คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : [ 10 ] : Judge (100%)
Chapter X : Judge?
คฤหาสน์ตระกูลปาร์คในยามดึกเงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาของผู้เป็นเจ้าของบ้านบนทางเดินที่ทอดยาวไปยังห้องนอนของตัวเอง อีกเพียงสามก้าวก็จะถึงจุดหมายแล้วแท้ๆ แต่ชายหนุ่มกลับหยุดอยู่หน้าประตูห้องข้างๆ ก่อนจะจับลูกบิดประตูและเดินเข้าไปด้านใน
ภายในห้องกว้างดูโปร่งสบาย มุมหนึ่งของห้องเป็นชั้นหนังสือขนาดใหญ่ที่ทำด้วยไม้เนื้อแข็งสูงจนติดเพดาน ทุกชั้นเต็มไปด้วยหนังสือเล่มหนาวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย บางเล่มเป็นภาษาอังกฤษ บางเล่มเป็นฝรั่งเศส ส่วนใหญ่เป็นพวกหนังสือหายาก บ่งบอกถึงรสนิยมของผู้เป็นเจ้าของ
จำนวนของหนังสือที่มีมากมายแน่นขนัดตา ผิดกับฝั่งตรงข้ามที่มีหน้าต่างบานใหญ่เป็นทางลมพัดผ่านทำให้บรรยากาศในห้องไม่อึดอัดอย่างที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูใบไม้ผลิ กลิ่นหอมละมุนของดอกไม้จะลอยมาตามลม ให้ความรู้สึกเย็นสบายและผ่อนคลาย นับเป็นหนึ่งในพื้นที่โปรดของนายใหญ่แห่งตระกูลปาร์คเลยก็ว่าได้ และเมื่อยูชอนคิดจะหาห้องใหม่ให้แจจุง เขาก็ตัดสินใจเลือกห้องนี้ทันที
ยูชอนก็ไม่รู้ว่าทำไม...เขาเพียงแค่อยากให้แจจุงอยู่ใกล้ๆ สักหน่อย และห้องหนังสือก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม นอกจากจะอยู่ติดกับห้องของเขาแล้ว ก็ยังมีพื้นที่กว้างขวาง แม้จะเต็มไปด้วยชั้นหนังสือแต่ก็ถือเป็นเครื่องประดับห้องชิ้นเยี่ยม ขายาวก้าวไปกลางห้องตรงที่เคยเป็นพื้นที่ว่างเปล่า บัดนี้ถูกใช้เป็นที่ตั้งของเตียงหลังใหญ่ ตามมุมทั้งสี่เป็นเสาสูง คลุมด้วยผ้าตาข่ายสีครีมขาวโยงใยและปล่อยชายพลิ้วลงมาเป็นม่านรอบเตียง มือใหญ่เลิกม่านตาข่ายเปิดทาง ดวงตาคมจับจ้องที่ใบหน้าขาวซีดของคนบนเตียงที่หลับสนิท แม้จะยังดูออกว่าป่วย แต่ก็ไม่หนักหนามากแล้ว
ชายหนุ่มนิ่งคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจกลับห้องตัวเอง หากขณะที่กำลังจับชายผ้าให้คลุมลงมาตามเดิม คนบนเตียงกลับรู้สึกตัวถึงแขกที่มาเยี่ยมเยียนยามดึก ร่างบางลุกพรวดถอยห่างจากยูชอนไปตามสัญชาตญาณ ก่อนที่นัยน์ตาคู่สวยจะทันได้เห็นว่าเป็นใคร
“ฉันทำนายตื่นรึ” ยูชอนแสร้งทำเป็นไม่เห็นดวงตาที่มองเขาอย่างตกใจปนขลาดกลัวคู่นั้น ไหล่บางเคลื่อนไหวขึ้นลงตามลมหายใจที่หอบถี่ พักใหญ่ทีเดียวกว่าแจจุงจะตั้งสติได้
“คุณ...มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” ชายหนุ่มไม่ตอบคำถามแต่ทิ้งตัวนั่งบนเตียง มือก็กวักเรียกให้ร่างบางเข้ามาหาใกล้ๆ
“หันหลังมานี่ซิ” แจจุงทำตามคำสั่งอย่างว่าง่ายเมื่อมันไม่ใช่ครั้งแรก จากที่เคยรั้งรอไม่ยอมทำเพราะลำบากใจ กลับกลายเป็นเรื่องที่เจ้าตัวเคยชินไปเสียแล้ว มือเรียวปลดกระดุมเสื้อนอนร่นลงมาให้อยู่แค่ครึ่งตัว ยูชอนมองดูรอยสีน้ำตาลอ่อนหลายจุดที่อยู่บนแผ่นหลังขาว อีกไม่นานก็คงจางหายไปจนหมดไม่เหลือทิ้งร่องรอยไว้ ผิดกับตรงช่วงหัวไหล่ที่ยังคงมีผ้าพันแผลปิดไว้
“ยังเจ็บอยู่ไหม?” มือใหญ่ทาบลงบนไหล่บางอย่างเบามือ แจจุงส่ายหน้าให้แทนคำตอบเหมือนอย่างทุกครั้งที่ถูกถาม แต่ยูชอนบอกได้เลยว่ามันไม่จริง... แต่ก็อีกนั่นล่ะ เขาจะทำอะไรกับคนปากแข็งได้กันเล่า
“ใส่เสื้อเถอะ เดี๋ยวไข้จะกลับอีก” ยูชอนว่าจับเสื้อที่ร่นลงมากองดึงขึ้นคลุมไหล่บาง หลังจากเห็นแจจุงแต่งตัวเรียบร้อยดีก็เตรียมจะไป แต่ยังไม่ทันจะลุกก็ถูกเสียงหวานของคนพูดน้อยรั้งไว้เสียก่อน
“ขอถามอะไรอย่าง...ได้ไหมครับ” น้ำเสียงฟังดูมีเค้าของความลังเลปนอยู่ ยูชอนพยักหน้า แม้จะนึกรู้ได้ทันทีว่าร่างบางอยากจะถามอะไร และมันเป็นคำถามที่เวลานี้...เขายังไม่มีคำตอบจะให้
“ทำไมถึงให้ผมอยู่ที่นี่” แจจุงอยากรู้เหตุผล ในเมื่อเขาไม่เห็นว่ายูชอนจะได้ประโยชน์อะไร ไม่ว่าจะเรื่องของยุนโฮ เรื่องของตระกูลชอง ถ้าชายหนุ่มอยากจะรู้ ก็สามารถรู้ได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเขาเลย รอบข้างตัวยูชอนมีคนเก่งอยู่เยอะแยะ เพิ่มตัวเขาขึ้นมาอีกคนมีแต่จะเป็นภาระซะเปล่าๆ ไหนจะต้องหวาดระแวงว่าจะคิดทรยศอีกไหม ไหนจะต้องระวังเรื่องภายในของตระกูลปาร์คที่คนนอกอย่างเขาไม่สมควรรู้ ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็มีแต่เสียเปรียบทั้งนั้น
คิมแจจุงก็เป็นแค่กุหลาบไร้ค่าที่ถูกเจ้าของโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี
...ไม่รู้ยูชอนจะเก็บขึ้นมาเพื่ออะไร
“อยากรู้ไปทำไม” หากเสียงทุ้มจะเย็นชากว่านี้อีกหน่อย แจจุงคงนึกว่าทำให้ยูชอนไม่พอใจซะแล้ว แต่เพราะมันนุ่มนวลเกินกว่าจะคิดเป็นแบบนั้น เขาถึงได้กล้าถามต่อ
“แค่อยากรู้ไม่ได้หรือครับ”
“ไว้ถึงเวลาแล้วฉันจะบอก” ยูชอนตัดบทไม่ให้แจจุงถามต่อ พอถูกพูดกันไว้แบบนั้น ร่างบางก็จนใจ ในเมื่อร่างสูงไม่ยอมบอกแล้วเขาจะทำยังไงได้
“เข้าใจแล้วครับ” ทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างเงียบไป นัยน์ตาคมทอดมองแจจุงที่ก้มหน้าลงต่ำ สีหน้ายังมีแววของความไม่สบายใจอยู่มาก แต่เขาไม่คิดว่าเป็นเพราะเรื่องที่ไม่ได้คำตอบ แต่น่าจะเป็นเรื่องอื่นซะมากกว่า ยูชอนรออยู่ครู่หนึ่ง แจจุงก็ยังเงียบอยู่แบบนั้น ชายหนุ่มทนไม่ไหวจึงเป็นฝ่ายถามขึ้นมาเสียเอง
“มีอะไรอีกหรือเปล่า?”
“คือ...ผมคิดว่าควรจะบอกคุณไว้ เรื่องปืนกระบอกนั้น...” เสียงหวานเท้าความถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน หากเรื่องที่เล่ากลับทำให้นึกถึงเหตุการณ์อื่นตามมาด้วย ความหวาดกลัวที่มีต่อยูชอนหวนกลับมาอีกครั้ง มือเรียวออกอาการสั่นจนต้องรีบสอดมือเข้าไปซ่อนใต้ผ้าห่ม ด้วยไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็น โดยไม่รู้เลยว่ายูชอนสังเกตเห็นตั้งแต่แรกแล้ว แต่ร่างสูงกลับเลือกที่จะนั่งฟังอย่างเงียบๆ นึกประหลาดใจนิดหน่อยที่แจจุงยอมเล่า ทั้งที่ตัวเขาไม่ได้คิดจะถามเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ
“เธอมีเหตุผลอะไรต้องทำแบบนั้น?”
“ไม่รู้สิครับ ตอนแรกผมคิดว่าเธอคงเป็นสายของตระกูลชองถึงได้ช่วยผม แต่เธอก็ไม่ใช่... ผมเลยคิดว่าเธออาจจะเป็นคนของฝ่ายอื่นที่ต้องการให้เกิดความวุ่นวาย หรือถ้าจะมีอีกอย่าง...เธออาจจะไม่รู้เรื่องมาตั้งแต่แรก เพียงแค่บังเอิญส่งเสื้อตัวนั้นให้ผมพอดี”
“เป็นเธอจริงๆ เหรอ?” ยูชอนเอ่ยถามคล้ายยังไม่ปักใจเชื่อ นัยน์ตาคมมองสบตากับร่างบางราวกับจะค้นหาความจริง
“คุณจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่คุณเถอะครับ” เสียงหวานว่าอย่างไม่หวั่นไหว แต่สีหน้ากลับไปคนละทางกับคำพูด
“ถ้าแล้วแต่ฉันจริง ทำไมทำหน้าแบบนี้ล่ะ” ยิ่งรู้ตัวว่าเผลอแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป แจจุงก็ยิ่งก้มหน้าลงต่ำ ไม่ยอมสบตากับอีกฝ่าย
ก๊อก...ก๊อก
เสียงเคาะประตูอย่างมีมารยาทดังขัดจังหวะบทสนทนา ตามด้วยเสียงของชางมินที่รายงานการมาถึงเยือนของสองหัวหน้าเขตสำคัญที่ทำให้คิ้วโก่งของยูชอนขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจ ด้วยพอจะรู้สาเหตุที่คนทั้งสองมาเยือนถึงคฤหาสน์ในยามดึกเช่นนี้ โดยที่แจจุงไม่ทันสังเกตเห็นเพราะมัวแต่โล่งใจที่รอดพ้นจากสถานการณ์น่าอึดอัดได้
“รีบนอนซะนะ” ยูชอนว่าทิ้งท้ายแล้วลุกออกไป บานประตูปิดลงนำพาความเงียบสงบกลับคืนสู่ห้องกว้าง
แจจุงล้มตัวลงนอนแต่พอหัวถึงหมอนกลับข่มตาหลับไม่ลง ความง่วงงุนที่มีก่อนจะตื่นจางหายไปจนหมดสิ้น อาจจะเป็นเพราะคำตอบที่ยังไม่ได้รับยังคงคาใจ เหตุผลที่อาจไม่สำคัญสำหรับยูชอน แต่มันมีความหมายต่อเขามากเหลือเกิน แจจุงอยากรู้...เผื่อว่าเหตุผลนั้นจะพอทำให้กุหลาบที่ไร้ค่ากลับมามีความสำคัญได้บ้าง ในเมื่อเขาไม่สามารถบอกทุกเรื่องที่เป็นความลับของตระกูลชองได้ ความภักดีที่ค้ำคอมีมากจนเขายังสมเพสตัวเอง ทั้งที่มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ตึง!!
เสียงใครสักคนเอามือทุบโต๊ะอย่างแรงหยุดทุกความคิดของแจจุง ตามด้วยเสียงคนถกเถียงกันดังแว่วมา ใครคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงเรียบแต่แฝงแววความโกรธ แม้จะได้ยินไม่ชัดเจน แต่แจจุงมั่นใจว่าเจ้าของเสียงนั่นเป็นยูชอน ร่างบางพยายามเงี่ยหูฟัง แต่เสียงพูดคุยที่ผ่านผนังห้องมายากเกินจะจับใจความได้ ตอนแรกแจจุงตั้งใจจะทำเป็นไม่สนใจ แต่พอคิดว่า...เรื่องที่กำลังเป็นประเด็นนั้น อาจจะเป็นเรื่องของตัวเอง ร่างกายก็เคลื่อนไหวไปเร็วกว่าที่ใจคิด เพียงครู่เดียวเขาก็มายืนอยู่หน้าห้องเสียแล้ว ประตูห้องข้างๆ ที่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวเป็นห้องของนายใหญ่แห่งตระกูลปาร์คถูกเปิดแง้มไว้เล็กน้อย สบโอกาสให้ร่างบางได้แอบฟังสมใจ
.
.
.
“ฉันไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหาอะไร” น้ำเสียงทุ้มยังคงเรียบนิ่ง แม้ทุกคนในห้องจะรู้ดีว่าเจ้าตัวกำลังโกรธจัด การถูกรบกวนกลางดึกไม่ได้เป็นปัญหาเท่ากับประเด็นที่นำพาหัวหน้าเขตสำคัญทั้งสองมาที่นี่
“เป็นสิ ยังไงเด็กนั่นก็เป็นคนของยุนโฮมาก่อน แค่นี้ก็เป็นปัญหาแล้ว ...ทำไมนายไม่ลองคิดบ้างล่ะว่าทั้งหมดนี่อาจจะเป็นแผนตบตาของยุนโฮก็ได้ สร้างเรื่องใส่ความคนของตัวเอง แล้วก็ให้แกล้งหนีออกมาในเขตของเรา หาวิธีเข้าใกล้นาย ยุนโฮรู้ว่านายจะต้องใจอ่อนยอมรับเด็กคนนั้นไว้แน่ๆ” เยซองคาดเดาเป็นฉากๆ ได้อย่างมีเหตุผลน่าเชื่อถือ ถ้าเพียงแต่...ยูชอนจะไม่ได้เป็นคนคว้าร่างที่กำลังจะกระโดดลงไปด้วยตัวเอง เขาก็คงจะเชื่อไปแล้ว
“เป็นไปไม่ได้หรอก” ยูชอนค้านเสียงเข้ม ต่อให้ไม่นับเรื่องที่เขาช่วยแจจุงไว้ แต่คนที่ทำหน้าเหมือนโลกทั้งใบจะถล่มลงมาเพียงเพราะเขาถามเหมือนจะไม่เชื่อแบบนั้นน่ะเหรอ จะโกหกเขา จะวางแผนหลอกเขา...ไม่มีทาง
“อะไรทำให้นายมั่นใจได้ขนาดนั้น... แล้วถ้าเกิดเป็นอย่างที่เยซองคิด ไม่เท่ากับว่าเราตกหลุมพรางของพวกมันเต็มๆ เลยหรือไง” คยูฮยอนแย้งขึ้น หลังจากฟังเพื่อนสนิททั้งสองคนเถียงกันมาพักใหญ่
“ถ้ามันจะจริงก็ลองตกไปในหลุมนั่นสักครั้งจะเป็นไรไป...”
“ยูชอน...” เยซองเรียกคนที่เป็นทั้งเจ้านายทั้งเพื่อนสนิทอย่างอ่อนใจ ก็รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาไม่เคยห้ามสิ่งที่ยูชอนต้องการได้หรอก เรื่องอื่นเขายังยอมปล่อยผ่านไปได้ แต่เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของยูชอนเอง มันถึงทำให้เขายอมไม่ได้
“แล้วถ้าฉันยืนยันว่าจะให้เด็กคนนั้นอยู่ที่นี่ จะให้ฉันทำยังไง พวกนายถึงจะยอม” พอถูกพูดแบบนั้น ต่างฝ่ายก็ต่างเงียบ คนเป็นลูกน้องจนใจจะหาเหตุผลมางัดกับผู้เป็นนาย
“เอาจริงรึ ยูชอน” คยูฮยอนถามเพื่อยืนยัน และยูชอนก็พยักหน้าตอบในทันที ไม่มีความลังเลใดๆ ทั้งสิ้น
“พูดตามตรงนะ ฉันไม่รู้ว่านายมีเหตุผลอะไร แต่ในเมื่อนายตัดสินใจไปแล้วฉันก็จะเชื่อ... อีกอย่าง ฉันว่ามันอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ เด็กคนนั้นฝีมือไม่ธรรมดา แล้วยังรู้จักตระกูลชองทุกซอกทุกมุม ให้มาเป็นคนคอยคุ้มกันนายก็ไม่เลว แล้วถ้าจะคิดทรยศขึ้นมาเมื่อไหร่ ค่อยจัดการตอนนั้นก็ยังไม่สาย...” คยูฮยอนแบ่งรับแบ่งสู้ เขาไม่ได้คิดค้านขนาดเยซองแต่ก็ไม่ได้เห็นด้วย แต่ในเมื่อห้ามไม่ได้เขาก็พยายามหาข้อดีของการที่ยูชอนจะให้แจจุงมาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัว ซึ่งถ้าทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่เยซองคาดเดาไว้ ก็ถือว่าพวกเขาได้สมบัติชิ้นสำคัญมาอยู่ในมือเลยทีเดียว
ได้ฟังความคิดเห็นของเพื่อนแล้วเยซองก็ต้องถอนหายใจ คยูฮยอนเองก็เหมือนจะเห็นด้วยไปกับยูชอนยังไงชอบกล เหลือเขาคนเดียว...ต่อให้คัดค้านยังไง ยูชอนก็ไม่สนใจฟังหรอก แต่ขณะที่เยซองกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง ก็ถูกซีวอนที่ยืนเงียบมาตลอดแย้งขึ้น
“คนคอยคุ้มกัน...หมายความว่าไงครับ!?” ถ้าเพียงแค่ให้อยู่ในตระกูล ซีวอนยังรับได้ แต่จะให้ทำงานเป็นถึงการ์ดด้วยนั่นมัน...มากเกินไป หัวหน้าการ์ดหนุ่มเพิ่งเข้าใจถึงเหตุผลที่เยซองและคยูฮยอนถ่อมาถึงคฤหาสน์ในยามดึกขนาดนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะผู้เป็นนายรับแจจุงเข้ามา แต่ยังจะยกให้ทำหน้าที่สำคัญอีกด้วย
“นายยังไม่รู้เหรอ?” เยซองถามอย่างแปลกใจ เขาคิดว่าซีวอนจะรู้แล้วเสียอีก ยังนึกสงสัยอยู่เลยว่ายูชอนทำยังไง ซีวอนถึงได้ยอมง่ายๆแบบนี้
“ไม่รู้ครับ” หัวหน้าการ์ดหนุ่มส่ายหน้า ท่าทางที่แสดงออกต่อต้านเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัด ทำให้เยซองรู้สึกเป็นต่อขึ้นมา ทีนี้ต่อให้ยูชอนอยากจะเก็บกุหลาบงามไว้ข้างกายแค่ไหน แต่ถ้าต้องเลือกระหว่างทั้งสองคน คำตอบก็แทบจะปรากฏในทันที...
ยูชอนลอบถอนหายใจอย่างอึดอัด ที่เขายังไม่บอก ก็เพราะรู้ว่าซีวอนจะต้องคัดค้านหัวชนฝา แล้วมันก็กลายเป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ นัยน์ตาคมหันไปสบตากับเลขาหนุ่มร่างโปร่ง คล้ายจะถามว่าควรทำยังไง ชางมินส่ายหน้าน้อยๆ เป็นการบอกให้ยูชอนอยู่เฉยไว้ก่อน รอดูว่าเยซองจะเอายังไง
อันที่จริง...การจะเปลี่ยนให้คิมแจจุงกลายเป็นคนของตระกูลปาร์คไม่ใช่เรื่องยากเลย ตระกูลชองประกาศออกมาแบบนั้นจะมีใครไม่เชื่อ แล้วคนที่รู้ความจริงว่าแจจุงไม่ได้เป็นสายของตระกูลปาร์คก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน นอกจากเยซอง คยูฮยอน ชางมิน ซีวอน และเขา ก็ไม่มีใครอีก แต่เพราะคนที่รู้นี่ล่ะที่เป็นปัญหา คยูฮยอนอาจจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้ขัดขวาง แต่เยซองไม่เลิกราง่ายๆ แน่ ยิ่งได้ซีวอนเป็นแนวร่วม ยิ่งจะทำให้เรื่องมันบานปลาย
“ในเมื่อนายถามว่าต้องทำยังไง ฉันถึงจะยอม... เอาอย่างนี้ไหมล่ะ ให้เด็กนั่นสู้กับซีวอนสิ ถ้าซีวอนชนะ นายต้องปล่อยเด็กคนนั้นไป แต่ถ้าแพ้...นายอยากจะทำอะไรก็ตามใจ ฉันจะไม่คัดค้านอีก” เยซองหันไปหาซีวอนเป็นเชิงถาม และหัวหน้าการ์ดหนุ่มก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ซีวอนมั่นใจว่าตัวเองไม่มีทางแพ้
แต่ยูชอนไม่ปลื้มกับเงื่อนไขที่เยซองเสนอเท่าไหร่ เขาไม่เห็นประโยชน์ที่จะต้องให้คนของเขามาเจ็บตัวเพียงเพื่อการยอมรับที่ไร้เหตุผล และการต่อสู้ที่ไม่ได้พิสูจน์อะไรเลยนอกเหนือจากใครเก่งกว่าจะมีความหมายอะไร
“มันจะไม่ขี้โกงไปหน่อยเหรอครับ?” ชางมินเองก็คิดไม่ต่างกับผู้เป็นนายเลย เยซองจงใจผลักภาระมาให้พวกเขา ที่น่าหงุดหงิดก็เพราะซีวอนดันเป็นไปกับอีกฝ่ายด้วย ทั้งที่เขากับยูชอนกำลังหาวิธีให้ทุกคนยอมรับอยู่แท้ๆ แต่เงื่อนไขที่เยซองเสนอมาและหัวหน้าการ์ดหนุ่มก็เห็นดีด้วยนั้น มันเอาเปรียบกันเกินไป
“จะเป็นไรไปล่ะ ชางมิน? หรือถ้านายมีวิธีอื่นก็บอกมาสิ ฉันอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้นะ...” เยซองถามกลับด้วยรอยยิ้มที่แฝงแววเจ้าเล่ห์ ถึงอยากจะหาวิธีตอกกลับไป แต่ชางมินก็ทำไม่ได้
“ไม่มีครับ”
ความเงียบงันก่อตัวในชั่วอึดใจเดียว เยซองตั้งมั่นในเงื่อนไขของตัวเอง เช่นเดียวกับซีวอนที่ยืนยันให้การสนับสนุน ขณะที่คยูฮยอนไม่มีความเห็นเพิ่มเติมในเรื่องนี้... ทุกคนกำลังรอการตัดสินใจจากนายใหญ่แห่งตระกูลปาร์ค
“ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมา... นายจะยอมรับได้จริงๆ ใช่ไหม?” ท้ายประโยคยูชอนถามซีวอน แต่นัยน์ตาคมกลับมองไปที่เยซอง คนที่รู้ตัวว่าโดนเพ่งเล็งแกล้งเบือนหน้าหนีทำเป็นไม่เห็นสายตาคู่นั้น
“แน่นอนครับ”
“เป็นอันตกลงสินะ ถ้าอย่างนั้นจะเริ่มเมื่อไหร่ล่ะ?” เยซองไม่ปล่อยให้ยูชอนมีเวลาคิดหาทางเลี่ยงมากนัก เขาอยากจะให้มันเกิดขึ้นเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ถึงอย่างไรก็คงต้องรอให้แจจุงหายดีเสียก่อน
“ตอนนี้เลยก็ได้นะครับ”
เสียงท้าทายของบุคคลปริศนาเรียกให้ทุกคนในห้องมองไปที่ประตูเป็นทางเดียวกัน พอยูชอนเห็นว่าแขกไม่ได้รับเชิญคือใครก็ได้แต่ถอนใจ คนที่เขาไม่อยากให้ได้ยินที่สุดกลับรู้เรื่องหมดแล้ว แถมยังด่วนตัดสินใจแทนเขาเสียด้วย โดยที่ไม่ได้นึกถึงสภาพร่างกายตัวเองเลยสักนิด
“แจจุง” ยูชอนเอ่ยเสียงแข็งด้วยความไม่พอใจอย่างมาก และคิดว่าอีกฝ่ายก็คงรู้ตัวถึงได้ไม่ยอมสบตากับเขาเลย นัยน์ตาคมเหลือบมองหัวหน้าการ์ดหนุ่ม หวังว่าซีวอนจะไม่บ้าจี้ไปกับคำท้าทายไร้สาระจากคนเจ็บ
“เอางั้นก็ได้” ผิดคาด...เพราะแจจุงทำให้ซีวอนรู้สึกยิ่งกว่าโดนดูถูก เหมือนจะบอกว่าต่อให้บาดเจ็บอยู่แต่ก็สามารถเอาชนะเขาได้ แล้วมีหรือที่ชายหนุ่มจะยอมเสียหน้าไม่รับคำท้า กลายเป็นยูชอนที่อยากจะตบหน้าผากตัวเองแรงๆ สักที… ทำไมรอบตัวเขามีแต่คนแบบนี้นะ คนหนึ่งก็หัวรั้นไม่ยอมใคร อีกคนก็หัวดื้อไม่มีใครเกิน
“อยากจะทำอะไรก็ตามใจ” เสียงถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์สวนทางกับคำอนุญาตจากริมฝีปาก แต่ยูชอนก็ทำได้แค่ไล่ให้ทั้งสองฝ่ายแยกย้ายกันไปเตรียมตัว
ชางมินพาแจจุงกลับไปที่ห้อง ซีวอนและหัวหน้าเขตทั้งสองไปเตรียมสถานที่ เหลือเพียงนายใหญ่แห่งตระกูลปาร์คที่นั่งถอนใจเพียงลำพังคนเดียว เขาไม่เข้าใจแจจุงเลยว่าทำไมต้องรีบร้อนถึงขนาดนั้น ถ้าซีวอนชนะ...ทุกอย่างก็จบ และเขาก็แน่ใจว่าหัวหน้าการ์ดหนุ่มไม่มีทางออมมือให้แน่ ทำไมไม่รอให้ตัวเองแข็งแรงกว่านี้อีกหน่อยก่อน ...หรือจะเป็นเพราะแจจุงไม่คิดจะเอาชนะอยู่แล้ว เพียงแค่ต้องการไปจากที่นี่ บางทีอาจจะเป็นสิ่งที่ร่างบางรอคอยก็ได้
ยูชอนหยุดการคาดเดาของตัวเองลงเพียงแค่นั้น เมื่อเห็นว่าได้เวลาที่ตกลงกันไว้ ชายหนุ่มออกมาเจอแจจุงที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จพอดี จากเสื้อไหมพรมถักที่อ่อนนุ่มสบายให้ความอบอุ่น กลายมาเป็นเสื้อยืดที่สวมทับด้วยแจ็กเกตหนังพอดีตัวดูทะมัดทะแมง นัยน์ตาคมสบตากับชางมินที่ยืนอยู่หลังร่างบาง เลขาหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆ บ่งบอกให้รู้ว่าสภาพร่างกายแจจุงนั้นไม่พร้อมสำหรับการออกแรงหนักๆ เลยสักนิด
“คิดว่าจะชนะได้เหรอ?” แจจุงส่ายหน้าปฏิเสธในทันทีราวกับจะยืนยันสิ่งที่ยูชอนคิดไว้ หากประโยคถัดมากลับทำให้นายใหญ่แห่งตระกูลปาร์คต้องคิดใหม่
“แต่ผมจะไม่แพ้...”
To Be Con...
Sakura's Talk :: เปลี่ยนชื่อตอนแล้วตัดจบ เพราะไม่อยากให้ยาวเกินไปคะ :)
-b g--s b- + + ไม้กาง เขน B G
ความคิดเห็น