คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : [ 13 ] : The Prince (100 %)
Chapter XIII : The Prince
หัวหน้าการ์ดแห่งตระกูลชองก้าวออกจากทำเนียบอย่างสบายๆ ไม่สะทกสะท้านต่อสายตาหลาบสิบคู่ที่จ้องมองด้วยความโกรธแค้นแต่อย่างใด จุนซูไม่ได้รีบร้อนอย่างที่ควรจะเป็นเพราะเห็นว่ายุนโฮออกมาก่อน ป่านนี้คงจะล่วงหน้าเดินทางไปแล้ว แต่พอก้าวพ้นทางออกอาคารมายังลานจอดรถ เขาก็ต้องแปลกใจที่เห็นรถยุโรปสีดำคันหรูทั้งสามคันของตระกูลชองยังคงจอดอยู่ ทั้งที่มันควรจะเหลือคันหลังสุดที่รอรับเขาแค่คันเดียว ร่างเล็กรีบก้าวยาวๆ ไปขึ้นรถคันที่จอดอยู่ตรงกลาง ประตูหลังถูกเปิดออกก่อนที่จุนซูจะทันได้อ้อมไปนั่งข้างที่คนขับ คนเปิดประตูเขยิบตัวเข้าไปข้างในให้มีพื้นที่พอสำหรับอีกคนแทนคำสั่งว่า ‘ขึ้นมา’
จุนซูโค้งตัวลงเล็กน้อยแทนคำขอโทษที่มาช้าก่อนขึ้นรถ ทันทีที่ประตูปิดสนิท ล้อก็หมุนออกตัวตามคันข้างหน้าไป จุดหมายปลายทางต่อจากนี้เป็นบริษัทในเครือของตระกูลชองตามกำหนดการเดิมของวัน แม้จะถูกสั่งให้มานั่งด้วยคล้ายมีเรื่องจะคุย แต่คงต้องเป็นหลังจากที่เจ้านายหนุ่มอ่านเอกสารในมือจบเสียก่อน
จุนซูกำลังชั่งใจ เขาแน่ใจว่าเรื่องที่ยุนโฮจะคุยคงหนีไม่พ้นเรื่องซอจูฮยาง ถึงเขาจะไม่เล่าเรื่องสายตาเคียดแค้นที่ได้เห็นก่อนจะจากมาให้ฟัง แต่ตัวยุนโฮเองก็คงรู้ดี... ในเมื่อกล้าจะเล็งปืนใส่นายใหญ่แห่งเขตใต้แล้ว ก็คงไม่มีอะไรที่ตาแก่นั้นไม่กล้าทำอีก และการที่ต้องกลายเป็นฝ่ายตั้งรับมันไม่ดีเลย
“ถ้ามีนายอยู่ข้างๆ ก็ไม่มีใครทำอะไรฉันได้หรอก” จุนซูหันไปมองคนพูดที่ยังไม่ละสายตาจากตัวหนังสือ ยุนโฮคงรู้ว่าเขากังวลเรื่องนี้ และนั่นก็ทำให้เกิดคำถามตามมาในทันที
“ปล่อยเขาไว้แบบนั้นจะดีเหรอครับ” การกระทำของซอจูฮยางไม่ใช่เรื่องที่จะให้อภัยได้ และนายใหญ่แห่งเขตใต้ก็ไม่ใช่คนที่ใจดีขนาดจะยกโทษให้คนทรยศ ทั้งที่ควรจะเป็นแบบนั้น แต่ยุนโฮกลับเดินออกมาเสียเฉยๆ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่เข้าใจเอาเสียเลย
“...คนบางคนก็ต้องรอเวลาที่เหมาะสมถึงจะจัดการได้นะ” ยุนโฮไม่ได้อธิบายความหมายให้ชัดเจน แต่จุนซูเดาเอาว่าเจ้าตัวคงวางแผนเอาไว้แล้ว ซอจูฮยางไม่มีทางรอด เหลือก็แค่...เมื่อไหร่เท่านั้น
“เข้าใจแล้วครับ” จุนซูรับคำพลางเบนสายตาไปข้างนอกตัวรถด้วยใกล้ถึงจุดหมายเต็มที ร่างเล็กเหลือบมองเจ้านายหนุ่มที่ยังคงจดจ่อกับเอกสารสำคัญจนไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยเกลียดชังเพียงใด ไม่บ่อยนักที่จุนซูจะปล่อยให้ตัวเองถูกอารมณ์ครอบงำอย่างนี้ เพราะทั้งหมดที่เขาต้องทำคือการซ่อนทุกสิ่งทุกอย่างไว้ภายใต้หน้ากากคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์ ทั้งความโกรธ ความเกลียด ความเศร้า... ยิ่งเขาทำตัวเย็นชาเท่าไหร่ ก็ยิ่งซ่อนสิ่งเหล่านั้นได้ดีมากขึ้นเท่านั้น
...ถ้าเวลานั้นของคุณมาถึงเร็วๆ ก็ดีสิครับ
.
.
.
ห้องทำงานที่โรงแรมใหญ่ก็ไม่ต่างอะไรกับที่คฤหาสน์ แต่ดูกว้างกว่าและมีเอกสารมากกว่าเป็นเท่าตัว ด้านหน้าโต๊ะทำงานมีโซฟาผ้ากำมะหยี่น้ำตาลเข้มตั้งล้อมรอบโต๊ะกระจกเตี้ยๆ ที่อยู่ตรงกลางบนโต๊ะมีแฟ้มเอกสารวางซ้อนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ แบ่งออกเป็นสองฝั่ง ด้านซ้ายเป็นเอกสารที่อ่านและเซ็นเรียบร้อยแล้ว ส่วนด้านขวาคือสิ่งที่เจ้าของห้องกำลังอ่านอยู่ตอนนี้
ยูชอนวางเอกสารในมือลงในกองด้านซ้ายหลังตวัดปลายปากกาเซ็นชื่อ ก่อนจะเอื้อมหยิบแฟ้มจากกองด้านขวาอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันเปิดดู สายตาก็ไปสะดุดกับร่างผอมบางที่ยืนอยู่ทางซ้ายมือเข้า แล้วก็อดมองไม่ได้ เขาไม่เคยมีบอดีการ์ดที่ตามติดทุกฝีก้าวเหมือนอย่างยุนโฮ ซีวอนจะทำอย่างนั้นก็เฉพาะเวลาออกไปข้างนอก นอกเหนือจากนั้นเขาก็ไม่พึงใจให้ใครมาอยู่ด้วยตลอดเวลา แต่ก็แปลกดี...ทั้งที่เคยไม่ชอบ แต่การมีอยู่ของแจจุงในตอนนี้ไม่ได้ขัดตาเลย เว้นก็แต่นิสัยเอาจริงเอาจังจนเกินไปนี่แหละ ทั้งที่ภายในห้องทำงานมีแค่พวกเขาสองคน แถมอยู่ชั้นบนสุดในโรงแรมของเขาเองแท้ๆ แต่บอดีการ์ดคนสวยก็ยังทำหน้าที่อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง
สำหรับแจจุงแล้ว การเปลี่ยนมาทำงานให้ตระกูลปาร์คไม่ใช่เรื่องยากเท่ากับการต้องปรับตัวกับคนที่เคยเป็นศัตรูกัน ถ้าไม่นับตัวเขา ชางมิน และซีวอนที่คุ้นเคยกันดีแล้ว แจจุงพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพบเจอกับคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด ตอนที่เข้าโรงแรมมาเมื่อกี้ก็แทบไม่มองใครเลย คงเพราะไม่อยากเจอสายตาเหมือนก่อนหน้านี้ จะว่าไปเรื่องนี้เขาก็มีส่วนผิด แต่เขาก็ได้ไถ่โทษในส่วนนั้นไปแล้ว ยูชอนมองคอเสื้อที่เปิดกว้างขับให้แหวนเงินเกลี้ยงที่ร้อยกับสายสร้อยดูโดดเด่น ขณะที่แจจุงรู้สึกเหมือนถูกมองจึงหันมาสบตากับยูชอนพอดี
“นั่งสิ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ตามใจนะ”
ยูชอนเอนหลังพิงเบาะโซฟาตัวนุ่มหลังความพยายามชวนให้บอดีการ์ดคนใหม่นั่งลงไม่เป็นผล พลางพลิกแฟ้มในมืออีกครั้ง หากยังไม่ทันเริ่มก็ต้องวางลงเพราะเสียงเคาะประตู ชางมินและซีวอนมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน หลังจากไปทำงานที่ถูกสั่งตั้งแต่เมื่อเช้า
“ท่านหญิงว่าไงบ้าง” คนถูกถามมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนซีวอนจะตอบ
“เซฟเฮาส์ที่จะให้คุณยงฮวาอยู่ ท่านหญิงจัดการเรียบร้อยแล้วครับ แต่เธอไม่ยอมบอกว่าอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่ยอมให้คนของเราช่วย ท่านหญิงฝากบอกนายท่านว่าไม่ต้องเป็นห่วง และขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือครับ”
ผู้นำตระกูลปาร์คฟังแล้วส่ายหน้าระอาใจ ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าซอฮยอนคงปฏิเสธ เพียงแต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยผู้หญิงคนนั้นก็จะหาว่าเขาสบายไปอีกล่ะ ช่างเป็นผู้หญิงที่เอาใจยากจริงๆ แต่ก็ดีเหมือนกัน เรื่องที่ซ่อนตัวของยงฮวาควรจะมีคนรู้ให้น้อยที่สุด ยูชอนคิดว่าที่งานเลี้ยงพรุ่งนี้ ซอฮยอนอาจจะบอกเขาเอง ถ้าเธอจะไม่เล่นแง่กับเขาจนเกินไป
“แล้วตาแก่นั่นล่ะ”
“ทุกอย่างเป็นไปตามที่คุณแจจุงบอกเลยครับ ซอจูฮยางคิดว่าตัวเองเป็นต่อ คงไม่นึกว่าจะโดนตัดขาดอย่างนี้ เท่าที่รู้ตอนนี้พยายามดิ้นรนหาทางรอดน่าดู รายงานจากทำเนียบมีบันทึกการโทรออกมากกว่าสามสิบสายจากห้องประธานาธิบดี คงติดต่อหาทุกคนที่รู้จัก เห็นท่านหญิงว่าไปขอความช่วยเหลือจากฝ่ายเหนือด้วย แต่นายเหนือไม่สนใจ” ท้ายประโยคของชางมินเรียกความสนใจของทุกคนในห้อง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ข่าวคราวของฝ่ายเหนือไม่ค่อยมีมาถึงเขตใต้นัก นอกจากการขึ้นเป็นผู้ปกครองกรุงโซลตอนบนตั้งแต่อายุแค่สิบเจ็ด ทุกเรื่องราวของนายเหนือผู้นี้ล้วนเป็นปริศนา มีแต่เสียงเล่าลือถึงความเลือดเย็นและเด็ดขาด การเรียกขานนามเจ้าชายแห่งฝ่ายเหนือผู้เย็นชานั้นไม่ได้เกินจริงเลย
“ตาแก่นั่นคิดผิดแล้วล่ะ นายเหนือไม่สนใจการแย่งชิงอำนาจในเขตใต้หรอก” ยูชอนว่าพลางนึกถึงบุคคลในหัวข้อสนทนา ถ้าเป็นก่อนหน้าที่คิมคิบอมจะรับตำแหน่งนายเหนือก็ว่าไปอย่าง เพราะคนของเขตเหนือและใต้มีเรื่องกันแทบทุกวันไม่ต่างอะไรกับตระกูลปาร์คและตระกูลชองในเวลานี้ แต่นายเหนือกลับไม่เคยคิดสนใจจะแย่งชิงพื้นที่หรือผลประโยชน์ใดๆ ในเขตใต้เหมือนสมัยพ่อของตัวเอง ตราบเท่าที่ยังไม่มีใครไปลองดีในเขตเหนือ
“มันน่าสงสัยนะครับ ตลอดสี่ปีที่ผ่านมาฝ่ายเหนือไม่มีการเคลื่อนไหวเลย แม้แต่ครั้งนี้...” ซีวอนพูดเสริมผู้เป็นเจ้านาย ว่ากันตามตรง นี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับนายเหนือด้วยซ้ำ เพราะถ้านายเหนือยื่นมือเข้ามาโอกาสที่ซอจูฮยางจะกลับเป็นฝ่ายชนะมีสูง
ยูชอนกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถึงจะไม่น่ากังวล แต่อาจจะจำเป็นต้องเตรียมรับมือในกรณีที่นายเหนือเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาด้วย คิดแล้วก็อยากจะถามว่าตระกูลชองรู้เรื่องฝ่ายเหนือมากแค่ไหน พอหันไปก็สบตากับแจจุงที่ลังเลเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างอยู่พอดี
“ว่ามาสิ”
“เขาว่ากันว่า...นายเหนือกำลังตามหาคนอยู่ครับ”
“ใคร?”
“ไม่ทราบครับ รู้แต่ว่านายเหนือให้ความสำคัญมาก เมื่อประมาณสี่ปีก่อน ตอนนั้นนายเหนือเพิ่งรับตำแหน่งได้ไม่นาน มีคนจากฝ่ายเหนือลักลอบเข้ามาในชอนมุนแด แต่เขาหนีไปได้ก่อนจะถูกจับ คนในชอนมุนแดพูดกันว่าผู้ชายคนนั้นกำลังตามหาใครสักคนอยู่ ผมเพิ่งมารู้เอาตอนหลังว่าเขาคือ ‘อีทงเฮ’ คนสนิทของนายเหนือ ถ้าไม่สำคัญนายเหนือคงไม่ให้เขามาตามหาด้วยตัวเองหรอกครับ แต่เรื่องนี้คนในตระกูลชองไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าเป็นพวกอยากลองดีธรรมดาๆ บังเอิญที่ผมอยู่ตอนเกิดเรื่องก็เลยจำเขาได้”
แจจุงเห็นตอนที่เด็กหนุ่มคนนั้นหนีไปพอดี ตอนนั้นเขายังเป็นแค่สินค้าในตลาดมืดนั่นอยู่เลย พอคิดถึงเรื่องพวกนั้น ร่างบางก็ต้องสะบัดหัวไล่ความทรงจำที่ไม่น่านึกถึงออกไป โชคดีที่ไม่มีใครเห็นท่าทางแปลกๆ ของบอดีการ์ดคนใหม่ นอกจากยูชอนที่มองอย่างเงียบๆ
“นายท่านจำได้มั้ยครับว่า ตอนที่นายเหนือคนก่อนเสีย ตำแหน่งนั้นว่างลงถึงสองเดือนเต็มก่อนที่คิบอมจะรับหน้าที่ต่อ”
ยูชอนพยักหน้า แม้จะแปลกใจที่อยู่ๆเลขาหนุ่มก็ยกเรื่องนี้ขึ้นมา สี่ปีที่แล้วตอนที่ความสัมพันธ์ของสองตระกูลยังไม่ขาดสะบั้นลง การวางแผนรับมือกับฝ่ายเหนือแทบจะเป็นภารกิจหลักของผู้นำตระกูลทั้งสอง จวบจนกระทั่งนายเหนือคนก่อนเสียชีวิตลงด้วยโรคประจำตัว ทุกอย่างก็หยุดชะงัก ตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้วฝ่ายใต้ต้องรอจนกว่าจะมีนายเหนือคนใหม่
“เราไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงที่ฝ่ายเหนือปล่อยให้ตำแหน่งว่างลงนานขนาดนั้น แต่มีข่าวลือว่าเป็นเพราะคิมคิบอมปฏิเสธไม่ยอมรับตำแหน่ง ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะกลายเป็นนายเหนือก็ตามที ถ้าสมมติว่าข่าวลือนี้จริง ก็แสดงว่ามันต้องมีเหตุผลที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจใช่ไหมครับ” ชางมินเว้นจังหวะเล็กน้อยเพื่อรอให้ทุกคนตามเขาทัน ก่อนจะมองไปที่บอดีการ์ดคนใหม่ที่ดูจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้ว
“อีทงเฮคนนั้นน่ะ ไม่ใช่คนสนิทธรรมดาหรอกนะครับ แต่เป็นคนที่นายเหนือแทบไม่เคยปล่อยให้อยู่ห่างตัวเลย อย่างที่คุณแจจุงบอก ต้องสำคัญจริงๆ นายเหนือถึงยอมปล่อยให้มาคนเดียวในเขตของศัตรูแบบนี้ ดังนั้น...ผมคิดว่า ถ้าเขาอยากจะตามหาใครสักคน การรับตำแหน่งนายเหนือก็จะทำได้ง่ายกว่าใช่ไหมล่ะครับ และนี่ก็คงเป็นเหตุที่ไม่มีการรุกล้ำมาเขตใต้เหมือนเมื่อก่อนด้วย”
“ถ้ารู้ได้ว่าเป็นใครก็คงดี แต่ตอนนี้พักเรื่องนี้ไว้ก่อนเถอะ” ว่าแล้วยูชอนก็มองประตูห้องก่อนจะดูนาฬิกาเลยเวลาที่นัดไว้มาครึ่งชั่วโมงได้ ปกติไม่เห็นเคยสายขนาดนี้
“ทำไมคยูฮยอนยังไม่มา” ก่อนจะมีใครพูดอะไร เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานของผู้นำตระกูลปาร์คก็ดังขึ้น ชางมินตรงไปรับสายก่อนจะหันมารายงานผู้เป็นนาย
“หัวหน้าคยูฮยอนเชิญให้ท่านไปพบที่เขตครับ ข้างล่างเตรียมรถไว้ให้พร้อมแล้ว”
“งั้นก็ไปกันเลย”
พอนายใหญ่แห่งตระกูลปาร์คก้าวออกมาจากห้อง การ์ดสองคนที่ยืนประจำอยู่หน้าลิฟต์ก็กดปุ่มเรียกลิฟต์ให้ขึ้นมารับ ยูชอนยืนรออย่างไม่รีบร้อนนัก ส่วนแจจุงอยู่เยื้องทางด้านขวามือ แม้จะไม่ได้มองแต่ก็สัมผัสถึงบรรยากาศบางอย่างได้ ยูชอนวางมือบนไหล่บางบีบเบาๆ แทนคำสั่งให้เงยหน้าขึ้น ถึงจะยังไม่พร้อมแต่แจจุงก็ยอมทำตาม แล้วก็ต้องแปลกใจที่ไม่เจอสายตาของคนตระกูลปาร์คอย่างที่คิดไว้
ในขณะเดียวกัน ซีวอนที่ยืนรอชางมินหน้าห้องและเฝ้ามองเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มก็อดยิ้มไม่ได้ แม้จะอยู่ห่างออกมาหน่อยแต่ก็ยังเห็นสีหน้าของกุหลาบงามชัดเจน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่แจจุงจะรู้ตัว
“ยิ้มอะไร ไม่ตามนายท่านไปหรือไง”
ชางมินเพิ่งเก็บของเสร็จไม่ทันเห็นเหตุการณ์จึงได้แต่สงสัย คนที่ถูกถามยังยิ้มเพลินไม่ยอมตอบแถมไม่ยอมไปอีกต่างหาก ร่างสูงโปร่งมองไปรอบๆ ก็เห็นแต่เจ้านายกับบอดีการ์ดคนใหม่ที่กำลังยืนรอลิฟต์ไม่เห็นมีอะไรน่าขำสักนิด พอโดนสายตาดุๆ มองเข้า ซีวอนถึงยอมสารภาพ
“เห็นสร้อยนั่นหรือเปล่า” ชางมินใช้เวลาคิดครู่หนึ่งกว่าจะเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการสื่อแล้วก็ต้องยิ้มตาม จากจุดนี้ชางมินยังมองเห็นแจจุงที่ออกอาการเกร็งอย่างเห็นได้ชัด
“นายท่านก็เหลือเกินจริงๆ น่าจะบอกให้รู้ไว้หน่อย”
“แต่ถ้าบอกก็จะไม่กล้าใส่ซะน่ะสิ” ซีวอนพูดถึงสร้อย แต่ความหมายที่แท้จริงคือแหวนที่ถูกร้อยอยู่ต่างหาก แหวนวงนั้นสะดุดตาเขาตั้งแต่แรกเห็น และคิดว่าทุกคนที่ได้เจอแจจุงก็จะเห็นเหมือนกัน แหวนที่เจ้าตัวไม่รู้ความหมาย และเจ้าของมันเองก็ยังไม่คิดจะบอก ในเมื่อเจ้านายไม่พูด ลูกน้องอย่างพวกเขาก็ไม่มีอำนาจจะบอกได้เช่นกัน
“นั่นสินะ”
ชางมินไม่มีข้อโต้แย้ง ความจริง...แจจุงไม่จำเป็นต้องหวาดหวั่นต่อสายตาพวกนั้นเลย หากคนในตระกูลปาร์คคนไหนเห็นแหวนวงนั้นแล้วไม่รู้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ก็สมควรเชิญออกไป!
.
.
.
ย่านอีแทวอนยามราตรีเต็มไปเสน่ห์ของแสงสีน่ารื่นรมย์ ผู้คนเดินไขว้ไขว้กันอย่างเนืองแน่นเต็มทางเดิน สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงมากมายให้เหล่าคนกลางคืนทั้งหลายได้มาเที่ยวสนุก แม้ความคึกคักจะเป็นจุดเด่นสำคัญของย่านนี้ แต่ผู้เป็นเจ้าของพื้นที่อย่างปาร์คยูชอนกลับไม่ได้หลงเสน่ห์นั่นเลยแม้แต่นิดเดียว พาหนะสี่ล้อคันหรูแล่นผ่านใจกลางย่านการค้าสำคัญก่อนจะจอดเมื่อถึงที่หมาย หน้าอาคารสูงหลายชั้นที่ยังดูใหม่มากเมื่อเทียบกับตึกเตี้ยๆ ที่อยู่ด้านข้าง ที่นี่เป็นหนึ่งในโรงแรมของตระกูลปาร์คที่คยูฮยอนเป็นคนดูแล
ปกติแล้วคยูฮยอนมีหน้าที่ควบคุมดูแลเรื่องการค้าในอีแทวอน อันเปรียบเสมือนชอนมุนแดของตระกูลชอง ซึ่งอยู่ในเขตยงซานเป็นหลัก อย่างอื่นก็แล้วแต่ผู้นำตระกูลปาร์คจะส่งมาให้ทำ และงานในตอนนี้คือเรื่องของท่านหญิงที่เป็นงานใหญ่ การจัดงานเลี้ยงพรุ่งนี้ก็อยู่ในความดูแลของคยูฮยอนเช่นกัน
ยูชอนเข้ามานั่งรอในห้องรับรองที่อยู่ข้างในสุดของโรงแรม ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้พวกลูกน้องไปพักทานอาหารเย็น รวมถึงบอดีการ์ดคนใหม่ด้วย แม้เจ้าตัวจะอยากตามเขามามากกว่าก็เถอะ เห็นสายตาแล้วยูชอนก็ต้องใจอ่อน แต่เขาอยากให้แจจุงเข้ากับคนอื่นได้เร็วๆ อีกอย่างมีซีวอนกับชางมินอยู่ด้วยไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
ระหว่างรอ ยูชอนก็คิดถึงเรื่องที่สะกิดใจเขาตอนพูดถึงนายเหนือเมื่อกี้ แจจุงเป็นบอดีการ์ดของยุนโฮมาได้สองปี แต่เข้ามาอยู่ที่เรือนทิศใต้หลังจากทั้งสองตระกูลเพิ่งแตกหักกันไปได้เกือบสี่เดือน เป็นช่วงที่ต่างฝ่ายต่างกำลังรวบรวมคนเพื่อตั้งตัว รวมเวลาที่อยู่ตระกูลชองก็เกือบๆ สามปีพอดี แต่เมื่อกี้เจ้าตัวเล่าว่าอยู่ในชอนมุนแดเมื่อสี่ปีที่แล้ว นั่นแหละ...ที่น่าแปลกใจ คนที่จะอยู่ในชอนมุนแดถ้าไม่ใช่เจ้าของร้านหรือลูกค้าก็มีอยู่แค่ฐานะเดียว...สินค้า
ถ้าให้เขาประเมินราคาขายตามมาตรฐานของชอนมุนแด รูปร่างหน้าตาอย่างแจจุงคงได้ระดับสูงสุด พนันได้เลยว่ามีคนเป็นร้อยที่ยอมทุ่มหมดตัวเพื่อให้ได้ครอบครองสินค้าชิ้นงามนี้ แจจุงไม่ควรจะถูกดองอยู่ในตลาดมืดนั่นเกินเดือนด้วยซ้ำ แต่นี่กุหลาบงามกลับอยู่ที่นั่นนานเป็นปี ...แล้วเหตุผลที่ไม่ถูกขายคืออะไร ในเมื่อเรื่องเก็บของไว้โก่งราคาไม่เคยมีในหัวพวกพ่อค้าหน้าเลือดนั่นอยู่แล้ว
พอรู้อย่างนี้ยูชอนไม่กล้าถาม เพราะวิธีที่คนในชอนมุนแดปฏิบัติต่อสินค้าค่อนข้างโหดร้าย รุนแรง และป่าเถื่อนเกินกว่าใครจะคาดคิด ดังนั้นสินค้าส่วนใหญ่จึงยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ถูกซื้อตัวไปมากกว่าจะทนอยู่ แน่นอนว่าอาจจะมีบางร้านที่ปฏิบัติต่อสินค้าของตัวเองเป็นอย่างดี แต่ดูจากสีหน้าแจจุงแล้ว... กุหลาบงามคงไม่โชคดีขนาดนั้น
“โทษที รอนานไหม” ยูชอนหันไปหาต้นเสียงคนทักแล้วก็ต้องหลุดขำ เมื่อเห็นสภาพเหนื่อยโทรมสุดชีวิตของหัวหน้าโจคยูฮยอนแห่งเขตยงซาน
“ไม่นาน แล้วนั่นไปฟัดกับหมาที่ไหนมาล่ะ”
“จะมีใครอีกล่ะ” คยูฮยอนว่าแล้วก็ทิ้งตัวนั่งตรงข้ามกับยูชอนที่นั่งอมยิ้มเพราะเดาไว้ไม่ผิด คนที่ทำคยูฮยอนหัวเสียได้ก็มีแต่คิมแทยอน...คนรับใช้ของท่านหญิงซอฮยอนนั่นแหละ ทั้งเจ้านาย ทั้งลูกน้อง แสบเหมือนกันไม่มีผิด
“งานเลี้ยงพรุ่งนี้จัดที่โรงแรมของเรา ยังไงเราก็ได้เปรียบกว่า นายคิดว่าซอจูฮยางจะกล้าส่งคนมาเหรอ ฆ่าตัวตายชัดๆ ต่อให้เป็นโอกาสที่จะฆ่ายงฮวาได้ก็เถอะ แต่ไม่ใช่โอกาสที่ดีเลยนะ”
“หน้ามืดตามัวขนาดนั้นไม่ทันคิดหรอก”
“ก็คงงั้น แต่มันน่าหงุดหงิดไหมล่ะ ฉันบอกไปแล้วนะว่าไม่ควรพายงฮวามา มันอันตรายเกินไป แต่ท่านหญิงก็ยืนยันคำเดิม เห็นปกติหวงจะตายไม่รู้คิดยังไง แล้วนี่ฉันแค่พูดเบาๆ นะ แต่แทยอนมาได้ยินตอนไหนไม่รู้ ด่าเช็ดเลย เพิ่งกลับไปก่อนนายมาสักพักเอง” ยูชอนพยายามกลั้นหัวเราะกับท้ายประโยคที่น่าจะเป็นเหตุผลทำคนพูดหัวเสียมากกว่าเรื่องแรก
“คงเป็น...ฟางเส้นสุดท้าย”
“หมายความว่าไง”
“นายรู้อยู่แล้วว่า ‘เจ้าชาย’ ไม่มีทางมาหรอก แต่ถ้าท่านหญิงบอกว่า ‘ยงฮวา’ จะมา ก็แสดงว่านั่นไม่ใช่ ‘เจ้าชาย’ หรอกนะ” ประโยคที่ฟังดูสับสนทำให้คยูฮยอนรู้สึกหงุดหงิดเล็กๆ ที่ยูชอนยังมีอารมณ์มาเล่น แต่พอลองทบทวนดู ก็พบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจปั่นหัวแต่หมายความตามที่พูดจริงๆ เพราะ ‘เจ้าชาย’ คือคำที่พวกเขาใช้เรียกยงฮวา มันเป็นรหัสเพื่อความปลอดภัย ก็หมายความว่า ‘ยงฮวา’ ที่ท่านหญิงและยูชอนพูดถึงไม่ใช่ตัวจริง
“ท่านหญิงจะให้คนอื่นปลอมตัวเป็นยงฮวางั้นเหรอ แล้วจะทำอย่างนั้นไปทำไม?” ฟังคำถามแล้วยูชอนก็ต้องถอนใจ ตัวเขาเองก็เพิ่งเข้าใจเหตุผลแท้จริงที่ซอฮยอนไม่ยอมยกเลิกงานเลี้ยงนี้
“...ซอฮยอนคงอยากรู้ว่าซอจูฮยางจะกล้าฆ่าเธอไหม”
“เฮอะ! แล้วนายคิดว่าตาแก่นั่นจะกล้าฆ่าลูกสาวตัวเองรึเปล่าล่ะ” คยูฮยอนถามแต่เหมือนจะมีคำตอบไว้ในใจอยู่แล้ว และเป็นคำตอบที่ไม่ต่างกันเลย
“ไม่รู้สิ แต่ขนาดภรรยาตัวเองยังจัดฉากฆ่าได้ กับลูกสาวที่ตัดขาดกันไปแล้วก็คงไม่ต่างกันหรอก ฉันว่าเป้าหมายพรุ่งนี้เป็นซอฮยอนด้วยซ้ำ แต่ก็อย่างที่รู้กัน ฉันว่าเธอคงอยากเสี่ยงดู...”
ยูชอนไม่แน่ใจว่าท่านหญิงคาดหวังผลลัพธ์แบบไหนไว้ แต่สำหรับซอจูฮยาง...นี่คงเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว
.
.
.
ในขณะเดียวกัน เรื่องซอจูฮยางวันนี้ทำนายใหญ่แห่งตระกูลชองไม่มีอารมณ์จะทำอะไรทั้งนั้น พอกลับมาที่คฤหาสน์เมื่อหัวค่ำ ยุนโฮก็เอาแต่นั่งดื่มอยู่พักใหญ่ ปกติจุนซูจะต้องรอจนกว่ายุนโฮจะเข้านอน แต่ช่วงหลังๆ มากลายเป็นว่าต้องนอนพร้อมกัน แถมยังต้องตื่นก่อนเพื่อไปแต่งตัวที่ห้องและเตรียมงานสำหรับวันใหม่อีก บางทีจุนซูก็อดคิดไม่ได้ว่ายุนโฮจงใจแกล้งเขา ถึงตอนแจจุงอยู่สถานการณ์จะไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ แต่เพราะมีกันอยู่สองคน เวลาแจจุงเหนื่อย เขายังทำแทนได้ แล้วก็ยังมีคังอินเป็นหัวหน้าการ์ด งานจึงไม่หนักเท่าตอนนี้ที่เขาต้องทำเองทุกอย่างคนเดียว
คงเป็นโชคดีที่ยุนโฮอารมณ์ไม่ค่อยดี คืนนี้จุนซูจึงโดนไล่ให้ไปพักตั้งแต่ยังไม่สองทุ่มดี และความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดอาทิตย์ทำให้จุนซูเต็มใจรับคำสั่งโดยไม่โต้แย้ง พอลายุนโฮแล้วจุนซูก็รีบตรงดิ่งกลับมาที่ห้องนอนทันที ไม่เสียเวลาแม้แต่จะเปิดไฟ หรืออาบน้ำ ร่างเล็กถอดเสื้อผ้าโยนทิ้งตามพื้นระหว่างเดิน จนเหลือแต่เสื้อกล้ามก็ถึงเตียงพอดี และก็หลับตั้งแต่ตอนนั้นจนกระทั่ง...
เสียงเคาะประตูอย่างเกรงใจดังขึ้นสามครั้งก่อนจะเงียบไป แต่นั้นก็เพียงพอจะปลุกให้ร่างใต้ผ้าห่มรู้สึกตัว เปลือกตาบางเลื่อนขึ้นอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาเรียวเล็กฉายแววหงุดหงิดเล็กๆ เมื่อพบว่าฟ้ายังมืดอยู่ แต่ก็รีบลุกไปที่ประตูก่อนจะมีเสียงเคาะระลอกที่สองตามมา คนที่มาเป็นฮยอกแจดังคาด แต่ดูจากสีหน้าแล้วคงไม่ใช่เรื่องด่วน
“มีอะไร”
“นายใหญ่น่ะ”
“เรียกฉัน...?” จุนซูเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ แต่ฮยอกแจก็รีบส่ายหน้า
“เปล่า แต่นายใหญ่ดื่มตั้งแต่ก่อนนายจะมา ตอนนี้ยังไม่เลิกเลย ไม่มีใครกล้าห้ามด้วย ช่วยหน่อยได้ไหม” จุนซูหันไปมองนาฬิกาในห้อง เขาแยกกับยุนโฮประมาณสองทุ่ม ตอนออกมาก็นึกว่าอีกสักพักคงเลิก แต่นี่ตีสองกว่าแล้ว ...ก็เข้าใจเหตุผลที่ฮยอกแจต้องมาขอร้องอยู่หรอก
“ขอแต่งตัวเดี๋ยว”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่จุนซูก็หยิบแค่เสื้อคลุมคาร์ดิแกนตัวบางสวมทับเสื้อกล้ามไปแค่ชั้นเดียว แล้วตามฮยอกแจไปห้องเจ้านายหนุ่มที่อยู่ห่างไปไม่กี่สิบก้าว บอดีการ์ดที่เฝ้าหน้าประตูกำลังจะโค้งตัวลงเมื่อเห็นหัวหน้าของตน แต่จุนซูก็โบกมือห้าม แล้วให้ฮยอกแจอยู่ข้างนอก ก่อนจะเข้าไปในห้องเพียงคนเดียว
จากจุดที่ยืนอยู่ จุนซูเห็นขวดแก้วใสที่เคยมีน้ำเมาสีน้ำตาลทองอยู่เต็มขวดตอนเขาออกไป ไม่คิดว่าตอนนี้จะกลายเป็นขวดเปล่า เหลืออยู่เล็กน้อยภายในแก้วใสที่อยู่ตรงหน้ายุนโฮ ร่างสูงนั่งโค้งตัวไปข้างหน้าคล้ายจะหมอบลงกับโต๊ะ แม้จะเมามายขนาดที่กลิ่นเหล้าโชยมาจนจุนซูได้กลิ่นแต่ก็ยังรับรู้ว่ามีใครอยู่ข้างหลัง
“ใคร?”
“ผมเองครับ” พอรู้ว่าเป็นใคร ยุนโฮก็กวักมือเรียกให้มานั่งข้างๆ ทั้งที่ไม่ได้หันไปมอง
“ตาแก่นั่นมันเห็นฉันเป็นตัวตลกหรือไง!” นายใหญ่แห่งตระกูลชองว่าอย่างหงุดหงิดทันทีที่จุนซูนั่งลง คล้ายจะระบายความในใจ ยุนโฮไม่ค่อยพูดหรือเล่าความคิดของตัวเองให้คนอื่นรู้มากนัก เฉพาะตอนที่ไม่มีสตินี่ล่ะถึงจะได้ฟัง แล้วมันก็ทำให้เขาต้องถอนหายใจ รู้เลยว่ายุนโฮโกรธแค่ไหน ถ้าเข้าไปไม่ทัน...มีหวังซอจูฮยางกลายเป็นศพไปแล้ว
จุนซูปล่อยให้ยุนโฮพูดไปเรื่อย ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง แค่ส่งเสียงตอบรับไปบ้างเป็นบ้างครั้งเพื่อบอกว่าตัวเองยังฟังอยู่ ทั้งที่ไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ แถมพูดๆ ไปร่างสูงก็เอนตัวลงมาเรื่อยจนซบอยู่ที่ตักพอดี จุนซูไม่ได้ใส่ใจมากนัก คงเพราะง่วงอยู่พอควร ยิ่งได้ยินเสียงทุ้มต่ำพูดไม่หยุดก็เหมือนเพลงกล่อม แต่แล้วร่างเล็กที่เกือบจะหลับไปก็สะดุ้งตื่นเต็มตาเพราะคำถามของยุนโฮ
“นายจะไม่ทรยศฉัน ใช่ไหม”
“คุณยุนโฮ”
“นาย...เฉพาะนายเท่านั้นที่ห้ามทรยศฉัน!”
เพราะคนพูดหลับตาอยู่ จุนซูจึงไม่รู้ว่ายุนโฮพูดด้วยความรู้สึกแบบไหน แม้จะจับแววจริงจังได้ในน้ำเสียง แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้โกรธขึ้นมา ห้ามเขาทรยศงั้นเหรอ ยุนโฮพลาดแล้วล่ะ พลาดตั้งแต่รับเขาเข้ามาในตระกูลชองแล้ว เหตุผลเดียวที่เขายังอยู่ที่นี่ก็เพื่อแก้แค้นเท่านั้น ระยะห่างเพียงแค่นี้ จะฆ่าซะตั้งแต่ตอนนี้ก็ยังได้ จุนซูต้องกำมือแน่นเพื่อหักห้ามใจตัวเอง ...ยังหรอก ยังไม่ถึงเวลานั้น
“คุณยุนโฮเมาแล้วนะครับ” จุนซูเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องแทนตอบคำถาม แต่คงปล่อยให้อีกฝ่ายรอคำตอบนานไปหน่อย คนที่นอนอยู่เหมือนจะหลับไปแล้วจริงๆ จุนซูก็เลยแบกร่างสูงกว่าไปที่เตียงอย่างทุลักทุเลเพราะขี้เกียจเรียกคนมาช่วย พอจัดท่าทางให้เรียบร้อยก็ออกมา
บนโต๊ะยังมีแก้วที่วางทิ้งไว้เหลือของเหลวติดอยู่ก้นแก้ว ไม่รู้อะไรดลใจให้จุนซูหยิบที่เหลือนั่นมาดื่ม ก่อนจะกลับไปที่ห้องของตัวเอง จุนซูล้มตัวลงนอนแต่กลับนอนไม่หลับ ทั้งที่ง่วงมาก แต่พอหลับตาก็จะได้ยินคำถามของยุนโฮซ้ำๆ อยู่ร่ำไป นานทีเดียวกว่าจุนซูจะข่มตาหลับลงได้
.
.
.
ชั้นบนสุดของโรงแรมใหญ่เป็นพื้นที่ของผู้นำแห่งตระกูลปาร์คแต่เพียงผู้เดียว ภายในตกแต่งด้วยสไตล์วิคตอเรียน รูปแบบเดียวกับโรงแรมแต่ประยุกต์ให้ดูทันสมัยและประโยชน์ใช้สอยตามความเป็นจริง ผนังห้องเกินครึ่งเป็นกระจกใสรอบด้านเปิดให้เห็นวิวทิวทัศน์ แบ่งเป็นห้องทำงาน ห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องครัว ห้องน้ำ และลานกลางแจ้งที่มีบริเวณกว้างขวาง ระหว่างทางเดินเชื่อมห้องจะเป็นชั้นหนังสือและชั้นวางของต่างๆ สำหรับห้องนอนนั้น มีพื้นที่กว้างรองจากลานกลางแจ้งเพราะมีทั้งมินิบาร์และชั้นวางเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดผนังห้อง ในขณะที่ห้องครัวเป็นพื้นที่ที่เล็กที่สุด เพราะมีแค่โต๊ะรับประทานอาหารกับตู้เย็น นอกนั้นเหมือนมีไว้ประดับมากกว่า ปกติยูชอนจะอยู่คนเดียว ลูกน้องทุกคนจะอยู่ถัดลงไปอีกหนึ่งชั้น เว้นก็แต่บอดีการ์ดคนใหม่ที่ได้รับสิทธิพิเศษให้พักอยู่กับผู้นำตระกูลปาร์ค
กลิ่นหอมแชมพูอ่อนๆ ลอยโชยมาแตะจมูกพาเอาคนที่จดจ่ออยู่กับข้อความบนหน้าจอโน้ตบุ๊คต้องละสายตาเพื่อหาที่มา ก็เจอแจจุงที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ ร่างบางมัวแต่เช็ดผมด้วยผ้าขนหนูผืนโตที่คลุมหัวตัวเองเกือบมิดจึงไม่รู้ว่าถูกมอง กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ยูชอนมายืนอยู่ตรงหน้า แถมยังยื่นมือมาเอาผ้าผืนเดิมซับน้ำจากปลายผมอย่างเบามือแทนแจจุงที่มัวแต่อึ้งจนลืมไปแล้วว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ส่วนคนที่รับบทช่างทำผมจำเป็นก็ทำหน้าที่ตัวเองเสียเพลิน กลิ่นหอมแชมพูอ่อนๆ ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งได้กลิ่นชัด ทั้งที่แชมพูก็อันเดียวกันแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้หอมหวานกว่าที่เคยใช้ ยูชอนก็ไม่เข้าใจ เพียงแต่ได้สูดกลิ่นหอมผ่านกลุ่มผมดำสลวยก็ชวนให้รู้สึกดี ปลายนิ้วสอดไล้ไปตามโคนผมจนถึงปลายที่มีไอชื้นเหลืออยู่เล็กน้อย ทิ้งไว้อีกสักพักก็คงแห้งสนิท
“แห้งแล้วล่ะ”
“ขะ...ขอบคุณครับ”
“ไม่เป็นไร ถ้าง่วงก็นอนไปก่อนเลยนะ” ยูชอนว่าก่อนเดินกลับไปนั่งบนเตียงหยิบโน้ตบุ๊คมาทำงานต่อ ตอนนี้เขาเหลือแค่อ่านรายงานของวันนี้ให้ครบก็เสร็จแล้ว เรื่องของซอจูฮยางทำวุ่นวายมาทั้งวัน ยังดีที่แจจุงช่วยพวกเขาได้มาก ไม่อย่างนั้นคืนนี้เขาอาจจะไม่ได้นอนก็ได้ ยูชอนมัวแต่รีบจะทำงานให้เสร็จจนลืมสังเกตว่าใครคนหนึ่งที่ควรจะมานอนกลับยืนเฉยอยู่นานแล้ว
แจจุงไม่แน่ใจว่ายูชอนจะให้เขานอนที่ไหน เท่าที่เขาดูที่นี่มีห้องนอนแค่ห้องเดียวและเตียงก็มีแค่ในห้องนี้ ถึงเตียงจะใหญ่มากเกินพอสำหรับคนสองคน แล้วเขาก็เคยนอนมาแล้ว แต่ยูชอนคงไม่ได้ความว่าจะให้นอนด้วยหรอกนะ
“เรา...ต้องนอนด้วยกันเหรอครับ”
“มีปัญหาหรือเปล่า”
“ไม่มีครับ แต่ให้ผมนอนที่พื้นหรือโซฟาข้างนอกไม่ดีกว่าเหรอครับ” ยูชอนยังไม่ได้ตอบแต่ดูจากสีหน้าแจจุงก็รู้แล้วว่าไม่อนุญาต แทนที่จะยืนเฉยต่อไปให้ยูชอนหงุดหงิดใจ แจจุงจึงนอนลงที่อีกฝั่งของเตียงโดยเว้นระยะห่างจากเจ้านายคนใหม่พอควร
“กับยุนโฮ...ไม่ได้นอนด้วยกันเหรอ” ยูชอนเลิกสนใจงานตัวเองชั่วคราว เรื่องที่ให้แจจุงอยู่ด้วยน่ะ จะบอกว่ามีเหตุผลก็มี ไม่มีเหตุผลก็ได้ แต่เขาก็ดันคิดไปเองว่าตอนอยู่ที่ตระกูลชองจะเป็นแบบนี้ด้วย
“แค่บางครั้งครับ ปกติถ้าเสร็จงานแล้วผมจะกลับไปที่ห้องของตัวเอง” แจจุงไม่ได้อธิบายละเอียด เหมือนไม่อยากจะพูดถึง แต่ยูชอนก็เข้าใจ ก่อนหน้านี้มีรายงานเกี่ยวกับหัวหน้าการ์ดแห่งตระกูลชอง ที่ดูเหมือนความสัมพันธ์กับนายใหญ่แห่งเขตใต้จะเกินเลย เด็กคนนั้นเต็มใจหรือเปล่า เขาไม่รู้หรอก แจจุงก็ทำเหมือนไม่สนใจ แต่เขาจำได้ว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกัน
คิดแล้วก็ได้แต่ถอนใจ นิสัยเรื่องนี้ของเพื่อนเก่าดูจะไม่เปลี่ยนไปเลย ยุนโฮก็ยังเป็นยุนโฮคนเดิม เป็นผู้ชายที่ไม่ได้มีหัวใจไว้เพื่อรักใคร แต่เรื่องที่น่าเศร้าก็คือมีคนที่รักผู้ชายแบบนั้น ทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจ แจจุงไม่ใช่คนแรกและเด็กคนนั้นก็คงไม่ใช่คนสุดท้าย แต่ยูชอนบอกได้อย่างหนึ่ง สักวันยุนโฮจะต้องเสียใจที่โยนกุหลาบดอกนี้ทิ้ง
“แจจุง”
“ครับ?”
ยูชอนเหมือนอยากจะถามอะไรสักอย่างแต่ยังลังเล พักใหญ่ทีเดียวกว่าเสียงทุ้มจะเอ่ยออกมา
“…ยังกลัวฉันอยู่ไหม”
ดวงตาคู่สวยฉายแววตื่นตระหนกชัดเจน แต่กลับส่ายหน้าปฏิเสธแทนคำตอบ เพราะตกใจที่ถูกจับได้ หากสายตาดุๆ ที่คาดคั้นเอาความจริงโดยไม่ปริปากก็ทำให้แจจุงต้องยอมสารภาพ
“ขอโทษครับ ผม...” แจจุงพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าควรจะพูดแบบไหน แก้ตัวยังไง ยูชอนถึงจะไม่โกรธ ถึงจะกลัว แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่อยากอยู่ใกล้ๆ นี่นา เพียงแต่บางครั้งมันก็อึดอัด เขายังไม่ชินกับสภาพปัจจุบันนี้เท่าไหร่ พอเห็นยูชอนเงียบไป แจจุงก็ใจเสีย มือที่กำแน่นในตอนแรกเอื้อมแตะแขนคนที่เอาแต่เงียบอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“โกรธเหรอครับ” เสียงหวานสั่นเครือ นัยน์ตาคู่งามช้อนขึ้นมองอย่างอ้อนวอน สายตาที่ทั้งน่าสงสาร และน่าเอ็นดู แล้วยูชอนก็ใจอ่อนอีกตามเคย จริงๆ แล้วเขาไม่ได้โกรธด้วยซ้ำ แต่ที่ทำมึนตึงก็เพราะเคืองที่แจจุงไม่ยอมตอบตามตรงต่างหาก
“เปล่านี่ จะโกรธไปทำไมล่ะ” ยูชอนตอบให้ร่างบางคลายความกังวล ปลายนิ้วเกลี่ยปอยผมกลุ่มเล็กที่บดบังดวงตาคู่สวยขึ้นไปทัดหู ได้ยินอย่างนั้นแจจุงก็สบายใจ ...ยูชอนคงไม่รู้หรอกว่าตัวเองมีอิทธิพลกับกุหลาบงามมากมายเพียงใด
“นอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้านะ”
“ราตรีสวัสดิ์ครับ”
ผู้นำตระกูลปาร์คยิ้มรับแต่ไม่ได้ตอบอะไร ถึงจะรู้สึกแปลกในใจอยู่บ้างก็ตาม ใช่ว่าจะไม่เคยมีคนมาบอกลาก่อนจะนอนสักหน่อย แต่ไม่รู้ว่าพอเป็นแจจุงทำไมถึงต่างออกไป คิดแล้วก็โล่งใจที่ไม่ได้ถามเรื่องตอนอยู่ชอนมุนแดออกไป ทีแรกยูชอนตั้งใจ แต่มาเปลี่ยนใจเอากลางคัน ไม่ใช่ว่าไม่อยากรู้ แต่ยูชอนยังไม่อยากถามตอนนี้ ไว้รอโอกาสดีๆกว่านี้แล้วค่อยถามก็ยังไม่สาย
ยูชอนหันมาตั้งสมาธิอ่านรายงานที่เหลืออีกพักใหญ่ กว่าจะเสร็จเรียบร้อยดี คนข้างตัวชายหนุ่มก็หลับสนิทไปแล้ว ยูชอนวางโน้ตบุ๊คไว้ที่โต๊ะข้างเตียง ปิดไฟในห้องทั้งหมดซึ่งเป็นระบบอัตโนมัติผ่านรีโมทคอนโทรล มีเพียงโคมไฟข้างหัวเตียงที่ต้องปิดสวิตซ์ด้วยมือ เหลือก็แต่โคมไฟที่อยู่อีกด้านที่ต้องเอี้ยวตัวไปปิด และมันทำให้เขาอยู่ใกล้มากพอจะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเส้นผมที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อย ยูชอนโน้มตัวลงอย่างระมัดระวังไม่ให้แจจุงรู้สึกตัว ริมฝีปากอุ่นแตะหน้าผากคนที่หลับสนิทอย่างแผ่วเบา
"ราตรีสวัสดิ์"
To Be Con...
Sakura’s Talk : ครบ 100% แล้วค่า ลืมเนื้อเรื่องกันไปหมดแล้วใช่ไหม 5555 ไม่ต้องห่วงนะคะ เพราะคนเขียนก็ยังลืมเลยค่ะ 5555555
-b g--s b- + + ไม้กาง เขน B G
ความคิดเห็น