ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    *~Timeless Love~* [Fic TVXQ]

    ลำดับตอนที่ #14 : >>> 14

    • อัปเดตล่าสุด 31 พ.ค. 50



    *~Timeless Love~*

    ...Reveal...


    หลังจากบริกรหนุ่มรับออเดอร์รายการอาหารครบก็ไปทำหน้าที่ของตนต่อ ยูชอนมองแจจุงที่เหม่อมองไปนอกหน้าต่าง  มันถึงเวลาที่เขาควรจะรู้เรื่องราวทุกอย่างได้แล้วแม้ว่ามันอาจจะทำให้เขาต้องรู้สึกผิดมากกว่าเดิมก็ตาม...

     

    "แจจุง...นายอยากรู้ใช่มั้ยว่าฉันพานายมาทำไม?" ดวงหน้าสวยหันกลับมามองตาชายหนุ่ม



    "เพราะว่าฉันอยากรู้...ความจริง..."



    "ความจริง...? ความจริงอะไร?" เสียงหวานซ่อนความตื่นตระหนกไว้ไม่มิด ในขณะที่ร่างสูงยังรักษาความต้องการอยากรู้ให้อยู่ภายใต้สีหน้าเรียบๆ



    "ก็อย่างเช่น เหตุผลจริงๆที่นายบอกความจริงกับจุนซู หรือไม่ก็...เรื่องรอยแผลนี่..." เสียงทุ้มว่าพลางคว้าข้อมือข้างซ้ายของเด็กหนุ่มพลิกหงายขึ้นเผยให้เห็นรอยสีน้ำตาลแดงจางๆ เป็นทางยาว... ร่างบางสะบัดทิ้งอย่างไม่แยแส แต่ก็ไม่อาจโต้แย้งอีกฝ่ายได้เช่นกัน...  


     

    ความจริงแล้วยูชอนเองก็เพิ่งสังเกตว่าที่แขนซ้ายของแจจุงนั้นมีรอยแผลที่มองยังไงก็รู้ว่าเกิดจากการกรีดข้อมืออย่างแน่นอน... โดยปกติแล้วแจจุงมักจะใส่เสื้อแขนยาวจนปิดไว้มิดอยู่เสมอ หรือไม่ก็มีสร้อยข้อมือที่สวมไว้จนคนทั่วไปไม่สังเกต  เป็นเพราะว่าวันนี้เด็กหนุ่มรีบจึงไม่ได้ใส่สร้อยข้อมือไว้... ส่วนเสื้อแขนยาวสีฟ้าอ่อนที่ใส่มาวันนี้ก็ไม่ได้ช่วยปกปิดรอยแผลนั้นเลยแม้แต่น้อย




    ความจริงที่อาจจะได้รู้ในวันนี้ทำเอาใจของชายหนุ่มสั่นเอาดื้อๆ เพียงแค่เศษเสี้ยวของความจริงยังทำให้เขารู้สึกได้มากขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นทั้งหมดล่ะ...จะมากขนาดไหนกันนะ



    "ยูชอน ฉันเคยบอกนายแล้ว บางทีการที่ไม่รู้อะไรเลย อาจจะดีกับนายมากกว่า..." ใบหน้าสวยเอ่ยคำเดิมด้วยน้ำเสียงที่ต่างจากครั้งก่อน เมื่อครั้งแรกที่ประโยคนี้หลุดออกไปเป็นเพราะต้องการประชดประชันชายหนุ่ม  หากแต่ครั้งนี้ต่างกัน...เจ้าตัวพูดเพราะไม่ต้องการให้ยูชอนรู้จริงๆ แต่วันนี้คงไม่มีอะไรห้ามความต้องการอยากรู้เรื่องราวความจริงทั้งหมดของชายหนุ่มได้อีกแล้ว...



    "แจจุง!!!~"



    "ยูชอน!!~ อย่าบังคับฉันนะ..."



    "แจจุง... ฉันขอร้องล่ะ  อย่าเก็บอะไรไว้คนเดียวอีกได้มั้ย? ฉันเป็นเพื่อนนายนะ หรือถ้านายไม่เห็นฉันเป็นเพื่อนแล้วก็...ตามใจ..." ชายหนุ่มเอ่ยพลางหันหน้าหนีเจ้าของนัยน์สีนิลไปนอกหน้าต่าง  แจจุงได้แต่นั่งเงียบ ภายในจิตใจกำลังร้อนรนสับสนไม่รู้ว่าควรบอกดี หรือจะปล่อยให้มันค้างคาใจต่อไปแบบนี้ดี...



    "ยูชอน... มันไม่ใช่อย่างนั้น... คือ... คือ... ฉัน... ฉันไม่รู้ว่าจะเล่าให้นายฟังยังไงดี... ฉัน..." เสียงหวานเริ่มสั่นเครือ ใบหน้าสวยก้มลงไม่กล้าสู้หน้าชายหนุ่ม ยูชอนลุกไปนั่งข้างๆแจจุง มือหนาโอบร่างบางเข้ามากอด...



    "ไม่เป็นไรๆ ฉันพร้อมจะรับฟังทุกอย่างขอเพียงแค่นายบอกฉัน อย่าโกหกหรือปิดบังแค่นั้นก็พอ..." เสียงทุ้มเอ่ยปลอบปะโลมร่างบาง มือหนาเกลี่ยปอยผมที่ตกลงมาบังนัยน์ตาคู่สวย...



    "ยูชอน... ยังจำครั้งสุดท้ายที่เราพบกันเมื่อ 5 ปีก่อนได้ใช่มั้ย?"



    "ได้สิ... วันนั้นฉันไปสอบซ่อมที่ตกวิชาภาษาเกาหลี  จุนซูมีเวรทำความสะอาด ยุนโฮโดนอาจารย์ทำโทษเลยต้องอยู่เย็น... นายเลยต้องกลับก่อน โดยไม่มีใครไปส่ง..." ชายหนุ่มจบคำพูดลงเพียงแค่นั้น เหตุการณ์หลังจากนี้คือสิ่งที่เขาต้องรู้จากร่างบางตรงหน้าให้ได้...



    "ใช่... วันนั้นฉันต้องกลับบ้านคนเดียวโดยไม่มีใครไปส่ง  ซึ่งฉันก็คิดว่าไม่เป็นไร แต่กว่าจะถึงบ้าน ฟ้าก็เริ่มมืดลงทุกที ฉันรู้สึกเหมือนมีใครเดินตามเลยหันไปมองก็เจอผู้ชายท่าทางไม่น่าไวใจ ฉันตัดสินใจวิ่งหนี แต่ว่า...เจอผู้ชายอีกคนหนี่งมาดักไว้ข้างหน้า ไอ้หมอนั้นมันต่อยท้องฉันแล้วก็โปะยาสลบ จนฉันไม่รู้สึกตัว..."  แจจุงเงียบไปเมื่อถึงตอนนี้ กำลังจะถึงเรื่องที่เขาไม่ต้องการให้ใครรู้ที่สุดแล้ว... ในขณะที่ยูชอนได้แต่ตกตะลึงหวังให้เพียงประโยคต่อไปจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอย่างที่เขากำลังคิดอยู่ในหัวตอนนี้...




    "หลังจากนั้น... ฉัน...ตื่นมาในที่ที่ไม่รู้จัก มันเป็นแค่ห้องเล็กๆที่ไม่มีใครอยู่นอกจากฉันกับไอ้สารเลวพวกนั้น..." ระหว่างที่เล่าแจจุงก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนนั้นไปด้วย  ไหล่เรียวบางสั่นเมื่อคิดถึงสัมผัสน่ารังเกียจนั่น




    "ฉันพยายามหาทางหนีแล้ว แต่...  แต่พวกมันก็จับฉันไว้จับตัวฉันกดลงกับพื้นแล้ว...แล้วก็..." ถึงตอนนี้เสียงหวานพูดไม่ออก ยูชอนคว้าร่างบางเข้ามาในอ้อมแขนทันที ถึงไม่ฟังก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง วงแขนแกร่งกระชับร่างบางแน่นราวกลับกลัวว่าเด็กหนุ่มจะหายตัวไป...




    "ไม่ต้องพูดแล้ว พอเถอะ...ฉันรู้แล้ว...ฉันเข้าใจแล้ว... พอเถอะ" ร่างในอ้อมแขนของชายหนุ่มสั่นสะท้านพอๆกับเสียงของร่างสูงที่เอ่ยออกมา ความทรงจำแสนเลวร้ายนั้นได้กลับมาทำร้ายเขาอีกครั้ง แต่ก็ต้องแข็งใจเล่าต่อไปให้จบ




    "หลังจากนั้น ฉันก็ได้เจอชางมิน เขาถูกจับมาก่อนหน้าฉันไม่นาน แล้ว...เราก็เป็นเพื่อนกัน... ชางมินเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด เขาเข้าใจและให้กำลังใจฉันอยู่เสมอ เขาบอกให้ฉันทนมีชีวิตอยู่ต่อไป... เพื่อรอวันที่จะถูกปลดปล่อยออกมาจากนรกนั่น..."




    "…."




    "ฉันอยากออกไป... แต่พยายามหนีเท่าไหร่... ก็ทำไม่ได้... ฉันอยากกลับมาหาพวกนาย แต่รู้มั้ยว่าแม้กระทั่งพื้นดิน หรือแสงตะวันฉันยังไม่มีโอกาสได้สัมผัสมันเลยด้วยซ้ำ…" หยดน้ำใสกลิ้งตัวออกจากนัยน์ตาคู่สวย เด็กหนุ่มไม่อาจกลั้นมันได้อีกแล้ว น้ำตาไหลเป็นทางตามผิวเนียนจนซึมลงบนเนื้อผ้าของยูชอน




    "แจจุง..." ชายหนุ่มยังคงกอดร่างบางเอาไว้แน่น เรื่องราวจากความทรงจำที่ถูกถ่ายทอดให้เพื่อนรักได้ยินนั้น ไม่ได้ครึ่งของความเจ็บปวดที่เจอมาเลยด้วยซ้ำ




    "ฉันรอมาตลอด 5 ปี รอวันที่จะได้ออกมาพบพวกนาย จนวันนั้นสิ่งที่ฉันฝันก็เป็นความจริงลูกน้องของซีวอนตามหาชางมินจนเจอ แล้วซ่องนั่นก็ถูกทำลาย  ถ้านายยังจำได้ เมื่อสองอาทิตย์มีข่าวใหญ่ที่ดังไปทั่วประเทศ เรื่องโรงแรมห้าดาวที่ถูกใช้บังหน้าธุรกิจค้าขายทางเพศ  นั่นแหละคือที่ที่กักขังฉันไว้มาตลอดห้าปี....


    แล้วนายรู้มั้ยว่าฉันดีใจแค่ไหนที่ได้ออกมาจากนรกนั่น...
    !!!~  รู้บ้างมั้ยว่าฉันดีใจและรอคอยวันนั้นมานานแค่ไหน... เข้าใจฉันบ้างมั้ยว่าฉันรู้สึกยังไงที่กลับมาพบว่ายุนโฮกับจุนซูกลายมาเป็นคนรักกัน... 

    แม้กระทั่งนาย...คำถามแรกที่นายถามฉัน...กลับถามว่าฉันกลับมาทำไม...? นายรู้บ้างมั้ยว่าตอนนั้นฉันรู้สึกยังไง... โลกทั้งใบเหมือนมีฉันเหลืออยู่แค่เพียงเดียว ฉันหนีออกมาจากความมืดเพื่อพบแสงสว่าง แต่สุดท้ายสิ่งที่อยู่รอบตัวฉันก็มีแต่ความมืดมิด
    !!!!~ " คำพูดที่บอกเล่าความรู้สึกที่กักเก็บไว้ในจิตใจที่ไม่อาจบอกใครได้แม้กระทั่งชางมินกลับพรั่งพรูออกมาอย่างง่ายดาย 


    ความอัดอั้นตันใจที่ได้แต่เก็บไว้ก็เหมือนลูกโป่งที่อัดลมเข้าไป... ยิ่งมีอากาศมากเท่าไหร่ภายในก็ยิ่งอึดอัด จนกระทั่งเมื่อถึงขีดสุดมันก็จะแตกออก ซึ่งไม่ต่างอะไรกับความในใจของเด็กหนุ่มตอนนี้เลย...



    "รู้มั้ย... ว่าฉันแอบอิจฉาชางมินแค่ไหน ความรัก... มิตรภาพ... ไม่ว่าจะเป็นอะไรชางมินได้ทุกอย่างกลับมาและอยู่อย่างมีความสุข  ทั้งๆที่เจออะไรร้ายๆมาเหมือนกันแท้ แต่ทำไมคนที่ไม่เหลืออะไรถึงเป็นฉัน... ทั้งเพื่อน...คนรัก....สัญญา ไม่มีเลย...สิ่งเหล่านั้นไม่มีเหลือไว้ให้ฉันเลยแม้แต่นิดเดียว!!~"



    "พอได้แล้ว!!~ แจจุงฉันขอร้อง พอเถอะ ฉันเข้าใจแล้วๆ ขอโทษ ฉันขอโทษ!!~" คราวนี้ชายหนุ่มทนฟังต่อไปอีกแล้วไม่ได้จริงๆ  ถึงชายหนุ่มจะไม่ร้องห้าม แต่เด็กหนุ่มก็พูดอะไรไม่ออกแล้ว  แก้มขาวเนียนเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาที่เช็ดเท่าไหร่ก็ไม่คล้ายไม่มีวันหมด...



    "ยูชอน..." เสียงหวานเรียกร่างสูง เมื่อไหล่กว้างของชายหนุ่มกำลังสั่นไหว ปาร์คยูชอนกำลังร้องไห้เป็นครั้งแรกในรอบสองปี  ครั้งสุดท้ายคือตอนที่มองกรอบรูปในห้องแจจุงก่อนที่เขาจะไปอเมริกา แล้วนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีอีกเลย แม้กระทั้งตอนพ่อตายของเขาชายหนุ่มก็ไม่มีแม้น้ำตาสักหยด



    หากแต่คราวนี้นั้นต่างกัน... ความจริงที่เคยไม่ยอมรับรู้... โหดร้าย... เลือดเย็น... น้ำเสียงหวานที่สั่นเครือเพราะความหวาดกลัวและเจ็บปวดจากเรื่องราวในอดีต บาดลึกเข้ากลางหัวใจ  มันมากเกินกว่าหัวใจที่บาดเจ็บอยู่แล้วของชายหนุ่มจะรับมันไหว...



    "ทำไม...ทำไมนายถึงไม่บอกฉัน ทำไมนายถึงเก็บเรื่องทุกอย่างไว้คนเดียวอย่างนี้ ฉันเป็นเพื่อนของนายไม่ใช่เหรอ? แจจุง..." ชายหนุ่มเอ่ยถามทั้งที่ยังประคองเสียงของตัวเองไม่ให้สั่นไม่ได้เลย...



    "ก็เพราะนายเป็นเพื่อนไงล่ะ ฉันถึงได้ไม่อยากให้นายรู้ ไม่อยากให้นายต้องมาคิดมาเรื่องของฉันอีก ฉันรู้ว่าแค่เรื่องจุนซูมันก็ทำให้นายเจ็บมากพออยู่แล้ว " น้ำเสียงหวานเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงไม่ต่างกัน...



    "ขอโทษ... ฉันขอโทษ... ฉัน..." ยูชอนก้มหน้านิ่งไม่รู้ว่าควรจะปลอบคนตรงหน้าอย่างไร ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นเพราะการกระทำโดยไม่คิดถึงจิตใจของคนที่ต้องมารับรู้ภายหลังอย่างแจจุงเลยสักนิด



    "ไม่ต้องหรอก... ขอแค่ตอนนี้นายเข้าใจฉันแค่นี้ก็พอแล้วสำหรับฉัน..." เจ้าของนัยน์ตาสีนิลเอ่ยยิ้มทั้งน้ำตา



    "แล้วนายคิดจะทำยังไงต่อไป..."



    "ไม่รู้สิ ฉันบอกนายไม่ได้ เรื่องนี้เท่านั้นที่ฉันไม่อยากให้ใครรู้โดยเฉพาะนาย..." ยูชอนถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบของแจจุง เขารู้อยู่แล้วว่าถ้าคนๆนี้คิดจะไม่บอกก็จะไม่ยอมปริปากอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว...



    "ก็ได้ๆ นายไม่บอกฉันก็ไม่เป็นไร ฉันแค่อยากบอกนายว่านายจะทำอะไรฉันจะไม่ขวางนายทั้งนั้น แต่อยากเตือนไว้ว่าสุดท้ายคนที่จะเจ็บก็เป็นตัวนายเองนะ ยอมแพ้เถอะแจจุง..."



    "ฉันรู้ยูชอน... แต่ถ้ายอมแพ้แล้วฉันจะยังเหลืออะไรอยู่อีกเหรอ? เวลา 5 ปีมันพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากฉัน สิ่งเดียวที่ฉันเหลืออยู่คือความรักของยุนโฮ แต่ถ้าตอนนี้แม้แต่สิ่งนั้นฉันก็ยังสูญเสียมันไป แล้วฉันจะยังอยู่ต่อไปเพื่ออะไรล่ะ?"



    "แจจุง..."



    "ถึงนายบอกให้ฉันลืมอดีตและมองไปยังวันพรุ่งนี้... แต่...จะลืมได้จริงๆนะเหรอ? " ร่างบางถอนหายใจเบาเบา "มันไม่ใช่แค่สองสามวันนะยูชอน... กี่ปีแล้ว...ที่ฉันได้แต่เฝ้ารอเขาเพียงคนเดียว..."



    "
    ..." ชายหนุ่มเงียบไปเพราะไม่อาจหาเหตุผลมาแย้งกับร่างบางตรงหน้าได้เลย...



    "
    แต่..." เสียงหวานเรียกให้ชายหนุ่มหันไปตั้งใจฟังอีกครั้ง "นายไม่ต้องห่วงไปหรอก...ยูชอน ฉันคิดว่าบางทีอาจจะถึงเวลาที่ต้องปล่อยยุนโฮไปแล้วจริงๆก็ได้ ขอให้ฉันมั่นใจอีกหน่อยว่าจุนซูรักเขาจริงๆ  แล้วเมื่อถึงตอนนั้นฉันจะไปจากเขาเอง..."


    "
    ไม่ว่านายจะรู้สึกกับเรื่องอะไรๆไม่ดีแค่ไหนบอกฉัน ฉันจะช่วยรองรับความเจ็บปวดของนายไว้เอง... ไม่ว่าวันข้างหน้าอาจจะเดินบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่เราจะเดินไปด้วยกัน ฉันจะประคองนายไปเองแจจุง นายจะไม่มีวันเดินอยู่อย่างนั้นเพียงลำพัง... ฉันเป็นเพื่อนนายเสมอจากนี้และตลอดไป..."

    เสียงทุ้มเอ่ยถ้อยคำสัญญาเมื่อครั้งอดีตที่เขาเคยให้ไว้กับแจจุงในวันเกิดครบรอบอายุ 13 ที่เด็กหนุ่มต้องเหลือตัวคนเดียวเพราะ พ่อแม่พึ่งจากไปด้วยอุบัติเหตุ... ดวงหน้าสวยเงยมองตาของชายหนุ่มราวกับจะค้นหาความรู้สึกข้างใน...คำพูดนี้เด็กหนุ่มจำได้ดีมันเป็นสิ่งที่ทำให้เขายืนหยัดอยู่ได้อย่างเข้มแข็งในวันที่ต้องเหลือตัวคนเดียว...



    "
    นายยังจำมันได้ใช่มั้ย?" ยูชอนเอ่ยถามในขณะที่ร่างบางพยักหน้าเบาๆโดยไม่เอ่ยตอบอะไร



    "
    ฉันยังยืนยันคำสัญญานั้นเสมอนะ..."

    "ขอบใจ...ยูชอน..." เด็กหนุ่มเอ่ยได้เพียงเท่านั้นก็หยุดไป เพราะบริกรยกอาหารที่สั่งไปออกมาเสิร์ฟที่โต๊ะแล้ว...

    หลังจากนั้นช่วงเวลาที่หายไปของมิตรภาพระหว่างพวกเขาสองคนกลับมาอีกครั้ง ยูชอนตั้งใจจะทำตามสัญญาอย่างที่ชายหนุ่มพูดจริงๆ เขาไม่เคยรู้และไม่เคยคิดเลยว่าแจจุงจะต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน ภายใต้ใบหน้าที่มีรอยยิ้มแต่ข้างในมีแต่น้ำตา เขาจะช่วยได้มากสักเท่าไหร่กัน...



    หลังจากมื้ออาหารค่ำจบลง ชายหนุ่มก็ขับรถไปส่งแจจุงที่บ้าน ระหว่างทางเด็กหนุ่มเผลอหลับไป เมื่อถึงบ้านแล้วยูชอนหันมาเห็นร่างบางที่ผล็อยหลับไปก็ตั้งใจจะปลุกแต่ใบหน้าหวานที่หลับสนิทเพราะความอ่อนล้าจากการเที่ยวและร้องไห้ ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะอุ้มเด็กหนุ่มลงจากรถเพื่อจะส่งต่อให้ฮันกยองที่มายืนรอรับ แต่ฮันกยองเกรงเจ้านัยน์ตาสีนิลจะสะดุ้งตื่น จึงขอให้ยูชอนอุ้มเจ้านายของตนไปส่งที่ห้อง ซึ่งยูชอนก็เต็มใจ

      





     




    สองอาทิตย์ต่อมา


     

    ห้องโถงสีครีมดูหรูหราจากการตบแต่งสไตล์อังกฤษ แชนเดอเลียตัวใหญ่แขวนอยู่กึ่งกลางห้องส่องประกายสะท้อนแสงไฟ เพดานห้องแกะสลักเป็นลวดลายอย่างสวยงาม บนโต๊ะกลมตัวใหญ่หลายตัวถูกจัดวางจานและแก้วบนโต๊ะถูกจัดวางอย่างประณีตสวยงามเพื่อรองรับบรรดาแขก และยังอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้ที่นำมาใช้ประดับตกแต่งห้องสำหรับงานเลี้ยงที่จะมีขึ้นในวันนี้...


    งานเลี้ยงฉลองความสำเร็จร่วมกันของสองบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างชอยและปาร์ค รวมทั้งการผู้บริหารคนอื่นๆในเครือของบริษัททั้งสองด้วย  ซึ่งสถานที่ที่ใช้ครั้งนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของโรงแรมซิลเวีย โรมแรมชั้นหนึ่งระดับแนวหน้าในเครือบริษัทชอย



    เนื่องจากน้ำหอมตัวใหม่ที่ออกโฆษณาไปเพียงสองอาทิตย์นั้น กลับทำให้ยอดขายพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ของบริษัท งานเลี้ยงฉลองครั้งนี้จึงเกิดขึ้นมาด้วยเหตุนั้น 
    ซีวอนและชางมินเดินเข้าไปในงานก่อนจะพบกับยูชอนและจองซูที่รออยู่แล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างทักทายกันเล็กน้อยพอเป็นพิธี ก่อนซีวอนกับจองซูจะปลีกตัวออกไปพูดคุยกับคนอื่นๆตามหน้าที่ประธานบริษัท บัดนี้จึงเหลือเพียงชางมิน และยูชอนที่ยืนอยู่ด้วยกัน



    "
    คิดว่าแจจุงจะมามั้ย?...ชางมิน" เสียงทุ้มเอ่ยถามเด็กหนุ่มมองเหล่าบรรดาพนักงานที่กำลังจัดอาหารและเครื่องดื่มบริการแก่ผู้ร่วมงาน ในขณะที่คนถูกถามยังคงยืนนิ่ง



    "
    ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าอาการดีขึ้นแล้วก็คงมาเองนั้นแหละ… "



    "
    กลัวแต่จะไม่ยังหายก็จะมานะสิ..." ยูชอนว่าตามความคิดของตน นิสัยของแจจุงเป็นยังไง...เพื่อนสนิทอย่างเขาย่อมรู้ดี  ไอ้เรื่องชอบฝืนตัวเองล่ะ...ก็เป็นที่หนึ่งเลยทีเดียว



    "
    ฉันก็ว่างั้นแหละ เฮ้อ....เราไม่มีทางจะช่วยแจจุงได้จริงๆเลยเหรอ?" ร่างเพรียวบางว่าพลางกอดอก ใบหน้าหวานเจือไปด้วยความกังวลที่มีอยู่เต็มเปี่ยม ก่อนจะกลั่นกรองมันให้เป็นเพียงลมหายใจแผ่วเบา...


    "
    อันที่จริงก็ใช่ว่าจะไม่มี... บางทีเราอาจจะต้องให้ฮันกยองช่วย..." ประโยคที่เรียกใบหน้าหวานให้หันมองชายหนุ่มอย่างแปลกใจ



    "
    หมายความว่าไง... ?" พอชางมินถาม  ยูชอนกลับพาชางมินไปคุยกันตามลำพังที่ริมระเบียงด้านนอก ซึ่งไม่มีใครสนใจจะออกมาอยู่แล้ว ชายหนุ่มร่างสูงพิงแผ่นหลังแตะระเบียงสูงเล็กน้อย... นัยน์ตาคมมองดูคู่สนทนาที่ยืนอยู่ตรงหน้า



    "
    ชางมินดูออกใช่มั้ยว่าฮันกยองรักแจจุง...?"



    "
    ใช่... แต่ฉันไม่เห็นมันจะเกี่ยวกันตรงไหนนี่..."



    "
    แล้ว...ถ้าฉันบอกว่ายุนโฮยังรักแจจุงอยู่ล่ะ นายจะเชื่อมั้ย?"



    "
    เป็นไปไม่ได้หรอก ลองหันไปดูสิ..." เด็กหนุ่มว่าพลางมองกลับไปด้านหลังของตัวเอง  ภายในงานยุนโฮกับจุนซูกำลังให้สัมภาษณ์นักข่าวอยู่ โดยที่มือของทั้งคู่นั้นเกาะกุมกันไว้ตลอด... ใบหน้าเปื้อนยิ้มของยุนโอกลับทำให้ชางมินเศร้า มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ชายหนุ่มนั้นจะยังรักแจจุงเพื่อนของเขาอยู่ ในเมื่อภาพมันฟ้องตำตาขนาดนี้...



    "
    ที่เห็นเป็นอย่างนั้น...แล้วในใจน่ะรู้ได้เหรอ? ถ้าเป็นจริงหมอนั่นคงไม่เก็บสร้อยเส้นที่มีคู่กับแจจุงไว้หรอก..." เห็นชางมินทำหน้าสงสัย ชายหนุ่มเลยรีบเล่าต่อก่อนร่างเพรียวจะถาม...



    "
    สร้อยเส้นที่ฉันคืนให้แจจุงไปเป็นของยุนโฮ เพราะว่าของแจจุงจริงฉันเอาไปให้ร้านเครื่องประดับแต่เขาบอกว่ามันคงซ่อมไม่ได้แล้ว... ฉันไม่รู้จะทำยังไงเลยเอาของยุนโฮให้แจจุงแทน... ส่วนถ้านายจะถามว่าสร้อยของยุนโฮมาอยู่กับฉันได้ไง...

    ก็เพราะว่าจุนซูเห็นสร้อยเส้นนั้น... หมอนั่นถึงได้เอามาฝากให้ฉันเอามันไปทิ้ง... ซึ่งก็หมายความว่ายุนโฮเก็บมันไว้ตลอดห้าปี... แล้วอย่างนี้น่ะเหรอที่เรียกว่าไม่ได้รักกัน กะอีแค่ทิ้งสร้อยเพียงเส้นเดียว มันจะไปยากอะไรถ้าของสิ่งนั้นไม่ได้เป็นของสำคัญละก็...
    " เสียงทุ้มร่ายมาเสียยืดยาว ในขณะที่เด็กหนุ่มนิ่งคิด


    หลังจากที่ยูชอนได้รู้เรื่องราวทั้งหมดจากแจจุงแล้ว... เขากับชางมินก็เลยสนิทกันไปโดยปริยาย แต่ตอนนี้พวกเขามีสิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้น

    เพราะหลังจากที่กลับมาจากสวนสวรรค์นั้นแล้วดูเหมือนว่าอาการของแจจุงจะดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่... เรียกได้ว่าสามวันดีสี่วันไข้เลยก็ว่าได้  ไม่ว่าจะเป็นวันที่กลับมาจากสวนสนุกนั้น ก็ไข้ขึ้นสูง.... แต่วันต่อมาก็กลับแข็งแรงดี...

    ทั้งที่ทั้งเขา,ชางมิน และฮันกยองเป็นห่วงและพยายามขอร้องให้ไปหาหมอเพื่อดูอาการ แต่เจ้าตัวก็ไม่ยอม บอกไม่เป็นอะไรลูกเดียว... จนพวกเขาเหนื่อยใจไม่อยากบังคับก็เลยต้องปล่อยไป... ได้แต่บอกให้พ่อบอดี้การ์ดหนุ่มคอยดูแลไปก่อน...


    "
    งั้นเราจะให้ฮันกยองทำอะไร...?" เด็กหนุ่มเอ่ยถามหลังจากนิ่งคิดมานาน...



    "
    คงต้องขอให้ฮันกยองดูแลแจจุงอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา... ฉันไม่เชื่อหรอกว่ายุนโฮจะไม่รู้สึกอะไร  แล้วเราลองมาสังเกตสีหน้าหมอนั่นดู บางทีอาจจะได้เห็นอะไรดีๆถึงจะดูเหมือนหลอกใช้ความรู้สึกของฮันกยองไปบ้าง แต่ฉันคิดว่ามันเป็นหนทางเดียวที่ไปบ้านั่นจะรู้ตัวสักทีว่ามันรักใครกันแน่... นายว่าไงชางมิน..."


    "
    เอาเถอะว่าไงก็ว่าตามกัน หนทางน่ะมันไม่ได้มีให้เลือกมากนักหรอก..."







    ขณะเดียวกันนั้นที่คฤหาสน์คิม

    "จะไปจริงๆเหรอครับ ดูสีหน้าคุณหนูยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย..." ชายหนุ่มผมทองพูดกับเด็กหนุ่มในเสื้อสีขาวทั้งชุดตัวเดียวกับที่ใส่ในการถ่ายโฆษณาที่กำลังเดินลงมาด้วยใบหน้าอิดโรย...



    "อือ... อ่ะ!" แจจุงพยักหน้าตอบเบาๆ ก่อนจะสะดุดบันไดขั้นสุดท้าย ดีว่าฮันกยองพุ่งเข้าไปรับได้ทันก่อนร่างบางจะล้มลงไปกองกับพื้น...



    "แน่ใจนะครับ?...คุณชางมินสั่งไว้ว่าถ้าคุณหนูยังไม่ดีขึ้นไม่ต้องไปก็ได้ อย่าฝืนเลยนะครับ..." ชายหนุ่มว่าพลางค่อยๆประคองให้แจจุงยืนขึ้น  



    "อืม...ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่เป็นไรจริงๆ ไปเถอะ" แม้ชายหนุ่มจะไม่เห็นด้วยกับคำตอบของร่างบางเท่าใดนัก แต่ก็ยอมทำตามความต้องการของเจ้าตัวแต่โดยดี...



    "ก็ได้ครับ…" ฮันกยองผายมือให้แจจุงเดินนำหน้าตัวเองไป  รถสีบรอนซ์เงินแล่นออกจากคฤหาสน์หลังใหญ่ที่แสนเงียบเหงา แต่สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มไม่พอใจกลับเป็นเสียงถอนหายใจของคนขับรถหนุ่มที่เอาแต่หันมามองเขาแล้วก็ถอนหายใจไปพลาง...



    "นี่ฮันกยอง!! อย่าทำเหมือนฉันเป็นเด็กดื้ออย่างนั้นสิ... ก็ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อยนี่นา..." ใบหน้าสวยแกล้งว่าพร้อมทำแก้มป่อง พาเอาชายหนุ่มที่แอบมองกระจกหลังพลอยอมยิ้มไปด้วย...



    "ดื้อสิครับ เพราะถ้าคุณหนูเชื่อผมละก็  ตอนนี้เราน่าจะอยู่ที่บ้านกัน... หน้าซีดขนาดนั้นแท้ๆ"



    "โธ่... ฮันกยองก็…" อยู่ๆแจจุงก็เงียบไป ชายหนุ่มรู้สึกผิดสังเกตจึงเงยหน้ามองกระจกหลังเล็กน้อย นัยน์ตาสีนิลฉายแววเจ็บปวดออกมา แม้จะเป็นเวลากลางคืนแต่ฮันกยองกลับสังเกตเห็นแววตานั้นจากกระจกได้อย่างชัดเจน...  และนั่นทำให้ชายหนุ่มมองอย่างไม่เข้าใจว่าตนพูดอะไรผิดไป



    "เอาเถอะ บางทีฉันจะดื้ออย่างที่นายว่าก็ได้... เพราะไม่งั้นฉันคงไม่เลือกให้ตัวเองจมอยู่กับอดีตแบบนี้หรอก..."



    "คุณหนู..."



    "ฮันกยอง... ถ้านาย...ถูกคนที่เรารักมากทรยศละก็จะทำยังไง ทั้งๆที่รัก ทั้งๆที่ไว้ใจ  แต่กลับทำร้ายกันได้ลงคอ?"



    "คุณแจจุง...?" ชายหนุ่มเผลอเรียกด้วยความตกใจ



    "ไม่เป็นไรไม่ต้องตอบหรอก ฉันรู้ว่ามันตอบไม่ได้ง่ายๆ..." แล้วทั้งคู่ก็เงียบไป... ไม่มีใครพูดอะไรอีกเลยตลอดทางจนถึงสถานที่จัดงาน ณ โรงแรมซิลเวีย เมื่อรถคันหรูจอดอยู่หน้าทางเข้าโรงแรมบริกรของโรงแรมก็มาเปิดประตูให้แจจุงส่วนนั้นฮันกยองต้องเอารถไปจอดก่อน โดยบอกให้แจจุงเข้างานไปเลยแล้วตนจะรีบตามไปทีหลัง


    พอชายหนุ่มผมทองหาที่จอดได้ก็รีบจะเข้าไปในโรงแรมตามเจ้านายคนสวยที่น่าจะล่วงหน้าเข้าไปก่อนแล้ว แต่ฮันกยองกลับพบคนที่ว่าถึงยืนรออยู่หน้าทางเข้างาน...



    "คุณหนู?" ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นแจจุงยังไม่เข้าไปข้างในแต่กลับยืนรอเขาอยู่...



    "ก็...ก็ฉันไม่อยากเข้าไปคนเดียวนี่! ต้องอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆ ฉัน... อายนะ..." เสียงประโยคหลังดูเบาๆไป ดูแล้วคงเป็นเหตุจริงๆที่ไม่ยอมเข้าไป ชายหนุ่มแอบอมยิ้มกับท่าทางประหม่าเวลาเจอคนเยอะๆของคนสวยก่อนจะยื่นแขนให้เด็กหนุ่มควง...



    "ไปเถอะครับคุณซีวอนกับคุณชางมินคงรอแย่แล้ว..." แจจุงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือไปแตะแขนชายหนุ่มแล้วเดินไปด้วยกัน เสียงฮือฮาดังขึ้นไปทั่วงานเมื่อฮันกยองและแจจุงเข้ามาถึงในงาน ร่างบางในชุดขาวที่วันนี้ก็ยังคงงดงามเสมอ ยิ่งรวมกับชายหนุ่มที่เดินมาด้วยกันแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง... ราวกับ



     
    "มากันเด่นเชียวนะ..." ซีวอนว่าเบาๆพลางยิ้มให้คนทั้งคู่ที่กำลังตรงมาหาเขาในขณะที่ชางมินเองก็แอบคิดในใจ...



    ...ไม่มีคนมองสิถึงจะแปลก...



    แต่พอเด็กหนุ่มหันมองตามคนรัก... ก็ต้องลุกจากโต๊ะไปหาแจจุงเสียก่อนเพราะใบหน้าของเจ้าตัวที่แม้จะยิ้มแต่ชางมินก็รู้ดีว่าแจจุงกำลังฝืนอยู่



    "แจจุง... ฉันบอกนายแล้วไงว่าถ้านายไม่ไหวไม่ต้องมาก็ได้นี่... ฮันกยอง!!~" ชางมินเอ่ยกล่าวโทษคนที่เดินมาด้วยกัน ที่กำลังทำหน้าไม่ถูก



    "อย่าว่าเขาเลยชางมิน ฉันเป็นคนอยากมาเองแหละ " เสียงหวานเอ่ยห้ามเพื่อนสนิท คนที่โดนว่าเลยกลายเป็นเขาแทนเสีย



    "แจจุง!!~ นายนี่ก็จริงๆเลย... ดูสิไม่สบายขนาดนี้ ยังจะฝืนอีกนะ..." ร่างสูงเพรียวว่าอย่างไม่พอใจ แต่แจจุงก็รู้ดีว่าเพราะที่ชางมินว่าแบบนั้นเป็นห่วง...



    "ก็ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อยนิ..." เสียงหวานว่าอย่างดึงดัน ถึงใบหน้าหวานของเพื่อนสนิทดูจะไม่ค่อยเห็นด้วยนัก แต่ก็พาร่างบางมาที่โต๊ะอาหาร  ซึ่งมีคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว โดยเรียงตามลำดับเป็นซีวอน จองซู ยูชอน ยุนโฮ จุนซู ซองมิน ดงแฮ...




    To Be Con...



    ครบ 100 แล้วรอนานป่ะ?
    ขอโทษที่ปล่อยให้รอ บอกแล้วว่าช่วงนี้มันยุ่งอ่ะ

    - - + +-b g-น่า รัก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×