวจหนุ่มไปเพียงเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาเล็งที่ประธานโซฮีจุนตามเดิม
ความวุ่นวายบังเกิดขึ้นในทันที เสียงกรีดร้องของผู้คนดังไปทั่ว แล้วบรรดาแขกในงานพากันวิ่งหนีจะออกจากห้องด้วยความตกใจ แต่แล้วประตูก็ถูกปิดและล็อคเอาไว้ด้วยระบบคอมพิวเตอร์...ฝีมือของคิบอม คนข้างในจึงไม่สามารถออกไปได้ ในขณะที่คนข้างนอกก็เข้ามาไม่ได้เช่นกัน เมื่อไม่สามารถออกไปได้ความวุ่นวายก็มีมากขึ้นยิ่งกว่าเก่า DL ทุกคนอาศัยจังหวะนี้ ใช้ผ้าคลุมสีดำคลุมร่างตัวเองไว้ถึงจะทำงานโจ่งแจ้งยังไง การปกปิดใบหน้าที่แท้จริงไว้ให้เป็นความลับก็ยังเป็นเรื่องสำคัญ แต่ขณะที่พวกหน่วยปราบปราม DL และตำรวจที่อยู่บนชั้นสองวิ่งลงมาเพื่อควบคุมสถานการณ์ ตำรวจนายหนึ่งเห็นผู้หญิงในชุดราตรีสีขาวยืนนิ่งในกลุ่มคนที่กำลังวิ่งหนีก็เลยเข้าไปหาเพราะกลัวว่าจะเป็นอันตราย แต่กลับได้พบกับความจริงที่คาดไม่ถึง...
“แจจุง!!”
“ยะ...ยุนโฮ!!” ร่างบางหันตามเสียงเรียกขณะสวมผ้าคลุม แต่ยังไม่ได้ดึงมาคลุมที่ศีรษะก็ชะงักไปซะก่อน นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนสบประสานกับนัยน์ตาสีนิลด้วยความตื่นตะลึงทั้งคู่ แจจุงรู้ในทันที แสดงว่าคนที่เขาเห็นเมื่อกี้คือยุนโฮจริงๆ แต่สิ่งที่ทำให้ร่างบางต้องตกใจมากไปกว่านั้นคือเข็มกลัดสี่เหลี่ยมสีทองบนปกเสื้อด้านซ้ายของชายหนุ่มต่างหาก!!
“ฮึ...เนี่ยเหรองานรับราชการของนาย...”
“ฉันต้องถามนายมากกว่าทำไมงานอิสระของนายถึงได้กลายเป็นฆาตกรไปได้...” ยุนโฮตะโกนใส่ร่างบางพร้อมกับมีดสั้นที่ลอยเฉียดใบหน้าเพียงเล็กน้อย
“นายไม่มีสิทธิต่อว่า Queen แห่ง DL แบบนี้! ถ้าพวกเราเป็นฆาตกรพวกนายก็ไม่ต่างกันหรอก!“ เสียงปริศนาของบุคคลที่สาม สมาชิกคนสำคัญอีกคนของ DL ปรากฏกายขึ้นพร้อมกับเคียวสีเงินอาวุธประจำตัว ใต้ชุดคลุมสีดำที่เผยให้เห็นเพียงนัยน์ตาสีน้ำตาลแดงเท่านั้น ถึงจุนซูไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างแจจุงกับตำรวจนอกเครื่องแบบตรงหน้า แต่ทั้งจากคำพูดและความรู้สึก ร่างเล็กก็พอเดาออก...
“Princess
”
“ไปเถอะ Queen
” เสียงใสเตือนให้แจจุงรู้ว่าตอนนี้คือเวลางาน...และวันนี้คือวันสำคัญของจุนซู ซึ่งเขาเองก็จะไม่ยอมให้มันล้มเหลวอย่างเด็ดขาด นัยน์ตาสีนิลหันมามองชายหนุ่ม ก่อนจะตามจุนซูที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว โดยที่ยุนโฮไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากมองตามไป
เพราะปืนที่จ่อหัวประธานโซฮีจุนอยู่ทำให้ตำรวจไม่กล้าทำอะไรมากได้แต่พยายามควบคุมสถานการณ์ให้สงบ หากแต่เมื่ออึนฮยอกสังเกตเห็นร่างในชุดคลุมสีดำชุดหนึ่งถือเคียวสีเงินราวกับยมทูต มันทำให้เขาคิดว่าเจ้าของเคียวนั่นล่ะคือคนที่ทำให้น้องของเขาต้องเป็นบ้า ชายหนุ่มจึงยิงปืนไปทันที ถึงจะไม่โดนเพราะอยู่ไกลเกินไปแต่มันก็ทำให้ผู้คนแตกตื่นหนักกว่าเดิมยังดีที่ว่าด้วยกลัวปืนจึงทำให้ทุกคนหมอบลงกับพื้น เหลือเพียงพวกตำรวจกับเหล่า DL ที่ยืนเผชิญหน้ากัน การปะทะกันระหว่างทั้งสองฝ่ายเริ่มขึ้นในทันที
ยูชอนกับซีวอนรับหน้าที่จัดการบริเวณชั้นสอง ปล่อยให้ชั้นหนึ่งเป็นหน้าที่ของแจจุงกับจุนซูไป ในขณะที่ซองมินและคิบอมขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีข้างจองซูดูสถานการณ์ ทั้งที่พวกตำรวจมีมากกว่าแต่กลับกำลังเสียเปรียบฝ่าย DL มีเพียงแค่สี่คนเท่านั้น จริงอยู่ที่พวกเขาจะไม่ฆ่าใครที่ไม่ได้เป็นเหยื่อ แต่ถ้ามีการขัดขวางก็ต้องสู้แต่กฎสำคัญคือต้องไม่ทำให้ถึงตาย... ดังนั้นเป้าหมายส่วนใหญ่จึงเป็นการเล็งไปที่แขนหรือขาเพื่อทำให้เคลื่อนไหวไม่ได้
ในระหว่างที่ชุลมุนกันอยู่อึนฮยอกใช้โอกาสนี้หมอบแฝงตัวเข้ากับบรรดาแขกที่มาร่วมงานเข้าไปใกล้จุนซูที่กำลังฟาดฟันคมเคียวกับแท่งเหล็กของคยูฮยอน โดยไม่รู้สึกถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามาเลย พอสบโอกาสอึนฮยอกไม่ลังเลเลยที่จะกราดกระสุนใส่เจ้าของเคียวสีเงิน
”ระวัง!!!” เสียงหวานตะโกนดังเพื่อเรียกเจ้าหญิงยมทูตให้หลบออกวิถีกระสุนของตำรวจหนุ่ม พร้อมกับยิ่งสวนกลับไปทำให้อึนฮยอกได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่ขวา หากเพราะมัวแต่ห่วงร่างเล็ก แจจุงจึงไม่ทันระวังกระสุนจากคังอินที่พุ่งมาทางตัวเขาเอง
“Queen!!!” คิบอมตะโกนเตือนเสียงหลงจากบนเวที แต่ก็ยังช้าเกินไป กระสุนที่รัวยิงมาโดนร่างบางเข้าไปเต็มๆ แจจุงล้มลงทันทีที่เสียงกระสุนนัดสุดท้ายเงียบลง จุนซูใช้ด้ามเคียวกระแทกอกคยูฮยอนให้ล้มลงพร้อมกับเหวี่ยงเคียววาดเป็นวงออกไปหมายให้โดนผู้ที่ทำร้าย ’Queen’ แห่ง DL แต่คังอินก็ยังหลบได้อย่างหวุดหวิดมีเพียงปลายคมที่เกี่ยวไหล่จนเป็นแผลใหญ่เนื้อถลอกเลือดไหลซึมออกมาไม่หยุด ก่อนจะต้องหาทางหนีหัวซุกหัวซุนเพราะผู้ที่เข้ามาจู่โจมรายต่อมาที่พุ่งตรงมาอย่างรวดเร็วเสียจนตั้งตัวไม่ทันอย่างซองมินกับคิบอม ปกติแล้วทั้งคู่ไม่ค่อยได้ช่วยในการต่อสู้มากนักหรอกเพราะเพียงแค่สี่คนนั้นมันก็มักจะเรียบร้อยก่อนมาถึงมือพวกเขาอยู่แล้ว แต่สำหรับกรณีนี้ ถือเป็นข้อยกเว้น เพราะผู้ที่ล้มลงไปคือ...ผู้ที่ถูกวางไว้ในตำแหน่งสำคัญที่สุดของชีวิต!
ขณะที่จุนซูปล่อยให้เหยี่ยวข่าวและอัจฉริยะต่อสู้แทน สองแขนเรียวก็ประคองร่างบางในชุดคลุมสีดำขึ้นมาจากพื้น รีบตรวจดูบาดแผลของคนเจ็บ กระสุนโดนเข้าที่ช่องท้องด้านซ้ายถึงสี่นัด ยังดีว่ากระสุนทะลุออกไปสอง แต่ก็ยังเหลือฝังในอีกสองนัด ชุดราตรีสีขาวใต้ผ้าคลุมสีดำกลายเป็นสีแดงสดของเลือด
“แจจุง...” จุนซูกระซิบเรียกสติร่างบางเบาๆ ในขณะที่คนเจ็บยังหลับตาแน่นเพื่อกลั้นความเจ็บปวด
“จุนซูส่งแจจุงมาให้ฉัน” ยูชอนที่จัดการด้านบนจนเสร็จแล้วติดต่อมาหาจุนซูผ่านต่างหูไม้กางเขน ร่างเล็กตอบรับเพราะเขารู้ตัวดีว่าตัวเองมีหน้าที่ที่สำคัญกว่าอยู่ ถึงจะห่วงแจจุงมากแค่ไหนก็ตาม
“ขอโทษนะ” เสียงเล็กกระซิบให้คนเจ็บได้รับรู้ก่อนจับข้อมือบางแล้วใช้แรงทั้งหมดเหวี่ยงร่างบางขึ้นไปด้านบน ให้ยูชอนที่โหนตัวลงมาจากระเบียงชั้นสองรับขึ้นไปอีกฝั่งหนึ่ง โดยใช้สายสลิงพันตวัดฐานโคนโคมแชนเดอเลียไว้เป็นที่มั่น
“ฮึก...”
“แจจุง?!!!” ยูชอนทิ้งตัวลงนั่งที่ราวระเบียงชั้นสองพร้อมกับสองแขนที่ประคองให้ร่างบางนั่งอยู่บนตักโดยพิงตัวเขาไว้ มือใหญ่ฉีกผ้าสีขาวที่ใช้ประดับบนระเบียงออกเพื่อซับเลือด
“มะ...ไม่เป็นไร” นัยน์ตาสีนิลค่อยๆ เปิดขึ้นมา หยาดเหงื่อเม็ดเล็กผุดพราวขึ้นเต็มดวงหน้าสวย แจจุงมองลงไปยังด้านล่างหน้าที่สำคัญของจุนซูกำลังเริ่มขึ้นแล้ว
“กรุณาอยู่ในความสงบ แล้วทุกคนจะปลอดภัย” เสียงหวานดุจนางฟ้าของร่างบางผู้เป็นหัวหน้าแห่งองค์กรดังขึ้นพร้อมกับแขกในงานที่พากันหยุดนิ่งไม่โวยวายแล้วเงยหน้าขึ้นฟัง น้ำเสียงใจดีฟังแล้วเหมือนไม่มีอะไร แต่เหล่า DL ทุกคนรู้ดีว่า ‘ปาร์คจองซู’ กำลังโกรธ ถ้าไม่ติดว่าเขาเอาปืนจ่อหัวเหยื่อไว้อยู่ละก็ รับรองได้เลยว่าคังอินได้แหลกคามือนางฟ้าเป็นแน่
พวกตำรวจที่อยู่ชั้นสองต่างก็หยุดการเคลื่อนไหว เมื่อซีวอนจับซูมานไว้เป็นตัวประกัน เจ้าชายหนุ่มลากซูมานมาตรงริมระเบียงพร้อมกับตะโกนให้ตำรวจทุกนายรู้ว่าเขาจับซูมานไว้ให้ทุกคนหยุดการเคลื่อนไหวเดี๋ยวนี้ ในขณะที่พวกหน่วยปราบปราม DL เองก็ถูกสกัดไว้ได้หมด อึนฮยอกกับคังอินก็ไม่อยู่ในสภาพที่จะต่อสู้ได้ ยุนโฮถูกจุนซูใช้เคียวเกี่ยวคอเอาไว้ไม่ให้ขยับ ซองมินเองก็ใช้คมมีดวางนาบไว้ที่ต้นคอของคยูฮยอนอย่างไม่มีความลังเล ในขณะที่คิบอมใช้ปากกระบอกปืนจ่อที่ศีรษะอดีตเพื่อนสนิทและดงแฮที่อยู่ใกล้ๆ กัน นัยน์ตาสีอำพันทอประกายแข็งกร้าวบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวกำลังโกรธจัด โดยสาเหตุก็อยู่ไม่ไกลจะมาจากอะไร ถ้าไม่ใช่สภาพของร่างบางที่หายใจรวยรินอยู่ในอ้อมแขนของยูชอน ผู้นั่งอยู่บนราวบันไดด้านบนเหนือเวที
“ขอโทษที่ทำให้ทุกคนตกใจนะครับ แต่ว่าเรามีเรื่องที่อยากให้พวกคุณมาเป็นพยานในการรับรู้ด้วย” จองซูว่าต่อไปก่อนจะกระโดดลงจากเวทีไปเปลี่ยนที่กับจุนซู ให้ยูชอนเล็งปืนจากด้านบนแทน ถึงยุนโฮจะรู้ดีว่านี่เป็นโอกาสเดียวที่จะขัดขวางพวก DL ได้แต่ตัวเขาก็ไม่สามารถขัดขืนได้ตราบใดที่ซูมานยังถูกซีวอนจับไว้ การปะทะกันครั้งแรกระหว่างหน่วยปราบปราม กับ DL พวกเขาแพ้อย่างราบคาบ
“ไม่เจอกันนานนะ” ร่างเล็กก้าวเดินขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับอาวุธประจำตัว คมเคียวสีเงินที่เปื้อนเลือดส่องประกายสะท้อนแสงไฟจากโคมแชนเดอเลีย
“ใคร!! แกเป็นใคร?” ประธานฮีจุนตะโกนเสียงกร้าวถามอย่างกล้าๆ กลัวพยายามจะถอยหลังนี้แต่เพราะความกลัวทำให้เขาขยับไม่ได้เลย
“จำฉันไม่ได้เหรอ ฮีจุน...” มือเรียวเลื่อนผ้าคลุมออกให้เห็นใบหน้าเรียวหวาน นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงที่คนอย่างเขาจำมันได้ในทันที ถึงจะไม่ได้เจอกันมาถึงเจ็ดปีก็ตาม
“คะ...คุณหนู“
“ตำแหน่งที่ได้มากจากการใส่ร้ายพ่อฉัน มันทำให้นายมีความสุขมากใช่ไหม?” จุนซูชี้ปลายแหลมของเคียวไปที่ต้นคอของชายร่างท้วมด้วยความคมทำให้มันบาดเป็นรอยแผลเล็กๆ
“ฉะ...ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย พ่อแกมันอยากโง่เอง มันอยากเชื่อฉันเอง ช่วยไม่ได้นี่ คดีมันก็จบไปแล้วแกจะกลับมาเอาอะไรตอนนี้!!!? จะมาทวงความถูกต้องเหรอ? มันไม่สายเกินไปรึไง?” คำพูดที่ตะโกนกร้าวออกมาทำให้อารมณ์ของจุนซูมีมากกว่าเดิม ร่างเล็กกดคมเคียวให้ลึกเข้าไปอีก เลือดสีแดงข้นไหลซึมออกมาตามบาดแผลนั้นอาบให้เคียวสีเงินกลายเป็นสีแดงของเลือด การกระทำของจุนซูทำให้ฮีจุนรู้ว่าร่างเล็กเอาจริง
“ใช่...ฉันรู้ ไม่มีอะไรที่ฉันจะได้คืนเลย...ไม่มีเลย ทุกอย่างมันเป็นเพราะตอนนั้น ฉันยังเด็กเกินไปที่จะรู้ว่าเลขาที่แสนดีของพ่อเป็นฆาตกร เป็นคนร้ายที่ยักยอกเงินของบริษัท เป็นคนที่แย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากชีวิตฉัน!!”
“ก็แล้วไง...แกฆ่าฉันมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก เอาอย่างนี้ไหม? เรามาตกลงกันฉันจะคืนคฤหาสน์ตระกูลคิมที่ฉันทำเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บของเก่านั่นให้เอาไหม? สมบัติแกทั้งนั้นเลยนี่...” เขายื่นข้อเสนอมาราวกับรู้ว่ามันคือจุนอ่อนของจุนซู แต่ร่างเล็กก็ซ่อนความหวั่นไหวนั้นภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งก่อนจะปฏิเสธอย่างไม่ใยดี
“ของพวกนั้น...ไม่จำเป็นหรอก” คนยื่นข้อเสนอที่ยิ้มกริ่มเพราะมั่นใจว่าตนจี้ถูกจุดกลับต้องชะงักไป
“แล้วแกต้องการอะไรบอกฉันมาได้เลย ฉันให้แกได้ทุกอย่าง แต่อย่าฆ่าฉันเลยนะ...”
“อะไรก็ได้งั้นเหรอ?” ร่างเล็กถามกลับไป ฮีจุนรีบพยักหน้าหงึกๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย จุนซูชักเคียวออกจากคอของร่างท้วม
“อย่างแรก ฉันอยากได้ความจริงเมื่อเจ็ดปีก่อน พูดมันออกมาให้ทุกคนได้ยิน...” จุนซูโยนไมค์ที่วางอยู่แถวๆ เวทีให้ฮีจุน เขารับมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ยังไงชีวิตก็สำคัญกว่า
“คือ...ฉะ...ฉันเป็นคนยักยอกเงินและถ่ายโอนหุ้นของบริษัทเอง พอถูกจับได้ก็เลยโยนความผิดให้อดีตประธานแล้วก็เป็นคนสั่งตัดสายเบรกแล้วกลบเกลื่อนให้มันเป็นอุบัติเหตุ ใช้เงินสั่งให้ศาลตัดสินตามที่ฉันต้องการ...ก็แค่นี้ มีอะไรอีกไหม?” ฮีจุนหันไปถามจุนซูที่พยักหน้าให้ ก่อนร่างเล็กจะตะโกนถามบรรดาแขกที่อยู่ด้านล่าง
“ทีนี้ พวกคุณรู้รึยังว่าใครกันแน่ที่ทำผิด...?” ผู้คนต่างก็พยักหน้ารับรู้ ความจริงแค่เอกสารที่ปรากฏบนสไลด์เมื่อกี้ก็บอกทุกอย่างได้เป็นอย่างดีแล้ว จุนซูมองอย่างพอใจแล้วกลับมาพูดกับร่างท้วมต่อ
“อย่างที่นายพูด ไม่มีอะไรที่ฉันจะทวงคืนมาเลย นอกจาก...ความบริสุทธิ์ของพ่อกับชีวิตของนาย...”
“ดะ...เดี๋ยวสิ นะ...ไหนเรา ตะ...ตกลงกันว่า
”
“ฉันไม่เคยพูดอะไรแบบนั้นเลยนะ... “ จุนซูแย้มรอยยิ้มที่น่าขนลุกที่สุดในสายตาของฮีจุนก่อนพูดต่อไป ”ไม่ดีใจเหรอ? ฉันลำบากมาตั้งมากมายกว่าจะมีชีวิตรอดมาถึงวันนี้...ก็เจ็ดปีเต็มพอดี ไม่รู้ว่านายจำได้รึเปล่าว่าวันนี้เป็นวันที่พ่อฉันตาย การที่ทำให้คนที่ฆ่าพ่อตายไปในวันเดียวกันเป็นเรื่องดีไม่น้อยเลยนะว่าไหม?” นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงไร้ซึ่งความลังเลใดๆ มือเรียวเหวี่ยงเคียวฟาดไปเกี่ยวที่ซอกคอแล้วชักกลับมาอย่างรวดเร็ว หัวของโซฮีจุนหลุดกระเด็นลอยไปตกอยู่ตรงหน้าอึนฮยอก เลือดสีแดงสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณพื้นเวที เคียวอาบเลือดที่ความแหลมคมทำให้เหล่าคนที่มองถึงกับเสียวสยองบริเวณต้นคอโดยเฉพาะคนที่เคยอยู่ในสถานการณเดียวกันมาก่อนอย่างยุนโฮ จุนซูเช็ดเลือดที่กระเด็นมาโดนหน้าเขาออกหันไปมองด้านบนเหนือเวทีที่คนรักนั่งอยู่พร้อมด้วย ‘Queen’ แห่ง DL ร่างเล็กหันกลับไปหาพวกตำรวจที่ยังนิ่งเพราะสยดสยองกับภาพเมื่อกี้นี้
“ทีนี้ฉันจะทำยังไงกับพวกแกดีนะ โทษที่ทำร้าย ’Queen’ น่ะมันหนักมากเลยรู้ไหม?” จุนซูพูดเปรยๆ ให้พวกตำรวจหน้าซีดกันเป็นแถวโดยเฉพาะคังอินที่เป็นเจ้าของกระสุนพวกนั้น ที่จริงแม่เจ้าหญิงยมทูตก็พูดขู่ไปอย่างนั้นเอง พวกเขาไม่มีเวลามาเสี่ยงกับเวลาความเป็นตายของสมาชิกคนสำคัญหรอก แต่ดูเหมือนเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจะรู้ ถึงได้ฉวยโอกาสนี้ยกเท้าขึ้นเตะปืนในมือจองซูที่เล็งมาทางเขาให้ร่วงลงกับพื้น แต่ร่างบางก็ยังไวกว่าหมุนตัวหลบแล้วขัดขาชายหนุ่มให้ล้มลงไปกับพื้นแทน ปืนที่ร่วงไปเมื่อกี้กลับมาจ่ออยู่ที่เดิมอย่างรวดเร็ว
“ขอโทษนะครับ แต่พวกเราต้องไปแล้ว” นางฟ้าแย้มรอยยิ้มใจดีแต่กลับทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหวาดๆ ก่อนประโยคต่อมาจะหันไปหาเหล่า DL ทุกคนด้วยคำสั่งที่สั้นและกระชับ ”ไปเถอะ...”
“Yes, Boss”
ต่างคนต่างรับคำสั่งและปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อโต้แย้ง คิบอมปล่อยให้ชางมินและดงแฮเป็นอิสระ ก่อนกระโดดกลับไปบนเวทีคว้าเจ้าโน้ตบุ๊คคู่ใจขึ้นมาสั่งปิดไฟในห้องให้ดับสนิท ในความมืดที่พวกตำรวจยังไม่ชินและความวุ่นวายที่เกิดจากแขกผู้ร่วมงานยิ่งทำให้พวกเขาทำงานได้ยากขึ้น ขณะที่ทางฝ่าย DL ถึงจะอยู่ในความมืด แต่พวกเขาก็ยังมองเห็นได้สบายๆ ซีวอนกระโดดลงมาจากชั้นสองแล้วพุ่งตัวออกไปที่กระจกหน้าต่างให้แตกออกเปิดทางให้จองซูและคนอื่นๆ ตามมา ยูชอนเหวี่ยงสายสลิงไปพันฐานโคมอีกครั้งเพื่อลงไปชั้นล่าง เพราะต้องการให้เกิดผลกระทบกับแจจุงน้อยที่สุด ร่างสูงจึงไม่ได้กระโดดลงไปอย่างซีวอน สองแขนเรียวกระชับร่างในอ้อมแขนแน่นก่อนจะตามคนอื่นไป เมื่ออัจฉริยะหนุ่มเห็นทุกคนออกไปหมดแล้วก็ค่อยตามไปโดยไม่ลืมที่จะแอบกระซิบขอโทษแผ่วเบากับดงแฮก่อนหายตัวไป
.
.
.
บนถนนยามค่ำคืน รถคันหนึ่งแล่นด้วยความเร็วแซงคันอื่นๆ ไปหมด จนรถคันที่อยู่หน้าต้องพากันหลบรถคันนั้น พอทางข้างหน้าว่างโล่ง ซีวอนก็เหยียบคันเร่งมิด ความเร็วที่จัดได้ว่าน่ากลัวไม่ได้ทำให้ใจที่ร้อนรนเย็นลงมาเลย ไม่นานก็มาถึงบ้าน ยูชอนอุ้มคนเจ็บเข้าไปในห้องนอนวางร่างบางลงบนเตียงนุ่ม จองซูตรวจดูบาดแผลอย่างละเอียดอีกครั้งก่อนตัดสินใจว่าต้องผ่ากระสุนออก คิบอมกับซองมินจึงแยกไปเตรียมของที่ต้องใช้ ร่างที่นอนหอบหนักๆ อยู่บนเตียงสีขาวยังคงส่งยิ้มที่แค่ดูก็รู้สึกเหนื่อยแทนมาให้หลายคนที่ยืนอยู่เต็มห้องโดยเฉพาะร่างเล็กที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด คนเดียวในห้องที่ตีสีหน้ายุ่งเหยิงกว่าใคร
"
ไม่ต้องห่วงหรอกน่า...ก็แค่...กระสุนตะกั่ว..." แม้จะบาดเจ็บเจียนตายจนแทบจะหายใจไม่ออกอยู่รอมร่อ แจจุงก็ยังใส่ใจคนรอบข้างเสมอ จุนซูไม่ได้พูดอะไร เขากำลังหักห้ามใจไม่ให้โวยวายใส่คนเจ็บอย่างสุดความสามารถ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งพูดให้คนฟังสบายใจว่ากระสุนที่ฝังอยู่ข้างเอวนั่นเป็นแค่ตะกั่ว
- - แอ๊ด - -
เสียงประตูห้องเปิดออก คิบอมกับซองมินมาพร้อมกับเครื่องมือที่จะใช้ในการผ่าตัด, ผ้า และน้ำอุ่น จองซูลูบหัวแจจุงเบาๆ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย หยาดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นเต็มหน้าผากเนียน เสียงหอบของร่างบางยังไม่เบาลงไปเลย จองซูถอยออกมาพลางพยักหน้าให้คิบอมเป็นสัญญาณให้เริ่มลงมือ
“คิบอม...พี่เชื่อมือนาย” เสียงเล็กเรียกอัจฉริยะแห่งองค์กรที่มือซ้ายจับมีดผ่าตัดไว้แน่นด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน ความกลัว...กลัวว่าจะต้องสูญเสียคนสำคัญไป แต่เด็กหนุ่มก็ทำได้เพียงหลับตาลงเพื่อทำสมาธิ ขณะเดียวกับที่ซองมินเอาผ้าขนหนูผืนเล็กให้แจจุงกัดไว้เพื่อกันไม่ให้ร่างบางเผลอกัดลิ้นตัวเอง
“เริ่มเลยนะครับ...” คิบอมลืมตาขึ้นก่อนจะค่อยๆ แกะผ้าที่ยูชอนใช้พันบาดแผลไว้ออก เลือดที่ผ้าซึมซับไว้เยอะจนน่ากลัว ยูชอนคอยบีบมือร่างบางไว้ตลอด ในขณะที่จุนซูใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นคอยซับเหงื่อบนใบหน้าสวย จองซูกับซีวอนอยู่ห่างออกมาเพียงเล็กน้อย ซีวอนคอยจับมือจองซูไว้ เขารับรู้ได้ว่ามือของร่างบางกำลังสั่นซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรกับเขาเลยสักนิด
“เจ็บหน่อยนะครับ” คิบอมกระซิบกับแจจุงแผ่วเบา ก่อนร่างบางจะรู้สึกได้ถึงคมมีดที่กรีดลงไป น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงผ่านพวงแก้มเนียนตามด้วยหยดที่สองและสามอย่างไม่อาจกลั้นเอาไว้ได้ ความเจ็บปวดที่แม้ไม่ใช่ของตัวเอง แต่กลับทำให้ร่างเล็กรู้สึกเจ็บยิ่งกว่า เพราะเขาแท้ๆ เลย แจจุงต้องมาเจ็บแบบนี้ก็เพราะเขา
“ฮือ
ฮึก” เสียงครางหวานเล็ดรอดออกมาจากเรียวปากสวยที่มีผ้าอยู่ คิบอมใช้เวลาเพียงไม่นานกระสุนนัดที่หนึ่งก็ถูกนำออกมา อัจฉริยะหนุ่มรีบเร่งในการหากระสุนนัดที่สองและใช้เวลาเพียงไม่นานก็เรียบร้อย จุนซูจ้องมองหัวกระสุนชุ่มเลือดด้วยความรู้สึกโล่งอก ซองมินที่พึ่งไปเอาน้ำร้อนข้างล่างขึ้นมารีบล้างแผล ก่อนคิบอมจะเริ่มเย็บแผลและใช้ผ้าพันแผลเอาไว้ เปลือกตาบางค่อยๆ เลื่อนปิดสนิทด้วยความเหนื่อยล้า
เมื่อการผ่าเอากระสุนออกเสร็จสิ้นลง ซีวอนชวนจองซูให้ออกไปข้างนอกเพื่อให้แจจุงได้พักผ่อน ตามด้วยซองมินที่เก็บเอาอุปกรณ์ทุกอย่างออกไปข้างนอก ยูชอนมองแผ่นหลังคนรักที่คาดว่าคงจะอยู่เฝ้าคนเจ็บในคืนนี้เลยเดินไปหยิบเสื้อหนาวในห้องมาคลุมไหล่ให้ร่างเล็กแล้วก็สะกิดให้อัจฉริยะหนุ่มออกไปด้วยกัน คิบอมยอมทำตามที่ยูชอนพูดแม้จะยังเป็นห่วงร่างบางอยู่มากก็ตาม จุนซูนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงจนกระทั่งไม่เหลือใครในห้องนอกจากเขาและแจจุง คนเจ็บนอนหลับตาผ่อนลมหายใจยาวเป็นจังหวะคล้ายว่าจะหลับ
"ไม่ต้องแกล้งหลับอยู่หรอก...ทุกคนออกไปหมดแล้ว..."
"แต่นายก็...ยังอยู่เลยนี่นา...จุนซู." แจจุงลืมตาขึ้นหันมองคนรู้ทันแล้วยิ้มบางๆ
“ขอโทษนะ”
“ขอโทษทำไม? นายไม่ได้...ทำอะไรผิดนี่” ร่างบางยังคงยิ้มแต่รอยยิ้มนี้กลับทำให้จุนซูขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์ ถ้าเป็นไปได้ เขาไม่อยากให้คนตรงหน้าขยับตัวเลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดอะไร ไม่ต้องหันมาฝืนยิ้ม เขารู้ดี...ที่เจ็บไม่ใช่เพียงแค่บาดแผล...เพราะที่เจ็บยิ่งกว่ามันคือหัวใจที่ถูกทำร้ายด้วยสิ่งที่เรียกว่า...ความจริง มันคงเจ็บมากกว่าที่คนธรรมดาจะทนได้...
“ผู้ชายคนนั้น... “ จุนซูตั้งใจจะถามถึงยุนโฮ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ บางทีเขาไม่ควรพูดเรื่องนี้ขึ้นมาให้คนเจ็บไม่สบายใจ”มะ...ไม่มีอะไรหรอก“
“แค่คนรู้จักน่ะ...”
“เอ๋!?” จุนซูตกใจเพราะไม่นึกว่าแจจุงจะเป็นฝ่ายพูดออกมาเอง
“จริงๆ นะ” แจจุงยังคงยืนยันคำตอบเดิม จุนซูก็พยักหน้ารับไม่ได้ท้วงติงหรือซักถามอะไรอีก เพียงแต่หยิบผ้านวมขึ้นห่มให้ร่างบาง
“อือ รู้แล้วล่ะ...พักผ่อนเถอะนะ” จุนซูนั่งเฝ้าจนเจ้าของนัยน์ตาสีนิลหลับสนิท เขารู้...รู้ว่าแจจุงโกหก ทั้งที่จริงตัวแจจุงเองนั้นก็รู้ว่าจุนซูไม่ได้เชื่อหรอก แน่ละ...ทำไมจุนซูจะมองสายตาของคนทั้งคู่ไม่ออก มันไม่ได้ต่างอะไรกับเขาและยูชอนเลยนี่นา ที่สำคัญจุนซูรู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นห่วงแจจุงมากขนาดไหนตอนที่จุนซูสู้กับยุนโฮเขาสังเกตได้ว่า ชายหนุ่มไม่มีสมาธิเลยสักนิด คงเป็นเพราะพยายามหันขึ้นไปมองแจจุงที่อยู่บนราวระเบียงชั้นสองละมั้ง?
“ไม่เป็นไรหรอกนะ...แจจุง มันไม่ผิดหรอก ที่นายจะรักใครสักคน แม้ว่าคนคนนั้น...จะเป็นศัตรูของพวกเราก็ตาม...”
.
.
.
ในขณะเดียวกัน ที่บ้านหลังหนึ่งในเมือง แสงจันทร์ส่องผ่านกระจกเข้ามาเพียงน้อยนิดท่ามกลางความมืด ร่างสูงผู้เป็นเจ้าของบ้านนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก มีกระป๋องเบียร์เปล่าสามสี่กระป๋องวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า ในมือถือโทรศัพท์เครื่องสวยเอาไว้ บนหน้าจอปรากฏเป็นเบอร์ของใครคนหนึ่ง
“แจจุง... ทำไมถึงเป็นนาย ทำไม!!?” ยุนโฮยังจำภาพที่แจจุงล้มลงไปได้ติดตาจนอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่อีกใจก็คิดว่ามันดีแล้วหรือที่เขาจะต้องเป็นห่วง ในเมื่อแจจุงคือสมาชิกคนสำคัญขององค์กรนักฆ่าที่เขาได้รับมอมหมายให้มากำจัด...ยังไงก็ตาม เขาเชื่อว่าเหล่า DL ทุกคนจะไม่ปล่อยให้แจจุงเป็นอะไรไปแน่นอน ความเป็นห่วงที่มีมากซะจนอดคิดไม่ได้ว่าทั้งที่เป็นศัตรูกันแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้เป็นห่วงขนาดนี้
ชายหนุ่มยกกระป๋องเบียร์กระป๋องสุดท้ายขึ้นดื่มจนหมด แล้วพับหน้าจอโทรศัพท์ลงมาก่อนจะจัดการพาตัวเองไปนอนบนเตียงทั้งที่ยังไม่อาบน้ำ ยุนโฮหลับตาลงพักผ่อนวันนี้เขาเจออะไรมามากและไม่อยากจะคิดอะไรอีกต่อไปแล้ว
ฟันเฟื่องแห่งโชคชะตายังคงหมุนอยู่เรื่อยไป...
ไม่มีใครรู้ว่าจุดจบของมันจะเป็นเช่นไร
ในเมื่อทางเดินของเขาทั้งคู่นั้นต่างกัน
คนหนึ่งขาว...คนหนึ่งดำ
พระอาทิตย์และพระจันทร์มิอาจได้พบพาน
เป็นดังเส้นขนานที่อาจเคียงคู่กันไป
แต่...ไม่มีวันมาบรรจบกัน
To Be Con
หมายเหตุ : คำว่า Flamboyant แปลว่าหรูหรา หรือ สีสันฉูดฉาด นะค่ะ แต่ว่ามันใช้กับพวกเพศที่สามเป็นส่วนใหญ่อะค่ะ ต้องขอโทษแฟนqของหนุ่มชินดงจริงๆน้า~ ก็ไม่รู้จะให้ใครรับบทนี้จริงๆนี่นา T^T
ปล1.เห็นรูปแล้วอย่าตกใจนะค่ะ คนแต่งมันบ้าเลือดไปหน่อย ขออภัยจริงๆ เพราะฉะนั้นเผื่อคนที่อยากเซฟแต่ไม่อยากสยองเรามีอันใหม่มาเสนอแนะ 55+
ปล2. หายไปก็นาน กลับมาทีเนื้อเรื่องก็ยาวเว่อร์คนอ่านเบื่อกันบ้างมั้ยค่ะ? 55+ ทนๆ อ่านไปเหอะ (บังคับ^^) รู้สึกว่ายิ่งแต่งนับวันภาษายิ่งแย่ลง หรือเป็นเพราะไม่ได้แต่งนานเกิน เอาเหอะ ภาษาแปลกไปหน่อยก็ทำใจนะ 55+ ว่าแต่เนื้อเรื่องมันยืดเยื้อเกินไปมั้ยอ่ะ? (อันนี้ถามจริงๆนะ อยากให้ตอบด้วย)
ปล3. เนื้อเรื่องยาวแล้ว ไรเตอร์ยังพล่ามยาวได้อีก 55+ เอาน่าทนอ่านหน่อยละกันเดี๋ยวจะพลาดโอกาสดีๆ อะไรไป(รึเปล่า? 55+ ยังเก็บไว้เป็นความลับ รอฟังกันต่อไป)
ปล4. ใครไปวันที่ 7 กันยาฯ + คอน SM ก็บอกๆกันมั้งเน้~
-b g--s b- + + ไม้กาง เขน B G
ความคิดเห็น