คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : >>> 7
Revenge, The
เสียงสายฝนซัดกระหน่ำตกลงมาบนหลังคาดังปนกับเสียงฟ้าร้องโหยหวนฟังดูน่ากลัว แต่คงไม่เท่ากับความกลัวของเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งตัวสั่นอยู่ในบ้าน ท่ามกลางร่างไร้ลมหายใจของบุพการีอันเป็นที่รัก ปลายปากกระบอกปืนชี้มาที่หน้าผาก ปืนกระบอกเดียวกับที่ปลิดชีวิตคนสำคัญของเขา
“ช่วยไม่ได้นะ พ่อแกอยากเป็นคนดี... ดีเกินไปจนรกหูรกตาฉัน” น้ำเสียงแหบพร่าพูดกับเด็กหนุ่ม ก่อนนิ้วเรียวจะเตรียมลั่นไก
ปัง!!!
.
.
.
“ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
เสียงหวานร้องลั่นพร้อมกับนัยน์ตาคู่สวยที่เบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก แววตาสีรัตติกาลฉายชัดถึงความหวาดกลัวยามกวาดสายตามองไปรอบห้องด้วยความรู้สึกหวาดระแวง แจจุงค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่งบนเตียงนุ่มเอนแผ่นหลังบางพิงกับหมอน เสียงหายใจหอบดังกึกก้องไปทั่วห้องกว้าง มือเรียวยกขึ้นลูบใบหน้าสวยพราวเหงื่อของตัวเองอย่างหงุดหงิด
ฝัน...
ใช่...มันก็เป็นแค่ความฝัน ความฝันที่ไม่ว่าจะกี่ครั้ง เขาก็ไม่เคยมองเห็นหน้าฆาตกรเลย ความกลัวในตอนนั้นลบเลือนใบหน้าของคนร้ายไปจนหมด แม้อยากจะลืม...ก็ลืมไม่ได้ แม้อยากจะนึกสักเท่าไหร่...ก็นึกไม่ออก กลับมีแต่ภาพของพ่อ...แม่...และ...พี่ชาย ที่ถูกฆ่าฝังแนบแน่นในความทรงจำ ความหวาดกลัวที่ฝังลึกลงในความรู้สึก
ก๊อก...ก๊อก...
เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนมันจะเปิดออกโดยไม่รอให้เจ้าของห้องอนุญาต ซึ่งผู้ที่เข้ามาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน...ปาร์คยูชอนหรือ ‘King’ แห่ง DL นั่นเอง ใบหน้าคมหม่นลง เมื่อพบว่านัยน์ตาคู่สวยชุ่มไปด้วยหยาดน้ำ เสียงตะโกนเมื่อกี้ดังไปถึงข้างนอก จนเขาที่พึ่งออกจากห้องมาได้ยิน จึงแวะเข้ามาดู...และสิ่งที่เห็นก็ไม่ได้ต่างจากที่คิดไว้เลย
“แจจุง...” ชายหนุ่มนั่งลงบนเตียงนุ่ม นิ้วเรียวปาดน้ำตาของร่างบางออก ก่อนจะเอนศีรษะสวยลงบนหัวไหล่แกร่ง ความคิดที่อยู่ในใจยูชอนตอนนี้มีเพียงหน้าที่สำคัญที่ได้รับมอบหมายมาจาก และปล่อยให้เสียงสะอึกสะอื้นเงียบลงไปเอง ร่างบางค่อยๆ ผละตัวออกแล้วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเอง
“ฉัน...ไม่เป็นไรแล้ว...”
“แน่นะ...” ยูชอนอดย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจไม่ได้ ก็รู้อยู่ว่านิสัยของร่างบางเป็นแบบไหน ไอ้ที่ไม่ชอบให้ใครเป็นห่วงนะที่หนึ่งเลย แต่แจจุงก็ไม่ได้ตอบอะไรมากไปกว่าการพยักหน้ารับที่ทำให้ยูชอนได้แต่ถอนหายใจ
“เฮ้อ~ ถ้างั้นก็ดีแล้ว รีบลงไปทานข้าวจะได้ไปกันสักที...”
“ไป? ไปไหน?” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ไอ้ที่บอกว่าไปกินข้าวนะเข้าใจ แต่ไอ้ที่หลังจากนั้นนี่สิ...ไปทำไม??
“สนามบิน...พี่ฮันกยองมาน่ะ แต่ถ้านายไม่ไหว ฉันไปคนเดียวได้นะ” ยูชอนว่าพลางขยี้เส้นผมนุ่ม การกระทำที่เรียกสีหน้ายุ่งเหยิงจากร่างบางได้เป็นอย่างดี แจจุงปัดมือใหญ่ออก ก่อนจะไล่ให้ชายหนุ่มลงไปข้างล่าง
“ฉันไหวน่า ขอเวลาแต่งตัวสิบนาที นายลงไปหาอะไรกินรอก่อนละกัน
” ร่างบางกระโดดลงจากเตียงรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำ ทิ้งให้ยูชอนได้แต่มองตามอย่างหน่ายๆ ก่อนจะเริ่มเก็บเตียงที่แจจุงจงใจทิ้งไว้ให้เขาจัดการแล้วจึงลงไปรอข้างล่าง
พอลงมาข้างล่างยูชอนก็พบว่าบนโต๊ะมีอาหารหลายอย่างหน้าตาน่ารับประทาน ยังไม่รวมถึงกลิ่นหอมฉุยจากในครัวที่เรียกให้ชายหนุ่มเดินตามไปได้ไม่ยากนัก นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองคนทำอาหารที่หันหลังให้เขา ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากอะไรเสียงหวานของคนตรงหน้าก็ทำให้ชายหนุ่มต้องชะงัก พลางยิ้มแหยะๆ ที่โดนรู้ทันอีกแล้ว ถึงไม่ต้องหันมาร่างบางที่ฟังเพียงเสียงฝีเท้าแผ่วๆ ก็รู้แล้วว่าใครมา
“ยูชอน...นั่งรอก่อนนะพี่กำลังทำไก่อบให้นายอยู่”
“ผมว่าผมเดินมาเงียบแล้วนะฮะ พี่ยังได้ยินอีกจนได้...” น้ำเสียงตัดพ้อของยูชอนทำให้จองซูหัวเราะเบาๆ แล้วหันมาขยี้ผมเจ้าคนขี้งอนอย่างเอ็นดู
“คนปกติไม่มีใครได้ยินหรอก... ทำเป็นน้อยใจไปได้...”
“ง่า...พี่อ่ะ...” สุดท้ายยูชอนก็ต้องยอมรับอย่างเสียไม่ได้ มันก็จริงที่คนปกติไม่มีใครเคยได้ยินเลยสักครั้งกว่าจะรู้ตัวก็เสี้ยววินาทีที่จะหมดลมหายใจนั่นล่ะ
ไม่นานเนื้ออกไก่นุ่มราดซอสจานใหญ่หน้าตาน่ารับประทานก็ถูกนำมาวางไว้กลางโต๊ะอาหาร จองซูนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งระหว่างรอให้คนอื่นๆ มาร่วมโต๊ะทานอาหารพร้อมกัน
“ท่าทางแจจุงคงฝันร้ายอีกแล้วสินะ?” คำถามที่สัมผัสได้ถึงความห่วงใยของร่างบาง คงเพราะเสียงตะโกนของแจจุงเมื่อกี้ดังมาถึงข้างล่าง ครั้งแรกจองซูตั้งใจจะขึ้นไปหาเสียเอง แต่พอมองเห็นยูชอนที่เข้าไปในห้องของแจจุงแล้วเขาก็เบาใจ กลับมาทำอาหารเช้าต่อ
“ครับ...นานแล้วที่แจจุงไม่ได้ฝันแบบนี้ตั้งแต่กลับจากญี่ปุ่น” ยูชอนว่าพลางเงยหน้าขึ้นมองผ่านบันไดขึ้นไปยังชั้นสอง ตรงประตูห้องนอนสีครีม ห้องที่เขาพึ่งออกมาเมื่อกี้นี้
ญี่ปุ่น...สถานที่สุดท้ายที่เหล่า DL ไปอยู่เพื่อทำงานก่อนจะกลับมายังประเทศบ้านเกิด นับจากครั้งสุดท้ายที่ได้เหยียบแดนปลาดิบนั่นก็เกือบ 3 เดือนได้แล้ว ปกติพวกเขาไม่เคยอยู่ที่ประเทศใดนานเกินเดือนเลยสักครั้ง เหตุผลก็เพื่อความปลอดภัยและอะไรอีกหลายๆ อย่าง อาจจะดูเหมือนว่าลำบากที่ต้องเทียวไปเทียวมาประเทศโน้นทีประเทศนี้ที แต่ความจริงแล้วพวกเขาออกจะสนุกกับมันมากกว่า 7 ปีที่ผ่านไปพวกเขาท่องไปรอบโลกมากกว่า 100 ประเทศ แม้แต่ทะเลทรายแถบตะวันออกกลาง หรือขั้วโลกเหนือพวกเขาก็ไปมาแล้ว ความงดงามทางวัฒนธรรมที่แม้จะต่างชาติ ต่างภาษาก็ยังสัมผัสถึงมันได้ แต่ขณะเดียวกันการเดินทางแต่ละครั้งได้สอนบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่ามันจะดีหรือไม่ แต่สิ่งนั้นก็ทำให้พวกเขายังอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้
“...เห็นจุนซูออกไปกับซองมินแต่เช้า คงได้เรื่องอะไรมาบ้างแล้วใช่ไหมล่ะครับ?” ยูชอนสังเกตเห็นเจ้าของนัยน์ตาคู่สวยที่มีแววเศร้าลง คงกำลังโทษตัวเองอยู่แน่ๆ ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้จองซูต้องคิดมากด้วยการเอ่ยถึงเจ้าหญิงตัวน้อยแต่ฝีมือไม่ได้น้อยตามนั้นที่มามอบ morning kiss ให้ตอนที่เขายังไม่ตื่นดี ก่อนจะออกไปกับเหยี่ยวข่าวเจ้าของเส้นผมทองที่ตอนนี้ยาวจนมัดรวบเป็นหางม้าได้แล้ว ถึงจะแอบอิจฉาหน่อยๆ แต่ทำไงได้ เรื่องการหาข้อมูลนั้นยูชอนปฏิเสธไม่ได้เลยว่าซองมินเก่งขนาดไหน
“อืม...พี่คิดว่า เราคงมี ’งานใหญ่’ เร็วๆนี้” เสียงหวานตอบด้วยรอยยิ้มที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ประโยคต่อมากลับทำให้ยูชอนทำช้อนในมือตกลงบนจานส่งเสียงดัง
”เออ...แล้วเดี๋ยวพี่จะไปโรงพยาบาลกับซีวอนหน่อยนะ...” คำบอกเล่าที่ฟังดูไม่มีอะไร แต่กลับทำให้ความรู้สึกภายในปั่นป่วน ถ้าไม่ใช่คำว่า ‘โรงพยาบาล’ กำลังย้ำเตือนให้เขารู้ว่าเวลาของจองซูนั้นเหลือไม่มากแล้ว สุดท้ายแล้วความรู้สึกนั้นก็ถูกสื่อออกมาด้วยประโยคคำถามเพียงประโยคเดียว
“ได้เวลาแล้วเหรอครับ?”
ไร้เสียงตอบรับจากผู้ถูกถาม...มีความเงียบที่ถูกใช้เป็นคำตอบของทุกสิ่งทุกอย่าง
.
.
.
ณ สนามบินนานาชาติอินชอน เมื่อเครื่องบินจากจีนแผ่นดินใหญ่เที่ยวบินที่ SM 747 ลงจอด ไม่นานที่ประตูผู้โดยสารขาเข้าก็ปรากฏเด็กหนุ่มในชุดดำที่เหมือนบอดี้การ์ดสองคนเดินนำชายหนุ่มผมทองสวมแว่นตาดำในชุดสูทสีเทาพร้อมกับเสื้อโค้ทตัวนอกสีเดียวกัน ตามด้วยชายในชุดสีดำแบบเดียวกับสองคนแรกอีก 3 คนเดินตามไปเป็นกลุ่มเด่นดูน่าเกรงขาม เรียกความสนใจจากคนในสนามบินให้หันไปมองจนเสียงในอาคารเงียบกริบราวกลับไม่มีใครอยู่ แม้แต่เสียงลมหายใจก็แทบไม่ได้ยิน เมื่อขบวนปริศนาจากไป บรรยากาศภายในอาคารผู้โดยสารก็กลับมาเป็นอย่างเดิม
ด้านหน้าอาคารผู้โดยสารมีรถลีมูซีนคันหนึ่งจอดรออยู่ เด็กหนุ่มคนที่เดินนำมาชุดดำเตรียมเปิดประตูให้ร่างสูงผมทองผู้เป็นนาย ก่อนจะชะงักแล้วหันมาตั้งการ์ดป้องกันไว้เมื่อพบคนแปลกหน้าถึงสองคนที่มาอย่างไม่ให้สุมให้เสียง แต่ผู้เป็นนายกลับขยับแว่นตาของตนเล็กน้อยก่อนยกมือขึ้นโบกให้ถอยออกมา
“เฮนรี่...” น้ำเสียงทุ้มต่ำเรียกชื่อเป็นเชิงห้ามไม่ให้ลงมือ คำสั่งที่ผู้ถูกห้ามจำต้องลดมือลงอย่างเสียไม่ได้
“ยินดีต้อนรับครับ พี่ฮันกยอง...” สองเสียงประสานกันยามได้พบอดีต ‘King’ แห่ง DL นานแล้วที่ไม่ได้พบกับหนุ่มชาวจีนคนนี้เลย ตั้งแต่ฮันกยองจัดการเอาแก๊งพยัคฆ์ทมิฬซึ่งถูกอดีตมือขวาของพ่อยึดไปกลับมาเป็นของตัวเองได้ก็เลิกทำงานแล้วยกตำแหน่งของตนให้ยูชอน ส่วนตัวเขาเองก็กลับไปเป็นหัวหน้าแก๊งพยัคฆ์ทมิฬ...แก๊งมาเฟียที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน
“ไม่ได้เจอกันนานนะ แจจุง...ยูชอน...” น้ำเสียงทุ้มทักทายอย่างเป็นกันเอง ก่อนสองแขนจะกางออกเตรียมรับร่างบางที่พุ่งตัวเข้าใส่ แจจุงกระโดดกอดฮันกยองซะเต็มรักจนล้มลงไปกองกับพื้นด้วยความคิดถึงที่ไม่ได้เจอกันมานาน
“คิดถึงพี่จังเลย ว่าแต่พี่ผอมลงรึเปล่าฮะเนี่ย?”
“เอาน่า~ ช่วงนี้พี่งานยุ่งนี่นา แล้วรู้รึเปล่าว่าพี่มาทำไม?”
“ผมไม่รู้หรอกฮะ แต่ถ้าเป็นยูชอนคงรู้มั้ง?” ร่างบางบุ้ยใบ้ไปทางคนที่มาด้วยกันพร้อมกับสายตาของฮันกยองที่หันไปเป็นเชิงถามเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลที่ยืนเก็กหล่ออย่างน่าหมั่นไส้ในสายตาของแจจุง
“ให้ผมเดาน่ะฮะ อย่างแรกพี่มาหาพี่จองซู อย่างที่สองพี่อยากรู้เรื่องหน่วยปราบปรามอะไรนั่น และอย่างสุดท้ายพี่มีงานให้เราทำ สามข้อนี้ถูกต้องไหมครับ?”
“นายนี่รู้ใจพี่จริงนะ
”
“ถึงได้มาพร้อมแจจุงไงครับ จะได้รีบเอางานไปทำ” ยูชอนตอบอย่างรู้ทัน หนุ่มชาวจีนหันไปพยักหน้าให้เฮนรี่ลูกน้องของตน เจ้าตัวจึงหยิบสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อด้านซ้ายส่งรูปให้แก่เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม ก่อนเจ้าตัวจะส่งต่อให้ร่างบาง
“รัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่นนี่ครับ?”
“ใช่...เขามาเยือนเกาหลีอย่างไม่เป็นทางการเพื่อติดต่อเรื่องบางอย่าง เรื่องนั้นไม่สำคัญ ตอนนี้คงอยู่ที่รัฐสภา แล้ว...จะเสร็จเมื่อไหร่?” ฮันกยองถามอย่างไม่อ้อมค้อมให้ยูชอนนิ่งคิดเพียงไม่กี่วินาทีก็ปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าคม ซึ่งก็เป็นคำตอบที่เรียกรอยยิ้มจากหนุ่มชาวจีนได้เช่นกัน
“พี่รอดูข่าวได้เลยครับ...”
“แล้วพี่จะรอ... เจอกันที่โรงแรมนะ”
“ครับผม...ไปกันเถอะ” ยูชอนกับแจจุงพยักหน้าพร้อมกัน ก่อนร่างของคนทั้งคู่จะหายไปจากสายตาของทุกคนอย่างรวดเร็วราวกับลมพัด ทิ้งให้ฮันกยองยิ้มบางๆ ก่อนจะก้าวขึ้นรถคันหรูที่ลูกน้องเขาเปิดประตูรออยู่แล้ว
.
.
ห่างออกไปไม่ไกลด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ที่ครั้งหนึ่งในอดีตเคยเป็นคฤหาสน์สุดหรูของตระกูลคิมซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องบินจนประสบความสำเร็จ นับได้ว่าเป็นบริษัทที่รวยติดอันดับ 1 ใน 10 ของเกาหลีในตอนนั้น โครงรั้วเหล็กเคลือบทองตัดกับสีธรรมชาติของหินกรวดที่เป็นตัวเสาได้อย่างงดงาม ยังไม่รวมตัวคฤหาสน์สามชั้นขนาดใหญ่ที่ปัจจุบันจะเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์แล้วแต่รูปแบบภายนอกก็ยังคงไว้เหมือนเดิม บ้านที่แสนคิดถึงอดทำให้ร่างเล็กมองมันด้วยความปวดใจไม่ได้ ครั้งหนึ่งในอดีตเขาเคยเป็นเจ้าของมันทั้งบ้าน ทั้งบริษัท แต่คืนนั้นเมื่อ 7 ปีก่อน วันที่พระเจ้าโหดร้ายกับเขามากที่สุด
สิ่งที่เขามีกลับกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า...
ไม่เหลืออะไรเลย
ไม่...
แม้แต่อย่างเดียว
“พี่จุนซู...จะเข้าไปข้างในไหมครับ?” ซองมินแตะไหล่ร่างเล็กด้วยความเป็นห่วง เพราะตั้งแต่มาถึงจุนซูก็เอาแต่มองอย่างเหม่อลอยมาเกือบสิบนาทีได้แล้ว
“อะ...อืม...” ทางเข้าด้านหน้าต้องเสียค่าเข้าชมถึงสองหมื่นวอนก่อนจึงจะเข้าไปข้างในได้ ด้วยค่าเข้าชมที่แสนแพงทำให้มีคนเข้าน้อยกว่าพิพิธภัณฑ์ทั่วไปอยู่มาก ความจริงถ้าเข้าด้านหลังคงไม่ต้องเสียค่าอะไรเลยแต่เขาสองคนไม่อยากให้มันเอิกเกริกจึงเข้าไปในฐานะผู้ชมธรรมดา ซองมินเป็นคนจัดการหยิบเงินในกระเป๋าออกมาจ่าย ก่อนจะจูงมือจุนซูที่จิตใจจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวให้เข้าไปด้านในของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ จุนซูเงียบมาตลอดทางที่เดินเข้ามา สายตากวาดมองไปรอบๆ อย่างโหยหา แต่พอมาถึงห้องโถงกลางความเงียบที่จุนซูสร้างมันขึ้นมาก็ถูกทำลายด้วยฝีมือของตัวเอง
“แปลกดีนะ...” ร่างเล็กหัวเราะร่วนเหมือนกำลังมีความสุขทั้งที่ใบหน้านั้นคล้ายจะร้องไห้เสียมากกว่า “หึๆ ไม่คิดว่ามันน่าขำหรอกเหรอ...ซองมิน? พี่ต้องเสียเงินเข้ามาดูบ้านที่พี่อยู่มาตั้งแต่เกิด...”
“พี่จุนซู...”
“ไปหาข้อมูลของนายเถอะ พี่อยากเดินคนเดียว...คงไม่ว่าพี่นะ” จุนซูยิ้มบางๆ เป็นเชิงขอร้อง คำพูดที่ฟังดูเหมือนไล่ แต่ซองมินไม่ได้รู้สึกโกรธเลยสักนิด
“ถ้าเสร็จแล้ว ผมจะมารับนะครับ...” เจ้าของเส้นผมสีทองอ่อนว่าก่อนจะออกไปอยู่แถวๆ ศูนย์เจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ แววตาของซองมินเปลี่ยนเป็นหม่นหมองยามไม่ได้อยู่ต่อหน้าจุนซู
ทำไมเขาจะไม่รู้...ว่าจุนซูรู้สึกยังไง?
...พี่จุนซู...ผมสัญญา ผมจะหาตัวคนที่ทำให้พี่ต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปให้ได้ พี่ช่วยรอผมสักนิดนะครับ...
.
.
.
อาคารรูปโดมสีขาวสิ่งก่อสร้างที่ผสมผสานระหว่างศิลปะประจำชาติกับศิลปะแบบตะวันตกดูเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ ตัวอาคารรอบด้านทำจากหินอ่อนเป็นสีขาวบริสุทธิ์ราวกับวิหารโรมัน งดงามเกินกกว่าจะใช้เป็นที่ทำงานของพวกข้าราชการการเมืองที่เรียกว่า ‘รัฐสภา’ ซะอีก หากแต่ใครจะรู้ว่าอีกไม่นานความบริสุทธิ์ของสีขาวจะถูกย้อมไปด้วยสีแดงและกลิ่นคาวของเลือด
ห่างออกไปไม่ไกลบนต้นไม้สูงใหญ่ต้นหนึ่งที่ยืนต้นให้ร่มเงา แจจุงนั่งอยู่บนกิ่งหนึ่งที่ดูแข็งแรงพอจะรองรับน้ำหนักเขาได้ ร่างบางกำลังรอเวลาลงมือ สายลมอันเย็นเฉียบของฤดูหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ แต่คงไม่เท่ากับความเย็นชาที่ร่างบางมีอยู่ในตอนนี้ แรงลมพัดผ่านผิวแก้มขาวอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับปรากฏเป็นร่างของใครอีกคนที่มาด้วยกัน ยูชอนอยู่ในเสื้อโค้ทสีน้ำตาลยาวยืนอยู่บนกิ่งไม้อีกกิ่งหนึ่งใกล้ๆ แจจุง
“ว่าไง...?”
“ประชุมกันอยู่ ไม่นานคงเสร็จ เหยื่อออกทางด้านหน้าจะมีรถมารับไปโรงแรม...”
“โรงแรมเหรอ? คงไม่ได้กลับแล้วล่ะ...ดูจากสถานที่แล้วคงใช้ปืนไม่ได้ มีแต่ต้องบุกเข้าไปตรงๆ สินะ นายจะจัดการหรือให้ฉัน?” เนื่องจากทางเดินออกข้างหน้ามีการปลูกต้นไม้ที่มีความสูงระดับศีรษะยาวไปเป็นทิวแถวอาจจะดูเหมือนปลูกไว้เพื่อเป็นไม้ประดับตบแต่ง หากแท้จริงแล้วมันมีไว้เพื่อป้องกันการถูกลอบจากเหล่าคนร้าย เพราะต้นไม้จะบดบังทางปืนและการมองเห็นทำให้เล็งได้ไม่สะดวก
“...ฉันน่ะยังไงก็ได้ แต่เหยื่อมีบอดี้การ์ดมาด้วย 4 คน นายคงไม่อยากสู้กับพวกนั้นใช่ไหม?” ชายหนุ่มยักคิ้วให้ ‘Queen’ แห่ง DL เขารู้ดีว่าแจจุงไม่ชอบงานที่ต้องใช้กำลังเยอะอย่างการต่อสู้ด้วยมือเปล่า ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะร่างกายอันบอบบางของเจ้าตัวเอง อีกส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะแจจุงชอบการทำงานในยามกลางคืนมากกว่า การแฝงตัวในความมืดคือสิ่งที่ ‘Queen’ แห่ง DL ถนัดที่สุด
“ก็รู้นี่...งานนี้ฉันเอง ฝากนายจัดการพวกเกะกะนั่นด้วยละกัน...”
“รับทราบ ‘Queen’ “
เสียงทุ้มฟังดูจริงจังตอบรับคำสั่งของร่างบาง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองไปทั่วบริเวณเพื่อรอเวลา ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นจำนวนของเจ้าหน้าที่รักษาควา มปลอดภัยค่อยๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้น คงได้เวลาที่ ‘เหยื่อ’ ของพวกเขาจะออกมาแล้ว ทั้งสองคนหันมาสบตากัน ก่อนร่างสูงจะพุ่งตัวลงไปที่พื้น ขว้างก้อนกลมๆ ในมือไปที่ทางเดินซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่เหยื่อของพวกเขาออกมาพอดี แรงกระแทกส่งผลให้ให้เจ้าก้อนกลมนั้นระเบิดออกเกิดเสียงดังสนั่นขนาดทำให้คนที่อยู่ใกล้ๆ หูอื้อในทันใด
กลุ่มควันสีขาวพวยพุ่งคละคลุ้งไปทั่วบริเวณทำให้ทัศนะการมองเห็นต่ำลง เสียงโวยวายของเหล่าบอดี้การ์ดและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดังไปทั่วดูวุ่นวาย ยูชอนอาศัยกลุ่มควันนี้ในการพรางตัวจัดการบอดี้การ์ดร่างยักษ์ สันมือที่แข็งแร่งดุจท่อนเหล็กฟาดลงไปที่ท้ายทอยอย่างแม่นยำ ก่อนเหล่าบอดี้การ์ดที่ถูกฝึกมาอย่างดีจะหมอบไปทีละคนสองคน
ขณะที่รัฐมนตรีฯ ผู้ตกเป็นเหยื่อในวันนี้กำลังกระเสือกกระสนหาคลานทางหนีจากกลุ่มหมอกควันขาวนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย มือหยาบกร้านคลำพื้นหาทางออกเพราะมองไม่เห็นจนเจอกับขั้นบันไดที่ปูด้วยพรมสีแดง เขายิ้มร่าอย่างยินดีเพียงแค่ลุกขึ้นยืนและเดินตามพรมแดงนี้ไปเขาก็จอรอดแล้ว เพราะมัวแต่คิดอย่างนั้นรู้ตัวอีกทีเพชฌฆาตในเสื้อคลุมสีดำก็มาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าซะแล้ว เขาตกใจจนไม่มีเสียงจะร้อง ผ้าคลุมหน้าที่ร่นไปด้านหลังเพราะแรงลมเผยให้เห็นความงดงามเหนือสิ่งอื่นใด ร่างบางยิ้มมุมปากก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้ ไม่ปล่อยให้ชายผู้นั้นได้เรียกร้องหรือบอกกล่าวอะไร ปลายมีดคมเฉือนผ่านหลอดลม และเส้นเสียงไปในคราเดียว
“ว๊ากกก...ยะ...ยมทูต...” นัยน์ตาสีนิลผู้เป็นเจ้าของคมมีดไม่มีอาการหวั่นไหวเมื่อถูกคนอื่นที่ไม่ใช่เป้าหมายมองเห็น ริมฝีปากเรียวกลับยิ้มให้ก่อนขยับปากเป็นคำพูดว่า ‘ถ้าบอกคนอื่น ฉันจะฆ่าซะ...’ แล้วเคียวสีเงินก็ถูกเหวี่ยงไปข้างหน้า แต่เพราะเจ้าตัวไม่ได้หวังจะฆ่า ปลายเคียวจึงโดนเพียงแค่หมวกของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้น หากแต่เจ้าตัวกลับกลัวจนสติแตก ลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งออกไปราวกับคนบ้า แจจุงมองตามไปพร้อมกับขอโทษคนๆนั้นในใจ มือเรียวหยิบการ์ดใบหนึ่งในกระเป๋าเสื้อทิ้งลงบนร่างไร้วิญญาณ ก่อนส่งสัญญาณให้อีกคนรู้ว่างานที่ได้รับมานั้นเสร็จ เรียบร้อยในเวลาไม่ถึงห้านาที
กลุ่มควันสีขาวค่อยๆ จางลง ไม่มีร่างของผู้ร้ายทั้งสองปรากฏให้เห็นพวกเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือทิ้งไว้เพียงร่างไร้ลมหายใจของผู้ตกเป็นเหยื่อ และกระดาษเพียงใบเดียวที่แสดงว่าใครเป็นผู้ลงมือ...
.
.
.
หลังจากนั้นไม่นานพวกหน่วยปราบปราม DL ก็เดินทางมาถึง ดงแฮลงมือพิสูจน์สาเหตุการตายเพื่อพบว่าเขาในสภาพตกใจสุดขีดและสิ้นใจทันทีโดยไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด อึนฮยอกสอบถามเหตุการณ์จากผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ในขณะที่ยุนโฮสำรวจบริเวณรอบๆ ความเสียหายที่แทบไม่มีเลย จากคำบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์ พวกเขาออกมาจากรัฐสภาเตรียมส่งท่านรัฐมนตรีชาวต่างชาติ อยู่ก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นตามด้วยควันสีขาวที่ไม่ทำให้เกิดพิษภัยใดๆ ต่อร่างกาย เพียงแต่ทัศนะการมองเห็นอาจจะไม่สะดวกก็เท่านั้น ร่องรอยในที่เกิดเหตุจึงมีเพียงวัตถุก้อนกลมที่สันนิษฐานว่าเป็นระเบิดควันกับร่างไร้ลมหายใจของเหยื่อเท่านั้น ชายหนุ่มลอบถอนหายใจเบาๆ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้ร่องรอยอะไรอีกแล้ว...ทำไมการทำงานของพวกมันถึงได้สมบูรณ์แบบนักนะ
“ยุนโฮ!! อึนฮยอก!! มาทางนี้หน่อย...” เสียงดงแฮตะโกนเรียก ยุนโฮรีบรุดเข้าไปทันทีเพราะคิดว่าอาจจะได้เบาะแสอะไรเพิ่มขึ้นมาบ้าง แต่กลับพบเพียงร่างเล็กของชายคนหนึ่งในชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยที่เอาแต่นั่งนิ่งเงียบไม่ยอมพูดจา หากแต่คนที่เดินเข้ามาอีกคนกลับทำหน้าตื่นตะลึง
“ระ...เรียววุค...” อึนฮยอกเรียกชื่อคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง แต่คนที่โดนเรียกชื่อกลับเงยหน้าขึ้นมามองแล้วร้องไห้ ชายหนุ่มก้มตัวลงนั่งมือก็ลูบหัวร่างเล็กปลอบขวัญก่อนจะเอ่ยถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“นายเห็นเหตุการณ์ใช่ไหม? เรียววุคบอกฉันสิ!! นายเห็นคนที่ฆ่าท่านรัฐมนตรีใช่ไหม?”
“มะ...ไม่!!! ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่ๆๆๆๆๆ อย่าฆ่าฉัน...ม่ายยยยยยยยยยยย!! ” เพียงแค่น้ำเสียงของอึนฮยอกไปถึงโสตประสาทของร่างเล็กเท่านั้นภาพเหตุการณ์ทุกอย่างก็กลับเข้ามาในหัว ดวงหน้าสวยหวานงดงามแต่ก็เลือดเย็นไปพร้อมๆกัน เขายังจำได้ถึงริมฝีปากสีกุหลายที่เอ่ยย้ำคำเตือนก่อนจะพุ่งเคียวเข้ามาหาเขา
“เรียววุค!! ใจเย็นๆ ไม่มีใครทำอะไรนายหรอกนะ...เรียววุค” ร่างสูงพยายามปลอบคนตัวเล็กที่ตะโกนโวยวายราวกับคนบ้าให้สงบลง ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สงบลง แต่พอเขาจะเอ่ยถามถึงเหตุการณ์นั้นอีก เรียววุคก็มีสีหน้าตื่นกลัวและขยับถอยห่างจากเขา อึนฮยอกโกรธที่ร่างเล็กไม่ยอมพูดเตรียมจะคาดคั้นอีกครั้งจนยุนโฮต้องมากันไว้ไม่ให้อึนฮยอกได้ทำ
“พอเถอะน่า... ไม่เห็นหรือไงว่าเขากลัวขนาดไหน อย่าใช้อารมณ์สิ...” ยุนโฮเตือนพร้อมกับอึนฮยอกที่สงบลง ขณะที่เรียววุคเอาแต่ก้มหน้าลงบนหัวเข่า ปากก็พูดพึมพำคำที่แทบหาความหมายไม่ได้
“มะ...ไม่...มันเป็น..ยะ...ยมทูต...ไม่นะ อย่า...อย่าเข้ามา ขอร้อง...อย่าฆ่าฉันเลยนะ ฮึก...” อึนฮยอกลุกขึ้นเพื่อเดินออกจากตรงนั้นก่อนจะพุ่งกำปั้นของตัวเองไปที่ผนังหินอ่อนอย่างไม่กลัวเจ็บเลยสักนิด คยูฮยอนกับคังอินรีบเข้าไปห้ามก่อนเจ้าตัวจะทำร้ายตัวเองมากกว่านี้
“เฮ้!! อึนฮยอก นายเป็นอะไรไป!!” คังอินจับมือข้างที่ต่อยผนังหินอ่อนจนเป็นรอยช้ำเลือดซึมออกมาตามร่องนิ้วดูน่ากลัว แต่อึนฮยอกกลับหันไปตะโกนใส่คนห้าม
“นายจะไม่ให้ฉันโมโหได้ยังไง!! ไอ้พวกนั้นมันทำให้น้องฉันเป็นบ้า!!!”
“หมายความว่าไง...?”
“เรียววุคเป็นน้องชายฉัน...”
“ว่าไงนะ?” คราวนี้ทุกคนหันมามองอึนฮยอกอย่างเห็นใจ ใครบ้างเล่าจะทนได้ สายตาของชายหนุ่มไปหยุดลงที่เรียววุคอีกครั้ง เจ้าตัวยังคงเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด มือข้างที่มีเลือดซึมกำแน่นด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย...
น้องชายฉันต้องเป็นบ้าเพราะพวกแก
ฉันสาบาน...ถ้าเจอแก
ฉันจะทำให้แกทรมานมากกว่าที่น้องฉันเป็น...!!!
.
.
โคมไฟตามทางแต่ละดวงค่อยๆ สว่างขึ้นมาเมื่อท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ นัยน์ตาคู่สวยเหม่อมองไปยังท้องฟ้าด้านบน ดวงดาวเรียงรายมากมายจนนับไม่ถ้วนต่างก็แข่งขันกันทอประกายอันน้อยนิดของตนอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ไหนเลยจะสู้ความงดงามของแสงจันทร์ผู้เป็นเจ้าแห่งท้องนภายามค่ำคืนได้
...เขาว่ากันว่าคนตายไปแล้วจะไปเกิดเป็นดวงดาว นายเองก็อยู่บนนั้นใช่ไหม? ฮีชอล...ฮีชอลที่รัก...
“พี่ครับ...” เสียงทุ้มเอ่ยทักคนที่มัวแต่นั่งมองภาพวิวนอกหน้าต่างจนไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีใครคนหนึ่งเข้ามาใกล้แล้ว จองซูหันมองร่างสูงเจ้าของเสียงเรียก ใบหน้าคมดูเรียบนิ่ง หากแต่ใต้หน้ากากนั้นเล่ากำลังซ่อนอะไรไว้มากมายแค่ไหนใครจะรู้
“ซีวอน...แล้วคนอื่นล่ะ?”
“มากันแล้วนั่นไงครับ” ร่างสูงว่าพลางนั่งลงข้างกายคนรักหรือถ้าจะเรียกให้ถูกคงต้องเป็นคนที่เขารัก... จุนซูเดินนำมาตามด้วยคิบอมและจุนซู ส่วนคนสุดท้ายคือเจ้าพ่อมาเฟียแก๊งพยัคฆ์ทมิฬพ่วงด้วยตำแหน่งอดีต ‘King’ แห่ง DL
“...ไม่ได้พบกันนานเลยนะ
” ฮันกยองยิ้มรับหน้าบาน รอยยิ้มที่ทำให้ลูกน้องอย่างเฮนรี่ได้แต่แปลกใจ เขารู้จักเจ้านายของตัวเองมาได้สามปี อยู่ด้วยกันเกือบจะตลอดเวลา แต่เขาพึ่งจะเคยเห็นชายหนุ่มยิ้มอย่างมีความสุขแบบนี้ได้เป็นครั้งแรก
“พี่ก็เหมือนเดิมเลยนะครับ...แล้วแจจุงกับยูชอนละครับ?” จองซูคลี่ยิ้มรับก่อนจะชี้ไปทางหน้าประตูคนสองคนที่ถูกชายหนุ่มถามถึงกำลังเดินเข้ามา
“โทษทีฮะ มัวแต่เปลี่ยนเสื้อผ้าเลยช้าไปนิด...” แจจุงเป็นคนตอบคำถามที่มาจากสายตาของพ่อมาเฟียหนุ่มเพราะเขาเห็นข่าวการตายของรัฐมนตรีคนนั้นแล้ว
“พี่เห็นข่าวแล้วล่ะ เร็วดีนี่”
“ก็พี่ชอบแบบรวดเร็วทันใจไม่ใช่เหรอครับ? ตามสั่งเลยนะเนี่ย...” ยูชอนขยิบตาล้อฮันกยองซึ่งยิ้มรับเพราะโดนรู้ทัน ขณะเดียวกับที่บริกรหนุ่มจะยกอาหารค่ำออกมาเสิร์ฟ ที่โต๊ะอาหารสมาชิกของ DL มากันครบและมีฮันกยองและเฮนรี่เพิ่มขึ้นมา เสียงเฮฮาพูดคุยตามประสาคนไม่ได้เจอกันนานทำให้หนุ่มชาวจีนต้องพูดมากเป็นพิเศษกว่าคนอื่น และสิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้ลูกน้องคนสนิทของเขาแปลกใจ เจ้านายของเขาไม่เคยเปิดเผยด้านนี้ให้ใครรู้ แม้แต่ตัวเขาเองก็เพิ่งได้เห็นเป็นครั้งแรก
หลังจากเวลาช่วงค่ำผ่านพ้นไปก็กลายเป็นเรื่องเคร่งเครียดที่เข้ามาแทนที่ นั่นก็คือเป้าหมายในการมาอย่างที่สองของหนุ่มชาวจีน...เรื่องหน่วยปราบปราม DL ที่ตัวเขาเองเป็นคนพบข่าวนี้จนต้องรีบส่งข่าวมาบอก ไม่ใช่เพราะเขาไม่เชื่อมือของทุกคน สมาชิกใน DL ถึงตำแหน่งจะต่างกันแต่เรื่องฝีมือนั้นเขารับรองได้ว่าไม่มีใครด้อยไปกว่าใครเลยเพียงแต่อาจจะถนัดกันไปคนละด้าน
สิ่งที่คิบอมกับซองมินถนัดจะออกไปทางด้านข่าวสารเทคโนโลยี ถึงฝีมือการต่อสู้จะไม่เท่าไหร่แต่ก็ใช่ว่าจะแพ้ใครง่ายๆ สิ่งที่จุนซูถนัดที่สุดคือเคียว อาวุธที่เจ้าตัวใช้ประจำจึงมักเป็นสิ่งนี้ เจ้าหญิงน้อยจึงมีชื่อเรียกเล่นๆ อีกอย่างว่าเจ้าหญิงยมทูต ซีวอนเองก็ถนัดมีดสั้นและการต่อสู้ระยะประชิด สิ่งที่ยูชอนถนัด...เรียกว่าเจ้าตัวชอบจะดีกว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความหลังฝังใจ พ่อแม่ของเขาตายด้วยปืน ว่ากันว่าคนที่ใช้ปืนก็มักจะตายด้วยปืน บางทีถ้าจะตายเขาก็อาจอยากตายด้วยอาวุธอย่างเดียวกับที่คร่าชีวิตพ่อแม่ของเขา แต่สิ่งที่ยูชอนถนัดจริงๆ คงเป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่าซะมากกว่า เพียงแค่มือเปล่าใช่ว่าจะไม่อันตราย เพราะไอ้มือเพียงข้างเดียวนี่ล่ะสามารถทำได้แม้กระทั่งควักหัวใจเชียวนะ และแน่นอนว่ายูชอนก็ถนัดไอ้อันนี้มากที่สุด
แต่คำพูดที่บอกว่าถนัดกันคนละอย่างนั้นคงต้องยกเว้นสำหรับ ’Queen’ แห่ง DL ไว้คนหนึ่ง ถ้าจะพูดว่าฝีมือของแจจุงเหนือกว่าทุกคนก็คงไม่ผิดนัก จะเป็นอะไรก็เถอะร่างบางสามารถใช้มันทั้งหมดได้อย่างสบายๆ แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้พวกเขาก็ต้องผ่านการฝึกมหาโหดของนางฟ้าคนงามที่เวลาสอนไม่ได้ใจดีเอาซะเลย ออกจะโหดเกินไปด้วยซ้ำ สาเหตุที่ต้องเข้มงวดเขาก็รู้ เพื่อความแข็งแกร่งที่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจต่อกรได้ เพียงเพราะเหตุผลของจองซูที่ว่า “ถ้าจิตใจมันเปราะบาง เราก็ต้องฝึกร่างกายให้เข้มแข็ง มันอาจทนแทนกันไม่ได้ แต่คงช่วยได้บ้างในบางกรณี...”
การสอนของจองซูเริ่มจากฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อตามด้วยความว่องไวของการเคลื่อนไหว แม้กระทั่งอาวุธก็ยังเริ่มสอนตั้งแต่วิธีการจับ ใช้ยังไง แทงยังไง ถึงจะทำให้เหยื่อตายทันที รวมทั้งวิธีการต่อสู้ต่างๆ จองซูไม่เคยปล่อยให้จุดเล็กๆ น้อยๆ ผ่านไป เขาเชื่อเสมอว่าความผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียวก็ทำให้เกิดอันตรายได้
...ความไม่ประมาท คือ คำสอนที่จองซูย้ำอยู่เสมอ...
และแน่นอนว่าเพื่อความไม่ประมาท เขาจึงไม่อาจปล่อยเรื่องหน่วยปราบปราม DL ให้รอดผ่านสายตาไปได้ ยิ่งรู้ว่า สองคนในหน่วยนี้คือบุคคลที่มีผลต่อจิตใจอันเปราะบางนี้แล้วด้วยละก็ เขาปล่อยมันไปไม่ได้ ฮันกยองมีลางสังหรณ์ว่าทุกคนกำลังจะจากเขาไป...ลางสังหรณืที่ได้แต่เก็บไว้ในส่วนลึกของความคิด ด้วยเพราะไม่อยากให้มันเป็นจริงเลยสักนิด หากแต่สิ่งที่ได้รู้ยิ่งทำให้เขาคิดหนักเมื่อซองมินกลับออกมาพร้อมกับข้อมูลที่ไม่ได้บอกอะไรมากไปกว่าจำนวนของฝ่ายนั้นที่มีเจ็ดคนและรู้ชื่อเพียงแค่สี่คนเท่านั้น โจคยูฮยอน, ชิมชางมิน, ลีฮยอกแจ และ ลีดงแฮ
สุดท้ายแล้วก็ต้องปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป... เขาไม่อาจจะบังคับซองมินได้อย่างที่จองซูไม่คิดจะทำ ร่างบางไม่เคยบังคับใคร การกระทำทุกอย่างจะต้องมาจากการตัดสินของตนเองเท่านั้น แน่นอนว่าการตัดสินเลือกเดินบนทางสายนี้พวกเขาก็เลือกกันเองเ จองซูทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ชี้แนะท่านั้น เป้าหมายในการมาอันดับสองของเขาจึงเป็นอันตกไป เหลือเพียงอย่างสุดท้าย เป้าหมายที่สำคัญที่สุดในการมาครั้งนี้...การคุยกับจองซู...
แน่นอนว่าต่างคนต่างรู้จุดประสงค์การมาครั้งนี้ของฮันกยองอยู่แล้ว แจจุงออกตัวว่าทำงานมาเหนื่อยจะขอกลับไปพักตามด้วยยูชอนที่บอกเหตุผลเดียวกัน ส่วนจุนซูกับซองมินและคิบอมก็ว่าจะกลับไปพร้อมกันเลย เหลือเพียงซีวอนที่กระซิบบอกร่างบางว่าเขาจะรออยู่ด้านล่างที่รถแล้วออกไปพร้อมกับเฮนรี่
ความเงียบเข้าครอบคลุมบรรยากาศบนโต๊ะหลังจากจำนวนผู้นั่งลดลง จนเหลือจองซูกับฮันกยองอยู่ตามลำพัง บริกรมาเก็บจานอาหารออกไป ทั้งสองคนเปลี่ยนไปนั่งโต๊ะเล็กๆมุมหนึ่งของร้านที่ดูจะมีความเป็นส่วนตัวมากกว่าเมื่อก่อนหน้านี้ ร่างสูงเลื่อนเก้าอี้ไม้ออกแล้วทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามหัวหน้าองค์กรนักฆ่าที่ไม่มีใครไม่รู้จัก... คนที่ครั้งหนึ่งเคยมีศักดิ์เป็นเจ้านายของเขามาก่อน นายที่ไม่ใช่เพียงร่างกาย แต่ยังเป็นนายของหัวใจ แม้เวลาล่วงเลยผ่านแต่ก็มิอาจจะลบเลือนความรู้สึกที่มีอยู่ได้เลย จนบัดนี้แล้วเขาก็ยังรักปาร์คจองซูอยู่ รัก...ทั้งๆ ที่รู้ว่าคนๆ นี้ไม่มีวันรักใครได้อีกแล้ว เพราะหัวใจของจองซูนั้นได้ตายลงไปพร้อมกับการเสียชีวิตของคิมฮีชอลแล้ว
หลังจากย้ายโต๊ะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บริกรหนุ่มก็เสิร์ฟ Domaine de la Romanee-Conti หรือ โรมานี-กองติ ไวน์แดงรสเลิศจากฝรั่งเศสที่ฮันกยองเอาติดมาด้วย บริกรหนุ่มยื่นขวดให้หนุ่มชาวจีนเช็คความถูกต้อง ฮันกยองพยักหน้าแล้วบริกรก็ใช้มีดตัดฟอยล์ปากขวดเปิดจุกช้าๆ รินแอลกอฮอล์สีจางลงในแก้วเพียงเล็กน้อยให้ฮันกยองชิมก่อน ชายหนุ่มพยักหน้ารับอีกครั้ง คราวนี้คนเสิร์ฟรินไวน์รสเลิศให้ฮันกยองตามด้วยจองซูก่อนจะเดินจากไป กลิ่นหอมขององุ่นพันธุ์พิโน นัวร์ชวนให้ลิ้มลอง รสชาติไม่ต่างจากที่เคยไปชิม ณ ฝรั่งเศสถิ่นที่ผลิตเองเลยจริงๆ
“รสดีนี่...” จองซูว่าหลังจากว่างแก้วลงกับโต๊ะ นานแล้วที่ไม่ได้ลิ้มรสชาติไวน์ยี่ห้อดังจากฝรั่งเศส
“...ปกติพี่ก็ชอบอยู่แล้วนี่ครับ...” ฮันกยองยิ้มรับรสชาติที่ชวนให้คิดถึงตอนที่ตัวเขาเองยังเป็น ‘King’ แห่ง DL อยู่ วันเวลาของการเดินทางที่ไม่เคยเบื่อ ยามได้เยือนดินแดนแฟชั่นชื่อดังก้องโลก
“...ไม่เจอกันพักเดียว โตเป็นหนุ่มแล้วนะเราน่ะ...” จองซูพูดหยอกร่างสูงก็ตอนที่ฮันกยองออกจาก DL เพื่อกลับไปดูแลแก๊งค์นั้นอายุยี่สิบแล้วก็จริง แต่ยังทำตัวเหมือนเด็กวัยรุ่นอยู่เลย พอผ่านไปได้สามปีกลับมาอีกทีกลายเป็นชายหนุ่มมาดเข้มสุขุมไม่เหมือนเด็กน้อยคนเดิมที่เขาเคยรู้จักอีกต่อไป
“โธ่!! พี่... ในสายตาพี่ ผมก็ยังเป็นเด็กอยู่เสมอทุกทีเลยสิน่า...” ฮันกยองโวยวายขึ้นมา ยิ่งทำให้อีกฝ่ายได้ใจเข้าไปใหญ่
“...คอแข็งขึ้นด้วยนี่นา เมื่อก่อนแค่สองแก้วก็พับแล้วไม่ใช่รึไง?” หนุ่มชาวจีนเพียงแต่คลี่ยิ้มรับ
นัยน์ตาทั้งสองข้างทอดมองลงไปยังแก้วทรงสูงบรรจุแอลกอฮอล์ที่อยู่ในมือก่อนเอ่ยช้าๆ
“ก็...สามปีแล้วนี่ครับ ว่าแต่พี่เถอะ...แค่ผมทิ้งพี่ให้อยู่คนเดียวสามปี พี่จะหนีผมไปไกลเลยเหรอครับ?” ฮันกยองเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง คำพูดติดตลกคงเรียกเสียงหัวเราะจากคนตรงหน้าได้ หากไม่มีแววตาไหววูบที่ฉายออกมาเพียงเสี้ยววินาทีถูกซ่อนไว้หลังความอบอุ่นเข้มแข็งที่เป็นนิสัยประจำของเจ้าตัว จองซูได้แต่ก้มหน้าหลบสายตานั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
...ฮันกยอง มันผ่านมาสามปีแล้วนะ นายยังรักฉันอยู่อีกงั้นเหรอ? ขอร้องอย่าทำให้ฉันรู้สึกผิดกับนายและซีวอนไปมากกว่านี้เลย...
“พี่ไม่ได้หนีนายไปไหนสักหน่อย...” ขณะที่จองซูพูดไม่ทันจบร่างสูงก็แทรกขึ้นมาซะก่อน
“ไม่จริงหรอกครับ พี่อยากไปหาฮีชอลอยู่แล้วนี่นา...”
“ฮันกยอง...”
“ขอโทษครับ ผมก็แค่อิจฉา...” ชายหนุ่มหันออกไปทางกระจกบานใหญ่มองทะลุออกไปยังท้องฟ้าที่พร่างพรายไปด้วยหมู่ดาว ”...อิจฉาฮีชอล...คนที่พี่รัก อิจฉาซีวอน...ถึงพี่ไม่รักเขา แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีโอกาสได้ดูแลพี่ ในขณะที่ผมได้แต่เฝ้ามองพี่อย่างห่างๆ เท่านั้น...”
“ขอโทษ...” จองซูได้แต่ก้มหน้านิ่งไม่พูดอะไรอีก จนชายหนุ่มต้องยื่นมือไปเชยคางร่างบางให้เงยขึ้นมาหน้าตากัน
“เปลี่ยนคำขอโทษเป็นรอยยิ้มแทนได้ไหมครับ? อย่างน้อย ถ้ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้เจอพี่ ผมก็อยากจะเห็นพี่มีความสุข...” จองซูคลี่ยิ้มบางแบบที่ดูไม่ออกว่าเจ้าตัวกำลังมีความสุขหรือกำลังร้องไห้อยู่กันแน่
“ฮันกยอง...พี่จะยิ้มให้นายตราบเท่าที่นายต้องการ เพราะพี่เองอยากจะงดงามอยู่เสมอในความทรงจำของนาย...” ฮันกยองยิ้มตอบแต่การที่ยิ้มให้กับคนที่รู้อยู่แก่ใจว่าเขาอยากร้องไห้ มันแย่กว่าการที่เขาจะร้องไห้ออกมาจริงๆ ซะอีก ชายหนุ่มเลือกที่จะเงยหน้ามองเพดานอย่างน้อยมันก็คงพอขังความอ่อนแอของเขาไว้ได้
ไม่มีใครไม่เจ็บปวดกับการพรากจาก... ถึงรู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์ แต่บางครั้งคนเราก็อยากร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีเหตุผล
พี่รู้ดีว่านายไม่อยากให้พี่รู้ว่านายร้องไห้ นายไม่อยากให้พี่เจ็บปวด นายปกป้องความรู้สึกของพี่แบบนี้ตลอดมา เวลาของพี่เหลือน้อยลงเรื่อยๆ รู้ว่านายคงเสียใจ รู้ว่านายคงร้องไห้ รู้ว่านายคง...เจ็บปวด... แต่พี่จะทำยังไงได้ ในเมื่อมันเป็นชะตาที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง
.
.
ลานจอดรถที่เหลือรถยนต์เพียงไม่กี่คัน เนื่องด้วยเวลาที่ล่วงเลยผ่าน ซีวอนรอจวบจนร่างคุ้นตาของคนทั้งสองปรากฏขึ้น ฮันกยองกำลังเดินมาส่งจองซูที่รถ
“ลาก่อนครับ พี่...” เสียงทุ้มเอ่ยคำลาอย่างเลื่อนลอย แต่กระนั้นดวงหน้าสวยก็ยังยิ้มให้เขา...แบบที่งดงามที่สุดและมันจะตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเขาตลอดไป
“ฝากดูแลพี่จองซูด้วยนะ...ซีวอน” ฮันกยองหันมาหา ‘Prince’ แห่ง DL คนที่เขาเชื่อว่าจะสามารถดูแลผู้เป็นนายแห่งหัวใจได้ดีไม่แพ้เขา
“ครับ ผมสัญญา...”
“อืม...โชคดีนะ ฮันกยอง...” จองซูสบตากับร่างสูงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนหนุ่มชาวจีนจะหันหลังให้แล้วจากไป... ไม่นานรถที่มีซีวอนเป็นคนขับและจองซูนั่งข้างหลังก็เคลื่อนออกจากลานจอดรถแล่นไปตามถนนสายหลักของเมืองระหว่างมีแต่ความเงียบที่เข้าครอบงำบรรยากาศภายใน มือเรียวยกขึ้นลูบแก้มตัวเองก่อนจะพบว่ามันชื้นไปด้วยหยาดน้ำตาที่ไม่รู้ว่าไหลลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่สิ่งที่ทำให้จองซูแปลกใจยิ่งกว่าคือเสียงสะอึกแผ่วเบาจากคนข้างหน้า
“นายร้องไห้เหรอ...ซีวอน?”
“เปล่าครับ... แค่ผงเข้าตานิดหน่อย พี่อย่าใส่ใจเลย...” ทั้งที่พูดไปแบบนั้น แต่ทั้งเจ้าตัวและคนฟังคำตอบต่างก็รู้อยู่ว่ามันไม่ได้เป็นไปตามนั้น ทำไมจองซูจะไม่รู้ว่าซีวอนแอบฟังที่เขากับฮันกยองคุยกัน
...ผมไม่รู้ว่าระหว่างผมกับพี่ฮันกยองใครรักพี่มากกว่ากัน แต่ผมมั่นใจว่าผมรักพี่ไม่แพ้พี่ฮันกยองเลย ทว่าอีกสิ่งหนึ่งที่ผมรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ก็ชอบทำเป็นลืมมันไป นั่นคือ...ไม่ว่าผมหรือพี่ฮันกยองจะรักพี่มากกว่า มันไม่สำคัญเท่ากับที่หัวใจของพี่รักคนๆนั้น...คนที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่เป็นคนที่ปาร์คจองซูรักที่สุด...
...คิมฮีชอล...
To Be Con
40+50% >> ง่ะ...ภาษาแย่ลงเล็กน้อยถึงปานกลาง
แต่ว่าช่างมันเถอะ
แต่งครบ 100 แต่ดันเซฟมา 50 แอบเซง
เอาเป็นว่าวันไหนว่างๆ จะครบ 100 ล่ะกันนะ อิอิ
ปล. คิดดูว่าเซงขนาดไหน...รูปของตอนนี้ก็ลืมเซฟมา
โอ้ยยยยยยยยย....เซง!!!!
100% >> เหอๆกว่ามันจะครบได้
อยากสารภาพความในใจคือแบบว่ามันครบ 100มานานแล้วนะ
แต่มีเหตุขัดข้องทางเทคนิก(อย่างแรง)
ทำให้มันหายหมด...เซง....อย่างแรง
ต้องนั่งพิมพ์ไอ้ 60 % หลังใหม่
ปล2.เอ่อลืมบอกที่ผิดพลาดนี่แบบว่าทุกเรื่องอ่ะค่ะ
ต้องพิมพ์ใหม่หมด...เซงแบบว่าสุดๆ -_-
-b g--s b- + + ไม้กาง เขน B G
ความคิดเห็น