คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : The 1st question | ☆ Star's Letter #1 First Meet
Title : DEAR J - The 1st question : Star’s Letter # 1 First Meet
Author : Sakura_JJ
Genre : Romantic Drama
Pairing : Park Yuchun x Kim Jaejoong
- D E A R . J -
ห้องรับรองที่เคยโล่งกว้างกลับดูเล็กลงไปถนัดตาเมื่อภายในห้องเต็มไปด้วยนักข่าว เก้าอี้ที่วางเรียงติดกันเหมือนอยู่ในงานสัมมนาไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับการทำงาน แม้จะเป็นสถานการณ์ที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน แต่อุปกรณ์จดบันทึก ทั้งเสียงและภาพก็ถูกจัดไว้พร้อมในระยะเวลาสั้นๆ เสียงปลายนิ้วพรมลงบนแป้นพิมพ์โน้ตบุ๊กของนักข่าวหลายสำนักดังคลอไปกับบทสนทนาถึงคำถามที่จะสัมภาษณ์
เสียงพูดคุยเบาลงเมื่อยูชอนก้าวเข้ามาในห้อง นักแสดงหนุ่มเดินตรงไปยังเวทียกระดับที่จัดไว้เหมือนกับอยู่ในห้องรับแขก ยูชอนนั่งลงบนโซฟาผ้ากำมะหยี่สีเทาตัวยาวที่ตั้งอยู่กึ่งกลาง ขณะที่จุนซูถอยไปยืนอยู่ข้างหลัง ก่อนผู้ที่เดินออกมาจากม่านหลังเวทีทั้งสองคนจะทำนักข่าวอึ้งไปตามๆ กัน เสียงซุบซิบดังขึ้นมาอีกระลอก พร้อมทั้งสายตาที่จ้องมองไปยังผู้มาใหม่ที่แยกกันไปนั่งบนเก้าอี้ที่ยังว่าง
คนที่อยู่ขวามือของยูชอนคือ ‘ชิมชางมิน’ ชายหนุ่มเจ้าของส่วนสูงหนึ่งร้อยแปดสิบสองเซนติเมตร ใบหน้าที่จัดว่าดูดีเกินมาตรฐานทำให้ถูกเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ ว่าเป็นนายแบบมากกว่าจะเป็นผู้จัดการดารา แม้จะมีแมวมองชักชวนให้เข้าวงการสักกี่ครั้ง ชางมินก็ไม่เคยสนใจ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีเพียงสิ่งเดียวที่ชางมินเลือกจะเป็นคือผู้จัดการของคิมแจจุง เทียบกับจุนซูแล้วชางมินค่อนข้างจะเป็นที่รักของพวกนักข่าวมากกว่า แม้จะเด็ดขาดไม่ต่างกัน แต่วิธีการพูดละมุนละม่อมกว่าเยอะ แต่นั่นก็ก่อนจะเกิดเรื่องกับแจจุง…
ยูชอนหันมาหาคนซ้ายมือที่กำลังจดจ่อกับใบสคริปต์ เมื่อคนถูกมองรู้ตัวก็ส่งรอยยิ้มที่ดูผ่อนคลายมาให้ ไม่ว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายก็ยังเป็นน้องชายที่แสนดีเสมอ ยูชอนรู้สึกขอบคุณจริงๆ ที่คยูฮยอนยอมมาทำหน้าที่เป็นพิธีกรให้ ทั้งที่ตอนแรกคัดค้านสุดตัว
นอกจากฐานะเพื่อนสนิทของชางมินที่คนในสายอาชีพเดียวกันยังน้อยคนจะรู้ คยูฮยอนเคยเป็นนักข่าวบันเทิงของสถานีโทรทัศน์ที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ยูชอนพนันได้เลยว่านักข่าวทุกคนในห้องนี้ต้องรู้จักดี ต่อให้เป็นมือใหม่ ไม่รู้จักหน้าก็ยังต้องเคยได้ยินชื่อ แต่หลังจากการประกาศลาออกเมื่อหลายปีก่อนด้วยปัญหาส่วนตัว คยูฮยอนไม่เคยแตะงานหน้ากล้องที่เจ้าตัวรักอีกเลย รับแต่งานเบื้องหลังบ้างเป็นครั้งคราวไป โดยที่ไม่มีใครรู้เหตุผล ดังนั้นการที่เห็นคยูฮยอนปรากฏตัว ทั้งยังรับหน้าที่สัมภาษณ์เขาจึงเป็นเรื่องน่าแปลกมากทีเดียว
แม้จะเป็นการสัมภาษณ์ แต่ไม่ใช่นักข่าวทุกคนจะมีสิทธิถาม ด้วยเหตุผลที่ยูชอนไม่ต้องการให้คำพูดถูกตีความผิดๆ อย่างที่เคยเป็น การสัมภาษณ์ครั้งนี้จึงมีข้อตกลงเล็กๆ ที่คยูฮยอนกำลังอธิบายให้นักข่าวในห้องฟัง คำถามส่วนใหญ่จะถูกไกด์นำโดยคยูฮยอน อนุญาตให้นักข่าวยกมือถามเพิ่มเติมได้เฉพาะในเรื่องนั้นๆ ที่เป็นประเด็นเดียวกัน และเมื่อทำข้อตกลงกันเสร็จเรียบร้อย การสัมภาษณ์จึงเริ่มต้นขึ้น
“บางคนในห้องนี้อาจจะรู้กันมาบ้างแล้วนะครับ แต่บางคนอาจจะไม่เคยรู้เลย รบกวนคุณยูชอนช่วยเล่าให้ฟังได้ไหมครับว่าพวกคุณพบกันได้ยังไง ตอนเจอกันรู้สึกยังไงบ้าง” คำถามแบบเป็นทางการจากคนที่สวมวิญญาณพิธีกรเต็มตัวทำเอาคนที่ไม่ชินเกือบหลุดขำ แต่ยูชอนก็ดึงตัวเองกลับมาได้เร็วพอๆ กับชางมินที่ตีสีหน้านิ่ง แม้จะขยับปากนินทาเพื่อนสนิทแบบไม่มีเสียงอยู่คนเดียว
รอยยิ้มบางเบาที่เต็มไปด้วยความสุขปรากฏขึ้นเมื่อนึกถึงคำตอบ เรื่องบางอย่างอาจถูกหลงลืมไปตามกาลเวลา แต่กับเรื่องนี้ ทุกอย่างยังคงชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ...มันเป็นวันที่อากาศค่อนข้างเย็น ลมพัดแรง ใบไม้กำลังเปลี่ยนสี แต่ไม่มีอะไรโรแมนติกอย่างที่ใครๆ เคยจินตนาการไว้ พวกเขาเจอกันครั้งแรกบนเครื่องบินไปเกาะเชจู สภาพที่เพิ่งตื่นนอนของตัวเองทำให้มันน่าอับอายอยู่บ้าง แต่วินาทีที่สบตากับดวงตาสงบนิ่งคู่นั้น ยูชอนรู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ใต้มนตร์สะกด รอยยิ้มเก้อเขินของคนแปลกหน้าที่พยายามทักทายทำให้เขาเผลอยิ้มตอบไปโดยไม่รู้ตัว ณ เวลานั้น ยูชอนไม่เคยรู้เลยว่าการพบกันบนเครื่องบินลำนั้น จะกลายเป็นเรื่องที่พิเศษที่สุดในชีวิตของเขา
___________________________________________DEAR J___________________________________________
The 1st question | #1 Star's Letter
พฤศจิกายน, 2004
ย่างเข้าเดือนพฤศจิกายน อุณหภูมิเริ่มลดต่ำลง แม้จะยังไม่ถึงกับติดลบแต่ก็ทำเอาคนที่ย้ายมาจากเมืองที่อากาศอบอุ่นตลอดทั้งปีเอาแต่ซุกตัวอยู่ในผ้านวมอุ่น ไม่ยอมตื่นแม้นาฬิกาปลุกจะส่งเสียงดังลั่นไปถึงนอกห้องเป็นครั้งที่สิบแล้วก็ตาม จุนซูที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องส่ายหน้าอย่างเอือมระอาแทนเพื่อนร่วมคอนโดของเจ้าของห้อง ก่อนจะเปิดเข้าไปด้วยกุญแจสำรอง ผู้จัดการหนุ่มตรงดิ่งไปยังห้องนอนที่อยู่ด้านในสุด มือซ้ายกดปิดนาฬิกาปลุกบนหัวเตียง ขณะที่มือขวากระชากผ้าห่มออกทันทีที่เห็นเป้าหมายนอนขดตัวอยู่ แต่คนบนเตียงยังไม่สะทกสะท้าน แถมยังพลิกตัวหันหลังหนีไปอีกทางซะอีก จุนซูไม่มีเวลาแม้แต่จะหัวเสียเมื่อมองเห็นเข็มยาวค้างอยู่ที่เลขสิบในขณะที่เข็มสั้นจวนเจียนจะแตะเลขห้าเต็มทน
“ยูชอน! ตื่น!! เดี๋ยวนี้!!” เสียงตะโกนข้างหูที่ดังกว่านาฬิกาปลุกสิบเท่าทำคนบนเตียงสะดุ้งสุดตัว นี่ถ้าไม่เกรงใจว่ามันต้องใช้ร่างกายทำงานนะ จุนซูคงได้ใช้ขาถีบคนตื่นยากตกเตียงเป็นออฟชั่นเสริมแล้ว ...มีอย่างที่ไหน รับปากเสียดิบดีว่า ตีห้าไปเจอกันที่สนามบิน แต่อีกสิบนาทีจะตีห้ามันยังไม่ตื่นจากฝันเลย ผู้จัดการลีที่เขาส่งมาให้ดูแลยูชอนแทนชั่วคราวนี่ก็เหลือเกิน ไว้ใจเจ้าเด็กอิมพอร์ตนี่ได้ที่ไหน จ้างล้านไม่เอาสักวอนเดียว ยูชอนมันไม่มีทางตื่นได้ด้วยตัวเองหรอก ถ้าเขาทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วตรงกลับบ้านไปนอนโดยไม่ฉุกใจโทรถามตารางงานของยูชอน มีหวังได้ชวดงานใหญ่ไปแน่ๆ
“ไง จุนซูกลับมาแล้วเหรอ” คนเพิ่งตื่นยิ้มโง่ๆ ทักผู้จัดการส่วนตัวที่หายหน้าไปหลายวันด้วยน้ำเสียงงัวเงียอย่างไม่รู้หนาวรู้ร้อน
ไง พ่องสิ...
จุนซูคงจะคุยด้วยอยู่หรอกถ้าไม่ใช่ว่าพวกเขาจะต้องไปถึงสนามบินให้ทันก่อนเครื่องบินจะออกตอนหกโมงสิบห้า เวลาจะด่ามันยังไม่มีเลย ผู้จัดการขาโหดลากคนที่ยังตื่นไม่เต็มตายัดเข้าไปในห้องน้ำโยนผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าตามเข้าไป สั่งเสียงหนักแน่นกำชับให้อาบน้ำแต่งตัวให้เสร็จภายในห้านาที ยูชอนที่ยังไม่รู้สึกตัวดีก็ได้แต่ขยับตัวไปตามสัญชาตญาณ เสียงบ่นที่ดังแว่วมาถูกกลบด้วยเสียงน้ำจากฝักบัว
ยูชอนเดินออกจากห้องน้ำพร้อมกับใช้ผ้าขนหนูขยี้ผมของตัวเองให้แห้งพอหมาดๆ ก่อนจะโยนผ้าผืนนั้นลงไปในตะกร้าผ้าใช้แล้ว ชายหนุ่มดึงฮู้ดของเสื้อสเวตเตอร์สีเทาขึ้นมาคลุมศีรษะที่ยังไม่แห้งดี ก่อนจะสวมแจ็คเก็ตยีนส์สีอ่อนทับ สายตาเหลือบมองไปทางคนที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและผู้จัดการส่วนตัวอย่างกล้าๆ กลัวๆ คือพอน้ำสัมผัสใบหน้า ยูชอนเลยเพิ่งตื่นเต็มตา บอกเลยว่าเห็นนาฬิกาแล้วแทบช็อก ที่ยืนเงียบกริบมองจุนซูที่คุยโทรศัพท์โดยไม่พูดอะไรนี่คือรู้ว่าเปิดปากพูดเมื่อไหร่ได้โดนเทศนายาวแน่ เลยอาศัยทำตัวเงียบๆ เข้าว่าเผื่อจะปลอดภัย เพราะดูจากเวลาตอนนี้ยังไงก็ไม่น่าจะไปขึ้นเครื่องทันอยู่ดี แต่ดูเหมือนจุนซูจะไม่คิดแบบนั้น
“ไปขึ้นรถ” ผู้จัดการหนุ่มสั่งก่อนจะคว้ากุญแจรถแล้วเดินนำออกไปก่อน ไม่ยอมเสียเวลารอคนยืนอึ้งอีกแม้แต่นาทีเดียว ยูชอนตั้งสติได้ก็รีบกวาดของสำคัญอย่างกระเป๋าตังค์ มือถือ กุญแจห้อง หูฟัง ลงใส่กระเป๋าสะพายใบโปรดรวดเดียว พอล็อคห้องได้ก็รีบวิ่งตาม ยูชอนไม่รู้ว่าเสียงวิ่งตึงตังบนทางเดินของเขาจะปลุกใครขึ้นมาบ้างหรือเปล่า แต่ไว้ค่อยกลับมาโดนด่าทีหลังก็ยังไม่สายไง คือนาทีนี้ถ้าตามจุนซูไปไม่ทัน เขาตายแน่
สิบนาทีหลังจากนั้น...
ยูชอนเริ่มคิดว่าควรจะอยู่รอรับคำด่าทอจากเพื่อนร่วมคอนโดน่าจะดีกว่ามานั่งตัวเกร็งจนลืมหายใจในพาหนะสี่ล้อที่คุณผู้จัดการเหยียบคันเร่งมิด เข็มไมล์ความเร็วที่เลื่อนขึ้นเรื่อยๆ ดูน่ากลัวจนเขารู้สึกเหมือนนั่งไม่ติดเบาะ ทั้งที่เข็มขัดนิรภัยก็ยังทำหน้าที่ของมันได้ดี แต่พอจะเอ่ยปากเตือน หรือพูดอะไรสักอย่างก็มีสายตาดุๆ ตวัดมองมาอย่างรู้ทัน ยูชอนเลยได้แต่เก็บปากเงียบ ก็รู้ตัวว่าตัวเองผิดนะ แต่จุนซูมันจำเป็นต้องเสี่ยงตายเหยียบร้อยแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงเพื่อพาเขาไปให้ทันขึ้นเครื่องด้วยเหรอวะ
“อ่านไปสิ” จุนซูเหมือนจะรู้ว่าโดนนินทาอยู่ในใจ ถึงได้เหลือบมองบทภาพยนตร์ที่ยูชอนถือค้างไว้ให้รู้ตัว คนมีชนักติดหลังเลยได้แต่ก้มหน้าก้มตาอ่านไปเงียบๆ แต่ทำได้อยู่พักเดียวก็กลับมานั่งเหม่อ ใช่ว่าจะต่อต้านอะไรหรอกนะ แต่เขาอ่านและซ้อมบทมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งจนจำได้ทุกตัวอักษร ให้เล่นเป็นสองตัวละครโต้ตอบกันยังทำได้เลย
แต่เอาจริงๆ ยูชอนก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคุณผู้กำกับคนดัง เจ้าของบทภาพยนตร์ที่อยู่ในมือ ถึงต้องเรียกให้นักแสดงถ่อไปแคสติ้งไกลถึงเกาะเชจู ถึงจะมีพรายกระซิบบอกมาว่าโลเคชั่นเกินครึ่งของหนังจะถ่ายทำที่เกาะนั่นก็เถอะ แต่ยูชอนก็ยังไม่เห็นเหตุผลที่หนักแน่นพออยู่ดี ก็ใช่ว่าพอแคสติ้งผ่านแล้วจะเริ่มถ่ายทำเลยซะที่ไหน กว่าจะผ่านขั้นตอนนู้นนี่นั่น ถ้าเปิดกล้องได้ก่อนสิ้นเดือน ยูชอนก็คิดว่าเร็วมากแล้ว
แต่เอาเถอะ นักแสดงตัวประกอบต๊อกต๋อยอย่างเขามีสิทธิ์บ่นได้ที่ไหน คิดมากไปก็เท่านั้น ยังไงค่าเครื่องบินต้นสังกัดก็จ่าย (...แต่ถ้าตกเครื่องรอบนี้ จุนซูมันคงให้ท่านประธานหักจากค่าตัวเขาร้อยเปอร์เซ็นต์) แล้วถ้ามาพูดถึงตัวหนังกันจริงๆ ต่อให้ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้กำกับ ด้วยตัวเนื้อหาแล้วมันก็ยังน่าสนใจมากอยู่ดี
ยูชอนลากปลายนิ้วผ่านตัวอักษรพิมพ์ด้วยหมึกสีทองเป็นภาษาอังกฤษว่า Star’s Letter ขนาดตัวอักษรใหญ่กินพื้นที่เกินครึ่งของปกบทภาพยนตร์ มุมล่างมีตัวอักษรเล็กๆ เป็นชื่อของผู้กำกับเจ้าของฉายาเจ้าพ่อหนังสายโรแมนติกคอมเมดี แต่บทของภาพยนตร์เรื่องนี้กลับแตกต่างไปจากผลงานที่ผ่านๆ มา หนังไม่ได้พูดถึงความรักของคนหนุ่มสาว แม้จะมีชื่อเรื่องที่ฟังดูหวานเหมือนหนังรักทั่วไป แต่ Star’s Letter กลับบอกเล่าถึงความรักในแง่มุมของมิตรภาพระหว่างเพื่อน
“... ‘ฮันบยอล’ กับ ‘คังฮานึล’ เด็กหนุ่มสองคนที่เติบโตมาด้วยกันบนเกาะเชจู ด้วยฐานะทางบ้านที่ยากจน หลังเลิกเรียนเด็กๆ ต้องทำงานทุกอย่างที่พอทำได้เพื่อความอยู่รอด ปัจจัยหลายอย่างบังคับให้เด็กหนุ่มต้องใช้ชีวิตอยู่กับการต่อสู้ดิ้นรน แต่ไม่อาจขวางกั้นความฝันที่อยากจะเป็นดั่งดวงดาวในจอโทรทัศน์ที่เคยได้แต่ยืนมองอยู่ห่างๆ จากร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ความรู้สึกนั้นไม่เคยจางหายไปจากใจของ ‘ฮันบยอล’ แม้จะเป็นฝันที่ห่างไกลจนสุดเอื้อมมือ
เด็กหนุ่มสองคนเริ่มหาเงินจากการร้องเพลงข้างถนนในย่านท่องเที่ยวของเกาะ แม้จะต้องเสี่ยงกับการถูกไล่ตีไล่ที่เพราะยืนบังหน้าร้านค้าหรือรบกวนนักท่องเที่ยว แต่ไม่นานทั้งสองคนก็มีเงินพอจะเดินทางเข้าโซล จนได้เข้าร่วมการแข่งขันค้นหานักร้องหน้าใหม่ ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี ถ้าบยอลจะไม่บังเอิญไปเห็นโฉมหน้าของฆาตกรต่อเนื่องที่กำลังเป็นข่าวดัง โชคดีที่ฮานึลปรากฎตัวทันก่อนบยอลจะถูกฆ่า
หากฝันร้ายไม่ได้จบง่ายๆ เพียงแค่ลืมตาตื่น บยอลถูกคนร้ายตามล่า แม้จะพากันหนีกลับมาที่เกาะเชจูแล้วก็ยังถูกไล่ตามไปจนสุดขอบผา ความกลัวจนถึงขีดสุดเปลี่ยนเป็นความกล้าเผชิญหน้า แต่สุดท้ายกลับจบลงด้วยความสูญเสีย ฮานึลพลัดตกหน้าผาไปพร้อมกับคนร้าย ทิ้งบยอลไว้เพียงลำพังกับความฝันที่แม้จะกลายเป็นจริง แต่บยอลกลับไม่เคยมีความสุขอีกเลย…”
ถ้าดูจากเนื้อเรื่องจะเห็นว่าบทของ ‘บยอล’ เด่นกว่า แต่เขากลับประทับใจบทของ ‘ฮานึล’ ท้องฟ้าผู้เสียสละมากกว่า ตามเนื้อเรื่อง ฮานึลจะเป็นเด็กเงียบๆ ไม่ค่อยพูดจา ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร การสูญเสียครอบครัวทั้งหมดไปตั้งแต่ยังเด็กๆ กลายเป็นบาดแผลที่ทำให้ฮานึลปิดกั้นตัวเองจากคนอื่น เด็กหนุ่มเติบโตมาอย่างไร้จุดมุ่งหมาย ไม่มีความฝัน ไม่มีแม้แต่แรงบันดาลใจในการมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อรู้จักกับบยอล...ฮานึลก็เปลี่ยนไป ความสดใส ร่าเริง และมองโลกในแง่ดีของบยอลเป็นเหมือนดวงดาวที่คอยส่องแสงมายังโลกสีเทาของฮานึล ความฝันของบยอลกลายมาเป็นความฝันของฮานึลด้วยเช่นกัน แม้ว่าตอนจบจะค่อนข้างสะเทือนใจ แต่การเสียสละของฮานึลจะต้องตราตรึงในใจของทุกคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้
ยูชอนไม่รู้ว่าที่เขาประทับใจเป็นพิเศษ เพราะเขามองเห็นตัวเองในตัว ‘ฮานึล’ หรือเปล่า
หลังจากบิดามารดาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตตอนเขาอายุสิบห้า ยูชอนก็เหลือแค่พี่สาวคนเดียวที่แต่งงานกับหนุ่มอเมริกันแล้วย้ายไปอยู่ลอสแอนเจลิส พี่เขยเพิ่งเริ่มทำธุรกิจของครอบครัว ในขณะที่พี่สาวเพิ่งคลอดลูกชายคนแรก ยูชอนไม่อยากเป็นภาระให้ครอบครัวพี่สาว หลังจัดการเรื่องงานศพเสร็จ เขาตัดสินใจเดินทางจากอเมริกากลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่เกาหลี ประเทศบ้านเกิดของมารดา ทั้งที่พูดไม่ได้สักคำ แม้จะพอฟังออกบ้างก็ตาม
โชคดีที่ยูชอนบังเอิญเจอจุนซูที่เข้ามาทักตอนกำลังเดินวนหารถบัสเข้าเมือง ภาษาอังกฤษของจุนซูทำให้การเดินทางของยูชอนเริ่มต้นได้ดีกว่าที่คาดไว้ และเมื่อจุนซูรู้ว่ายูชอนมาเกาหลีแบบไม่ได้วางแผนชีวิต ไม่ได้คิดว่าจะมาแล้วจะเรียนต่อ หรือทำงานอะไร จุนซูเลยชวนให้เขามาทำงานด้วย ยูชอนก็เพิ่งได้รู้ตอนนั้นเองว่าเพื่อนคนแรกในเกาหลีของเขาเป็นทายาทของเอเจนซี่ดูแลนักแสดง แถมยังเรียนไป ทำงานในบริษัทของพ่อตัวเองไปอีกต่างหาก ก็ไม่รู้ว่าเผลอตอบตกลงไปตอนไหน แต่สรุปว่า...ยูชอนก็ได้งานในวงการบันเทิงมาแบบงงๆ อย่างนี้แหละ
ปีนี้เขาอายุสิบแปด จากวันนั้นก็สามปีแล้ว ยูชอนเล่นละครมาสี่หรือห้าเรื่อง แต่ก็เป็นบทรองๆ ที่ไม่โดดเด่น ไม่เป็นที่จดจำมากนัก เทียบกันแล้ว งานเดินแบบ หรือถ่ายนิตยสารแฟชั่นยังทำเงินให้มากกว่า จุนซูพูดเสมอว่าเขาไม่ได้แสดงแย่อะไร แต่เหมือนไม่มีแรงบันดาลใจ ตัวละครที่แสดงเลยเหมือนหุ่นยนต์ที่มีความรู้สึก ยูชอนไม่ได้เถียงกลับเพราะมันเป็นเรื่องจริง ถามว่าอยากเป็นนักแสดงไหม...ยูชอนก็เฉยๆ ถามว่าถ้าไม่ใช่นักแสดงแล้วอยากเป็นอะไร...ยูชอนยิ่งไม่มีคำตอบให้ เขาก็เหมือนกับฮานึลนั่นแหละ แค่ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ ไม่มีความฝันเป็นรูปเป็นร่าง ถ้าจะมีอะไรที่แตกต่าง ก็คงเป็นเพื่อนแบบ ‘บยอล’
...ยูชอนไม่เคยเจอใครสักคนที่จะเป็นดวงดาวให้เขาแบบนั้น
ตั้งแต่ตอนที่อยู่เวอร์จิเนีย ยูชอนก็ไม่ได้มีเพื่อนสนิทที่จะคุยกันได้ทุกเรื่อง มีก็แต่เพื่อนร่วมชั้นที่เจอหน้าทักทายกันแล้วก็จบแค่นั้น พอมาเกาหลีถึงจะมีจุนซูเป็นเพื่อนสนิท แต่มันก็ไม่ได้เป็นแรงบันดาลใจให้เขาหรอก ถ้าจะให้อธิบายชัดๆ ยูชอนรู้สึกเคารพมันมากกว่า ทั้งที่อายุเท่ากันแต่จุนซูเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเยอะ มีวุฒิภาวะ และความเป็นผู้นำสูง อาจเพราะเอเจนซี่ดูแลนักแสดงของท่านประธานคิม พ่อของจุนซูไม่ใช่เอเจนซี่ที่ใหญ่หรือมีชื่อเสียงอะไร นักแสดงในสังกัดมีไม่มาก บางเรื่องที่ไม่จำเป็นก็ไม่อยากจ้างคน ทำเองได้ก็ทำ เวลาเห็นจุนซูมันไปติดต่อคนนู้นคนนี้ ต้องก้มหัวของานจากให้พวกคนดังๆ บางทียูชอนก็อยากดังให้จุนซูมันไปอวดกับคนอื่นได้บ้างเหมือนกัน
แต่ไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้หรอกนะที่จุนซูอยากให้เขาไปแคสติ้งหนังเรื่องนี้ให้ได้น่ะ เพราะมันเองก็ไม่ได้คิดว่าหนังจะดังด้วยซ้ำถึงจะเป็นผลงานของผู้กำกับมีชื่อ หากแนวเรื่องที่ไม่ใช่งานถนัด ไม่เคยทำมาก่อน ใครจะคาดเดาอะไรได้ แต่จุนซูก็แค่หวังว่า ถ้าได้แสดงในบทบาทที่คล้ายคลึงกับตัวเองจะทำให้ยูชอนรู้สึกรักการแสดงขึ้นมาบ้าง อย่าให้ต้องพูดถึงเลยว่าคุณเพื่อนสนิทควบตำแหน่งผู้จัดการของเขามันเอาจริงเอาจังขนาดไหน
ปกติจากคอนโดเดินทางมาสนามบินใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ แต่วันนี้พวกเขาใช้เวลาแค่สี่สิบนาทีเท่านั้น พอเข้ามาในอาคารผู้โดยสาร ยูชอนก็เห็นคุณลีผู้จัดการชั่วคราวกับทีมงานอีกสองคนที่ยืนรออยู่อย่างกระวนกระวายทำหน้าดีใจสุดขีด ตอนแรกเขานึกว่าจุนซูจะมาส่งเฉยๆ แล้วก็กลับไปพัก ที่ไหนได้มันจะตามไปคุมเขาถึงเกาะเชจูด้วยเลยต่างหาก ไอ้ที่เห็นคุยโทรศัพท์ก่อนจะออกจากคอนโด นี่คือสั่งให้ผู้จัดการลีจองบัตรโดยสารกับเช็คอินให้ โอเค...ยูชอนว่ายังไงก็คงหนีการเทศนาของคุณเพื่อนสนิทไม่พ้นแล้ว
ยี่สิบนาทีก่อนเครื่องออก ยูชอนใช้เวลาไปกับการวิ่งแบบที่มีเสียงประกาศเรียกคลอกับเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้น ก็ยังโชคดีที่มาทันก่อนเกทจะปิด เขากับจุนซูเป็นผู้โดยสารสองคนสุดท้าย ที่นั่งของยูชอนกับจุนซูอยู่คนละตำแหน่ง ที่นั่งของจุนซูอยู่แถวแรกติดกับห้องนั่งบินเลยถึงก่อน ส่วนที่นั่งของยูชอนยังต้องเดินไปอีกเจ็ดแถว เป็นแถวสุดท้ายของโซน พอดีจำนวนผู้โดยสารบนเครื่องดูจะหนาแน่นจนแทบไม่มีที่นั่งว่างทั้งที่เป็นไฟล์ทเช้าตรู่ ยูชอนไม่รู้ว่าปกติคนแน่นแบบนี้อยู่แล้วหรือเปล่าเพราะเขาก็ไม่เคยบินไปเชจูในช่วงเวลานี้
ที่นั่งของยูชอนอยู่ฝั่งซ้ายของเครื่องบินติดหน้าต่าง แต่พอยูชอนเดินมาถึงกลับมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว เขาเลยก้มดูบัตรโดยสารของตัวเองเช็คอีกรอบให้แน่ใจว่าถูกแถว เพราะยูชอนจำได้ว่าที่นั่งของเขาอยู่ติดหน้าต่าง แต่เสียงสุภาพของเด็กหนุ่มที่นั่งตรงนั้นก็พูดขึ้นมาซะก่อน
“ขอโทษครับ” ยูชอนเงยหน้าขึ้นสบตากับคนเรียก รอยยิ้มเก้อเขินของคนแปลกหน้าพยายามทักทายแล้วรีบลุกขึ้นทำเหมือนจะเปลี่ยนให้เขาเข้าไปนั่งที่ของตัวเอง ยูชอนไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป แต่คงไม่ค่อยดีแน่ๆ อีกฝ่ายถึงยืนเก้ๆ กังๆ ทำตัวไม่ถูกเหมือนไม่รู้ว่าจะนั่งที่เดิมต่อดี หรือจะขยับมานั่งที่ตัวเองดี
“ไม่เป็นไรครับ ผมนั่งตรงไหนก็ได้” ยูชอนรีบยิ้มตอบแล้วนั่งลง เมื่อรู้ตัวว่าเผลอจ้องอีกฝ่ายนานเกินไป นี่ยังไม่รวมสีหน้าเฉยชาของเขาที่มักทำคนอื่นเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ ปกติยูชอนไม่ใส่ใจหรอกนะ แต่พอเห็นอีกคนหน้าเสีย เขาก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมา อยากจะขอโทษก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นบทภาพยนตร์ที่มีหน้าตาเหมือนเล่มที่เขามีอยู่ในกระเป๋า
“มาแคสเหมือนกันเหรอครับ” เด็กหนุ่มข้างหน้าต่างหันมามองอย่างแปลกใจ ปลายนิ้วชี้เข้าหาตัวเองเหมือนจะถามให้แน่ใจว่ายูชอนพูดกับตัวเขาใช่หรือเปล่า ยูชอนเลยเปิดกระเป๋าหยิบบทภาพยนตร์ขึ้นมาโชว์ให้อีกคนดู ก่อนจะแนะนำตัวเองพร้อมกับยื่นมือไปให้จับ ยิ้มกว้างๆ พยายามให้ดูเป็นมิตรมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“...ยูชอนครับ”
ยูชอนยอมรับว่าที่กำลังทำอยู่นี่เหมือนไม่ใช่ตัวเองเลย ไอ้การที่อยู่ๆ ก็ชวนคนแปลกหน้าคุยก่อนแบบนี้ ถ้าจุนซูมาเห็นคงได้ขยี้ตาแล้วหยิกแก้มตัวเองเพราะนึกว่าฝันไปแน่ๆ อันที่จริงอย่าว่าแต่จุนซูเลย ยูชอนก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน แต่พอได้ยินน้ำเสียงสุภาพที่ฟังดูอบอุ่นตอบกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มสดใส ยูชอนก็เลิกสนใจจะหาเหตุผล
“แจจุงครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”
รอยยิ้มน่ารักของอีกคนทำให้ยูชอนหลุดยิ้มตามอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ หลังจากการแนะนำตัว แจจุงก็ดูไม่ประหม่าเหมือนเมื่อครู่แถมยังกลายเป็นฝ่ายชวนยูชอนคุยซะเอง แจจุงเป็นนักแสดงอิสระไม่มีสังกัด ถึงจะทำงานในวงการมาได้สักสองปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร การไม่มีบริษัทหนุนหลังทำให้การหางานเป็นเรื่องยาก ยูชอนก็เพิ่งรู้ว่าการไม่มีต้นสังกัด แม้จะทำงานได้อิสระ แต่ก็ลำบากเอาเรื่อง
“ยูชอนมาคนเดียวเหรอครับ” ยูชอนส่ายหน้าแล้วชี้ไปยังแถวหน้าสุดตรงผมสีแดงไวน์ของจุนซูที่โผล่มาให้เห็นอยู่ลิบๆ แจจุงเลยชี้ให้ยูชอนมองไปทางฝั่งขวาแถวหน้าที่อยู่เยื้องๆ กัน ซึ่งมีเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอีกคนที่นั่งก้มหน้าก้มตาจดบันทึกอะไรสักอย่างไม่เงยหน้าขึ้นมาเลย
“ไฟล์ทเช้าขนาดนี้ คนไม่น่าเยอะเลยนะ” พูดเหมือนเสียดาย แต่ที่จริงยูชอนโล่งใจมากๆ ที่ไม่ได้นั่งใกล้กับจุนซู บอกไว้ตรงนี้เลยว่าชั่วโมงอบรมของคุณผู้จัดการส่วนตัวไม่ใช่เรื่องสนุก หากคนฟังกลับส่ายหน้าก่อนจะเฉลยว่าจำนวนผู้โดยสารเกินครึ่งบนเครื่องบินลำนี้เป็นคนที่มาเพื่อแคสติ้งบทกันทั้งนั้น ส่วนที่เหลือก็เป็นพวกคนติดตามอย่างผู้จัดการ หรือช่างแต่งหน้า
ยูชอนถึงได้รู้ว่าตอนที่เดินมาแล้วเห็นคนหน้าตาเหมือนดาราในโทรทัศน์ตั้งหลายคนนี่ไม่ได้อุปทานไปเอง เอาจริงว่าพอรู้แบบนี้ก็ฝ่อไปเหมือนกัน แต่ละคนดังๆ กันทั้งนั้น แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้
“ถึงไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ได้พยายามแล้วไงครับ”
เหมือนแจจุงจะอ่านสีหน้าของยูชอนออก พอได้ยินแบบนั้นความกังวลที่เริ่มก่อตัวกลับจางหายไปทันทีราวกับมีเวทมนตร์ ยูชอนยิ้มออกตอนที่รู้ว่าไม่ต้องแข่งกับแจจุง เพราะบทที่อีกคนเล็งไว้คือบทของ ‘บยอล’ เขาไม่รู้หรอกว่าคนอื่นที่มาแคสติ้งเป็นคนยังไงกันบ้าง ถึงจะทำงานในวงการบันเทิงมาสามปีเต็ม แต่ยูชอนก็ไม่รู้จักผู้คนในวงการมากนัก แปลกดีทั้งที่เจอกันได้ไม่นาน แถมยังไม่เคยดูอีกคนแสดงเลยด้วยซ้ำ แต่ยูชอนกลับคิดว่า แจจุงน่าจะเหมาะกับบทของ ‘บยอล’ เอามากๆ
“ลองซ้อมกันหน่อยไหม” ไม่รู้อะไรดลใจให้ยูชอนถามไปแบบนั้น แจจุงดูลังเลนิดหน่อยแต่ก็ตอบตกลงในที่สุด ยูชอนเลือกฉากประเภทที่เน้นอารมณ์และท่าทางแบบที่ไม่ต้องใช้เสียงเพื่อไม่ให้รบกวนคนอื่น บทพูดก็ใช้การกระซิบเอา จากที่ตั้งใจจะลองซ้อมแค่ฉากเดียว แต่ก็มีฉากที่สอง ฉากที่สามตามมา กลายเป็นว่าต่างคนต่างรู้สึกว่าเล่นได้เข้าคู่กันมากกว่าที่คิด
“ถ้าได้แสดงด้วยกันก็ดีนะ” ยูชอนก็ไม่รู้ว่ามันจะมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน แต่ได้เห็นแจจุงยิ้มร่าพลางพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ในใจก็ฮึกเหิมพองโตขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็น อยากจะทำให้ได้ จะพยายามให้ดีที่สุด
ถามว่าแปลกใจตัวเองไหม?
ยูชอนบอกได้เลยว่ามาก อย่างน้อยๆ ไอ้การพูดคุยกับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกอย่างสนิทสนมแบบที่เป็นอยู่นี่ ก็ไม่ใช่ตัวเองเลย ยูชอนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ตอนที่แจจุงนั่งเงียบอ่านบทอย่างจริงจัง เขาก็ไม่อึดอัด ตอนหยิบเรื่องนู้นเรื่องนี้มาเล่าก็ไม่น่ารำคาญ แถมยังฟังเพลินจนลืมเวลา ลืมบรรยากาศรอบข้างไปจนหมด แจจุงทำให้หนึ่งชั่วโมงบนเครื่องบินไปเกาะเชจูไม่น่าเบื่อเลย แล้วยูชอนก็ค้นพบความจริงข้อหนึ่งในช่วงเวลานั้น
...ตอนที่แจจุงยิ้ม คุณจะไม่สามารถละสายตาจากเขาได้เลย
ยูชอนไม่รู้ว่าจุนซูเห็นหมดทุกอย่าง หลังจากแกล้งเดินมาเข้าห้องน้ำอย่างช้าๆ เพราะจะตั้งใจจะสำรวจคู่แข่ง แก้มซ้ายของจุนซูแดงเป็นปื้นหลังจากหยิกตัวเองไปหลายรอบ ภาพที่ยูชอนคุยกับใครอย่างสนิทสนม ทั้งที่เจอกันเป็นครั้งแรกเป็นอะไรที่ประหลาดมากๆ โคตรไม่ชิน โคตรไม่ปกติ จุนซูไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาอธิบายเลยจริงๆ
“พี่เป็นผู้จัดการของพี่คนนั้นเหรอครับ?” จุนซูมองอยู่เพลินๆ แต่จู่ๆ ก็มีคนเข้ามาทักเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูง ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ดูหล่อเหลาราวกับรูปสลักพยักพเยิดไปทางที่นั่งของยูชอน ถึงจะงงๆ ที่ถูกทักแต่จุนซูก็ตอบไป
“ใช่”
“ผม...ชางมินครับ เป็นผู้จัดการของพี่แจจุง” เด็กหนุ่มชี้ไปยังคนที่นั่งถัดจากยูชอน จุนซูพยักหน้า แม้ตอนเห็นหน้าเด็กหนุ่มแวบแรกจะเผลอคิดว่าชางมินเป็นดาราหน้าใหม่ที่เขาไม่รู้จักหรือเปล่า ไม่นึกว่าจะเป็นผู้จัดการเหมือนกัน
“พี่เขามนุษย์สัมพันธ์ดีจังเลยนะครับ” ชางมินหมายถึงยูชอน ได้ยินแล้วจุนซูถึงกับต้องเบิกตากว้าง อยากจะหัวเราะก็กลัวเสียมารยาท ยูชอนเนี่ยนะมนุษย์สัมพันธ์ดี นี่ถ้าไม่เกรงใจคนเพิ่งเคยรู้จักกัน อยากจะหัวเราะให้ฟันหลุดจริงๆ เชื่อเถอะว่ามันเป็นคำชมที่เกิดมาสิบแปดปียูชอนไม่เคยได้รับ
“ไม่นะ ปกติกับคนสนิทๆ กัน ยูชอนมันยังไม่ค่อยพูดเลย ยิ่งคนที่เพิ่งเคยเจอไม่ต้องพูดถึง แต่พี่แจจุงของนายคงพูดเก่งใช่ไหม ไม่เคยเห็นยูชอนเป็นแบบนี้เลย” จุนซูคาดหวังจะได้รับคำตอบว่าใช่ แต่ชางมินกลับส่ายหน้าจนหัวสั่นคลอน ปฏิเสธอย่างจริงจังเป็นที่สุด
“ไม่เลยครับ นี่ก็ครั้งแรกที่ผมเห็นพี่เขาเป็นแบบนี้”
สองผู้จัดการมองหน้ากันอย่างแปลกใจ คนหนึ่งก็จริงจังไปซะทุกเรื่องจนไม่ค่อยพูด อีกคนก็ไม่พูดจนเป็นปกติของชีวิต แล้วทำไมคนไม่ค่อยพูดสองคนถึงคุยกันอย่างสนุกสนานได้ขนาดนั้นนะ
“สนใจแลกที่นั่งไปคุยกับพี่หน่อยไหม” จุนซูออกตัวถามก่อนเลย งานนี้คงต้องมีจับเข่าคุยกันสักหน่อย ในหัวนี่คิดคำนวณผลดีผลเสียไว้เสร็จสรรพ ต่อให้ไม่ได้งาน แต่ได้เพื่อนที่ทำให้ยูชอนพูดมากขึ้นได้ก็ยังดี และชางมินเองก็น่าจะคิดเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่มาทักเขาก่อนหรอก
“ผมก็ว่าจะถามพี่อยู่เหมือนกันครับ”
To be con…
+
Sakura's Talk :
ทวงได้ไม่ว่ากันค่า นี่ก็ยังมีความคิดจะกลับไปต่อ Flaw Flower อยู่ทุกวันนะคะ
แต่เขียนต่อไม่ได้สักที ฮืออออออ TwT
อ่านเรื่องนี้ไปพลางๆ ก่อนนะคะ
Sakura_JJ
151012
*Note*
• 별 บยอล แปลว่า ดวงดาว
• 하늘 ฮานึล แปลว่า ท้องฟ้า
• เพลงที่เปิดหน้าบทความเอาไว้ประกอบหนัง JYJ - 소년의 편지 (The Boy's Letter) : ( คำแปล )
ความคิดเห็น