ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Flaw Flower [Fic TVXQ : Soulmate]

    ลำดับตอนที่ #5 : [ 4 ] : Bargain [Rewrite 100%]

    • อัปเดตล่าสุด 22 ต.ค. 54



    Chapter IV :
    Bargain




    ความหน่วงที่กดทับเปลือกตาราวกับมีอะไรบางอย่างกดทับไว้แน่น จนยากจะลืมตามาเผชิญกับโลกภายนอก ความทรงจำเดียวที่หลงเหลืออยู่ก่อนจะสิ้นสติไป มีเพียงความเจ็บปวดทรมานที่ยังตราตรึง สัมผัสหนักหน่วงรุนแรงช่วงชิงเรี่ยวแรงไปจนหมดสิ้น สติยังไม่พร้อมจะรับรู้อะไรมีเพียงความว่างเปล่า สวนทางกับร่างกายที่หนักอึ้งแต่เปราะบางเหมือนแก้วที่แตกร้าว ที่พอขยับก็จะแหลกสลายเป็นชิ้นๆ ได้แต่นอนนิ่งไม่ไหวติ่ง แจจุงไม่เหลือเรี่ยวแรงให้พอจะเคลื่อนไหวได้เลย

    แว่วเสียงบานประตูที่กระทบกับวงกบ อาจจะมีใครสักคนออกไปหรือไม่ก็เข้ามาในห้อง ร่างบางแยกไม่ออก นานทีเดียวกว่าที่ความพยายามในการผลักความหนักหน่วงที่กดทับดวงตาจะเป็นผลสำเร็จ เปลือกตาบางแย้มออกอย่างช้าๆ ดวงตาพร่าเลือนจับภาพได้ชัดเจนขึ้นทีละนิด

    สติที่ยังไม่เข้าที่เข้าทางดีทำให้สมองยังไม่สั่งการใดๆ นัยน์ตาคู่งามมองไปกว้างๆอย่างคนไม่รู้สึกตัว จวบจนกระทั่งใครอีกคนในห้องรับรู้ถึงการตื่นของคนบนเตียง ขาคู่ยาวก้าวเข้าไปหาแล้วนั่งลงตรงข้างๆ แจจุงมองชายหนุ่มด้วยสายตาเลื่อนลอยคล้ายจะไม่รู้สึกตัว ยูชอนรู้สึกแปลกใจที่ร่างบางไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างที่คิด

    “เป็นอะไรไป” ยูชอนยื่นมือจะแตะหน้าผาก หากนั่นกลับเป็นการกระตุ้นให้ความทรงจำที่กระจัดกระจายของแจจุงให้หมุนย้อนกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว พอได้สติแขนเรียวก็ยกขึ้นปัดมือร่างสูงออกไปทันที ร่างบางรีบถดถอยหนีดึงตัวเองออกจากจากยูชอน

    “อ่ะ..!” เสียงหวานร้องเบาหวิวเมื่อไม่สามารถขยับตัวได้อย่างที่คิด เพียงแค่ดันกายขึ้นเหนือเตียงได้นิดหน่อยก็ต้องทรุดลงตามเดิม ความเจ็บแปลบแล่นไปทั่วร่างกายทุกส่วน ร่างบางได้แต่ขบเม้มริมฝีปากกลั้นเสียงร้องเอาไว้ ยูชอนจับข้อมือบางไม่ให้ร่างบางหนี แต่สัมผัสที่ยังตราตรึงอยู่ในทุกอณูของความเจ็บปวดสั่งให้ร่างบางปฏิเสธสุดชีวิต

    “อย่า! ปล่อยนะ ปล่อย” เสียงหวานแหบจนแทบไม่ได้ยินแต่ก็ยังพยายามฝืนตะโกน มือเรียวทั้งผลักทั้งดันชายหนุ่มออกห่างเหมือนคนเสียสติ ถึงจะไม่ได้รุนแรงแต่ก็น่ารำคาญไม่ใช่น้อย ยูชอนคว้าข้อมือเรียวทั้งสองแล้วดึงให้ร่างบางเข้ามาใกล้ นัยน์ตาคู่งามสั่นไหวด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย พอจะเริ่มดิ้นอีกครั้ง ยูชอนก็ออกแรงบีบข้อมือแน่นพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

    “อยู่นิ่งๆแล้วฉันจะไม่ทำอะไร” ถึงจะเป็นคำสั่งแต่ก็ฟังดูอ่อนโยนกว่าที่เคย แม้จะหวั่นใจว่าอาจจะเป็นเพียงคำหลอกลวง แต่ในสภาพแบบนี้จะขัดขืนอะไรได้อีก พอแจจุงเลิกดิ้นแรงบีบรัดที่ข้อมือผ่อนคลายลงแม้ยูชอนจะยังไม่ปล่อยก็ตาม มือใหญ่เอื้อมไปแตะที่หน้าผาก อุณหภูมิที่สัมผัสได้ทำให้คิ้วมุ่นขมวดเข้าหากัน ในขณะที่นัยน์ตาคู่งามได้แต่มองการกระทำนั้นอย่างหวาดๆ

    “นายท่าน” เสียงซีวอนดังขึ้นจากมุมห้อง แจจุงถึงเพิ่งรู้ตัวว่าในห้องไม่ได้มีเพียงแค่ยูชอนคนเดียว ร่างบางสะบัดหน้าหนีทันทีเมื่อรับรู้ถึงสายตาที่จ้องมองมา กลีบปากบางเม้มเข้าหากันแน่น ต้องให้ใครต่อใครมาเห็นตัวเองในสภาพแบบนี้ น่าสมเพสที่สุด!

    “นอกจากนัดทานมื้อเที่ยงกับคยูฮยอนแล้ว ฉันยังมีอะไรต้องทำอีกไหม?” ยูชอนหันกลับไปต่อบทสนทนาที่ค้างไว้ก่อนแจจุงจะตื่น

    “ตระกูลชองครับ” ซีวอนหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงสิ่งที่จะทำกับศัตรูคู่แค้นโดยตรง ทั้งยังจงใจตอบเสียงเบา แต่มีหรือที่ร่างบางจะไม่ได้ยิน นัยน์ตาคู่งามตวัดขึ้นมองหน้ายูชอนคล้ายจะคาดคั้นอย่างลืมตัว แต่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจเลย

    “เตรียมการณ์ให้เรียบร้อย แล้วเรียกชางมินมาหาฉันด้วย”

    “ครับ นายท่าน” ซีวอนโค้งให้ผู้เป็นนาย ก่อนจะรีบออกจากห้องไปทำตามคำสั่ง ยูชอนผลักให้ร่างบางกลับไปนอนตามเดิม หากไม่ใช่เพราะมึนหัวจนแทบประคองสติไม่อยู่มีหรือที่แจจุงจะทำตามอย่างว่าง่าย ไม่นานนักชางมินก็มาถึง

    “ขอโทษที่ต้องเรียกมานะ” ยูชอนยังนั่งอยู่บนเตียงที่เดิม สายตามองไปที่บาดแผลตรงหัวไหล่ที่ถูกซ่อนไว้ใต้เสื้ออย่างเป็นห่วง จริงๆแล้วเขาอยากจะให้เด็กหนุ่มได้พักสักหน่อย แต่เขาก็ไม่สามารถปล่อยแจจุงทิ้งไว้เฉยๆได้

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ” เด็กหนุ่มส่ายหัวยิ้มตอบขณะที่สายตามองข้ามไหล่ผู้เป็นนายไปยังร่างบางที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ยูชอนหลบให้ชางมินเข้ามาดูแลคนป่วยอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังคอยเฝ้าอยู่ห่างๆ แจจุงเดาเอาว่าชายหนุ่มคงกลัวว่าเขาจะทำอะไรชางมินอีกล่ะมั้ง แค่คิดร่างบางก็ต้องยิ้มเยาะตัวเอง สภาพตัวเองแบบนี้จะทำอะไรได้ แค่จะลุกขึ้นเฉยๆยังแทบไม่ไหวเลยด้วยซ้ำ

     

    ก๊อก...ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของซีวอนในมือชายหนุ่มเตรียมของใช้อย่างพวกเสื้อผ้าแล้วก็ยาสำหรับคนป่วยมาให้พร้อมสรรพ ก่อนจะเข้าไปกระซิบบางอย่างกับผู้เป็นนาย แจจุงไม่ได้ยินว่าซีวอนพูดอะไร แต่มันก็ทำให้ยูชอนขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด ก่อนทั้งคู่จะออกไปจากห้อง

    แจจุงได้แต่นั่งคิดว่าเรื่องอะไรที่ทำให้นายใหญ่แห่งตระกูลปาร์คแสดงสีหน้าเช่นนั้นออกมาได้ แต่ก็ถูกขัดทันทีเมื่อผ้าชุบน้ำหมาดแตะโดนรอยถลอกบนแผ่นหลัง

    “อะ!

    “เจ็บเหรอครับ?” ชางมินหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงร้อง แต่เจ้าตัวก็รู้ว่าคงไม่ได้รับคำตอบใดๆ กระนั้นสัมผัสที่แผ่วเบาอยู่แล้วกลับยิ่งเพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้นกว่าเดิมจนร่างบางก็รู้สึกได้ นัยน์ตาคู่งามแอบมองชางมินอย่างครุ่นคิด

    ในขณะที่ชางมินที่เพิ่งจะเช็ดตัวให้คนป่วยเสร็จก็เดินไปหยิบเอากล่องปฐมพยาบาลที่ซีวอนทิ้งไว้ให้มาใกล้ แล้วจึงเริ่มทำแผลจากข้อมือก่อนเป็นอันดับแรก รอยแดงช้ำจากการบีบรัดทิ้งร่องรอยเอาไว้บนผิวขาวละเอียดอย่างชัดเจน ผิวกายส่วนอื่นก็ไม่แตกต่างกัน หนักที่สุดเห็นจะเป็นนิ้วที่ถูกหักที่เห็นรอยบวมช้ำเสียจนดูน่ากลัว เด็กหนุ่มแทบไม่อยากคิดเลยว่าเจ้าตัวผ่านเรื่องเมื่อคืนมาได้อย่างไร

    “ถ้าเจ็บก็บอกนะครับ” เด็กหนุ่มว่าพลางค่อยๆพันผ้าที่ข้อมืออย่างเบามือ

    “ทำไมถึงทำดีด้วยล่ะ” แจจุงเพิ่งสบตากับอีกฝ่ายตรงๆเป็นครั้งแรก คำถามนั้นทำเอาชางมินประหลาดใจไม่น้อยทีเดียวที่กุหลาบงามเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน ทั้งยังไม่ใช้น้ำเสียงแข็งกร้าวอย่างทุกที

    “มันแปลกเหรอครับ”

    “ปกติ...ก็น่าจะโกรธไม่ก็เกลียดนี่” นัยน์ตาคู่งามเลื่อนลงไปมองที่หัวไหล่ของเด็กหนุ่ม แจจุงไม่เข้าใจจริงๆ ที่ชางมินมาทำดีด้วย ทั้งที่เขาเป็นคนทำให้บาดเจ็บแท้ๆ ต่อให้เป็นคำสั่งของยูชอนก็เถอะ แต่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสายตาสักหน่อย อีกอย่างต่อให้ชางมินทำร้ายเขา แจจุงก็ไม่คิดว่ายูชอนจะสนใจหรอก อาจจะพอใจซะด้วยซ้ำ

    “ถ้าผมเป็นคุณ...ผมก็คงต้องหนีอย่างสุดกำลัง อย่างที่คุณทำเหมือนกัน” ชางมินตอบอย่างไม่คิดอะไร เพราะเข้าใจว่าหากต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกัน เขาก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้รอดออกไปเช่นกัน บางทีอาจจะมากกว่าแจจุงด้วยซ้ำ

    “แต่ในกรณีนี้...ผมแนะนำให้คุณอยู่เฉยๆ แล้วเชื่อฟังนายท่านเถอะครับ อย่างน้อยก็จะได้ไม่เจ็บตัวอีก นายท่านไม่ใช่คนโหดร้ายอย่างที่คุณคิดหรอกนะครับ” ชางมินรู้ว่าคงเปลี่ยนความคิดแจจุงไม่ทันแล้ว แต่ถ้าร่างบางไม่ทำอะไรขัดใจหรือต่อต้านอะไรอีก แจจุงอาจจะได้เห็นนายใหญ่แห่งตระกูลปาร์คในมุมที่เจ้าตัวไม่เคยเห็นมาก่อนเลยก็เป็นได้

    “หึ ไม่ใช่งั้นเหรอ” เสียงหวานแค่นหัวเราะเสียงสูงคล้ายจะเย้ยหยันคำกล่าวนั้นของชางมิน แต่อีกฝ่ายดูจะไม่ใส่ใจนัก

    “เสร็จแล้วเหรอ?” น้ำเสียงทุ้มที่ดังขึ้น ทำร่างบางสะดุ้งสุดตัว ยูชอนเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเขาไม่รู้ตัวเลย

    “ครับ นายท่าน” ชางมินโค้งตัวรับ ก่อนจะออกไปข้างนอกห้อง ทิ้งให้แจจุงอยู่กับยูชอนตามลำพัง นัยน์ตาคู่งามได้แต่ช้อนตามองร่างสูงอย่างหวาดหวั่น นัยน์ตาคมดุจพญาเหยี่ยวคู่นั้นเองก็กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน สักพักชางมินก็กลับมาพร้อมกับอาหารจำนวนสองที่

    “ผมวางไว้บนโต๊ะนะครับ” ชางมินส่งเสียงบอกก่อนจะเข้ามาในห้องนอน ตั้งใจจะช่วยพยุงคนป่วย แต่กลับเจอกับสายตาห้ามปรามของผู้เป็นนายเข้าเสียก่อน

    “เดี๋ยวฉันจัดการเอง นายไปพักได้แล้ว” คำสั่งนั้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกใจเป็นครั้งที่สองของวัน แต่ชางมินก็ฉลาดพอที่จะไม่ถาม

    “เข้าใจแล้วครับ”

    พอชางมินออกไป บรรยากาศที่น่าอึดอัดก็แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ แจจุงเข้าใจเอาเองว่ายูชอนคงอยากให้ลูกน้องคนสำคัญได้พักผ่อนบ้าง แต่พอต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แจจุงก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ควรจะพูดหรือไม่พูดอะไรดี เขาทำตัวไม่ถูกเลยจริงๆ

    แต่ยูชอนก็ไม่ปล่อยให้แจจุงอึดอัดนานนัก ชายหนุ่มเดินไปยืนรอที่โต๊ะกลางห้องที่เมื่อมองออกไปจากเตียงจะเห็นชุดอาหารสองชุดวางอยู่ตรงกันข้ามกัน ไอร้อนลอยกรุ่นขึ้นมาจากอาหารที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ชวนให้น่ารับประทาน

    มานั่งนี่เร็วๆเข้า

    “ผม..ไม่” เสียงหวานพยายามปฏิเสธแต่กลับได้สายตาดุๆแทนคำตอบ จนจำต้องทำตามที่ชายหนุ่มต้องการ มือเรียวจับเอาเสาหัวเตียงช่วยพยุงตัวลุกจากเตียง ปลายเท้าสัมผัสพื้นที่ปูด้วยพรมเนื้อดีแสนนุ่มอย่างไม่ค่อยมั่นคง ยิ่งลงน้ำหนักตัวลงไปความเจ็บปวดก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ช่วงล่าง ศีรษะก็ปวดระบมคล้ายกับจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง แต่ร่างบางก็ทำได้แค่กัดฟันทนไม่ยอมแสดงความอ่อนแอของตนให้ศัตรูเห็น

    แจจุงจำยอมนั่งที่โต๊ะพร้อมกับยูชอน จานอาหารตรงหน้าจัดเรียงอย่างสวยงามตามแบบฉบับของโรงแรม คงเป็นเพราะคนทานคือนายใหญ่ประจำตระกูล ของที่นำมาเสิร์ฟจึงเป็นของดีอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าจะเรียกตัวเองว่าเป็นนักโทษ เขาก็เป็นนักโทษที่โชคดีอยู่บ้าง เสียแต่ว่า...

    “ทานซะสิ” เสียงทุ้มว่าพลางเริ่มลงมือกับอาหารตรงหน้า ผิดกับแจจุงที่ยังนั่งเฉยเอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมสบตา

    “ผมไม่หิว”

    “จะไม่ยอมกินดีๆใช่ไหม?” ยูชอนวางช้อนส้อมของตัวเองลงกับจานเสียงดังอย่างจงใจ นัยน์ตาคมที่จ้องมองมาพยายามหนีเท่าไหร่ก็ไม่พ้น รัศมีคุกคามจากอีกฝ่ายทำให้แจจุงไม่มีทางเลือก มือเรียวหยิบช้อนขึ้นมาอย่างเก้ๆ กังๆ เพราะนิ้วที่หักทำให้แจจุงขยับมือได้ไม่คล่องนัก สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนไปใช้มือซ้าย แต่เมื่อไม่ใช่ข้างที่ถนัดก็เลยยังทุลักทุเลอยู่ดี

    จริงอยู่ว่าแจจุงไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน แต่ร่างบางกลับไม่รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย อาจจะเป็นเพราะปวดหัวมากเกินไปจนกินอะไรไม่ลง หากไม่ใช่เพราะสายตาที่จ้องเขม็งมาเขาคงโยนช้อนทิ้งไปแล้ว แต่สุดท้ายความไม่อยากอาหารก็ทำให้แจจุงทานไปได้เพียงสองสามคำเท่านั้น

    “ผมอิ่มแล้ว” มือเรียวรวบวางช้อนลงข้างจานด้วยปริมาณที่พร่องไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แทนที่การได้ทานอะไรลงไปบ้างจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น แต่ผลกลับเป็นตรงกันข้าม

    “แค่นั้นจะอิ่มได้ยังไง” เสียงทุ้มเอ่ยท้วง

    ก็ผมบอกว่าอิ่มแล้วไง!!” แจจุงกระแทกเสียงใส่อย่างลืมกลัวด้วยร่างกายที่ปั่นป่วนไปหมด แต่กว่ายูชอนจะได้ตอบโต้ แจจุงก็ลุกพรวดวิ่งเข้าห้องน้ำซะก่อน ร่างบางพลันถลาไปเกาะขอบอ่างล้างหน้า อาเจียนเอาสิ่งที่ทานเข้าไปเมื่อครู่ออกมาจนหมด

    มือใหญ่ของคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาลูบแผ่นหลังบางอย่างอ่อนโยนแต่แจจุงไม่ทันรู้สึกตัว ร่างบางเกร็งสั่นแล้วอาเจียนซ้ำอีก แต่เพราะทานข้าวไปแค่ไม่กี่คำ สิ่งที่คายออกมาคราวนี้จึงมีแต่น้ำย่อยที่ทั้งขมทั้งขื่นคอ พออาเจียนหมดท้อง ศีรษะก็ยิ่งมึนงงเหมือนโลกทั้งโลกพลิกกลับ

    แจจุงหมดแรงจะทรงตัว ทรุดกายไหลลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง เสียงหวานครางสั่นในลำคอด้วยความอึดอัดทรมาน พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆเรียกสติตัวเอง แต่ยิ่งพยายามก็ยิ่งล้มเหลว ความอ่อนล้าทำให้เปลือกตาหนักอึ้ง แก้วหูอื้ออึงจนไม่ได้ยินเสียงอะไร สติที่คงเหลืออยู่ค่อยๆเลือนหายไป พร้อมกับภาพนัยน์ตาที่พร่ามัวจนกลายเป็นสีดำสนิท...

    .

    .

    ขณะเดียวกันทางอีกด้านหนึ่ง ภายในห้องรับรองแขกพิเศษของร้านอาหารจีนมีชื่อ ยุนโฮนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่โต๊ะอาหารเป็นมวนที่สาม คู่เจรจาธุรกิจสำคัญของนายใหญ่แห่งเขตใต้กลับไปนานแล้ว แต่เจ้าตัวกลับยังไม่ไปไหนทั้งที่มีกำหนดการณ์ต่อไปรออยู่หลายอย่าง คังอินหัวหน้าบอดี้การ์ดประจำตระกูลขยิบส่งซิกให้จุนซูเตือนผู้เป็นนาย แต่ร่างเล็กส่ายหัวปฏิเสธ นาทีนี้ใครจะกล้าทำให้ยุนโฮไม่พอใจกันล่ะ สุดท้ายทุกคนก็ทำได้เพียงนิ่งเฉยรอคำสั่งเท่านั้น

    ควันบุหรี่สีหม่นล่องลอยเป็นกลุ่มในอากาศก่อนจะกระจายเป็นวงกว้าง ยุนโฮกำลังคิดชั่งใจเรื่องแจจุง หลังได้รับรายงานว่าเมื่อวานยูชอนพาแจจุงไปที่โรงแรมหลักของตระกูลปาร์ค เขาก็รู้เลยว่ายูชอนจงใจ...จงใจพาร่างบางไปด้วย จงใจที่จะให้ทุกคนเห็นว่ากุหลาบของชองยุนโฮตกอยู่ในกำมือของปาร์คยูชอนแล้ว!

    ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ถ้าเป็นคนอื่น...ยุนโฮคงจะปล่อยเลยตามเลย หรืออาจจะชิงฆ่าเสียก่อนที่จะปูดความลับของตระกูลชองออกไปด้วยซ้ำ แต่เพราะเป็นแจจุง เขาถึงได้กลายเป็นแบบนี้ ยุนโฮไม่ปฏิเสธ...เขาอยากได้กุหลาบงามคืน ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหนก็ตาม... นั่นเป็นของๆเขา ไม่ว่ายังไงก็ต้องเอาคืนมา! และยูชอนจะต้องได้รู้สำนึกว่าการยุ่งกับของๆเขาจะเป็นยังไง!

    “จุนซู...จำได้หรือเปล่าว่าฮีชอลจะกลับมาถึงเมื่อไหร่?”

    “เครื่องลงประมาณบ่ายสาม กว่าจะเดินทางมาถึงคฤหาสน์คงสักสี่โมงได้ครับ” ยุนโฮบี้บุหรี่ลงกับที่เขี่ย รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปาก เมื่อได้ยินว่าเลขาคนสำคัญกำลังจะกลับมาถึง หลังจากเดินทางไปเจรจางานที่ญี่ปุ่นให้เขาเกือบอาทิตย์

    “ดี ถ้าอย่างนั้นก็ยกเลิกนัดวันนี้ทั้งหมด แล้วเรียกคนของเรามารวมตัวกันที่คฤหาสน์ บอกไปว่า... ฉันจะเลือกหัวหน้าการ์ดคนใหม่ภายในบ่ายสามโมง”

    “เอ่อ...แล้วคนเก่าละครับ?” เสียงหวานเอ่ยอย่างระมัดระวัง สายตาก็เหลือบมองคนที่กำลังกลายเป็นอดีตหัวหน้าของตนอย่างเวทนา โทษของการเป็นคนไร้ประโยชน์ในสายตาของยุนโฮมีอยู่แค่สองอย่าง ถ้าไม่ตาย ก็จะถูกย้ายไปทำงานอื่นที่อยู่ไกลๆ สายตายุนโฮ

    “คนสวนที่คฤหาสน์ยังขาดอยู่นี่”

    “เข้าใจแล้วครับ”

    พอได้ยินเสียงตอบรับยุนโฮก็พอใจ ร่างสูงลุกเตรียมกลับคฤหาสน์ จุนซูรีบหยิบคว้าเสื้อโค้ทสีเข้มตัวยาวสวมให้นายใหญ่เขตใต้ที่ก้าวไปตามทางเดินอย่างรวดเร็ว คนที่เหลือก็รีบตามนายใหญ่แห่งเขตใต้ไปอย่างไม่ไว้หน้าอดีตหัวหน้าการ์ดเลยสักนิด สุดท้ายก็เหลือแต่ร่างอวบท้วมของคนที่ถูกปลดกะทันหันกลางอากาศที่ได้แต่ยืนตัวแข็ง กัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดซึม นัยน์ตาคมมองตามแผ่นหลังกว้างของยุนโฮอย่างเจ็บใจ คังอินสาบานกับตัวเองในวินาทีนั้น คอยดูเถอะ สักวันเขาจะต้องทำให้ชองยุนโฮก้มหัวขอร้องเขาให้ได้!

    .

    .

    .

    พอยุนโฮกลับไปถึงคฤหาสน์ตระกูลชองก็พบหัวหน้าเขตต่างๆมากมายที่ส่งคนของตัวเองมาเป็นตัวเลือกสำหรับตำแหน่งหัวหน้าการ์ดคนใหม่กันอย่างพร้อมเพรียง เสียดายที่เลือกอยู่นานก็ไม่มีใครเข้าตานายใหญ่แห่งเขตใต้เลยสักคน สุดท้ายยุนโฮก็มองเห็นว่าคนที่เหมาะสมที่สุดไม่ใช่คนอื่นคนไกลเลย แต่เป็นคนที่อยู่ข้างกายเขาตลอดเวลานี่ต่างหาก

    “ถ้าฉันเลือกจุนซูจะมีใครค้านไหม?” แน่นอนว่าเรื่องความสามารถคงไม่ต้องพูดถึง แต่เพราะจุนซูเพิ่งเข้ามาหลังจากเขาแตกหักกับยูชอนไป จึงอาจจะมีคนไม่ยอมรับได้ แต่ภายในห้องประชุมนั้นก็ไม่มีใครค้าน นำความพอใจมาให้ชายหนุ่มยิ่งนัก จริงๆ แล้วยุนโฮก็ถามไปอย่างนั้นเอง ต่อให้มีคนค้านจริง ยุนโฮก็ไม่สนใจหรอก

    “เอาจริงเหรอครับ คุณยุนโฮ” เสียงหวานที่ติดจะแหบเล็กน้อยถามอย่างไม่มั่นใจ ถึงจะรู้สึกดีที่ยุนโฮเลือกเขา แต่พวกหัวหน้าเขตอื่นๆอาจจะไม่พอใจที่คนของตนไม่ได้รับเลือกก็ได้

    “ไม่มั่นใจเหรอ จุนซู”

    “ไม่ใช่ครับ แต่ว่า...”

    “งั้นก็ตกลงตามนี้” ยุนโฮไม่เปิดโอกาสให้จุนซูปฏิเสธ “นายรู้จักเพื่อนร่วมงานตัวเองดีอยู่แล้ว เลือกเอาตามที่เห็นสมควร จัดคนเสร็จค่อยตามฉันไปที่ห้อง”

    “ทราบแล้วครับ” พอเสร็จธุระยุนโฮก็กลับไปที่ห้องทำงาน ทิ้งให้หัวหน้าการ์ดคนใหม่จัดการทุกอย่างต่อ ร่างสูงเดินวนรอบห้องตัวเอง กรอบรูปบนฝาผนังบันทึกเรื่องราวสำคัญต่างๆมากมาย ไม่เว้นแม้แต่วันที่เขากับยูชอนได้ขึ้นเป็นผู้นำของเขตใต้ จนเป็นที่รู้จักกันในชื่อของสองพยัคฆ์ทมิฬแห่งทิศใต้

    เพราะตระกูลชองมีธุรกิจที่ยืนเป็นหลักของตระกูลคือการก่อสร้าง ในขณะที่ตระกูลปาร์คก็เป็นเจ้าของเครือโรงแรมขนาดใหญ่อันดับต้นๆของประเทศ ธุรกิจที่เกื้อหนุนกันและกัน ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้น หากไม่เกิดเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนนั้นขึ้นมาซะก่อน แม้แต่เขตเหนือก็คงไม่พ้นเงื้อมมือพวกเขา

    ยุนโฮถอนใจเมื่อรู้ตัวว่ากำลังนึกถึงสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้ แล้วเสียงเคาะก็ดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดออกเมื่อได้รับคำอนุญาต คนที่เข้ามาคือฮีชอลที่เพิ่งมาถึงนั่นเอง

    “ขอโทษที่ช้านะครับ นายใหญ่”

    “นั่งสิ ฉันมีงานจะให้นายทำ...” ยุนโฮว่าพลางทิ้งตัวเองลงกับโต๊ะทำงาน เรื่องที่แจจุงถูกพาตัวไปและคังอินถูกปลดนั้น ฮีชอลได้รับรายงานระหว่างทางที่มาแล้ว ก็คิดอยู่ว่านายใหญ่จะต้องลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยแจจุง

    “นายยังจำสถานพยาบาลที่ปาร์คยูฮวานอยู่ได้ใช่ไหม?”

    “จำได้ครับ แต่ว่า...” สีหน้าตกใจของฮีชอลแสดงออกมาอย่างไม่ปิดบัง เรื่องที่ตระกูลชองรู้ที่อยู่ของยูฮวานถือเป็นไพ่ตายลับสุดยอด ฮีชอลไม่คิดว่ายุนโฮจะยอมเสียมันไปง่ายๆเพื่อแลกกับแจจุงแบบนี้

    ปาร์คยูฮวาน...น้องชายสุดรักสุดหวงของยูชอน ด้วยร่างกายที่อ่อนแอทำให้ยูชอนต้องกันยูฮวานออกจากการต่อสู้ โดยการส่งน้องชายขี้โรคไปอยู่ที่อื่น เพื่อความปลอดภัย ยูชอนถึงกับยอมที่จะไม่พบน้องชายเป็นปีๆ เพราะไม่ต้องการให้ยุนโฮรู้ว่ายูฮวานอยู่ที่ไหน น่าเสียดายที่สุดท้ายยุนโฮก็รู้อยู่ดี...

    “มีปัญหาเหรอ ฮีชอล?”

    “ไม่..ไม่มีครับ” ความโกรธที่แฝงอยู่ในคำถามของนายใหญ่ทำให้ฮีชอลต้องรีบปฏิเสธ

    “ให้คนของเราถ่ายรูปแล้วส่งไปให้ยูชอน...อยากจะรู้นักว่าหมอนั่นจะทำหน้ายังไง” ริมฝีปากบนใบหน้าคมกระตุกยิ้มเย็นชา เขาจะทำให้ยูชอนรู้ว่าไม่ได้มีแต่ตัวเองที่ถือไพ่เหนือกว่า!

    “ทำแบบนั้นแล้วปาร์คยูชอนจะยอมส่งตัวแจจุงคืนเหรอครับ?” อาจจะเพราะฮีชอลไม่เห็นประโยชน์มากพอที่ยุนโฮจะต้องเอาเรื่องนี้ไปแลกกับแจจุง เพราะหากยูชอนรู้...อีกฝ่ายต้องรีบย้ายที่อยู่ของน้องชายแน่ ดีไม่ดีอาจจะไม่ยอมคืนตัวแจจุงให้ก็ได้ หรือถ้าคิดในแง่เลวร้ายที่สุด แจจุงอาจจะถูกฆ่า...

    “รอดูก็แล้วกัน”

    ยุนโฮไม่ได้พูดอะไรต่ออีก แทนความหมายให้ฮีชอลไปทำงานตามที่สั่งได้แล้ว ร่างเพรียวบางโค้งให้ผู้เป็นนายก่อนจะออกจากห้องทำงาน แต่ยังไม่ทันจะไปไหนก็เจอเข้ากับจุนซูที่สวนทางมาพอดี นัยน์ตาคู่สวยตวัดมองร่างเล็กอย่างเอาเรื่อง ทั้งที่ริมฝีปากกำลังคลี่รอยยิ้มที่ดูก็รู้ว่าเสแสร้ง

    “ไม่เจอกันแค่สองวันก็ได้เป็นหัวหน้าการ์ดซะแล้ว ต้องทำขนาดไหนถึงได้มาง่ายๆแบบนี้น่ะ หึ...จุนซู?” นิ้วเรียวจับคางจุนซูเชยให้หันมาเผชิญหน้ากันตรงๆ ในขณะที่ลูกน้องสองคนที่เดินตามหลังจุนซูมาติดได้แต่ปิดปากเงียบ

    “หลีกไปน่าฮีชอล” จุนซูปัดมือฮีชอลออกแล้วพูดเสียงเรียบ แต่ฮีชอลก็ยังไม่ยอมถอยออกจากประตู เลขาคนสวยโน้มใบหน้าลงไปกระซิบที่ข้างหูร่างเล็ก

    “นายน่ะไม่ได้รอโอกาสนี้อยู่หรอกเหรอ หัวหน้าการ์ดก็ได้เป็นแล้ว ยิ่งตอนนี้แจจุงไม่อยู่ จะเป็น คนรัก ของนายใหญ่ก็ง่ายนิดเดียว”

    “คิมฮีชอล...ฉันบอกให้นายหลีกไป!” จุนซูขึ้นเสียงดังจนเกือบจะกลายเป็นการตะโกน แต่ฮีชอลกลับฉีกยิ้มอารมณ์ดีกว่าเดิม ถ้อยคำที่เขาพูดนั้นแทงใจร่างเล็กแค่ไหนพิสูจน์ได้จากแก้มที่แดงเรื่อเพราะความโกรธของอีกฝ่าย

    “แหม! พูดความจริงแค่นี้ทำเป็นโกรธไปได้” ฮีชอลหลีกทางให้จุนซูง่ายๆหลังได้แกล้งร่างเล็กจนพอใจ ทั้งที่ฮีชอลไปแล้วแต่จุนซูยังยืนนิ่งสงบสติอารมณ์อยู่หน้าห้องพักใหญ่กว่าจะเข้าไปคุยกับยุนโฮได้

     

    ...เรื่องความไม่กินเส้นกันระหว่างเลขาคนสวยกับการ์ดส่วนตัวทั้งสองคนของยุนโฮเป็นเรื่องที่ทุกคนในตระกูลชองรู้กันดีอยู่แล้ว แม้ว่ากับแจจุงจะไม่เท่าไหร่ แต่กับจุนซู...เรียกได้ว่ากระทบกระทั่งกันทุกครั้งที่เจอหน้า ไม่เคยพูดจากันดีๆเลยสักครั้ง ถ้าไม่ได้อยู่ต่อหน้ายุนโฮล่ะก็

    สาเหตุที่เป็นแบบนั้นน่ะเหรอ? ...คงเป็นเพราะความอิจฉา ฮีชอลถือว่าตัวเองอยู่กับยุนโฮมาตั้งแต่ก่อนที่จะแตกกับยูชอน คิดว่าตัวเองเหนือกว่าทุกคน แต่คนที่มาทีหลังอย่างแจจุงกับจุนซูกลับได้รับความสำคัญจากยุนโฮมากกว่า คนหนึ่งได้เป็นถึงคนรัก อีกคนก็เป็นการ์ดส่วนตัวที่ได้รับสิทธิพิเศษมากมาย แสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมและไว้ใจที่นายใหญ่มีให้ โอกาสที่ฮีชอลอยากได้แต่ไม่เคยได้ ถึงเอาแต่คอยจับผิดจุนซูอยู่ตลอดเวลา

    .

    .

    .

    กว่าแจจุงจะได้สติอีกครั้งก็เย็นแล้ว สัมผัสเย็นๆ บนหน้าผากทำให้ร่างบางต้องยกมือขึ้นไปสำรวจจึงพบว่าสาเหตุของความเย็นนั้นคือผ้าขนหนูชุบน้ำที่ถูกวางไว้ บนโต๊ะข้างเตียงมีกะละมังใบเล็กบรรจุน้ำอยู่ แจจุงหลับตาลงทบทวนเหตุการณ์ก่อนจะหมดสติไป ในช่วงที่ทุกสิ่งทุกอย่างดูเลือนราง จำได้ว่าที่ข้างหูราวกับได้ยินเสียงใครสักคนเรียกชื่อตัวเอง แววเสียงทุ้มต่ำเจือความกังวลที่ไม่คุ้นเคย ทั้งยังรู้สึกเหมือนถูกอุ้มขึ้นจากพื้นกระเบื้องที่เย็นเฉียบกลับมาบนเตียงนุ่ม...ถึงจะไม่อยากเชื่อนัก แต่ในเวลานั้นคงไม่มีใครนอกจากยูชอน

     

    “ยกเลิกนัดแล้วกลับไปที่คฤหาสน์งั้นรึ?” เสียงพูดคุยที่แว่วมาจากด้านข้างเรียกให้แจจุงหันไปมองที่มาของเสียง ยูชอนอาศัยขอบหน้าต่างพิงกายในมือถือโทรศัพท์ไว้แนบหูเพื่อสนทนากับใครบางคน คิ้วโก่งมุ่นเข้าหากันอย่างครุ่นคิด

    “เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นก็ยกเลิกภารกิจไปก่อน ไว้มีอะไรฉันจะบอกอีกที”

    บทสนทนายังคงดำเนินต่อไป ถึงจะไม่ได้ฟังตั้งแต่ตน แต่แจจุงก็จำได้ว่าภารกิจเย็นนี้ของยูชอนมีเป้าหมายอยู่ที่ตระกูลชอง การที่มันถูกยกเลิกถือเป็นเรื่องดี นัยน์ตาคู่งามมองไปรอบๆห้องแต่ก็ไม่พบสิ่งใดที่น่าสนใจ ในที่สุดสายตาก็เลื่อนกลับไปจับจ้องอยู่ที่ร่างสูง

    ชายหนุ่มในเสื้อสีเทาเข้มที่ชายเสื้อปล่อยยาวถึงสะโพกทับกางเกงยีนส์ขายาว ถ้าเทียบกันแล้วการแต่งตัวของอีกฝ่ายออกแนวสบายๆ ดูต่างจากยุนโฮที่จะเป็นทางการอยู่เสมอ น่าแปลกที่เสื้อผ้าธรรมดาเหล่านี้กลับไม่ได้ลดความน่าเกรงขามของผู้นำตระกูลปาร์คลงเลย

    แจจุงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนเมื่อร่างสูงใหญ่ขยับหมุนกายมาที่เตียงหลังวางสายโทรศัพท์ นัยน์ตาของทั้งคู่จึงประสานเข้าด้วยกัน

    “ตื่นแล้วเหรอ?” น้ำเสียงทุ้มไม่อ่อนโยนแต่ก็ไม่เย็นชาอย่างที่เคย นัยน์ตาคู่งามที่เคยเปี่ยมไปด้วยความดื้อดึงและอวดดีวูบหม่นลงไปอย่างเห็นได้ชัด แจจุงไม่ตอบทั้งยังเบี่ยงหน้าหนี ปฏิกิริยาที่เป็นไปโดยอัตโนมัติโดยไม่รู้ตัว

    “ถ้าลุกไม่ไหวก็นอนไปก่อนเถอะ เดี๋ยวจะให้คนมาดู” คนที่ถูกตามมาคงไม่พ้นเป็นชางมินอย่างเคย แต่ที่ทำให้แจจุงแปลกใจคือการที่ร่างสูงดูจะไม่ติดใจกับการต่อต้านของเขาอย่างที่คิด

    ยูชอนลุกเดินพ้นจากห้องไปเหลือเพียงแต่ร่างบางที่นอนเงียบ จนเสียงประตูห้องเปิดอีกครั้งเป็นชางมินตามคาด เด็กหนุ่มยกอะไรบางอย่างมาวางที่โต๊ะข้างเตียงแล้วยกเอากะละมังไปเก็บ นัยน์ตาคู่งามเหลียวมองที่โต๊ะข้างเตียง มีถาดซุปร้อนๆและยาจัดวางอยู่พร้อมสรรพ

    “นายท่านบอกว่าเมื่อเช้าคุณทานไม่ได้เลย ก็เลยสั่งให้แม่บ้านเตรียมซุปไว้ให้แทน” สายตาที่ฉายแววสงสัยคงจะส่งไปถึงอีกคนพอดี ชางมินตอบพลางหย่อนกายลงนั่งตรงพื้นที่ว่างริมเตียงใหญ่ เด็กหนุ่มประคองร่างบางขึ้นพร้อมกับเอาหมอนตั้งหนุนหลัง ก่อนจะหยิบชามซุปมาตั้งท่าจะป้อนให้คนป่วย

    “ฉันกินเองได้”

    “แค่ถือช้อนเองคุณยังไม่ไหวเลย อย่าฝืนดีกว่าครับ” สายตาเด็กหนุ่มแสดงอาการตำหนิอย่างชัดเจน แจจุงได้แต่นึกชังร่างกายที่แสนจะอ่อนแอของตัวเอง แล้วยอมให้ชางมินป้อนแต่โดยดี

    “พอแล้ว” แจจุงดันชามที่มือเด็กหนุ่มออกทั้งที่ยังทานไม่หมด แต่เพราะเห็นว่าร่างบางทานไปได้เกือบครึ่งแล้วชางมินจึงไม่ได้บังคับอีก เพียงแค่หยิบยื่นยาและน้ำให้ ร่างบางรับยาเข้าปากอย่างว่าง่าย

    “หึ ปล่อยให้ฉันตายไปเลยไม่ง่ายกว่าหรือไง”

    เป็นคนป่วยแต่พูดเก่งเหลือเกินนะ คำพูดประชดประชันมาจากร่างสูงที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้อง

    “ซีวอน!” ชางมินเอ่ยเสียงดุ แต่อีกฝ่ายไม่ได้ใส่ใจเลย ดูเหมือนหัวหน้าการ์ดหนุ่มจะไม่อยากให้เพื่อนร่วมงานของตนทำดีกับศัตรูมากเกินไป

    “นายท่านล่ะ?”

    “ลงไปที่ล๊อบบี้ข้างล่างนะ เดี๋ยวก็คงขึ้นมา” ชางมินพูดยังไม่ทันจบประโยคดี คนที่พูดถึงก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง สีหน้ามึนตึงผิดกับตอนก่อนจะลงไปข้างโดยสิ้นเชิง อารมณ์ที่เปลี่ยนไปกะทันหัน แม้แต่สองคนสนิทก็พูดไม่ออก... ยูชอนกำลังโกรธมาก แจจุงเองก็สัมผัสได้ ด้วยสัญชาตญาณร่างบางรู้ทันทีว่ามันเกี่ยวข้องกับเขา!

    “นายท่านครับ!?

    “นี่อะไร!!” น้ำเสียงทุ้มกดลงต่ำขณะที่ขว้างรูปถ่ายปึกหนึ่งใส่หน้าแจจุง รูปถ่ายกระจัดกระจายในอากาศ ขอบกระดาษคมใบหนึ่งบาดแก้มเนียนเป็นรอยยาวจนเลือดซึม แต่ร่างบางไม่ทันสนใจเลย ภาพในรูปถ่ายนั่นต่างหากที่สะกดให้ทุกคนตกตะลึง ซีวอนกับชางมินเข้าใจสาเหตุที่ทำให้เจ้านายของเขาโกรธจัดได้ทันที

    “คือ...” เสียงหวานเอ่ยแล้วก็เงียบไปด้วย จะให้เขาพูดอะไร แก้ตัวแบบไหน ในเมื่อหลักฐานก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า  เขาซะอีกที่คิดไม่ถึง ว่ายุนโฮจะเปิดเผยไพ่ตายของตัวเองง่ายๆแบบนี้

    ...รูปทั้งหมดคือรูปแอบถ่ายของ ปาร์คยูฮวานในสถานพยาบาลห่างไกลความเจริญบนเกาะทางตอนใต้ สถานที่ที่ไม่ควรจะมีใครล่วงรู้นอกจากคนในตระกูลปาร์ค แต่รูปถ่ายทั้งหมดนั่น ถูกส่งมาจากตระกูลชอง!! แค่ยูชอนจะพยายามหักห้ามใจตัวเองไม่ให้เข้าไปขย้ำร่างบางตรงหน้าให้ตายคามือก็แทบแย่แล้ว

    “ซีวอนไปกับฉัน! ชางมิน นายอยู่ดูแลที่นี่ไปก่อน...” ยูชอนพูดจบก็หุนหันออกไปจากห้อง จนซีวอนต้องรีบหยิบคว้าเสื้อโค้ทตัวหนาของนายใหญ่แล้วรีบตามไปแทบจะไม่ทัน ในขณะที่แจจุงได้แต่สับสน

    “ทำไมทำหน้าแบบนั้นละครับ คุณน่าจะดีใจที่ได้รับความสำคัญขนาดนี้...” ชางมินได้แต่ถอนใจ ก่อนจะเก็บถาดอาหารแล้วออกไปจากห้อง แจจุงหยิบเอารูปทีละใบมาเรียงต่อกันจนครบ ริมฝีปากแห้งผากคลี่ยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง

    “สำคัญงั้นรึ...”

    สองปีที่อยู่ด้วยกันมา...นานพอที่จะทำให้แจจุงรู้ว่าเจ้านายของตนเป็นคนยังไง นิสัยแบบไหน ชอบหรือไม่ชอบอะไร เขามั่นใจว่าตัวเองรู้ดีที่สุด นัยน์ตาคู่งามมองปึกรูปที่อยู่ในมือ เขารู้ว่ายุนโฮไม่ได้ใช้รูปถ่ายพวกนี้เพื่อแลกกับตัวเขาอย่างที่คนอื่นเข้าใจหรอก แต่ที่ใช้...ก็เพื่อทำให้ยูชอนเดือดพล่านจนต้องรีบย้ายที่อยู่ให้น้องชายแบบนี้ต่างหาก

    ถ้าคิดจะแลกกันจริงๆ ยุนโฮจะไม่ทำอะไรที่เสียเวลาอย่างการขู่ด้วยรูปถ่ายหรอก แต่จะจับตัวยูฮวานมาตัดนิ้วแล้วส่งให้ยูชอนซะมากกว่า นี่จึงเป็นการยืนยันได้ดีที่สุดว่าชายหนุ่มต้องการเพียงความสะใจที่ได้ปั่นหัวศัตรู และอาจจะรับผลพลอยได้เป็นการได้ตัวเขาคืนไปอีกด้วย

    บางครั้ง...แจจุงก็เกลียดตัวเองที่มองทะลุความคิดของคนรักได้ปรุโปร่งขนาดนี้ คนอย่างชองยุนโฮ หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีเกินกว่าจะยอมก้มหัวขอร้องใคร ทะเยอทะยาน กล้าได้กล้าเสีย และให้ความสำคัญกับตระกูลเหนือสิ่งอื่นใด ความรักดูจะเป็นสิ่งที่ไร้สาระสำหรับนายใหญ่แห่งเขตใต้ด้วยซ้ำ

    แต่แจจุงไม่สนใจหรอก อย่างน้อยยุนโฮก็รักเขาอยู่บ้าง อย่างน้อยเขาก็เป็นคนเดียวที่ยุนโฮยอมให้เป็นคนรัก และไม่ว่าจะเป็นยังไงเขาก็รักยุนโฮอยู่ดี ฉะนั้น...ตราบใดที่เขาไม่ปริปากแพร่งพรายความลับของตระกูลชองออกไป เขาก็ยังสามารถกลับไปอยู่เคียงข้างนายใหญ่แห่งเขตใต้ได้ จะยังเป็นกุหลาบที่งดงามของชองยุนโฮเสมอ...


    To Be Con ....

    Sakura's Talk :: กลับมารายงานตัวค่า ตอนนี้บ้านพลอยน้ำยังไม่ท่วมนะคะ (แม้จะยังตุ่มๆต่อมๆอยู่ก็ตาม)  แต่มหาลัยกำลังจะจมน้ำ เหอๆ ได้ปิดเทอมเพิ่มจนมีเวลามานั่งปั่นฟิคแบบนี้ 55555

    มาพูดถึงฟิค คือพลอยแก้ไขรายละเอียดไปมาแล้วมันขัดกันเองก็เลยรีไรท์ใหม่ ขออภัยสำหรับความสับสนนะคะ คิดว่าตอนนี้คงจะเริ่มได้รายละเอียดอะไรมากขึ้นแล้ว แต่ตอนนี้อ่านแล้ว อาจจะยังงงๆอยู่บ้าง แต่ทุกอย่างจะเริ่มชัดเจนในตอนถัดๆไปคะ^^

    เนื่องจากอยากตอบคำถาม...ขอเป็นรายบุคคลเลยละกันฮับ :)

    ricbird >> ตอนเห็นคอมเม้นต์ ricbird พลอยก็มีความสุขเหมือนกันค่า มีกำลังใจเขียนขึ้นเยอะเลย(แม้จะพ่ายแพ้กับความขี้เกียจบ่อยๆก็ตาม 555) ^^ หวังว่าน้ำจะไม่ท่วมมากนะคะ ของพลอยยังไม่ค่อยแน่นอนเท่าไหร่ อ่อ... อยากบอกว่าเรื่องยุนแจ เข้าใจได้ถูกต้องตามนั้นเลยคะ ><

    Angle' wings >> ความจริงเมื่อคืนหนูยังไม่ได้เริ่มรีไรท์เลย แต่พอจะปิดคอมดันเปิดมาเจอเม้นต์พี่ซะก่อน ก็เลยบ้าจี้รีไรท์ใหม่จนเกือบจะเสร็จ...ผลจึงได้มาลงเอาคืนนี้คะ ^^

    shamus >>แต่ทั้งวอนมิน ทั้งโฮซูดูยังไม่ไปไหน ความจริงจุนจังอาจจะชอบยุนอยู่แล้วก็ได้เนอะ” >> คิดเองเออเอง...ก็อาจจะเป็นจริงได้นะคะ อ่านจากตอนนี้น่าจะเห็นอะไรบ้างแล้วเนอะ ติดตามกันต่อไปค่า เพียงแต่มันอาจจะเป็นการชอบที่มีจุดประสงค์อยู่สักหน่อย^^

    Linniejj >> เพราะที่บ้านเค้าน้ำท่วมแต่เค้าก็ยังรออ่านเรื่องนี้เลยอ่ะ” เพราะเห็นเม้นต์นี้ พลอยเลยรีบปั่นอย่างว่องเลยฮับ แม้หลังจากนี้จะเริ่มดองอีกก็เถอะ 5555

    Be_lieve >> จำศัตรูคนนี้ไว้ให้ดีนะ เพราะเขาจะกลับมาอย่างแน่นอน คึๆๆๆๆ

    ถึงทุกคนที่ไม่ได้เอ่ยชื่อ >> ขอโทษที่อาจจะไม่ได้เอ่ยครบทุกคนนะคะ แต่พลอยจำคนอ่านได้เกือบทุกคน (ยกเว้นนักอ่านที่ไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้เลย 5555) ขอบคุณที่ยังติดตามอ่าน ฟิคดองเค็มเรื่องนี้นะคะ มีคำถามทิ้งเอาไว้ได้เสมอค่า แล้วก็ทวงๆจิกๆบ่อย ความรู้สึกผิดจะนำมาซึ่งฟิคตอนต่อไปค่า

     

    ปล. พลอยวางแผนว่าจะกลับไปปั่น Revenge ตอนจบก่อนค่อยมาเขียน FF ตอนต่อไป อย่างไรก็ตามทุกสิ่งไม่แน่นอนเหมือนสายน้ำ เจอกันครั้งที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่นะคะ ^^


    -b g--s b- + + ไม้กาง เขน B G

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×