คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : [ 11 ] : Can I be there? (100 %)
Chapter XI : Can I be there?
ลานโล่งกว้างในสวนหลังคฤหาสน์ถูกใช้เป็นสถานที่ตัดสิน คยูฮยอนรับหน้าที่เป็นกรรมการตัดสินในฐานะที่ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดเป็นพิเศษ แต่กติกาที่ใช้ตัดสินผลแพ้ชนะแจจุงเป็นคนเลือกด้วยตัวเอง เนื่องจากทุกคนเห็นแก่อาการบาดเจ็บ และสิ่งที่กุหลาบงามเสนอก็เป็นกติกาที่คยูฮยอนรับได้ การต่อสู้จึงเริ่มขึ้นทันที
“กติกาไม่มีอะไรมาก จนกว่าจะมีใครพูดว่า ‘ยอมแพ้’ การต่อสู้จะดำเนินต่อไป” พอได้ยิน ยูชอนถึงได้เข้าใจความหมายที่แจจุงบอกว่าจะไม่แพ้ หากนั่นกลับยิ่งทำให้นายใหญ่แห่งตระกูลปาร์คขมวดคิ้ว ...ถ้าแจจุงไม่คิดจะแพ้แล้วทำไมถึงยอมสู้ทั้งที่ตัวเองเสียเปรียบขนาดนั้น
“เริ่มได้!” คยูฮยอนให้สัญญาณเริ่มการต่อสู้ ก่อนจะถอยหลังไปยืนอยู่ข้างยูชอนกับชางมิน โดยมีเยซองอยู่ห่างไปอีกหน่อย
ในขณะเดียวกันซีวอนก็พุ่งเข้าหาร่างบางทันทีที่สิ้นเสียงสัญญาณ แจจุงยืนนิ่งรอรับการจู่โจมอย่างใจเย็น การต่อสู้ตกอยู่ภายใต้ความเงียบงันที่น่าอึดอัด มีเพียงเสียงของการเคลื่อนไหวไปมา การโจมตีของซีวอนหนักหน่วงและรุนแรง ไม่มีการเห็นใจ ไม่มีการอ่อนข้อให้เลยแม้แต่นิดเดียว แจจุงแทบไม่มีโอกาสได้โต้กลับทำได้แค่หลบไปมา อีกทั้งยังต้องคอยป้องกันหัวไหล่ที่ซีวอนจงใจเล็งโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เสียงลมหายใจหอบหนักดังไปทั่วลานกว้าง แจจุงกุมไหล่ข้างที่บาดเจ็บแน่น ต่อให้พยายามหลบเลี่ยงแค่ไหนก็ยังถูกกระแทกเข้าถึงสองครั้งเต็มๆ หยาดเหงื่อพราวเต็มดวงหน้าซีดขาว หากนัยน์คู่งามกลับจับจ้องซีวอนไม่วางตาเตรียมพร้อมจะรับการจู่โจมทุกเมื่อ ไม่มีท่าทีจะยอมแพ้เลยสักนิด
นัยน์ตาสองคู่มองประสานสบตาหยั่งเชิงซึ่งกันและกัน ความเงียบกินเวลาเพียงชั่วอึดใจเดียว ก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้กลายเป็นแจจุงที่เริ่มก่อน เสียงหอบหายใจหายไปพร้อมมือที่ปล่อยจากหัวไหล่ตัวเอง ราวกับความเจ็บปวดและท่าทีอ่อนแรงก่อนหน้านี้เป็นเพียงการแสดงตบตา กุหลาบงามหลีกเลี่ยงการเข้าประชิดตัวโดยตรง แม้จะจู่โจมอย่างต่อเนื่องแต่ก็ยังเว้นระยะห่าง ถึงอย่างนั้น...ซีวอนก็ถูกบีบให้ต้องตั้งรับและหลบเลี่ยงไปมา โดยที่แจจุงไม่เปิดช่องให้โต้กลับเลยแม้แต่นิดเดียว คนที่เคยได้แต่หลบเลี่ยงกลายมาเป็นฝ่ายรุกไล่ได้ก็ทำให้คนดูรอบนอกต้องประหลาดใจ เว้นก็แต่ยูชอนที่ทำหน้าเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ถ้าจะล้มซีวอน...แจจุงก็ต้องทำให้ได้เดี๋ยวนี้ ถ้ายังจู่โจมโดยเว้นระยะห่างต่อไป อีกไม่นานซีวอนจะจับทางได้ แล้วร่างบางจะกลายเป็นฝ่ายถูกดึงให้เข้ามาประชิดตัวเสียเองอย่างแน่นอน และยูชอนก็พนันได้เลยว่าถึงตอนนั้น ซีวอนจะทำทุกอย่างเพื่อเค้นคอให้แจจุงพูดคำว่า ‘ยอมแพ้’ ออกมาให้ได้ ไม่ทันไร...สิ่งที่นายใหญ่แห่งตระกูลปาร์คคิดก็เกิดขึ้น
“อ่ะ!” แจจุงก็เผลอปล่อยตัวเข้าประชิดร่างสูงตามความเคยชินเมื่อเห็นช่องว่าง กว่าจะคิดได้ว่าเป็นหลุมพรางก็หนีไม่ทันแล้ว หัวหน้าการ์ดหนุ่มยิ้มมุมปากแบบที่คนเสียเปรียบเห็นแล้วต้องหวั่นใจ ซีวอนเอี่ยวตัวล็อกคอแจจุงจากด้านหลังแล้วโน้มตัวลงไปข้างหน้า ใช้น้ำหนักกดทับให้ร่างบางที่ขยับเขยื้อนไม่ได้ให้ล้มลงไปกระแทกกับพื้น ก่อนจะผละออกมาจับข้อมือบางข้างหนึ่งกดล็อกบนแผ่นหลัง กุหลาบงามพยายามใช้มือข้างที่เป็นอิสระดันตัวขึ้นจากพื้นแต่ไม่สำเร็จ น้ำหนักร่างสูงที่กดทับทำลมหายใจคนเจ็บติดขัด ข้อมือบางพยายามบิดไปมาเพื่อให้หลุดจากพันธนาการ
“อย่าพยายามเลยน่า” ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ แจจุงออกแรงดิ้นสะบัดข้อมือมากกว่าเดิมแม้จะไม่เห็นผล ซีวอนถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ทั้งที่เขาเองก็ไม่ได้อยากทำร้ายคนเจ็บแท้ๆ แต่เขาก็ปล่อยให้แจจุงชนะไม่ได้
“ฮะ..ฮึก!” ลมหายใจหอบแผ่วสะดุดกึกเมื่อข้อมือถูกจับบิดอย่างแรง แม้จะไม่ถึงกับหัก แต่การเคลื่อนไหวที่ผิดรูปดึงรั้งกล้ามเนื้อที่หัวไหล่ที่บาดเจ็บ ทลายสีหน้าเรียบเฉยของคนที่ฝืนอดทนมาตลอด เจ็บ...จนแทบทนไม่ไหว แจจุงหยุดดิ้นพลางหลับตาแน่นพยายามข่มความเจ็บปวดที่แล่นริ้วไปทั่วร่างกาย
“ยอมแพ้เถอะ” น้ำเสียงหัวหน้าการ์ดหนุ่มแฝงแววขอร้อง ซีวอนไม่อยากทำร้ายคนเจ็บมากไปกว่านี้ แต่เสียงหวานก็ตอบปฏิเสธทันทีแบบไม่ต้องคิดให้เสียเวลา
“ไม่มีทาง...ฮือ!” สิ้นเสียงตอบแจจุงก็ต้องกัดริมฝีปากตัวเองแน่นกลั้นเสียงร้อง เมื่อซีวอนบิดข้อมือบางพลิกกลับมาอีกด้านดึงรั้งจนแผลเก่าที่หลังฉีกขาด ของเหลวสีสดย้อมเสื้อขาวที่โผล่พ้นแจ็กเกตให้กลายเป็นสีแดงฉาน ภาพตรงหน้าไม่ชวนมองจนชางมินต้องเบือนหน้าหนี เขาถึงได้เห็นมือที่กำแน่นของเจ้านายหนุ่มทั้งที่สีหน้าเรียบเฉย คงมีแต่ชางมินที่รู้ว่ายูชอนต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหนที่จะไม่ยื่นมือเข้าไปขัดขวาง
แม้จะเจ็บจนต้องกลั้นหายใจ แต่กลีบปากสีซีดกลับเม้มแน่นไม่ยอมปริปากเอ่ยคำที่จะยุติการต่อสู้นี้ลงเสียที ซีวอนไม่เข้าใจ...ทั้งที่ตอนแรกแจจุงดิ้นรนจะไปจากคฤหาสน์ตระกูลปาร์คให้ได้แท้ๆ แต่เพียงเพราะยูชอนบอกให้อยู่ แจจุงก็เปลี่ยนใจง่ายๆ ราวว่านี่เป็นสิ่งที่เจ้าตัวรอคอยอยู่แล้ว...นั่นทำให้ซีวอนไม่ไว้ใจ แต่มาตอนนี้เขากลับไม่คิดว่ากุหลาบงามจะมีเจตนาอย่างนั้น
“ทำไมถึงยอมอยู่ที่นี่” หัวหน้าการ์ดหนุ่มอยากรู้เหตุผล มือใหญ่ที่จับข้อมือบางล็อกอยู่ยังตรึงแน่นขนาดที่ขยับอีกเพียงนิดเดียวกระดูกคงหักอย่างแน่นอน แต่ซีวอนไม่ได้ตั้งใจจะทำไปถึงขั้นนั้น
“ถ้าไม่อยากให้อยู่...จะฆ่าเลยก็ได้” นัยน์ตาคู่งามที่ว่างเปล่าสบกับดวงตาคมของร่างสูงที่กำลังจะเป็นผู้ชนะ ก่อนจะหลับตาลงอย่างอ่อนล้า ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายมากเกินกว่าที่เขาจะทานทนได้อีกต่อไป เพียงแค่หายใจเบาๆ นาทีนี้ยังยาก ถึงจะไม่มีโอกาสจะพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะได้อีก แต่แจจุงก็ไม่คิดจะพูดว่ายอมแพ้อย่างที่ซีวอนอยากได้ยิน เทียบกันแล้วถ้าจะต้องแพ้...แจจุงยอมตาย
ซีวอนนิ่งงันไปเมื่อล่วงรู้ความคิดของกุหลาบงาม ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ เขาก็เกิดเข้าใจผู้เป็นนายขึ้นมาทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นด้วยเลยแม้แต่นิดเดียว คงเป็นความรู้สึกประเภทที่ว่า...ปล่อยไปไม่ได้ อย่างที่เขากำลังเป็นอยู่ในตอนนี้
“ผม...ยอมแพ้” ซีวอนถอนหายใจพลางปล่อยแจจุงให้เป็นอิสระ ก่อนจะส่งมือให้ร่างที่นอนหายใจรวยรินลุกขึ้นจากพื้น เท้าเรียววางแตะพื้นอย่างไม่มั่นคง จนคนเป็นต้นเหตุต้องยื่นมือโอบแผ่นหลังช่วยประคองไม่ให้ล้มลงไปอีกครั้ง ถ้อยคำประกาศยอมแพ้ของหัวหน้าการ์ดหนุ่มเป็นสิ่งที่หลายคนไม่คาดคิดไม่เว้นแม้แต่แจจุงที่ได้แต่มองอย่างไม่เข้าใจ ซีวอนแตะหลังแจจุงให้เดินไปหายูชอน ขณะที่ตัวเองหันไปโค้งตัวให้เยซองเล็กน้อยเป็นเชิงขอโทษที่ตนเองเป็นฝ่ายยอมแพ้เสียเอง
“ก็แพ้แล้วนี่...ฉันจะพูดอะไรได้ล่ะ นายอยากทำอะไรก็ตามใจเถอะ ฉันจะไม่ขวางแล้ว” ท่าทีของเยซองอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่มีซีวอนช่วยสนับสนุนแล้ว หรือยอมรับในตัวกุหลาบงามจริงๆ กันแน่ แต่ยูชอนไม่มีเวลามาครุ่นคิดมากนัก เขามีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่ารออยู่
“นายสองคนอย่าเพิ่งกลับ ฉันมีเรื่องอื่นจะคุยด้วย ไปรอที่ห้องรับแขกก่อน แล้วฉันจะตามไปทีหลัง... ซีวอนหยิบซองเอกสารบนโต๊ะฉันไปด้วย”
“ครับ” ซีวอนรับคำก่อนจะแยกตัวไปเอาของที่เจ้านายหนุ่มสั่ง ขณะที่อีกสองคนก็เดินกลับไปห้องรับแขก ยูชอนรั้งรอจนกระทั่งหัวหน้าเขตทั้งสองไปพ้นสายตาแล้วจึงหันกลับมาหาแจจุง
“อยู่เฉยๆ นะ” ยูชอนกระซิบเสียงเบาข้างหูคนเจ็บที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองจนไม่ทันได้สนใจรอบข้าง พอรู้ตัวอีกที แจจุงก็อยู่ในอ้อมแขนร่างสูงเรียบร้อยแล้ว
“ปะ...ปล่อยผมลงเถอะครับ”
“เดินไหวรึไง” ยูชอนว่าพลางขยับสองแขนให้อุ้มร่างบางได้ถนัดขึ้น
“แต่ว่า...อ่ะ!” เพราะแจจุงดิ้น ยูชอนเลยพลาดไปแตะโดนบาดแผลเข้า แถมยังตรงจุดเสียจนคนที่เอาแต่ดิ้นจะลงต้องหยุดทุกการเคลื่อนไหว แจจุงนิ่วหน้าเกร็งตัวด้วยความเจ็บปวดที่แล่นไปทั่วร่างจนต้องเอนตัวพิงซบบ่ากว้าง สีหน้าทรมานทำเอาชายหนุ่มรู้สึกผิด มือใหญ่ลูบแขนเรียวปลอบขวัญให้ร่างบางใจเย็นลง
“ไม่เป็นไรนะ” แจจุงตอบคำถามด้วยการพยักหน้าน้อยๆ แต่เสียงลมหายใจที่หอบหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่ทำให้ยูชอนวางใจเท่าไหร่ ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงห้องนอนเร็วขึ้น
ภายในห้องนอน...ชางมินมาเตรียมรออยู่ก่อนแล้ว ยูชอนวางร่างบอบบางลงบนเตียงอย่างเบามือ ก่อนจะถอยห่างออกมาให้ชางมินตรวจดูแผลอย่างเป็นกังวล ถ้าแจจุงอาการแย่มากๆ เขาก็อาจจะต้องพาไปโรงพยาบาล เพราะจองซูอยู่ต่างจังหวัดกว่าจะกลับมาถึงอย่างเร็วที่สุดก็พรุ่งนี้เช้า
“เลือดหยุดไหลแล้วครับ แผลฉีกไม่กว้างมาก ผมทำแผลให้ได้ แต่พรุ่งนี้ให้พี่จองซูมาดูอีกทีก็ดีครับ” ชางมินหยิบผ้าก๊อตแผ่นสุดท้ายที่ใช้ซับเลือดออก แล้วเริ่มทำความสะอาดแผลพร้อมกับรายงานเจ้านายหนุ่มไปพลางๆ
“ฝากด้วยนะ” ยูชอนวางมือบนไหล่เด็กหนุ่ม นัยน์ตาคมมองคนบนเตียงครู่หนึ่งก่อนจะปลีกตัวออกไปหาหัวหน้าเขตทั้งสองที่รออยู่ห้องรับแขก แจจุงมองตามแผ่นหลังกว้างที่ลับหายไปหลังบานประตู ความคิดก็คล้ายจะล่องลอยตามไปด้วย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ชางมินเรียกให้ทานยา
“พอยาออกฤทธิ์แล้วน่าจะดีขึ้นนะครับ” ชางมินพูดอย่างเป็นห่วง ขณะดึงเอาผ้านวมผืนนุ่มมาคลุมให้ร่างบอบบางที่หนาวจนตัวสั่นจากการเสียเลือดมาก ใบหน้าสวยซีดขาวดูเหนื่อยล้า ลมหายใจขาดหายเป็นช่วงๆ เหมือนหายใจไม่ออก
“เขา...โกรธหรือเปล่า”
“นายท่านน่ะเหรอครับ” ชางมินแกล้งถามทั้งรู้ดีว่าคนที่ร่างบางพูดถึงคือใคร มีแค่คนเดียวที่แจจุงไม่เคยเอ่ยปากเรียกตรงๆ เด็กหนุ่มไม่รู้เหตุผลแต่เดาเอาว่าคงเป็นเพราะเรื่องที่ยูชอนทำก่อนหน้านี้ แจจุงฝังใจไปแล้วและคงไม่ลืมง่ายๆ
“ไม่ได้โกรธหรอกครับ แต่ไม่พอใจเอามากๆ นายท่านเป็นห่วงคุณมากนะครับ” ชางมินบอกได้เลยว่าถ้าตอนนั้นซีวอนยังไม่ยอมหยุด ยูชอนจะต้องเข้าไปขวางด้วยตัวเองแน่ๆ แต่พอหันมาเห็นคนฟังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ก็อดสงสารไม่ได้ แต่จะให้โกหกว่ายูชอนไม่โกรธเลย ชางมินก็ทำไม่ได้อีกนั่นล่ะ
“อย่าทำหน้าแบบนี้สิครับ ...ผมรู้ว่าคุณคงมีเหตุผล แต่ถ้าคุณไม่พูด นายท่านก็ไม่เข้าใจหรอกนะครับ” ถ้าแจจุงเปิดใจให้พวกเขามากกว่านี้อีกนิดก็คงดี ไม่รู้ทำไมร่างบางถึงชอบเก็บง้ำทุกอารมณ์ความรู้สึกไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉยอยู่เสมอนัก น้อยครั้งที่ดวงตาคู่งามจะแสดงความรู้สึกให้เห็น...เช่นในเวลานี้
“ฉัน...ควรทำยังไง”
“พูดแล้วก็ทำอย่างที่คุณรู้สึกจริงๆ สิครับ” แจจุงเงียบไปหลังได้ฟังคำตอบ คล้ายกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับคำแนะนำนั้น ชางมินหันไปมองนาฬิกาไม้ที่แขวนอยู่ข้างตู้หนังสือ ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงหลังจากทานยา สีหน้าของคนบนเตียงดูดีขึ้นมานิดหน่อย ลมหายใจก็เริ่มไม่ติดขัดมากแล้ว เห็นอย่างนี้เขาก็วางใจ และควรจะต้องให้คนเจ็บได้พักผ่อนเสียที
“ดึกมากแล้ว...ผมขอตัวก่อนนะครับ ถ้ามีอะไรคุณเรียกผมได้ตลอด ห้องผมอยู่ข้างๆ นี้เอง” ชางมินจัดผ้านวมผืนนุ่มให้เข้าที่เข้าทาง มองดูความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะกลับ แต่ยังไม่ทันจะได้ไปยูชอนกับซีวอนก็เข้ามาพอดี เด็กหนุ่มลุกเปลี่ยนให้เจ้านายหนุ่มมานั่งที่ข้างเตียงแทนตน ก่อนจะย้ายตัวเองไปยืนอยู่ข้างซีวอน ยูชอนเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว จึงไม่อยากรั้งคนสนิททั้งสองเอาไว้อีก
“พวกนายไปพักเถอะ” เด็กหนุ่มโค้งตัวลงเล็กน้อยรับคำสั่ง พร้อมกับดึงซีวอนที่ทำเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างให้ออกมาพร้อมกัน โดยไม่ลืมที่จะแอบส่งสัญญาณมือบอกคนเจ็บให้รู้ว่านี่เป็นโอกาสที่เหมาะสม และแจจุงควรเริ่มตั้งแต่ตอนนี้
ประตูห้องปิดสนิทลงพร้อมกับความเงียบงันที่กลับมาเยือนอีกครั้ง แจจุงอยากจะทำอย่างที่ชางมินว่าอยู่หรอก เสียแต่ว่าไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง และยังคงเป็นยูชอนที่มักเป็นฝ่ายทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้เสมอ
“บอกได้ไหม ในเมื่อนายไม่ได้คิดจะไป ทำไมถึงทำอย่างนี้” ชายหนุ่มถามตรงประเด็น ไม่อ้อมค้อมเพราะไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของคนเจ็บมากนัก
“ผม...” เสียงหวานอึกอักแล้วก็เงียบไป ทั้งที่ยูชอนก็เปิดโอกาสให้แล้ว แต่เขาก็ยังพูดไม่ออก... การพูดและทำอย่างที่ใจคิดจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่แจจุงคุ้นเคยนัก หลายครั้งที่ไม่ว่าจะเกลียด ไม่พอใจ หรืออะไรก็ตาม ร่างบางก็จำเป็นต้องทำเหมือนไม่รู้สึก ตระกูลชองสอนให้เขาเป็นคนแบบนั้น...เก็บทุกอย่างไว้ข้างใน แล้วแสดงออกเท่าที่จะทำให้คนอื่นพอใจ
แค่เห็นแจจุงเงียบไป...ยูชอนก็รู้แล้วว่าคงไม่ได้คำตอบ เอาเข้าจริงๆ ร่างสูงก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ยินอะไรอยู่แล้ว ที่มาก็แค่อยากแวะมาดูอีกรอบก็เท่านั้น
“ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร นอนเถอะ ฉันไม่กวนแล้ว” เสียงทุ้มว่าพลางคลี่ปมม่านที่ถูกมัดไว้ออกเพื่อปล่อยชายผ้าให้ลงมาคลุมเตียงตามเดิม แต่ยังไม่ทันเสร็จเรียบร้อยดี ยูชอนก็รู้สึกถึงสัมผัสบางอย่างที่หยุดเขาไว้ ปลายนิ้วที่สั่นเทาของคนเจ็บทาบลงเหนือข้อมือของเขา
“ผมอยู่ที่นี่ได้จริงๆ เหรอครับ...” น้ำเสียงหวานถามอย่างขลาดๆ นัยน์ตาคู่งามในเวลานี้เต็มไปด้วยความหวั่นไหว แจจุงไม่มั่นใจ...ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว
“ทำไมถึงจะอยู่ไม่ได้ล่ะ” ยูชอนลูบหัวคนเจ็บอย่างเอ็นดู... แค่เพียงคำถามสั้นๆ ประโยคเดียวแต่กลับตอบได้ทุกอย่าง เพียงเพราะแจจุงอยากได้เหตุผล อยากได้คำยืนยัน หรืออะไรก็ได้ที่จะทำให้เขาอยู่ที่นี่ได้ เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้ยอมรับคำท้าทั้งที่รู้ว่าตัวเองจะไม่ชนะ ไม่ว่ามันจะเป็นการกระทำที่ดูโง่เง่าแค่ไหนก็ตาม
“ผม...กลัวจะไม่มีสิทธิอยู่ที่นี่ คุณก็รู้นี่ครับ... ผมไม่มีที่ให้กลับ ไม่มีที่ให้ไปแล้ว ถ้า...ถ้าคุณบอกให้ผมไปล่ะก็...” เสียงหวานเบาหวิวจนแทบจะกลืนหายไปในลำคอเมื่อถึงท้ายประโยค นัยน์ตาสีรัตติกาลคลอด้วยหยาดน้ำที่เอ่อล้น
“คุณอนุญาตให้ผมอยู่แล้ว คุณจะไม่...ไล่ผมไปใช่ไหมครับ เพราะถ้า...ถ้าคุณจะทำแบบนั้น ก็ปล่อยผมไปซะตั้งแต่ตอนนี้เถอะครับ ถ้าเป็นตอนนี้ ผมคงยังพอรับไหว แต่ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ล่ะก็...ผมต้องตายแน่ๆ เลยครับ” หยดน้ำตาร่วงหล่นทีละหยด ความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ภายในมากเกินกว่าที่จะฝืนทนเก็บไว้ได้อีกต่อไป
...ราวกับกุหลาบแก้ว งดงาม เปราะบาง
แม้สัมผัสเพียงแผ่วเบายังแตกร้าว
หากออกแรงสักนิด คงแหลกสลายไปแล้ว...
ยูชอนโน้มตัวลงจูบซับหยดน้ำตาที่กำลังจะกลิ้งหล่นจากนัยน์ตาคู่งาม แจจุงเพียงแค่หลับตาลงยอมรับสัมผัสที่แนบชิด ร่างบางไม่ได้ต่อต้าน แต่ก็ไม่ได้ยอมรับ... แรงสั่นเทาอันแสนบางเบาจากหัวไหล่ที่ชายหนุ่มวางมือไว้ยืนยันได้ ความโหดร้ายในคืนนั้นยังคงฝังรากลึกอยู่ที่ไหนสักแห่งในใจของแจจุง ยูชอนรู้...แต่กลับแกล้งทำเป็นไม่รู้สึก
“ฉันไม่อนุญาตให้นายตาย ลืมไปแล้วหรือไง” ริมฝีปากอุ่นคลอเคลียที่เปลือกตาอยู่ไม่ห่าง นัยน์ตาคู่สวยที่ชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตาลืมขึ้นมองเขา แววตาในคราวนี้ทำให้ยูชอนนึกถึงคืนวันนั้น...คืนที่ไม่ว่าเสียงหวานจะขอร้องอ้อนวอนสักแค่ไหน เขาก็ไม่เคยยอมหยุด
“คุณ...จะไม่...” ยูชอนไม่รู้ว่าแจจุงถามเรื่องไหนระหว่างเรื่องที่เขาจะไล่ไปจากตระกูลปาร์ค หรือเรื่องที่แจจุงกำลังกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นอีก แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนก็เป็นคำตอบเดียวกัน
“ไม่หรอก ฉันไม่ทำแน่ๆ” เสียงทุ้มกระซิบข้างใบหูร่างที่สั่นเทิ้มไปทั้งตัว ก่อนจะถอยห่างเล็กน้อยเว้นระยะให้คนเจ็บได้วางใจ แจจุงจะเชื่อหรือเปล่ายูชอนไม่รู้...เขาเดาไม่ออก แต่ทั้งที่กลัว แจจุงก็ยังจับมือเขาแน่น ยูชอนเลยไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือจะสงสารดี แจจุงยังกลัวเขาอยู่ แต่ก็ดันกลัวว่าเขาจะไปมากกว่า
กุหลาบของชองยุนโฮ เคยเป็นดั่งกุหลาบป่า นางพญาแห่งหมู่มวลดอกไม้ที่สวยงามและกล้าแกร่งเหนือใครๆ หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรี...แต่มาวันนี้ ไม่มีอีกแล้ว กุหลาบป่าดอกนั้นกลับกลายเป็นเพียงกุหลาบแก้ว แม้จะงดงามจับตา แต่ก็อ่อนแอและเปราะบาง จนพร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ... แล้วคนอย่างนี้น่ะเหรอ จะวางแผนทำอะไรอย่างที่เยซองคิด ไม่มีทางหรอก ลำพังแค่ประคับประคองจิตใจตัวเองให้เข้มแข็งแจจุงยังทำไม่ได้เลย แต่คงไม่มีใครรู้ดีที่สุดเท่ากับเขาอีกแล้ว...
“เลิกร้องแล้วก็นอนเถอะ” มือใหญ่ปาดเช็ดคราบน้ำตาออกจากแก้มเนียนจนหมดสิ้น ยูชอนไม่ได้ลุกออกไป เพียงแค่นั่งเฉยๆ ปล่อยให้คนเจ็บจับมือเขาเอาไว้ ความใจดีที่อบอุ่นและอ่อนโยนเป็นดั่งเชือกที่ฉุดรั้งแจจุงเอาไว้ มาถึงตอนนี้ ไม่ว่าเหตุผลที่แท้จริงของนายใหญ่แห่งตระกูลปาร์คจะเป็นอะไรก็ช่าง แจจุงไม่อยากรับรู้ ขอเพียงแค่ยูชอนต้องการเขา...แค่นั้นก็พอแล้ว
ได้โปรด...อย่าใจดีกับผมเลยครับ
เพราะมันจะทำให้ผมขาดคุณไม่ได้
.
.
.
ภายในห้องทำงานยามเช้า แสงสว่างส่องผ่านบานกระจกที่เรียงรายเป็นแถวยาวทำให้ห้องดูสว่าง แต่กลับไม่รู้สึกถึงไอร้อนเลยสักนิด เก้าอี้หลังโต๊ะเขียนหนังสือมีร่างสูงโปร่งของชายคนหนึ่ง สายตาไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องราวใดๆ ทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นอย่างมีมารยาท ก่อนเด็กหนุ่มร่างเล็กจะก้าวเข้ามายืนหน้าโต๊ะโดยที่ชายคนนั้นไม่ได้หันกลับมา
“ปาร์คยูชอนเพิ่งสั่งให้คนตรวจสอบเรื่องของยูริ จะเอายังไงดีครับ?” เสียงหวานใสรายงานข่าวที่เพิ่งได้รับมาด้วยความกังวล สาเหตุก็คงเป็นเพราะกุหลาบแห่งเขตใต้แปรพรรคไปเข้ากับตระกูลปาร์ค เรื่องเดือดร้อนเลยย้อนศรกลับมาหาพวกเขา
“เรียกเธอกลับมา ฉันมีงานอื่นให้ทำ”
“ผมจะจัดการให้ครับ” เด็กหนุ่มร่างเล็กโค้งตัวลงรับคำสั่งก่อนจะเตรียมออกไปจากห้องผู้เป็นนาย
“เดี๋ยว ทงเฮ”
“ครับ?” เจ้านายหนุ่มหมุนเก้าอี้กลับมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ใบหน้าหล่อเหลาเรียบนิ่งราวกับรูปปั้น ไม่มีอารมณ์ใดๆ แม้แต่เสียงก็เย็นชาจนคนฟังขนลุกซู่แทนคนที่ถูกคาดโทษ
“เตือนฮีชอล...อย่าทำเกินหน้าที่ให้มันมากนัก”
“เข้าใจแล้วครับ” ทงเฮขานรับคำสั่งพลางนึกสงสารฮีชอลอยู่บ้าง แต่คราวนี้เจ้าตัวก็ทำนอกหน้าที่มากเกินไปจริงๆ แถมยังกลายเป็นว่าพวกเขาต้องเสียแหล่งข่าวสำคัญในโรงแรมใหญ่ไปอีก ไม่แปลกที่เจ้านายหนุ่มจะโกรธถึงเพียงนี้
ภายหลังทงเฮจากไปภายในห้องทำงานกลับสู่ความเงียบสงบ เจ้าของห้องดึงลิ้นชักขวามือออก ข้างในลิ้นชักว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดนอกจากกรอบรูปไม้แกะสลักอย่างดี ริมฝีปากที่เรียบนิ่งเป็นเส้นตรงมาตลอดกลับกระตุกยิ้มเย็นชา เมื่อมองกรอบรูปในมือซึ่งเป็นรูปถ่ายขาวดำของเด็กผู้ชายสองคนที่มีเค้าหน้าคล้ายคลึง ดูออกไม่ยากว่าคงเป็นพี่น้องกัน
“อีกไม่นานแล้ว...”
To Be Con...
Sakura's Talk :: หายนานกว่าที่คิดขอโทษนะคะ ก็ยุ่งๆตามเคยล่ะ นี่ก็จะไปเที่ยวญี่ปุ่นสักหน่อย ยังนั่งปั่นฟิคจนนาทีสุดท้าย ลงทันพอดี ไม่ได้ตรวจคำผิดเลย เจอก็ทำข้ามๆไปนะคะ แปลกๆก็ช่างมันนะคะ ส่วนตัวชอบตอนนี้มากมาย ปาร์คละมุน จนไม่แน่ใจว่าเยอะไปป่าวหว่า 55555 เจอกันอีกสามอาทิตย์ข้างหน้าคะ ^^ ทักทายทุกคนทั้งขาประจำและไม่ประจำ คิดถึงนะคะ
-b g--s b- + + ไม้กาง เขน B G
ความคิดเห็น