คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : [ 12 ] : Moving On
Chapter XII : Moving On
…อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการค้า คุณภาพของสินค้าถือเป็นปัจจัยสำคัญ ของที่มีคุณภาพดีย่อมได้เปรียบเป็นธรรมดา และตระกูลชองก็ไม่เคยเป็นรองใครในเรื่องนี้ โดยเฉพาะธุรกิจหลักด้านการก่อสร้างที่เป็นแหล่งรายได้อันดับต้นๆ เทียบเท่ากับการค้าในย่านชอนมุนแด แม้การก่อสร้างจะต้องลงทุนมากและใช้เวลานาน แต่ผลตอบแทนที่ได้ก็จะมหาศาลตามไปด้วย และตระกูลชองก็มีงานเข้ามาไม่เคยขาดมือเพราะคนที่ยุนโฮร่วมงานด้วยคือผู้กุมอำนาจสูงสุดในประเทศ...ซอจูฮยาง ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของเงินที่ซอจูฮยางใช้ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วล้วนมาจากตระกูลชองทั้งสิ้น ยุนโฮถือว่าเป็นการลงทุนเพื่อแลกกับผลประโยชน์ต่างๆ โดยเฉพาะสัมปทานที่รัฐบาลจะมอบให้เอกชนดูแล และซอจูฮยางก็ทำงานได้ดีมาโดยตลอด ตระกูลชองผูกขาดโครงการก่อสร้างทุกอย่างของรัฐบาลไว้แต่เพียงผู้เดียว และเมื่อการเลือกตั้งครั้งใหม่ใกล้เข้ามา ยุนโฮก็ยังให้การสนับสนุนเหมือนเคย ทว่าการเลือกตั้งครั้งนี้กลับไม่ราบรื่นเหมือนครั้งก่อน เพราะคู่แข่งจากพรรคฝ่ายตรงข้ามคือ ‘จองยงฮวา’
คงไม่น่ากังวลอะไรถ้ายงฮวาจะเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดาๆ ที่ลงเลือกตั้งเป็นครั้งแรก... แต่ไม่ว่าจะมองมุมไหน แจจุงก็หาความธรรมดาจากผู้ชายคนนี้ไม่เจอ นอกจากจะเป็นลูกชายของอดีตประธานาธิบดีคนก่อนที่ประชาชนต่างเคารพยกย่องแล้ว ยงฮวายังมีคู่หมั้นเป็นลูกสาวแท้ๆ ของประธานาธิบดีซอจูฮยาง หญิงสาวที่ไม่ว่าใครก็ต้องก้มหัวให้เธอในฐานะสตรีหมายเลขหนึ่งของประเทศ ‘ท่านหญิงซอฮยอน’ หรือ ‘ซอจูฮยอน’
เพราะภรรยาของซอจูฮยางเสียชีวิตไปแล้ว ซอฮยอนจึงทำหน้าที่นี้แทน ทว่าความไม่ลงรอยกันของสองพ่อลูกต่างเป็นที่โจษจันกันไปทั่ว และการแสดงออกของทั้งสองฝ่ายก็ชัดเจน ทั้งสองคนแทบจะไม่เคยออกงานร่วมกัน เรียกว่างานไหนมีประธานาธิบดีซอก็ไม่ต้องหวังจะได้พบท่านหญิงซอฮยอนเลย
ตอนที่ยังอยู่กับยุนโฮ แจจุงมีโอกาสเจอซอจูฮยางหลายครั้ง แต่เคยพบท่านหญิงซอฮยอนแค่ครั้งเดียว และก็เป็นครั้งที่ทำเอาลืมไม่ลงเลย ในงานเลี้ยงฉลองที่ซอจูฮยางเชิญยุนโฮไปเป็นแขกเมื่อปีที่แล้ว หญิงสาวแวะมาที่งานไม่ถึงสิบนาที แต่ก็ทำให้งานฉลองเละเทะระส่ำระสายจนต้องเลิกก่อนกำหนด ด้วยการควงลูกชายของอดีตประธานาธิบดีที่เปรียบเหมือนศัตรูทางการเมืองของพ่อตัวเองมาประกาศหมั้นกันกลางงานเลี้ยง ฉีกหน้าซอจูฮยางเสียยับเยินถึงขนาดตะโกนลั่นตัดสัมพันธ์พ่อลูก แต่ที่ทำให้อึ้งยิ่งกว่า ก็เป็นเพราะนี่คือสิ่งที่หญิงสาวต้องการ เธอยิ้มให้กับทุกคนก่อนจะจากไปพร้อมกับคู่หมั้น รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าที่อ่อนเยาว์ไร้เดียงสาอยู่เสมอนั่นล่ะที่น่ากลัว เหมือนที่คนเขาพูดกันดอกไม้งามย่อมมีหนาม ใครจะคาดคิดว่าตระกูลปาร์คหนุนหลังยงฮวาก็เพราะมีซอฮยอนอยู่เบื้องหลัง
มาถึงตอนนี้...เหลือเวลาอีกเพียงแค่เดือนเดียวก่อนจะถึงวันเลือกตั้ง และซอจูฮยางยังคงมีคะแนนนำมาตลอด จนกระทั่งข่าวภาคค่ำเมื่อคืนออกอากาศ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบหลักฐานการมอบสัมปทานอย่างผิดกฎหมายของประธานาธิบดีซอ และที่สำคัญที่สุด สัมปทานในข่าวนั้นเป็นงานที่ไม่ใช่ของตระกูลชอง...นั่นหมายความว่า ซอจูฮยางแอบให้สัมปทานนี้กับคนอื่นลับหลังยุนโฮ
แจจุงไม่แปลกใจเลยที่ท่านหญิงซอฮยอนจะอยู่เบื้องหลังข่าวนี้ แต่แปลกใจมากกว่าที่ซอจูฮยางกล้าทำ และตระกูลชองก็ไม่เคยระแคะระคายมาก่อน เขาแทบไม่อยากจินตนาการเลยว่า ยุนโฮจะโมโหแค่ไหนตอนเห็นพาดหัวข่าวบนหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในเช้าวันนี้
นัยน์ตาคู่งามมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่ตรงหัวเตียงเลยผ่านไปยังชั้นหนังสือ ห้องกว้างที่เคยมีเฟอร์นิเจอร์น้อยขนาดนับชิ้นได้ เวลานี้กลับเต็มไปด้วยสิ่งของอำนวยความสะดวกมากมายที่เพิ่งจะถูกขนย้ายเข้ามา เจ้าของคนปัจจุบันมองแล้วก็ได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ ที่ชางมินเคยบอกว่ายูชอนใจดีน่ะ เขาไม่เถียงแล้ว...ออกจะใจดีมากเกินไปด้วยซ้ำ ทั้งที่เขาก็ยืนยันแล้วว่าไม่ต้องการอะไรเพิ่มอีก แต่เพราะยูชอนไม่ยอม สุดท้ายข้าวของเครื่องใช้ก็เลยเต็มห้องอย่างที่เห็น
หลังจากการต่อสู้ในคืนนั้น ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะดีขึ้นตามลำดับ เยซองไม่ติดใจเรื่องเขาอีก ชางมินบอกว่าคงเพราะข้อมูลเรื่องผู้หญิงที่ชื่อยูริที่เขาเล่าให้ยูชอนฟังมีประโยชน์มาก เสียดายที่เธอไหวตัวหนีไปได้ทันก่อนที่คนของตระกูลปาร์คจะไปถึง แต่นี่ก็ทำให้รู้ว่าหนอนบ่อนไส้ไม่ได้มีเพียงยูริแค่คนเดียว เยซองจึงต้องเริ่มตรวจสอบคนในตระกูลปาร์คทุกคนอย่างละเอียดด้วยตัวเอง
นอกจากเยซองแล้ว ซีวอนก็เป็นอีกคนที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากที่ไม่เคยเห็นแม้แต่เงากลับโผล่มาเยี่ยมได้แทบทุกวัน ช่วงแรกก็ยังเกร็งกันทั้งคู่ ถามคำตอบคำจนน่าอึดอัด แต่ผ่านไปอาทิตย์เดียวไม่รู้ทำไมไปๆ มาๆ เขากับซีวอนกลับเข้ากันได้ดีกว่าที่คิดซะอีก แต่ไม่ว่าใครก็ไม่ทำให้แจจุงแปลกใจได้เท่ากับยูชอน... ทั้งที่การเลือกตั้งทำให้ชายหนุ่มมีงานยุ่งวุ่นวายตลอดวัน การพักอยู่ที่โรงแรมซึ่งตั้งอยู่ในตัวเมืองน่าจะสะดวกกว่าแท้ๆ แต่ยูชอนก็ยังอุตส่าห์กลับมาที่บ้านทุกวัน แม้จะดึกแค่ไหนก็ตาม
“สายป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย” เสียงหวานอุทานพลางรีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัวหลังจากดูนาฬิกาอีกครั้ง แล้วพบว่าตัวเองมัวแต่นอนคิดอะไรเพลินจนลืมเวลาไปเลย อันที่จริงมันก็ไม่ได้เลยเวลาตื่นปกติมากนัก แต่ที่แจจุงรีบก็เพราะวันนี้เป็นวันสำคัญ...วันแรกที่เขาจะทำงานในฐานะบอดีการ์ดของปาร์คยูชอน
.
.
.
ในขณะเดียวกัน บรรยากาศภายในห้องอาหารของตระกูลชองเงียบสนิททั้งที่มีคนอยู่ในห้องไม่ต่ำกว่าสิบคน ยุนโฮนั่งเงียบอยู่ที่โต๊ะพร้อมกับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่ถูกโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี ก่อนจะตามด้วยฉบับอื่นๆ ที่พาดหัวข่าวและเนื้อหาไม่ต่างกัน อารมณ์ที่พยายามอดกลั้นคล้ายกับภูเขาไฟที่รอการระเบิดส่งผลให้ภายในห้องเงียบกริบ ทุกคนได้แต่ก้มหน้านิ่งไม่มีใครกล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว
“ตาเฒ่านั่นคิดว่าตัวเองเป็นใคร!” เสียงทุ้มตวาดลั่นก่อนจะขว้างหนังสือพิมพ์ฉบับสุดท้ายลงกระแทกพื้น จุนซูเหลือบมองหนังสือพิมพ์ฉบับที่ตกอยู่ใกล้ปลายเท้าตัวเองมากที่สุดอย่างอ่อนใจ พาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับล้วนเป็นเรื่องเดียวกัน ข่าวการให้สัมปทานอย่างผิดกฎหมายของ ‘ซอจูฮยาง’ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ทั้งที่จะมีการเลือกตั้งอีกครั้งในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ตั้งแต่เมื่อคืนที่เรื่องนี้แดงขึ้นมา คะแนนความนิยมของประธานาธิบดีซอก็ตกลงฮวบฮาบ ความหวังที่จะได้ครองเก้าอี้อีกสมัยเริ่มริบหรี่ ยิ่งเมื่อเทียบกับ ‘จองยงฮวา’ คู่แข่งเรียกว่าทิ้งห่างมองไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว
แต่เรื่องที่จะแพ้การเลือกตั้งไม่ได้ทำให้ยุนโฮเดือดดาลได้เท่ากับสัมปทานที่อยู่ในข่าว ซอจูฮยางหลงระเริงในอำนาจจนลืมไปว่าที่ได้ดิบได้ดีเป็นใหญ่เป็นโตอย่างทุกวันนี้เป็นเพราะใคร ความจริงถ้ามอบสัมปทานนั่นให้กับตระกูลชอง ก็คงไม่ทิ้งร่องรอยความผิดให้ตามเจออย่างนี้หรอก ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือต่อให้ยุนโฮอยากจะตัดขาดกับซอจูฮยางอย่างไรก็ทำไม่ได้ง่ายๆ เพราะหากยงฮวาได้ตำแหน่งไป ตระกูลชองจะไม่เหลืออำนาจใดในสภาเลย
จุนซูขมวดคิ้วเข้าหากัน เมื่อสังเกตเห็นซองจดหมายสีครีมประทับตราสีทองที่กำลังถูกส่งต่อกันมาจากข้างหลัง ในสภาวะที่อารมณ์ของเจ้านายหนุ่มเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครอยากเสี่ยงทำให้มันระเบิดขึ้นมา และเขาก็แทบอยากจะโยนจดหมายนั่นทิ้งทันทีที่มันมาถึงมือตัวเองและพบว่าไม่มีใครให้ส่งต่ออีกแล้วนอกจาก...ยุนโฮ
จุนซูใช้หางตาตวัดมองฮีชอลที่เป็นคนยัดจดหมายใส่มือเขาอย่างตำหนิ แต่เจ้าตัวก็ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างน่าหมั่นไส้ โดยมีฮยอกแจที่ก้มหัวขอโทษเขาที่ห้ามฮีชอลไว้ไม่ทันทั้งที่ยืนอยู่ข้างกัน ทั้งๆ ที่คนที่ควรจะรับหน้าเรื่องนี้มากที่สุดก็คือเจ้าตัวเองนั่นแหละ ฮีชอลคงรู้ว่าถ้าตัวเองออกหน้า ยุนโฮก็คงให้เจ้าตัว ‘รับผิดชอบ’ อย่างสาสม ในฐานะที่เป็นตัวแทนของตระกูลชองที่คอยติดต่อประสานงานกับซอจูฮยางโดยตรงแท้ๆ แต่กลับไม่เคยเฉลียวใจเลยว่าตาแก่นั่นกำลังเล่นไม่ซื่อ
“มีจดหมายเชิญจากทำเนียบส่งมาครับ” จุนซูตัดสินใจก้าวไปวางจดหมายลงบนโต๊ะแล้วรีบถอยกลับมาอย่างรวดเร็ว ถึงจะคิดว่ายุนโฮคงไม่ระบายอารมณ์กับเขาเหมือนคนอื่น แต่บอกตามตรง ถ้าไม่จำเป็นจุนซูก็ไม่อยากเป็นคนรับหน้านัก
“เชิญงั้นเหรอ” น้ำเสียงที่พูดนั้นเรียบเฉย แต่นัยน์ตาคมที่ปรายมองตราประทับสีทองอันเป็นสัญลักษณ์ของทำเนียบประธานาธิบดีแห่งเกาหลีใต้ฉายแววหงุดหงิดจนจุนซูไม่กล้าสบตา
“เขาอุตส่าห์ ‘เชิญ’ มา เราก็ควรรีบไปใช่ไหม” ยุนโฮไม่แม้แต่จะเปิดอ่านเนื้อความด้านใน นายใหญ่แห่งเขตใต้ปัดซองไปให้พ้นสายตา แต่สิ่งที่ร่วงหล่นไม่ได้มีเพียงซองจดหมายเพียงอย่างเดียว
เพล๊ง!
เสียงแก้วแตกดังลั่นบาดหู ก่อนจะเหลือทิ้งไว้เพียงความเงียบ จุนซูค่อยๆ ลืมตา เขาเห็นตอนที่เจ้านายหนุ่มสะบัดมือไปโดนแก้วน้ำพอดี นึกว่าจะต้องโดนตัวเองแน่แล้ว แต่มันกลับไม่เฉียดเข้าใกล้เลยสักนิดทั้งที่เขาอยู่ใกล้ยุนโฮมากที่สุด พอหันไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียงก็พบเศษแก้วแตกกระจายอยู่แทบเท้าฮีชอลที่หน้าซีดเผือด ยุนโฮจงใจหรือเปล่าไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆ ก็ทำหลายคนขนหัวลุกไปแล้ว
จริงอยู่ว่านายใหญ่แห่งเขตใต้ค่อนข้างจะขี้โมโห และหงุดหงิดอยู่บ่อยๆ แต่เวลาที่โกรธจริงๆ ยุนโฮจะไม่พูดแต่จะใช้สายตาเอ่ยแทน ฟังดูเหมือนไม่น่ากลัว แต่จุนซูบอกได้เลยว่าแค่สายตานั่นก็ฆ่าคนได้ แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ก็ทำให้ทุกคนหวาดผวาไปเสียทุกครั้ง อย่างเช่นในครั้งนี้ ...เจ้านายหนุ่มใช้เพียงแค่หางตาตวัดมองด้วยสีหน้าที่มึนตึงยิ่งกว่าเดิม เหล่าคนที่มัวแต่อึ้งจึงได้สติต่างคนต่างรีบแยกย้ายไปจัดเตรียมรถและสิ่งของที่ต้องใช้ในการพบปะกับเจ้าของจดหมายเชิญอย่างเร่งด่วน
.
.
.
แจจุงมองภาพตัวเองที่สะท้อนในกระจกบานใหญ่อย่างไม่ค่อยมั่นใจ แม้จะสวมแค่เชิ้ตสีพื้นสวมทับด้วยสูทสีดำแบบไม่เป็นทางการมากนัก แต่ก็เพราะแบบนี้แหละเขาถึงได้กังวล มือก็จับปกเสื้อขยับไปมา ติดกระดุมคอแล้วก็ปลด แล้วก็ติดซ้ำอีกครั้ง ดีเท่าไหร่แล้วที่ชางมินเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้เรียบร้อย ไม่อย่างนั้นเขาคงได้แต่ยืนอ้ำอึ้งหน้าตู้เสื้อผ้าเพราะไม่รู้ว่าควรจะแต่งตัวยังไงดีเป็นแน่ แต่สุดท้ายเขาก็ยังมีปัญหากับกระดุมคออยู่ดี
“เอายังไงดีนะ” เสียงหวานพึมพำพลางถอนใจ แล้วปลดกระดุมออกอีกครั้ง ...จะติดกระดุมก็ดูแปลกเพราะไม่มีเนคไท แต่จะไม่ติดเลยก็ไม่ค่อยสุภาพ แจจุงไม่ชินกับการแต่งตัวแบบสบายๆ ของตระกูลปาร์คสักเท่าไหร่ คนที่นี่ไม่ผูกเนคไทไม่แต่งตัวเป็นทางการ เว้นแต่จะไปร่วมงานสำคัญ ต่างกับตระกูลชองที่เคร่งครัดอยู่ตลอดเวลา
“ทำอะไรอยู่น่ะ?” เสียงทักทำให้ร่างบางตกใจสะดุ้งโหย่งปล่อยมือจากปกเสื้อเจ้าปัญหาแทบไม่ทัน แจจุงไม่รู้เลยว่าซีวอนเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่
“เปล่านี่”
“แค่นี้ก็ดูดีมากแล้วน่า” คนมีฐานะเป็นหัวหน้าตบไหล่ลูกน้องคนใหม่เบาๆ ไม่อยากจะบอกความจริงว่าเขาเห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่แรก เพียงแต่ยืนดูเพลินจนลืมไปเลยว่าตั้งใจมาเรียกให้ไปหายูชอนพร้อมกัน ก่อนจะชะงักไปเพราะสังเกตเห็นสร้อยคอที่แจจุงสวมอยู่ ปกคอเสื้อที่เปิดกว้างเผยให้เห็นแหวนสีเงินเกลี้ยงที่ร้อยอยู่กับสายสร้อย
“สร้อยนี่?”
“เขาให้มาน่ะ มีอะไรรึเปล่า?” ซีวอนพยักหน้าเข้าใจ ‘เขา’ ที่แจจุงเรียกไม่มีใครอื่นนอกจากยูชอน แต่สีหน้าที่แปลกไปของหัวหน้าการ์ดเมื่อเห็นสร้อยก็ไม่รอดสายตาแจจุงที่รีบถามอย่างกังวล เพราะบางทีมันอาจจะไม่ใช่ของที่ยูชอนควรมอบให้เขา ถึงจะเป็นแหวนกับสร้อยที่ดูเรียบๆ แต่ก็คงมีราคามากทีเดียว และถ้าเกิดมันเป็นของสำคัญขึ้นมา เขาคงไม่กล้ารับเอาไว้
“เปล่าหรอก ถ้าเสร็จแล้วก็ไปกันเถอะ” ซีวอนตัดบทสนทนาให้จบลงด้วยการดันหลังให้คนขี้กังวลให้ออกจากห้องไปพบยูชอนสักที ถึงวันนี้ตามกำหนดการแล้วผู้เป็นนายจะไม่มีงานที่ไหนนอกจากการย้ายไปพักที่โรงแรมใหญ่ แต่การเลือกตั้งที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก็ทำให้ยูชอนมีสิ่งที่ต้องทำเข้ามาตลอด ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในแต่ละวัน
“มาแล้วเหรอ”
ยูชอนพับหนังสือพิมพ์ส่งให้ชางมิน เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู ซีวอนโค้งคำนับก่อนจะเดินไปอยู่ข้างๆ พร้อมกับแจจุงที่ยืนหลบอยู่ข้างหลังอย่างคนทำตัวไม่ถูก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังเคยคุยเป็นปกติได้แท้ๆ แต่ยูชอนในฐานะเจ้านาย แจจุงกลับไม่รู้ว่าควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรดี ขณะที่ชางมินเมื่อเห็นคนครบก็เริ่มรายงานสถานการณ์ปัจจุบัน
“เรื่องคะแนนเสียงไม่ต้องเป็นห่วงแล้วครับ แต่ปัญหาก็คือการตัดสินใจของทางนั้น...” ชางมินเปิดภาพจากหน้าจอให้ทุกคนเห็น ภาพรถยนต์สามคันที่จอดอยู่ภายในทำเนียบ สัญลักษณ์รูปเสือดำที่ติดไว้หน้ากระจกรถบอกให้รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ
“ท่านหญิงแจ้งมาว่าซอจูฮยางเชิญยุนโฮไปพบที่ทำเนียบแต่เช้า จนถึงตอนนี้ก็ยังเจรจากันอยู่ ไม่รู้ว่าผลจะเป็นยังไงครับ” ยูชอนฟังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ การตัดสินใจของยุนโฮจะเป็นตัวแปรสำคัญจนกว่าจะรู้ผลของการเจรจาก็ยังทำอะไรไม่ได้
“แล้วงานเลี้ยงพรุ่งนี้ล่ะ”
“ท่านหญิงกำชับว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนายท่าน ‘ต้อง’ ไปให้ได้ครับ”
“หึ! สมเป็นผู้หญิงคนนั้นจริงๆ ให้ตายเถอะ” ยูชอนเอ่ยอย่างระอาใจ ทั้งที่สถานการณ์ยังสับสนยังไม่รู้ใครเป็นใคร แต่สำหรับคนที่เห็นความเสี่ยงเป็นเรื่องท้าทายที่น่าสนุกอย่างซอฮยอนแล้ว เขาคงได้แต่ยอมแพ้ ทั้งที่ใจจริงเขาอยากให้เลื่อนงานออกไปก่อน มันไม่ได้สำคัญขนาดยกเลิกไม่ได้ แล้วเขาก็ไม่อยากจะเคลื่อนไหวในเวลาที่ยังไม่รู้เหนือรู้ใต้อย่างนี้ เว้นแต่จะรู้ล่วงหน้าว่ายุนโฮจะทำยังไงมันก็อีกเรื่องหนึ่ง
“นายคิดว่า...ยุนโฮจะทำยังไง”
“ผมหรือครับ?” แจจุงชี้ตัวเองอย่างงุนงง ไม่คิดว่าจะถูกถาม แต่บทสนทนาที่เริ่มขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวก็ลดความประหม่าที่เคยมีก่อนหน้าไปจนหมดสิ้น
“ผมก็ไม่แน่ใจนะครับ แต่ถ้าให้เดา...คงจะตัดขาดกันไปเลยมากกว่า การที่ซอจูฮยางให้สัมปทานคนอื่นลับหลังนับว่าเป็นการทรยศอยู่แล้ว เขาไม่ปล่อยเอาไว้หรอกครับ เต็มที่ก็อาจจะรอให้ผ่านการเลือกตั้งไปก่อนแล้วค่อยจัดการ หรือถ้าจะมีปาฏิหาริย์ให้ซอจูฮยางเป็นฝ่ายชนะ...นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ที่แน่ๆ ตระกูลชองจะไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเด็ดขาดไม่ว่าทางไหนก็ตาม”
“ถึงจะต้องเสียอำนาจในสภาไปน่ะรึ” ยูชอนยอมรับว่าเหตุการณ์ที่แจจุงคาดเดามีโอกาสเป็นไปได้สูงมากทีเดียว เพียงแต่เรื่องที่สะกิดใจเขาอยู่ก็คือ หากเป็นการทรยศธรรมดาๆที่ไม่มีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเพื่อแลกกับการคงอำนาจของตระกูลชองในสภาให้มีอยู่ต่อไปจะไม่เป็นเรื่องที่ดีกว่าหรอกหรือ
“ไม่เคยมีข้อยกเว้นสำหรับคนทรยศหรอกครับ แต่นี่มันก็แค่การเดาของผมนะครับ” แจจุงตอบอย่างมั่นใจ หากจะมีข้อยกเว้นจริงๆ เขาก็ควรได้รับมันเป็นคนแรกไม่ใช่รึ แต่ยุนโฮก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า...มันไม่เคยมี
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ตาแก่นั่นก็ต้องดิ้นรนหาหนทางเอาตัวรอดด้วยตัวเอง ไม่ดีแน่... ชางมินแจ้งท่านหญิงให้พายงฮวาไปซ่อนตัวแล้วก็จับตาดูการเคลื่อนไหวของซอจูฮยางให้ดี ซีวอน...อย่าลืมส่งคนของเราตามไปคุ้มครองด้วย ทุกอย่างต้องเสร็จเรียบร้อยก่อนขบวนรถตระกูลชองออกจากทำเนียบ เข้าใจไหม” ยูชอนสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร แต่คนสนิททั้งสองต่างรู้ดี ยิ่งเน้นท้ายประโยคอย่างนั้นด้วยยิ่งแล้วใหญ่ แจจุงมาใหม่ยังไม่รู้ก็เลยได้แต่มองซีวอนที่รีบออกจากห้องไปพร้อมกับชางมินด้วยท่าทีเร่งรีบเหมือนเป็นเรื่องคอขาดบาดตายสุดชีวิต ถึงจะสงสัยแต่แจจุงมีเรื่องติดใจมากกว่านั้น
“เชื่อผมแบบนั้น จะดีเหรอครับ”
ยูชอนมองคนถามด้วยสายตาที่ทำให้แจจุงเผลอหลบตาโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งที่ตอบเขาอย่างมั่นใจแท้ๆ แต่พอเขาเชื่อ...แจจุงกลับกลัวคำตอบของตัวเองซะอย่างนั้น ยูชอนรู้ว่ากุหลาบในมือเขาเป็นกุหลาบแก้วที่เปราะบาง หากบางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าที่มันบอบบางถึงขนาดนี้...เป็นเพราะเขารึเปล่านะ
“มานี่สิ” ชายหนุ่มเรียกให้แจจุงเข้ามาใกล้ ในระยะที่จะมองสบตากันโดยที่ร่างบางไม่มีทางหลบเลี่ยงแล้วเอ่ยถาม “ตอนนี้นายเป็นคนของฉันแล้วใช่ไหม?”
“ครับ”
“แล้วฉันจะไม่เชื่อคนของตัวเองได้ยังไง ต่อให้มันไม่เป็นไปตามนั้นก็ไม่ใช่ความผิดของนายหรอกน่า อย่ากังวลนักเลย อีกอย่างนายจะเรียกชื่อยุนโฮก็ไม่เป็นไรหรอกนะ” ยูชอนสังเกตได้ว่าตอนพูดถึงตระกูลชอง แจจุงไม่หลุดเรียกยุนโฮออกมาสักคำ เขาเคยสั่งห้ามไม่ให้พูดก็จริง แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว
“ชางมินกับซีวอนเองก็เรียกกันเป็นปกติอยู่แล้ว นายก็เรียกอย่างที่ถนัดเถอะ” สายตาของแจจุงฉายแววลังเลจนยูชอนต้องรีบสำทับไม่ให้ร่างบางกังวลจนเกินไป
“แล้ว... ผมควรเรียกคุณยังไงครับ”
“เรียกชื่อฉันสิ หรืออยากจะเรียกเหมือนคนอื่นก็ตามใจ” ความจริงยูชอนไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะเป็นปัญหาอะไร แต่กับแจจุง...เขาคงคิดอะไรง่ายๆอย่างนั้นไม่ได้ และถึงแม้ว่าคนในตระกูลปาร์คจะเรียกเขาว่า ‘นายท่าน’ กันทุกคน แต่ถ้าแจจุงจะเรียกอย่างนั้นก็คงให้ความรู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกัน แล้วเขาก็ไม่อยากให้เจ้าตัวเรียกเขาเหมือนคนอื่นๆ ซะด้วย
“...คุณยูชอน” แจจุงคิดหนักแต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเรียกชื่อเพราะดูจะทำให้ยูชอนพอใจมากกว่า กระนั้นก็ยังอดเกร็งไม่ได้ หางเสียงถึงได้สั่น
“ก็เรียกได้นี่นา” คนเพิ่งได้สรรพนามใหม่เอ่ยอย่างพอใจ พลางส่งมือให้ แม้แจจุงจะไม่เข้าใจ แต่ปลายนิ้วที่ติดจะสั่นเทาอยู่บ้างก็ยอมสัมผัสกับฝ่ามืออุ่นแต่โดยดี ถึงอย่างนั้นก็ยังอุตส่าห์ก้มหน้าหลบสายตายูชอนจนได้
“แจจุง... ที่นี่มันอาจจะไม่เหมือนกับที่ที่นายเคยอยู่หรอกนะ ฉันรู้ว่ามันน่าอึดอัด แต่ถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็บอกได้ ถ้าไม่อยากบอกฉัน...ไปบอกชางมินก็ได้ แต่ฉันจะดีใจมากกว่าถ้านายจะพูดกับฉันด้วยตัวเอง” เห็นอีกฝ่ายเงียบไป คนพูดก็แอบเป็นกังวล ยูชอนรู้ตัวดีว่าเขาทำร้ายแจจุงไว้มาก และก็รู้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ภายในเวลาแค่เดือนเดียว ในเมื่อเขาไม่สามารถแก้ไขสิ่งที่ทำลงไปแล้ว... อย่างมากที่สุด เขาหวังว่ากุหลาบงามจะกลับมาเข้มแข็งได้ดังเดิม หรืออย่างน้อยที่สุด เขาก็ไม่อยากทำให้มันแตกร้าวไปมากกว่านี้ ความคิดที่ทำให้คิ้วโก่งขมวดมุ่น ในหัวก็พยายามคิดสรรหาถ้อยคำดีๆ สักคำ แต่แล้วความกังวลทั้งหมดก็ถูกปัดเป่าไปด้วยเสียงขอบคุณแผ่วเบาที่ทำให้ยูชอนต้องกลั้นยิ้ม ยิ่งได้ยินประโยคต่อมาก็ยิ่งหมั่นเขี้ยว มันน่าเอ็นดูน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ
“...อย่าใจดีกับผมนักสิครับ”
“แล้วมันไม่ดีตรงไหนล่ะ”
“...ผมไม่รู้ว่าควรจะตอบแทนคุณยังไงดี” ถ้อยคำที่เอ่ยอย่างเกรงใจ ทำให้การเพียรพยายามกลั้นยิ้มของผู้นำตระกูลปาร์คไม่ได้ผลอีกต่อไป
“ไม่เห็นยาก นายก็แค่อยู่ข้างฉัน เชื่อฟังฉัน ทำทุกอย่างที่ฉันสั่ง ส่วนเรื่องตระกูลชอง ฉันยังยืนยันคำเดิม...เท่าที่นายอยากจะพูด”
“แค่นั้นพอเหรอครับ?” แจจุงถามย้ำ ก็เพราะยูชอนใจดีอย่างนี้ เขาถึงได้รู้สึกแย่ที่ทำตัวให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้ไม่ได้
“แค่นั้นก็พอแล้ว แต่อันที่จริงฉันก็ไม่ได้ใจดีอย่างที่นายคิดหรอกนะ” ยูชอนกุมมือเรียวพลางดันตัวลุกจากเก้าอี้ มืออีกข้างเชยคางอีกฝ่ายให้เงยขึ้น นัยน์ตาคู่งามฉายแววประหลาดใจ และประกายอีกอย่างที่ซ่อนเอาไว้... ไม่มิด แต่ก็ไม่ชัดเจน ยูชอนรู้ หากก็เลือกที่จะไม่สนใจ
“ต่อจากนี้ไป ห้ามหลบสายตาฉัน นี่เป็นคำสั่ง” คนเป็นลูกน้องพยักหน้ารับแต่เพียงครู่เดียวก็เผลอหลบตาอีกจนได้ พอรู้ตัวว่าทำผิดไป ก็ช้อนตาขึ้นมองชายหนุ่มอย่างเกรงๆ เหมือนกลัวถูกดุ ...ก็ถ้าจะมองกันอย่างนี้ ใครจะไปดุลงกันเล่า เห็นทีว่า...กว่าแจจุงจะทำตามที่เขาสั่งได้คงอีกนาน แล้วยูชอนก็ไม่ใจแข็งพอจะบังคับเสียด้วย ว่าแล้วคนใจอ่อนก็ลูบหัวเบาๆ แทนการบอกว่าไม่เป็นไร
“ไปกันเถอะ”
ฝ่ามือที่กุมไว้คลายออก ไออุ่นยังติดอยู่ที่ปลายนิ้ว ยูชอนเดินนำออกไป แจจุงก้าวตาม ทิ้งระยะห่างมากพอที่จะเฝ้ามองด้านหลังของคนที่อยู่ข้างหน้าได้อย่างชัดเจน แผ่นหลังเหยียดตรงที่สะท้อนในดวงตาดูน่าเกรงขาม แข็งแกร่งจนดูเหมือนว่าการได้รับการปกป้องจะไม่จำเป็น แต่ถึงอย่างนั้น...แจจุงก็ตัดสินใจจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด จะไม่ให้ใครแตะต้องนายใหญ่แห่งตระกูลปาร์คได้แม้แต่ปลายนิ้ว
...ยูชอนอาจจะต้องการแค่นั้น แต่แจจุงจะให้มากกว่านั้น
.
.
.
เหล่าหนุ่มสาวในเครื่องแต่งกายที่สุภาพเรียบร้อยต่างใช้เวลาพักเที่ยงภายในทำเนียบประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลีใต้อย่างผ่อนคลาย มองจากชั้นบนลงไปจะมีมุมให้นั่งเล่นเป็นจุดๆ ในสวนหย่อมเขียวชอุ่มแลดูสบายตา หลายคนเลือกที่จะนั่งจับกลุ่มคุยกันอย่างออกรส มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะนั่งอยู่เงียบๆ คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวรอเวลากลับเข้าทำงาน แม้งานของมนุษย์เงินเดือนอาจจะดูน่าเบื่อ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยมีโอกาส...มันก็ดูจะเป็นงานที่น่าสนใจเหมือนกัน อย่างน้อยที่สุดก็มีเวลาเป็นของตัวเองบ้างนอกเหนือจากเวลางาน
หัวหน้าการ์ดแห่งตระกูลชองมองภาพที่สะท้อนอยู่เบื้องล่างด้วยความอิจฉาเล็กๆ จวบจนกระทั่งผู้คนเหล่านั้นแยกย้ายกันกลับไปทำงาน สวนหย่อมที่เคยคับคั่งจึงเหลือเพียงความว่างเปล่า จุนซูยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา...เป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงแล้วที่นายใหญ่แห่งเขตใต้ใช้เวลาอยู่ในห้องรับรองของประธานาธิบดี และดูเหมือนว่ามันจะยังไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ
ร่างเล็กเอนหลังพิงประตูพลางยกมือขึ้นปิดปาก การหาวเป็นครั้งที่สามของวันทั้งที่อยู่ในเวลางานทำให้จุนซูต้องตบหน้าตัวเองเบาๆ เรียกสติให้กลับคืนมา แล้วก็อดหมั่นไส้คนที่เป็นต้นเหตุความง่วงของตนอย่างเสียไม่ได้ ยุนโฮทำให้คืนแรกที่เกาะไข่มุกเหมือนเรื่องโกหกไปเลย จุนซูแทบจะจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ได้กลับไปนอนห้องตัวเองนั่นมันเมื่อไหร่กัน ร่างเล็กบิดกายคลายความเมื่อยล้าก่อนจะเหยียดตัวยืนตรง ต่อให้ไม่มีใครเห็นเขาก็ไม่ควรหย่อนยานต่อหน้าที่ ไม่นึกว่าสุดท้ายก็หลบสายตาคนอื่นไม่พ้นอยู่ดี
“นายควรจะหาเวลาพักบ้างนะ” เสียงตำหนิจากฮยอกแจที่เพิ่งมาถึงเรียกสีหน้ายุ่งๆ จากคนไม่ชอบให้ใครดูถูก ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นก็ตาม
“แค่ง่วงน่า แล้วนี่ถึงเวลาเปลี่ยนเวรแล้วรึไง?” จุนซูดูนาฬิกาซ้ำอีกครั้งด้วยแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้เผลอปล่อยตัวจนลืมเวลา แต่เป็นฮยอกแจต่างหากที่มาก่อนกำหนด ตอนนี้เพิ่งจะบ่ายโมงกว่า ยังเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงเวลาเปลี่ยนเวร
“ยัง แต่เบื่อจ้องหน้ากับพวกการ์ดของทำเนียบเลยหนีมาก่อน” คำตอบของอีกฝ่ายไม่ต่างจากที่คิดไว้ จุนซูได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“ก็ไม่เคยเห็นนายถูกกับพวกนั้นสักที” ถึงยุนโฮจะมาที่ทำเนียบไม่บ่อยนัก แต่บอกได้เลยว่าทุกครั้งที่มาเยือน การ์ดของทำเนียบจะต้องมองพวกเขาด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามอย่างไม่ปิดบัง ทั้งที่ประธานาธิบดีที่พวกมันเคารพเทิดทูนนักหนายังต้องก้มหัวอยู่แทบเท้าเจ้านายของพวกเขาด้วยซ้ำ
“ลองมาเป็นฉันดูสิแล้วจะรู้สึก”
“ไม่ล่ะ แค่คุณยุนโฮคนเดียว ฉันก็เหนื่อยรับมือจะแย่แล้ว” คนพูดบ่นลอยๆ อย่างไม่คิดอะไร แต่คนฟังที่เข้าใจไปอีกทางถึงกับพูดไม่ออก ซึ่งจุนซูก็เต็มใจให้มันเป็นแบบนั้น นอกจากแจจุงแล้วก็มีฮยอกแจนี่แหละที่พอจะคุยกันได้ แต่สำหรับเขา...ฮยอกแจไม่ใช่เพื่อน ก็แค่คนรู้จักที่คุ้นเคยกันมากกว่าคนอื่นเพราะอยู่กลุ่มเดียวกันตอนฝึกที่เรือนทิศใต้ แล้วก็ค่อนข้างรู้จักนิสัยเขาดีในระดับหนึ่ง รู้ว่าอะไรจะทำให้เขาพอใจหรือไม่พอใจ
“นายรู้เรื่องแจจุงแล้วใช่ไหม” เพราะไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ฮยอกแจถึงได้หาเรื่องเปลี่ยนหัวข้อ และก็ได้ผลทีเดียว เมื่อคนที่กำลังถูกพูดถึงนั้นคือคนที่จุนซูกำลังคิดถึงอยู่พอดี
“รู้แล้ว” หลังกลับมาจากเกาะไข่มุก จุนซูก็ได้ยินข่าวความเคลื่อนไหวล่าสุดของตระกูลปาร์คที่ทำให้เขารู้สึกยินดีเป็นที่สุด ตำแหน่งบอดีการ์ดส่วนตัว ยูชอนไม่เคยมีมาก่อน นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้ชายคนนั้นให้ความสำคัญกับแจจุงหรอกหรือ ถึงแม้ว่ามันจะกลายเป็นการยืนยันเรื่องที่กุหลาบเขตใต้เป็นสายให้ตระกูลปาร์คไปโดยปริยายก็ตาม
“พรุ่งนี้ปาร์คยูชอนจะไปงานเลี้ยงของท่านหญิงซอฮยอน แจจุงก็คงไปด้วย ทางนั้นคงสบายเลยนะ ไม่ต้องลงมือทำอะไรให้เหนื่อยก็ได้รับคะแนนเสียงไปเต็มๆ อยู่แล้ว”
“สบายเหรอ?” จุนซูทวนคำพลางส่ายหน้า “ฉันว่ามันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณยุนโฮมากกว่า ถ้ายังสนับสนุนตาแก่นี่ต่อ เราก็คงต้องหาทางแก้เกมกันไป แต่ถ้าเลิกไปล่ะก็...นายคิดว่าหมาจนตรอกอย่างซอจูฮยางจะทำอะไรได้บ้างเพื่อรักษาเก้าอี้ของตัวเองไว้ล่ะ”
“นายหมายความว่า...” ฮยอกแจอึ้งไป ถ้ายุนโฮไม่ช่วยล่ะก็...วิธีเดียวที่จะทำให้ประธานาธิบดีซอพลิกกลับมาเป็นผู้ชนะได้อย่างง่ายดายที่สุดก็คือการกำจัดคู่แข่ง “ไม่หรอกมั้ง นายคิดว่าตาเฒ่าขี้ขลาดนั่นจะกล้าจริงๆ เหรอ”
“คนที่ไม่มีอะไรจะเสียแล้วก็ทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ” ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่จุนซูเข้าใจความรู้สึกนี้ดี เพราะเขาเคยอยู่ในสภาพนั้นมาก่อน ถ้าไม่ทำได้ทุกอย่าง...วันนี้เขาคงไม่ได้ยืนอยู่ที่นี่
จุนซูมองบานประตูห้องที่ยังคงไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวอีกครั้ง ไม่รู้ว่ายุนโฮจะตัดสินใจยังไง แต่ถ้าตัดขาดกันไปเลยน่าจะดีกว่า ในสายตาเขา ซอจูฮยางไม่ใช่คนที่น่าเอาเป็นพวกเดียวกันนัก ถึงจะขี้ขลาดตาขาวแต่ก็เจ้าเล่ห์ ถ้าไม่ตีหน้าซื่อเก่งคงหลอกฮีชอลกับยุนโฮไม่ได้จนถึงตอนนี้
“คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร!”
เสียงยุนโฮตวาดดังลั่นห้อง ถึงถ้อยคำจะสุภาพ แต่คำพูดกลับแสดงถึงอารมณ์ที่พุ่งขึ้นสูง จุนซูสบตากับฮยอกแจทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น รองการ์ดหนุ่มแยกตัวไปสั่งลูกน้องทุกคนให้เตรียมตัวออกจากทำเนียบ ขณะที่จุนซูยังใจเย็นเงี่ยหูฟังบทสนทนาภายในห้องให้ชัดเจนแม้จะคว้าปืนมาถือไว้เตรียมพร้อมแล้วก็ตาม
เสียงทะเลาะกันเริ่มจะรุนแรงขึ้นทุกที จุนซูแน่ใจว่ามันไม่ใช่สถานการณ์ที่ควรจะปล่อยไว้ แต่พอจะบุกเข้าไป เขากลับพบว่าประตูล็อก ทั้งที่มันไม่ควรถูกล็อก ซอจูฮยางวางแผนอะไรถึงคิดจะขังยุนโฮไว้ข้างใน ความคิดที่ทำจุนซูใจหายวาบ
“บ้าจริง!” คนร้อนใจโถมตัวกระแทกประตูซ้ำๆ แรงขนาดที่ทำให้หัวไหล่เจ็บจนชาเป็นแถบ แต่ประตูบานใหญ่แทบจะไม่ขยับสักนิด โชคดีที่ฮยอกแจกลับมาถึงพร้อมกับลูกน้องอีกสองคน ร่างเล็กจึงส่งสัญญาณให้พังประตูบุกเข้าไปพร้อมกัน
ประตูเปิดออกหลังถูกกระแทกเป็นครั้งที่สาม แม้สถานการณ์ภายในห้องจะไม่เลวร้ายอย่างที่นึกภาพไว้ แต่ก็ไม่ได้ดีนัก เมื่ออาวุธเพียงหนึ่งเดียวในห้องถูกเล็งไปที่ยุนโฮ แต่คนตกเป็นเป้านิ่งยังคงใจเย็นนั่งเฉยไม่หวั่นไหว จุนซูพุ่งเอาตัวเข้าขวางทางปืนรวดเร็วชนิดที่ซอจูฮยางไม่ทันได้ขยับตัว
“กรุณาวางปืนลงด้วยครับ” หัวหน้าการ์ดแห่งตระกูลชองสั่งเสียงเข้ม น้ำคำสุภาพแต่สายตาเอาจริง ปากกระบอกปืนจ่ออยู่ที่หัวผู้เป็นศัตรูของเจ้านาย นิ้วชี้เตรียมเหนี่ยวไกปืนอย่างไร้ความลังเล ชัดเจนว่าถ้าซอจูฮยางไม่ทำตาม จุนซูก็กล้าลั่นไก แม้คนตรงหน้าจะมีฐานะเป็นถึงประธานาธิบดีก็ตาม
ซอจูฮยางทิ้งปืนลงกับพื้นด้วยสายตาอาฆาตแค้นที่บรรจงส่งให้นายใหญ่แห่งเขตใต้ ลูกน้องสองคนที่ติดตามฮยอกแจมาช่วยกันกดไหล่ซอจูฮยางให้คุกเข่าลงต่อหน้ายุนโฮ แต่ไร้ซึ่งคำขออภัยที่ได้ล่วงเกินใดๆ
“ไม่คิดจะแก้ตัวหน่อยหรือครับ ท่านประธานาธิบดี” จุนซูกดเสียงลงต่ำแฝงอารมณ์ไม่พอใจไว้อย่างชัดเจน การที่ซอจูฮยางกล้าชักปืนมาข่มขู่ยุนโฮนั้นอยู่นอกเหนือความคิดของเขา และมันเป็นการกระทำที่งี่เง่าสิ้นดี ไม่รู้ว่าผยองจนลืมตัวหรือจนตรอกไร้หนทางมากกว่ากัน ทว่าผลลัพธ์ก็ไม่แตกต่างกันอยู่ดี
“หึ คนขี้ขลาดก็ยังเป็นคนขี้ขลาดอยู่วันยังค่ำ อย่าเสียเวลาเลยจุนซู กลับเถอะ” ยุนโฮคว้าเอาเสื้อโค้ทที่อยู่บนราวแขวนทองเหลืองแล้วก้าวยาวๆ ออกไป ไม่แม้แต่จะชายตาแลคนที่ถูกกดไหล่ให้คุกเข่าอยู่กับพื้น
“เข้าใจแล้วครับ” ถึงจะสงสัยที่ยุนโฮปล่อยไปง่ายๆ แต่จุนซูก็ขานรับคำสั่งตามหลังเจ้านายหนุ่ม ขณะที่คนอื่นยังละล้าละลังไม่รู้ว่าควรจะตามยุนโฮ หรือควรจะควบคุมตัวซอจูฮยางไว้ก่อนดี
“พวกนายตามไปก่อนเลย เดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง” ฮยอกแจพยักหน้ารับพร้อมกับลูกน้องทั้งสองที่ต้องรีบเร่งก้าวยาวๆ จนเกือบจะเป็นวิ่งไล่ตามเจ้านายหนุ่มที่ล่วงหน้าไปเสียไกล ห้องรับรองกว้างขวางกลับมาเงียบสงบเมื่อผู้มาเยือนจากไป แต่ความเงียบที่ปกคลุมอยู่ทั่วห้องนั้น จุนซูลดปืนลงเมื่อลูกน้องรายงานมาว่านายใหญ่แห่งเขตใต้ขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาที่เขาควรจะต้องไปสักที
“อย่าพยายามทำอะไรที่ไม่มีประโยชน์เลยครับ คุณเอาชนะคุณยุนโฮไม่ได้หรอก” จุนซูเตือนด้วยความหวังดี แต่ไม่ได้สนใจหรอกว่าซอจูฮยางจะใส่ใจกับคำเตือนของเขาหรือเปล่า ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับเขาอยู่ดี ที่พูดไปก็แค่ไม่อยากเพิ่มงานให้ตัวเองอีกก็เท่านั้น
ทว่าสายตาของซอจูฮยางที่เขาเห็นก่อนจะจากมานั้น ดูไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย..
To Be Con...
Sakura's Talk : ทักทายทุกคนทั้งขาประจำและไม่ประจำ คิดถึงนะคะ งดทอร์ด เพราะถ้าทอร์คอาจจะยาวกว่าฟิค 555555 ตอนนี้ยังไม่ค่อยมีอะไรหรอกค่ะ แค่เป็นช่วงปูเรื่องสำหรับเรื่องใหญ่กว่าที่กำลังจะตามมา พาร์ทนี้ลองเขียนในมุมของปาร์คบ้าง แต่มีความรู้สึกว่าภาพลักษณ์ที่สะสมมาแตกกระจาย อย่างนี้ทุกคนก็รู้หมดแล้วสินะว่าคุณเค้าหลงกุหลาบแสนสวยขนาดไหน (เว้นก็แต่เจ้าตัวนั่นแหละที่ไม่รู้ 5555555)
-b g--s b- + + ไม้กาง เขน B G
ความคิดเห็น