คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : >>> 12
Revenge, The
/>
สีน้ำเงินของท้องฟ้าเริ่มมืดครึมลงจนกลายเป็นสีดำสนิทไร้ซึ่งแสงของดวงดาวใดๆ แม้กระทั่งดวงจันทร์ก็ยังถูกบดบังให้อยู่ภายใต้เงามืดของเมฆ บรรยากาศของความว่างเปล่าภายในใจหนาวยะเยือก ยูชอนพาตัวเองขึ้นมาบนหลังคา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มทอดมองออกไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า กรุงโซลยามค่ำคืนที่ถึงแม้จะดึกแล้ว...แต่ก็ยังมีแสงสีที่เปิดอยู่ตลอด อาจจะสว่างและดูมีสีสันสำหรับคนอื่นๆ แต่กับเขาในตอนนี้...มีเพียงความมืดมิดที่เกิดจากความสูญเสีย
เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นผ่านเข้ามาในสมองทีละฉาก...ทั้งความอ่อนโยน ความน่ารัก ความอบอุ่น ทุกๆ อย่างที่เป็น ‘จุนซู’ เหมือนกำลังจะหายไป... คนที่เขารักกำลังไกลออกไปทุกที จนมือของเขาไม่สามารถเอื้อมไปได้ถึงอีกแล้ว
เพราะชีวิตฉันมีเพื่อนาย...
ถ้าไม่มีนายฉันก็ไม่ต่างอะไรกับหุ่นตัวหนึ่ง
ไม่สิ...
ความจริงฉันอาจจะเป็นหุ่นมาตั้งนานแล้ว
จนมีนายผู้ไขลานชีวิตของฉันให้เดินอีกครั้ง
ฉันจึงยิ้มได้...หัวเราะได้
แต่ตอนนี้...นายจากฉันไปแล้ว
ฉันคงต้องกลับไปเป็นหุ่นแบบเดิมแล้วใช่ไหม?
หยดน้ำไหลรินผ่านผิวหยาบบนใบหน้าของชายหนุ่มเป็นทางจากนัยน์ตา ความรู้สึกเศร้าเข้ามาครอบงำจิตใจอีกครั้ง เขาไม่สามารถห้ามน้ำตาตัวเองได้เลย...
พวกมันกล้าดียังไงมาทำร้ายจุนซูของเขา?
พวกมันเคยรู้บ้างไหมว่ากว่าจะถึงวันนี้เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง?
กว่าจะถึงวันนี้...เขาต้องลำบากแค่ไหน?
กว่าจะถึงตอนนี้...เขาต้องทรมานเพียงใด?
กว่าจะถึงเวลานี้...เขาต้องเจ็บปวดเท่าไหร่?
กว่าจะถึงวินาทีนี้
เขาต้องเสียน้ำตาไปมากขนาดไหน?
มีเพียงจุนซูที่คอยช่วยเยียวยาความเจ็บปวดของเขา
มีเพียงจุนซูเท่านั้น...ที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา
แต่...ตอนนี้จุนซูไม่อยู่แล้ว เขาควรทำอย่างไร?
มือใหญ่เอื้อมแตะต่างหูรูปไม้กางเขนข้างซ้ายที่ไม่ใช่อันเดิมของเขาอีกต่อไป คราบหยดเลือดแห้งเกราะกรังที่หลงเหลือบ่งบอกให้รู้ว่าใครเคยเป็นเจ้าของ น้ำเสียงหวานที่แสนคิดถึงดังขึ้นข้างหู...น้ำเสียงของคนรักที่เขาไม่มีวันได้ยินมันอีกแล้ว ยูชอนฟังคำพูดของจุนซูซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่ครั้ง...ต่อกี่ครั้ง... หยาดน้ำตากลับยิ่งไหลรินด้วยความคิดถึงเจ้าของน้ำเสียงหวานนี้... ถึงจะฟังแล้วเจ็บปวด แต่มันก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่เจ้าหญิงตัวน้อยเหลือทิ้งไว้ให้กับเขา
ฉันอยากขอร้องนาย... ถ้าชาติหน้าได้พบกันอีกครั้ง สัญญาได้ไหม ถ้าได้พบกันนายจะรักฉันอีกครั้ง แล้วฉันสัญญา...ว่าจะไม่ทำให้นายเสียใจอีก ฉันรักนายมากนะ...ยูชอน
แผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มที่กำลังแสดงออกถึงความเศร้านั้นอยู่ในสายตาของแจจุงและคิบอมตลอดเวลา ต่างคนต่างก็รู้ดีว่าสำหรับยูชอนแล้วจุนซูสำคัญขนาดไหน สำหรับยูชอนทุกคนล้วนสำคัญ...แต่มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ชายหนุ่มวางไว้ในฐานะคนที่สำคัญที่สุดของชีวิต แจจุงได้แต่เฝ้ามองแผ่นหลังของเพื่อนรักโดยไม่มีคำใดจะเอื้อนเอ่ย ในเมื่อสิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุด...มันเกิดขึ้นแล้ว
‘ความสูญเสีย’ ที่เดินทางเข้ามาเยี่ยมเยียนอย่างรวดเร็วจนรับมือไม่ทัน ร่างบางสังหรณ์ใจว่าลางร้ายที่เขารู้สึกมันจะไม่จบลงเพียงแค่นี้ การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งส่งผลให้เกิดอีกอย่างหนึ่งเสมอเหมือนผิวน้ำที่พอมีอะไรมากระทบมันก็จะเกิดเป็นวงคลื่นกระจายไปทั่วบริเวณ เขาไม่รู้ว่าความสูญเสียครั้งนี้จะก่อเกิดผลกระทบต่อพวกเขามากแค่ไหน แต่ที่เขาแน่ใจคือมันไม่ใช่ผลดีเลย
นางพญาคนงามหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้าเมื่อนึกถึงนางฟ้าผู้บอบบางที่กำลังร่ำไห้หนัก...จองซูโทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้จุนซูตาย
ทำไมถึงทำแบบนี้...จุนซู พี่ไม่เคยสอนให้นายใช้มันกับตัวเองแบบนี้? บางทีถ้าพี่ไม่สอน...นายก็คงไม่ทำแบบนี้ใช่ไหม? พี่ผิดเอง จุนซู...พี่ผิดเอง...
พี่จุนซู...ผมขอโทษ ถ้าผมไม่เห็นแก่ตัวหนีไปก่อน พี่ก็คงไม่เจ็บปวดไม่ต้องถูกทำร้ายแบบนี้ ผมขอโทษฮะ...พี่จุนซู ผมขอโทษ
นัยน์ตาสีนิลเหลือบมองใบหน้าเรียบเฉยของอัจฉริยะแห่งองค์กรที่อยู่ข้างกัน สายตาของเจ้าตัวยังคงจับจ้องแผ่นหลังของยูชอนอย่างไม่ไหวติง ถึงเจ้าตัวไม่พูด...แจจุงก็รู้ว่าเจ้าตัวรู้สึกแย่แค่ไหน คงเอาแต่นึกโทษตัวเองอยู่ในใจ...การที่ต่างคนต่างก็โทษตัวเองว่าตนเป็นคนผิด เพราะไม่ต้องการให้ใครคนใดคนหนึ่งแบกรับความรู้สึกนี้ไว้เพียงลำพัง แต่นั่นกลับเป็นเข็มที่ทิ่มแทงลงมาให้เด็กหนุ่มต้องเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะเจ้าตัวนั้นรู้ดีว่าตัวเขาเองนั่นแหละที่เป็นสาเหตุให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา..
แต่มันจะใช่แน่หรือ...
แล้วถ้าไม่ใช่...
ใครกันแน่ที่เป็นคนผิด...?
ริมฝีปากสีกุหลาบซีดเหยียดยิ้ม...รอยยิ้มที่ไม่ได้บ่งบอกความสุขเลยสักนิด ก็ในเมื่อคำถามนี้เขาสามารถตอบได้นะสิ และคงเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดซะด้วย จะเป็นใครไปได้ล่ะ...คนที่ผิด...คนที่ทำให้จุนซูต้องตาย...ก็คือเขาเอง!!! ถึงอยากจะกรีดร้องแทบขาดใจแต่ก็ร้องไม่ออก ความรู้สึกผิดมันถาโถมเข้าใส่ราวกับเกลียวคลื่นที่ซัดกระหน่ำผิวทรายให้เกิดเป็นรอยตามแรงของคลื่น...เกิดเป็นบาดแผลที่ไม่มีวันหายฝังลึกอยู่ในหัวใจ
สายลมพัดเข้าปะทะผิวแก้มที่อาบน้ำตาจนน้ำนั้นค่อยๆ เหือดแห้งไป หากแต่มันไม่อาจพัดพาความเจ็บปวดและความเศร้าเสียใจไปได้เลย ร่างสูงสัมผัสได้ถึงเงาและเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาจึงหันหลังกลับไปมอง...ภาพที่ฉายชัดอยู่ตรงหน้าคือนางพญาคนงามแห่งองค์กร เบื้องหลังร่างบอบบางนั้นก็คืออัจฉริยะหนุ่มที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ทั้งสองคนคงมองเขาอยู่นานแล้ว...เพราะมัวแต่เหม่อจึงไม่รู้สึกตัวเลยว่าตกเป็นเป้าสายตาให้คนทั้งสองมานานสักเพียงใดแล้ว
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองมือเรียวถูกพันด้วยผ้าสีขาวสะอาด บาดแผลที่เกิดจากน้ำมือของเขาเอง ยังไม่รวมต้นแขนขวาที่มีร่องรอยการถูกยิงเมื่อสามวันก่อน บาดแผลที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ สำหรับผู้ที่ได้ชื่อว่า Queen แห่ง DL แต่น่าแปลกที่มันกลับเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“...แจจุง?” เสียงทุ้มเรียกชื่อคนตรงหน้าราวกับจะถามว่ามีอะไร ขณะใช้หลังมือเช็ดหยาดน้ำตาที่ยังหลงเหลืออยู่บ้างที่หางตาออกด้วยไม่ต้องการให้ร่างบางสังเกตเห็น หารู้ไม่ว่าแจจุงน่ะ รู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่ายูชอนกำลังร้องไห้อยู่
“ขอโทษนะ...” คำพูดที่ไม่มีอะไร แต่กลับเจ็บแปลบในความรู้สึก คำขอโทษของแจจุงหมายความว่ายังไง ยูชอนรู้ดี เพราะอย่างนี้ถึงไม่อยากให้ร่างบางเห็นเขาตอนอ่อนแอ...มันมีแต่จะทำให้แจจุงรู้สึกผิดหนักขึ้นไปอีก ความรู้สึกที่ทรมานราวกับถูกผลักให้ตกไปอยู่ในหลุมดำอันมืดมิดไร้ซึ่งทางออก
“ไม่แจจุง...ไม่ใช่นาย ไม่ใช่ความผิดของนายเลย” ยูชอนเดินเข้าไปปลอบร่างบอบบางที่ก้มหน้าลงนิ่ง มือใหญ่ลูบเส้นผมสีดำขลับอย่างอ่อนโยน ราวกับอัจฉริยะหนุ่มจะเข้าใจถึงจุดประสงค์ที่ King แห่ง DL กล่าวประโยคนี้ออกมา คิบอมเงยหน้าขึ้นสบตากับร่างสูงที่ริมฝีปากนั้นกำลังจะขยับราวกับจะพูดอะไรบางอย่างแต่เด็กหนุ่มกลับไม่รอฟังคำพูดเหล่านั้น
“ทำ...อย่างที่พี่ต้องการเถอะครับ ไม่ว่าพี่จะทำอะไร ถ้านั่นเป็นความปรารถนาของพี่...ผมจะไม่ขัดขวางพี่เลย...“ นัยน์ตาสีอำพันที่จ้องมองมาทางยูชอนไม่ได้มีแววลังเลเลยสักนิด ทั้งที่รู้ว่าการที่เขาไม่ห้าม...มันอาจหมายถึงความตายของเพื่อนรักของเขาก็ได้ แต่คิบอมกลับเลือกที่จะพูดมันออกไป
“แน่ใจ?” ชายหนุ่มถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าอัจฉริยะแห่งองค์กรจะไม่เปลี่ยนใจภายหลัง ถึงแม้ว่าคิบอมจะโกรธหรือเกลียดชางมินแค่ไหน แต่นั่นก็เป็นเพียงเปลือกนอก เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ภายในจิตใจของเด็กหนุ่มเองก็ยังเห็นชางมินเป็นเพื่อนอยู่ดี
“ฮะ...” คิบอมพยักหน้ารับเพื่อยืนยันคำพูดของตน ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วทำไมยังต้องลังเล ตัวเขาก็เองพอจะเดาชะตากรรมของชางมินออกตั้งแต่แรกแล้ว ถึงได้เตือนเอาไว้ แต่ไม่รู้ชางมินจะใส่ใจมันบ้างรึเปล่า? ถ้าอัจฉริยะแห่งกรมตำรวจคิดพินิจคำพูดของเขาสักนิดก็อาจพอมีโอกาสรอดจากเงื้อมมือมัจจุราชได้
แต่ถ้าไม่...คงไม่มีทาง อย่างน้อยคิบอมก็หวังว่าร่างสูงอาจจะแค่ทรมานแต่ไม่ถึงกับฆ่าให้ตาย หรือ บางทีอาจจะฆ่าให้ตายอย่างช้าๆ ให้สาสมกับสิ่งที่ชางมินทำ แต่จะเป็นอะไรก็ช่าง หากชางมินตกอยู่ในเงื้อมมือของยูชอนเมื่อไหร่ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจำเป็นต้องใส่ใจอีกต่อไป...เปลือกตาเลื่อนลงมาบดบังนัยน์ตาสีอำพัน หลังจากร่างสูงของ King แห่ง DL จากไป...
...ถือว่าฉันเตือนนายแล้วนะ ชางมิน...
.
.
.
’หน้าที่’ ของพวกเขาต่างกันแค่ไหน?
ต่างคน...ต่างรู้ดี
เมื่อคนหนึ่งมีหน้าที่...ทำลาย
อีกคนหนึ่งมีหน้าที่...ปกป้อง
เส้นทางที่คู่ขนานกันไป แต่ไม่มีวันมาบรรจบกัน...
ครืดดดดดดด...ครืดดดดดดดดดดดด...
เสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องหรูที่ชายหนุ่มวางทิ้งไว้บนโต๊ะกำลังสั่น เรียกให้คิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากันเมื่อหันไปมองนาฬิกาแขวนบนฝาผนังที่บอกเวลาตีสามกว่าแล้ว ช่วงเวลาที่ไม่สมควรจะมีใครโทรมา ตอนแรกชายหนุ่มคิดว่าจะปล่อยมันไว้อย่างนั้น แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเดินเข้าห้องไปรับ เบอร์ที่ขึ้นดูไม่คุ้นตา แต่รหัสหมายเลขที่นำหน้าพอเดาได้ว่าโทรมาจากต่างประเทศ ร่างสูงชั่งใจอยู่เพียงเสี้ยววินาทีก็กดรับ น้ำเสียงปลายสายที่ทักมาเรียกรอยยิ้มจากยุนโฮได้เป็นครั้งแรกในรอบสามวัน
“ทำไมรับช้าจังฮะ เจ้าอ้วน?”
“พี่ดองวุค!! นี่มันตีสามแล้วนะครับ!!” น้ำเสียงที่ตอบกลับแสดงถึงความขุ่นเคืองจากเจ้าของคำพูดได้เป็นอย่างดี แต่ปลายสายกลับหัวเราะเริงร่าใส่แทน จนยุนโฮต้องเรียกชื่อคนที่มัวแต่ฮาไม่หยุดให้บอกจุดประสงค์ที่โทรมาซะที
“พี่ดองวุค!”
‘ชเวดองวุค’ ตำรวจสัญชาติเดียวกันที่เป็นทั้งรุ่นพี่, อาจารย์ และเพื่อนสนิทที่สุดตอนอยู่ที่ ICPO (องค์กรตำรวจโลก) ยุนโฮให้ความเคารพและเชื่อถือผู้ชายคนนี้ยิ่งกว่าใครๆ
“ฮ่าๆ รู้แล้วน่า ทำเป็นใจร้อนไปได้! พี่ก็แค่ดีใจที่นายยังมีชีวิตอยู่คุยกับพี่ได้น่ะ...” คนที่โทรทางไกลมาหยุดหัวเราะแล้วหันมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เมื่อเรื่องที่กำลังจะคุยไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
“ผมเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันแหละครับ” ยุนโฮตอบกลับไปขณะที่เลื่อนมือใหญ่ขึ้นมาแตะที่หน้าอกด้านซ้าย หัวใจยังคงเต้นอย่างเป็นปกติ หัวใจที่ใครคนหนึ่งเคยเกือบจะแทงมีดลงมาเพื่อเอาชีวิตเขา แต่เขาก็รอดมาได้ในสภาพที่ยังสมบูรณ์ดีและไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
“ได้ยินมาว่าโดนหนักไม่ใช่น้อยนี่...” เสียงของคนที่โทรมาแสดงออกถึงความเป็นห่วงที่ชายหนุ่มรับรู้ได้
“พี่รู้ได้ยังไงครับ?”
“ได้ยินจากรีอินน่ะ แต่ไม่รู้รายละเอียด เธอบอกให้ถามนายเองคงง่ายกว่าถ้ายังไม่ตายอ่ะนะ...” ชื่อของคนที่ถูกดองวุคพูดถึงเรียกรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้าชายหนุ่มอีกครั้ง เมื่อนึกถึงเพื่อนสนิทต่างสัญชาติที่ไปทำงานอยู่ประเทศจีนเพื่อแฝงตัวเข้าติดตามจับฮันกยองหัวหน้าแก๊งพยัคฆ์ทมิฬตั้งแต่ก่อนที่เขาจะกลับมาเกาหลีซะอีก นึกแล้วก็อดคิดถึงไม่ได้ ยัยผู้หญิงหน้าหมวยสวยก็สวย เสียงก็หวาน แทนที่จะไปเป็นนักร้องดันมาวิ่งไล่จับผู้ร้ายซะอย่างนั้น ทั้งยังปากจัดกัดเจ็บแถมด่าเก่งอีกต่างหาก ปากก็ไม่ตรงกับใจ เป็นห่วงก็ไม่ยอมโทรมาคงจะแกล้งโทรมาบ่นกับพี่ดองวุคเพราะอยากรู้ว่าเขายังสบายดีอยู่รึเปล่าสินะ?
“ยัยนั่นก็อย่างนี้ทุกทีเลยสิน่า
” ยุนโฮหัวเราะในลำคอเสียงเบาเมื่อนึกถึงเพื่อนสาวชาวจีนที่ไม่ได้พบกันเสียนาน เพราะหน้าที่ทำให้พวกเขาต้องแยกย้ายกันไปตามที่ต่างๆ ดองวุคอยู่แถวอเมริกา รีอินอยู่จีนแผ่นดินใหญ่ ส่วนตัวเขาก็อยู่ที่บ้านเกิด...ประเทศเกาหลี
“ก็นะ...เหมือนเดิมแหละ ไม่ยอมโทรหานายเองคงกลัวจะเจอข่าวร้ายน่ะ แต่เอาเถอะ ถึงเธอไม่โทรพี่ก็อยากรู้อยู่ดี เล่าให้พี่ฟังหน่อยสิทางนั้นเป็นไงบ้าง?” และบทสนทนาระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้องก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ กินเวลาเกือบชั่วโมง ยุนโฮเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ดองวุคฟัง ตั้งแต่เริ่มมาที่เกาหลี, การทำงาน, คดีทั้งหมดของ DL, ความแค้นของอึนฮยอก, ในงานเลี้ยงที่พบกันครั้งแรก และการปะทะกันครั้งล่าสุดที่พึ่งผ่านมา ยกเว้นเพียงเรื่องเดียว...เพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่ยุนโฮไม่ได้เล่า...เรื่องระหว่างเขากับแจจุง
“นายรอดมาได้ยังไงเนี่ย?” น้ำเสียงปลายสายกล่าวอย่างทึ่งๆ หลังจากฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดจบลง ยิ่งเรื่องที่พึ่งเกิดล่าสุดเมื่อสามวันก่อน ดองวุคแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่ายุนโฮยังมีชีวิตรอดมานั่งคุยกับเขาได้
“ฮ่าๆ ก็เกือบไปเหมือนกันละครับ” ยุนโฮส่งเสียงหัวเราะไปเพื่อให้คนฟังสบายใจทั้งที่ใบหน้าไม่ได้มีแม้แต่รอยยิ้มเมื่อนึกถึงสาเหตุที่เขารอดมาได้...จะเป็นใครถ้าไม่ใช่เพราะแจจุง
“มันไม่ตลกนะยุนโฮ!! รู้ตัวบ้างรึเปล่าว่านายกำลังสู้อยู่กับอะไร!!?” น้ำเสียงที่ตะคอกใส่ด้วยอารมณ์โมโหที่พุ่งสูงขึ้น แต่คนฟังกลับรู้ดีว่าปลายสายพูดก็เพราะเป็นห่วง ความจริงตอนที่เขาถูกไหว้วานจาก ICPO ให้เดินทางมาเกาหลีเพื่อรับงานเรื่อง DL นั้น ดองวุคกับรีอินพยายามคัดค้านไม่อยากให้เขามา แต่ด้วยหน้าที่เขาก็ไม่อาจขัดต่อ ICPO ได้
“DL ปีศาจแห่งโลกมืด กลุ่มคนอันตรายที่ใครๆได้ยินชื่อก็ขยาดไม่อยากจะเข้าใกล้...ไม่อยากจะเกี่ยวข้อง แม้แต่กลุ่มนักฆ่าด้วยกันยังยอมรับและยกย่องให้เป็นอันดับหนึ่ง...แล้วนายคิดว่าคนธรรมดาอย่างเราจะสู้พวกมันได้อย่างนั้นเหรอ?”
“พี่คิดว่าไงล่ะครับ?” น้ำเสียงราบเรียบของผู้เป็นรุ่นน้องที่ตอบกลับมาทำให้คนเป็นพี่ต้องนิ่งเงียบ...เขารู้ว่ายุนโฮไม่ได้คิดแบบนั้น ความร้ายกาจของ DL เป็นยังไง? น่ากลัวขนาดไหน? เขา,รีอินและยุนโฮเคยได้สัมผัสด้วยตัวเองมาแล้ว ความลับที่ไม่เคยมีใครล่วงรู้นอกจากพวกเขาสามคน...
“ยุนโฮ...พี่รู้ว่านายไม่คิด แต่พวกตำรวจที่เกาหลีน่ะต่างกัน เพราะเขาไม่เคยรับรู้ความน่ากลัวของ DL อย่างที่เราเคยเจอมา การที่คิดว่าจะจับพวก DL ได้ก็ไม่แปลก คิดว่าคราวนี้คงได้บทเรียนกันไปแล้วสินะ...”
“ครับ...บทเรียนครั้งใหญ่ที่น่าสยดสยองเป็นที่สุดจากคนพวกนั้น...” ความจริงแล้วยุนโฮเคยคิดว่ามันอาจจะเป็นไปได้ เพราะไม่เคยมีใครสามารถรับมือกับมันสมองแห่ง DL ที่ถูกคนในโลกไซเบอร์ขนานนามว่าเป็นสุดยอดแฮกเกอร์อัจฉริยะได้ แต่ชางมินสามารถทำได้ โดยที่ชายหนุ่มไม่อาจรู้ได้เลยว่า...นั่นเป็นเพราะทั้งคู่เป็นเพื่อนรักกันมาก่อน การที่จะจับทางได้ว่าอีกฝ่ายจะมาแนวไหนนั่นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่จากเหตุการณ์ที่ผ่านมายุนโฮตระหนักดีว่า...มันเป็นแค่ความฝัน!
“ปีศาจที่สามารถฆ่าคนได้ด้วยมือเปล่า...นายจะยังเรียกพวกมันว่าคนอีกอย่างนั้นเหรอ ยุนโฮ!?”
“พี่ดองวุค
”
“เอาเถอะ...พี่ก็ไม่รู้จะช่วยนายได้ยังไงล่ะนะ มันเป็นคำสั่งที่ตำรวจอย่างเราก็มีหน้าที่แค่ทำตาม...” ผู้เป็นรุ่นพี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังเสียจนเสียงลอดผ่านสายสัญญาณมาให้ยุนโฮได้ยิน
”แต่พี่อยากเตือนอะไรไว้อย่างนะ สุนัขที่โดนทำร้ายน่ะ เจ็บแล้วจำ...พอจำได้ว่าใครเป็นศัตรูของมัน...มันจะดุร้ายยิ่งกว่าที่ผ่านมา ระวังตัวด้วย...พี่เป็นห่วง” คำเตือนอย่างเป็นห่วงเป็นใยจากดองวุคทำให้คนฟังส่งเสียงตอบรับเบาๆ ด้วยความรู้สึกที่ว่า บางทีมันอาจจะสายเกินไปแล้วก็ได้
“ขอบคุณครับ พี่...” ชายหนุ่มเอ่ยขอบคุณเสียงแผ่วจนแทบหายไปในลำคอ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...บางทีอาจเป็นเพราะอนาคตที่เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันจะเป็นเช่นไร เมื่อคำพูดของร่างบางยังดังกึกก้องอยู่ในความทรงจำของเขามาตลอด...คำพูดที่ว่า ‘พบกันคราวหน้า เราจะได้มาฆ่ากันจริงๆ แล้วนะ’ ไม่รู้ว่าคราวหน้าของร่างบางมันจะมีอีกสักกี่ครั้ง...แต่ว่าจะอีกกี่ครั้งมันก็ไม่สำคัญหรอก เพราะไม่ว่าการพบกันนั้นจะเกิดขึ้นอีกกี่ครั้ง...มันก็ไม่เคยลบเลือนความจริงที่ว่าเขาและแจจุงไม่มีวันเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกันได้!
”เออ...แล้วโทรหาคนอื่นเขาบ้างไม่ตายหรอกนะ ยุนโฮ...” ไม่รู้ว่าเพราะเห็นผู้เป็นรุ่นน้องเงียบไปนาน หรือต้องการเปลี่ยนบรรยากาศ ถึงได้พูดเรื่องอื่นที่ไม่น่าเครียดขึ้นมาแทน แม้มันจะดูไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ก็เถอะ
“โธ่!! ก็พี่...พี่คงยุ่งอยู่ ผมก็...กลัวจะไปรบกวนนี่ครับ” ชายหนุ่มทำได้แค่ส่งเสียงอ่อยๆ เหมือนพวกที่โดนว่าเมื่อทำผิดให้คนฟังเห็นใจพร้อมกับหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองเสียเสร็จสรรพ
“ไม่ต้องมาปากหวานเลยไอ้อ้วน!! รู้หรอกว่าไม่อยากให้เป็นห่วง แต่เล่นหายไปเลยแบบนี้มันน่าเป็นห่วงยิ่งกว่าอีกนะ!!” ดูเหมือนข้อแก้ตัวจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย เมื่อปลายสายดันรู้ทัน และต่อว่าร่ายยาวมาเป็นชุดจนคนถูกว่าได้แต่หัวเราะร่ายอมรับผิดแต่โดยดี
“ฮ่าๆ พี่ก็...เอาเป็นว่า ผมขอโทษครับ สัญญาว่าคราวหน้าผมจะโทร”
“ให้มันจริงเถอะ” ระหว่างที่ดองวุคพูดก็มีเสียงแทรกเข้ามาเป็นเสียงของเพื่อนร่วมงานที่เรียกเจ้าตัวนั่นเอง เมื่อได้เวลาทำงานคนโทรมาก็รีบตัดบทวางสาย แต่ก็ไม่ลืมที่จะเตือนด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง “...เดี๋ยวพี่ต้องไปทำงานแล้วล่ะ แค่นี้ละกันนะ รักษาตัวด้วย...”
“ครับ พี่ขอบคุณมากนะครับ...”
ยุนโฮวางสายแล้วทิ้งเจ้าโทรศัพท์เครื่องหรูที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นจากการใช้งานไว้ที่เดิม เมื่อใบหน้าหล่อคมคายหันมองนาฬิกาอีกครั้งก็เกือบตีห้าเข้าไปแล้ว ชายหนุ่มตัดสินใจจะนอนเสียก่อนที่วันนี้เขาอาจจะไปทำงานไม่ไหว ร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มแล้วค่อยๆ หลับตาลงเพื่อจมสู่ห้วงนิทราอันยาวนาน
.
.
.
ความมืดสำหรับใครบางคนแล้วคงเป็นสิ่งที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจอันบอบช้ำ แต่สำหรับบางคนมันก็เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวเช่นกัน และนั่นก็หมายรวมถึงร่างเพรียวบางที่ทอดกายนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก เมื่อนัยน์ตาสีน้ำผึ้งนั้นมองผ่านกระจกหน้าต่างออกไปภายนอกแล้วพบเพียงความมืดมิดเมื่อแสงจันทร์ถูกบดบังไว้ภายใต้เมฆหมอกสีดำทะมึน แม้แต่แสงดาวก็ไม่มีให้เห็น สำหรับคนอื่นมันก็เป็นแค่ท้องฟ้าที่ไม่มีสิ่งใดนอกจากความว่างเปล่าและมืดมิด แต่สำหรับคนที่นอนอยู่บนเตียงแล้วมันไม่ใช่แค่นั้น เพราะความมืดคือสิ่งที่น่ากลัวสำหรับชิมชางมินเสมอ!!
เด็กหนุ่มแทบอยากจะก้มหัวขอร้องให้พยาบาลสาวช่วยเปิดไฟทิ้งไว้ แต่เพราะห้องพักคนไข้ที่เขาอยู่ไม่ได้มีเพียงแค่เขาคนเดียวที่มาพักรักษาตัว ด้วยมารยาทและความเกรงใจชางมินจึงไม่กล้าบอกคนอื่น ปล่อยให้ไฟถูกปิดลงตามเวลาและอาศัยว่าเตียงของเขานั้นอยู่ติดหน้าต่างจึงมีแสงจันทร์ที่ลอดผ่านเข้ามากับโคมไฟหัวเตียงที่สว่างพอจะทำให้เขารู้สึกอุ่นใจได้บ้าง
หากแต่คืนนี้กลับน่ากลัวยิ่งนัก...แสงจันทร์ที่เขาหวังให้มันช่วยอยู่เป็นเพื่อนกลับถูกบดบังด้วยเมฆหมอกเสียจนไม่อาจทอแสงลงมาได้ เหลือเพียงโคมไฟหัวเตียงที่เป็นที่พึ่งอย่างสุดท้ายสำหรับเขา ถึงอยากจะข่มตาหลับลงหนีความหวาดกลัวไปให้พ้นๆ แต่เด็กหนุ่มก็ไม่อาจทำได้ ด้วยภาพของที่เกิดเหตุซึ่งเต็มไปด้วยร่างไร้ลมหายใจและของเหลวสีแดงเข้มที่อาบชโลมร่างเหล่านั้นค่อยตามหลอกหลอนชางมินอยู่ตลอดเวลา เด็กหนุ่มพยายามคิดเรื่องอื่นๆ ก่อนนอนเพื่อไม่ให้นึกถึงมัน แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้ง...ภาพแห่งฝันร้ายนั้นยังคงตามรังควานเขาอยู่เรื่อยไป สุดท้ายก็ได้แต่พยายามไม่นอนเพื่อปล่อยให้ร่างกายอ่อนเพลียจนหลับสนิทไปเอง
กึก....กึก...
เสียงที่เกิดขึ้นเพียงแผ่วเบาแต่กลับเรียกความสนใจจากร่างเพรียวบางได้ดี เมื่อเด็กหนุ่มมองเห็นนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบตีสามเข้าไปแล้ว เวลาที่ไม่น่าจะมีใครตื่นแต่บางทีอาจจะมีใครลุกไปเข้าห้องน้ำก็ได้ นัยน์ตาสีน้ำผึ้งจึงกวาดสายตามองไปรอบห้องแต่ก็ไม่เห็นมีใครลุกขึ้นมา ทว่าเมื่อหันกลับมาอีกครั้งก็พบว่าหน้าต่างถูกเปิดออกและ ณ ที่ตรงนั้นก็ปรากฏร่างในชุดคลุมสีดำคนที่ไม่ต้องเดาเขาก็รู้ว่าใครเมื่อนึกถึงคำเตือนของอดีตเพื่อนรัก แต่มันก็สายไปแล้ว ชางมินยังไม่ทันจะได้ทำอะไรก็ถูกมือใหญ่ปิดปาดเขาไว้แน่นไม่ให้ร้องและมืออีกข้างนั้นชกเข้าที่ท้องอย่างรวดเร็ว แรงอัดรุนแรงเสียจนอัจฉริยะหนุ่มแห่งกรมตำรวจจุกจนร้องไม่ออก
ยูชอนเอาตัวร่างเพรียวที่ไร้ซึ่งหนทางขัดขืนขึ้นพาดบ่าก่อนจะกระโจนออกไปทางเดิมที่เข้ามา บนเตียงข้างหน้าต่างนั้นไร้ร่างคนเจ็บที่เคยนอนอยู่อีกแล้วมีเพียงการ์ดรูปปีกสีดำที่มีตัวอักษร DL สีแดงอยู่เหนือปีกคู่นั้นถูกทิ้งเอาไว้
.
.
.
ร่างเพรียวบางที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้น แพขนตาหนากระพริบถี่เพื่อปรับระดับการมองเห็น นัยน์ตาสีน้ำผึ้งสวยออกอาการมึนงงเมื่อมองเห็นเพดานห้องที่ไม่คุ้นตา ก่อนลุกขึ้นพรวดพราดด้วยความตกใจเมื่อนึกออกว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เมื่อกวาดสายตาไปรอบห้องก็พบว่าเขากำลังอยู่ในห้องขนาดเล็กดูคับแคบ ชางมินพยายามจะลุกเพื่อหาทางหนีทั้งที่ขายังบาดเจ็บ หากแต่มันคงช้าเกินไป ประตูเปิดออกก่อนจะปรากฏเป็นร่างของใครคนหนึ่งขึ้น... ร่างที่คุ้นตาจนอัจฉริยะแห่งกรมตำรวจแอบโล่งใจที่ไม่ใช่คนที่เขาคิดไว้
“ฉันเตือนนายแล้วนะ...” น้ำเสียงตำหนิถูกส่งให้เป็นคำทักทายแรกที่ได้พบกัน นัยน์ตาสีอำพันมองดูสภาพของอดีตเพื่อนรักที่อยู่ในชุดคนไข้สีฟ้าของโรงพยาบาลซึ่งที่ขาข้างขวายังมีผ้าพันบาดแผลที่ถูกเขายิงไว้อยู่
“คิบอม...” ชางมินทำได้แค่เรียกชื่อคนตรงหน้าที่ไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้ เพียงแค่คิดว่าอย่างน้อยมันก็คงดีกว่าจะต้องไปเผชิญหน้ากับคนที่จับเขามาเมื่อคืนนี้
“พี่ยูชอนไม่อยู่หรอก...” อัจฉริยะแห่งองค์กรพูดขึ้นมาทั้งที่เด็กหนุ่มไม่ได้ถามคงเป็นเพราะแววตานั้นมันฉายชัดออกมาหมดละมั้งว่ากำลังคิดอะไรอยู่? ครั้งแรกคนฟังออกจะงุนงง หากแต่เมื่อลองคิดแล้วจึงรู้ว่า ‘ยูชอน’ ที่คิบอมว่าคือ King แห่ง DL
“บอกกันแบบนี้ไม่กลัวว่าฉันจะจับพวกนายได้อีกหรือไง...?” นิสัยของชางมินเคยปากเก่งยังไงก็ยังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน เพียงแต่สถานการณ์ที่ตกเป็นรองแบบนี้มันไม่ควรสักเท่าใดนัก ร่างเพรียวยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเตียงทั้งที่สายตากำลังมองหาช่องทางหนีอยู่ตลอดเวลา
“คิดว่าจะรอดกลับไปงั้นเหรอ? รู้ตัวรึเปล่าว่านายอยู่ที่ไหน...ชิมชางมิน?” คิบอมเดินเข้ามาหาอดีตเพื่อนรักใกล้ๆ นัยน์ตาสองคู่สบประสานกัน หนึ่งในนั้นมีเพียงความเย็นชาที่แสดงออกมาให้เห็น ขณะที่อีกคู่มีแต่แววของความหวาดหวั่นแฝงอยู่ภายใน
“จะฆ่าฉันรึไง?” ผู้ที่รู้ตัวว่าตกอยู่ในสถานการณ์ที่จะสิ้นลมได้ทุกเมื่อถามอย่างไม่คิดอะไรนัก ก็พอจะเดาออกอยู่แล้วว่าการที่ถูกจับมาแบบนี้ถ้าไม่ต้องการฆ่าให้ตายก็เป็นตัวประกัน ดูแล้วข้อแรกน่าจะเป็นไปได้มากกว่า ที่จริงก็แค่แอบสงสัยว่าทำไม King แห่ง DL ถึงไม่ฆ่าเขาที่โรงพยาบาลไปเลยแบบนั้นดูจะง่ายซะกว่าอีก
“เดี๋ยวนายก็รู้
” คิบอมถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงชะตากรรมที่ชางมินกำลังจะได้รับ “แต่บางที...นายอาจจะเป็นคนร้องขอความตายเองด้วยซ้ำ” อัจฉริยะแห่ง DL หันหลังแล้วเดินจากไปโดยไม่คิดที่จะไขข้อข้องใจของอีกคนที่มีต่อคำพูดของตนเลย
“เดี๋ยวคิบอม!!”
“อ่อ...แล้วอย่าคิดหนีล่ะ เดี๋ยวนายจะหาว่าฉันไม่เตือน...”
สิ้นเสียงประตูที่ปิดสนิทชางมินก็ลุกขึ้นจากเตียงแทบจะในทันทีโดยไม่สนใจความเจ็บปวดที่บาดแผลของตนเองเลย ร่างเพรียวลากขาเดินไปที่ประตูเป็นอย่างแรกแล้วพบว่ามันถูกล็อคจากภายนอกเปิดยังไงก็เปิดไม่ออก จนต้องละจากประตูไปที่หน้าต่างซึ่งผลก็ไม่ต่างกันนัก หน้าต่างทุกบานถูกล็อคเอาไว้แน่นหนา แม้กระทั่งช่องระบายอากาศในห้องน้ำยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ สุดท้ายก็ต้องทิ้งตัวลงนอนบนเตียง พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงไม่มัดเขาเอาไว้ ก็ห้องที่ถูกปิดตายแบบนี้จะหนีไปไหนได้ล่ะ ความเงียบที่โรยตัวไปทั่วอดทำให้เด็กหนุ่มคิดถึงอดีตที่ผ่านมาไม่ได้ หากวันนั้น...เขาไม่ทำตัวเป็นคนดีเกินเหตุอย่างที่คิบอมเคยว่าเขาไว้ บางทีทุกอย่างคงไม่ลงเอยแบบนี้
.
.
.
รุ่งอรุณของเช้าวันใหญ่ของชองยุนโฮกลับไม่สดใสเท่าที่ควรเมื่อมีเสียงโทรศัพท์มือถือดังปลุกเขาตั้งแต่เช้าทั้งที่เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็แทบแย่อยู่แล้ว หากแต่เรื่องด่วนที่ฟังตอนกำลังงัวเงียรับสายนั้นกลับทำให้ชายหนุ่มตาสว่างขึ้นในทันที ก่อนจะรีบอาบน้ำแต่งตัวและขับรถไปโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในสถานที่ซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจนน่าขนลุก ขาคู่ยาวพาตัวเองเดินไปตามทางเดินจนมาถึงจุดหมายที่ต้องการ มือใหญ่เคาะประตูเพียงสองครั้งก่อนจะผลักเข้าไปด้านในห้องพักรวมของคนไข้ ที่ด้านในเป็นนายตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนทั้งหมด ยุนโฮพยักหน้ารับนายตำรวจคนอื่นๆ ที่โค้งตัวลงทำความเคารพเขาจนเข้าไปถึงด้านในสุดของห้องซึ่งดงแฮกำลังยืนรอเขาอยู่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานคนเก่งชี้ให้ยุนโฮดู เตียงสีขาวที่ว่างเปล่า หน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งไว้ และการ์ดกระดาษใบเดียวที่เหลือทิ้งไว้ หลักฐานที่บ่งบอกว่าใครเป็นผู้กระทำชัดเจนอยู่เบื้องหน้า
“หายไปตั้งแต่ตอนไหน? แล้วมีใครรู้บ้างรึเปล่า?” ยุนโฮเอนแผ่นหลังพิงฝาผนังฝั่งหนึ่งขณะขอข้อมูลจากร่างเล็กซึ่งเป็นผู้โทรไปปลุกเขาตั้งแต่เช้า หากแต่ก็ไรคำตอบจากเจ้าหน้าที่คนเก่ง ใบหน้าเรียวส่ายไปมาช้าๆ ราวกับจะบ่งบอกถึงความหวังที่ริบหรี่ลงทุกที อาการที่ทำให้ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจเมื่อสิ่งที่ถูกผู้เป็นรุ่นพี่เตือนไว้มันเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด...
.
.
.
ท้องฟ้ายามเย็นสีส้มสดถักทอท้องฟ้าผืนกว้างให้จัดจ้านแสบตา ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่กำลังเคลื่อนคล้อยจะลาลับขอบฟ้า เส้นขอบฟ้าสีม่วงที่เจ้าหญิงผู้น่ารักชอบและบอกว่ามันเป็นอะไรที่น่าค้นหา ร่างเล็กนั้นเคยเล่าว่าหากข้ามเส้นขอบฟ้านั้นไปก็จะพบกับโลกใหม่...ที่ไม่ใช่โลกเดิมที่เราเคยอยู่ จุนซูเชื่อแบบนั้น แว่วเสียงอ่อนหวานที่เคยได้ยินล่องลอยเข้ามาให้นึกถึงในความทรงจำ
...ไม่ว่าโลกหลังเส้นขอบฟ้านั้นจะเป็นยังไง แต่สำหรับฉันโลกใบนั้นก็คือโลกที่มียูชอนอยู่เคียงข้าง...
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองดูภาพธรรมชาติที่กำลังเกิดด้วยความรู้สึกหลากหลาย แสงสีส้มฉายให้ใบหน้าหล่อคมคายนั้นดูสว่างเสียจนมองเห็นหยดน้ำตาเล็กๆ ที่ไหลออกมาโดยที่เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้สึกตัว แต่คนที่มองอยู่ก็แกล้งทำเป็นไม่เห็นซะ ก่อนจะเดินไปหาใกล้ๆ มือเรียวแตะแผ่นหลังกว้างที่แผ่วเบา
“พี่จองซู...” ยูชอนหันมามองผู้เป็นเจ้าของสัมผัสอบอุ่นที่เขารู้สึกได้ ก่อนจะรีบปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆ ไม่ให้นางฟ้าแห่งองค์กรเห็น ร่างบอบบางที่ใบหน้าหน้าออกจะซีดขาวไปบ้างนั่งลงข้างชายหนุ่มโดยไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว บรรยากาศรอบข้างค่อยๆ มืดลงเมื่อดวงจันทร์ขึ้นมาทำหน้าที่แทนดวงอาทิตย์ที่ลับไป แต่ก็ยังไม่มีบทสนทนาใดๆ ระหว่างทั้งสองคนนอกเหนือเสียจากความเงียบงัน
“พี่โกรธผมเหรอฮะ?” เพราะคิดว่าจองซูนั้นโกรธที่เขาไปจับตัวชางมินมาแถมยังทิ้งการ์ดเอาเป็นหลักฐานให้ฝ่ายโน้นรู้ว่าเป็นฝีมือใครโดยไม่ยอมรอให้จองซูอนุญาตจึงถามไปแบบนั้น หากแต่นางฟ้าคนงามก็ไม่ได้ตอบอะไรนอกจาก...
“ขอโทษนะ...” ยังไม่ทันที่ยูชอนจะได้ถามถึงที่มาของคำขอโทษนั้น ผู้เป็นเจ้าของก็เปลี่ยนไปตอบคำถามแรกของชายหนุ่มเสียก่อน นัยน์ตากลมโตคู่สวยยังคงมีแววเศร้าเสียใจอยู่ภายในที่ถูกซ่อนไว้ไม่ให้แสดงออกมาภายนอก “อยากทำอะไรก็ทำเถอะ ถ้ามันทำให้นายสบายใจได้... พี่ยอมทุกอย่าง...”
ร่างของนางฟ้าแห่งองค์กรจากไปแล้วทิ้งให้ยูชอนนั่งอยู่เดียวดายตามลำพัง ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ทอลงมาอย่างอ่อนโยน ราวกับจะช่วยโอบอุ้มความเจ็บปวดที่ไม่อาจมีใครช่วยเยียวยา ชายหนุ่มนั่งหลับตาปล่อยให้สายลมของฤดูหนาวพัดผ่านกล่อมเกลาจิตใจของตัวเองที่เคยอ่อนแอให้กลับมาแข็งแรงและคงไว้ซึ่งเย็นชาดังเดิมที่เคยเป็น เมื่อมีตัวต้นเหตุแห่งความสูญเสียอยู่ในกำมือแล้วมีเหตุผลใดที่เขายังต้องทนแบกรับความเจ็บปวดนี้ไว้เพียงคนเดียวด้วยล่ะ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มไร้แววความลังเลอีกต่อไป ชายหนุ่มตัดสินใจกลับเข้าไปข้างในบ้านเพื่อสั่งสอนให้ใครหนึ่งเรียนรู้ถึงความเจ็บปวดแบบที่จุนซูเคยเจ็บ!!!
ปัง!!
ประตูเปิดออกเสียงดังสร้างความตกใจให้กับคนที่อยู่ในห้องซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างไม่คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองในเวลานี้ มือเรียวปล่อยหนังสือเล่มบางร่วงหล่นลง ถึงจะยังไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใครแต่สัญชาตญาณภายในร่างกำลังสั่งให้เขาหนีจากผู้ชายคนนี้ หากแต่ร่างสูงก็ไวพอที่จะฉุดกระชากแขนเรียวให้ร่างเพรียวนั้นให้เดินตามตัวเองมาโดยไม่พูดอะไรเลยสักคำ
“คุณเป็นใคร!? ปล่อยผม!! ปล่อย!!” ชางมินพยายามขัดขืนไปตลอดทางแต่ไม่รู้ชายตรงหน้าไปเอาแรงมาจากไหน การขัดขืนของเขาถึงได้ไม่มีผลเลย
“คิบอมน่าจะบอกแล้วนะ...” แม้ไม่ได้ตอบคำถามนั้นโดยตรง แต่ชางมินรู้แล้วว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก King แห่ง DL ปาร์คยูชอน!!!
ยูชอนลากเด็กหนุ่มจนมาถึงห้องๆหนึ่ง มือใหญ่ผลักร่างเพรียวนั้นเข้าไปด้านในห้องอย่างแรงจนร่างนั้นล้มไปกองอยู่กับพื้น บาดแผลที่ขาเริ่มมีเลือดซึมออกมา หลังจากล็อคประตูเรียบร้อย ขาคู่ยาวก็สาวเท้าเข้ามาใกล้ใช้มือเพียงข้างเดียวจับคอคนเสียเปรียบยกขึ้นมาในอากาศ แต่ใช่ว่าชางมินจะยอมง่ายๆ เขายกเข่าตีเข้าที่ท้องจนยูชอนเผลอปล่อยให้เรียวคอนั่นเป็นอิสระ ทันทีที่มีโอกาสอัจฉริยะแห่งกรมตำรวจก็ไม่ยอมปล่อยให้มันหลุดรอดไปได้
ร่างเพรียวใช้ความพยายามเพื่อที่จะวิ่งหนี หากนัยน์ตาสีน้ำผึ้งนั้นไม่ชะงักเพราะสังเกตเห็นรูปในกรอบไม้สีน้ำตาลอ่อนหลายอันที่วางตั้งอยู่ที่ชั้นหนังสือซะก่อน รูปคู่ระหว่างยูชอนกับใครอีกคนที่เขาจำใบหน้าน่ารักนั้นได้ดี ‘คิมจุนซู’ ด้านล่างกรอบรูปนั้นมีตัวอักษรเล็กๆ เขียนไว้ว่า ‘My Little Princess’ สิ่งที่ทำให้ชิมชางมินเข้าใจทันทีว่าระหว่างคนทั้งสองมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
เพราะอัจฉริยะแห่งกรมตำรวจมัวแต่ผลอจึงถูกยูชอนจับตัวได้อีกครั้ง คอเรียวถูกล็อคไว้จากข้างหลัง ร่างเพรียวรู้สึกอึดอัดและทรมานจนแทบทนไม่ไหว มือเรียวปล่อยทิ้งลงข้างตัวด้วยไร้แรงจะต่อต้าน ชายหนุ่มจึงคลายแรงที่แขนออกแล้วปล่อยให้ชางมินได้มีโอกาสพักหายใจ
“แค่นี้ก็แย่แล้วเหรอ? ที่จุนซูเจอน่ะ มันมากกว่านี้อีกนะ
” น้ำเสียงทุ้มว่าไม่ทันให้คนที่มัวแต่ไขว้คว้าหาอากาศหายใจได้โต้ตอบ ก่อนจะกระชากคอเสื้อของเด็กหนุ่มลากเข้าไปในห้องน้ำ
ภายในห้องน้ำสุดหรูมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ยูชอนไม่รีรออะไรทั้งนั้นลากร่างเพรียวที่ไร้หนทางขัดขืนเข้าชิดติดขอบอ่างแล้วจับศีรษะกดลงไปในน้ำขณะที่ทิ้งตัวเองลงนั่งขอบอ่าง...ฝ่ายชางมินก็ดิ้นรนต่อต้านสุดชีวิตเมื่อถูกจับกดน้ำจนเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่หลุดลุ่ย เด็กหนุ่มพยายามดันตัวเองขึ้น แต่ก็ยังถูกกดศีรษะไม่ให้เงยหน้าขึ้นมาได้ สักพักมือใหญ่ก็กระชากเส้นผมสีน้ำตาลนั้นให้ใบหน้าเรียวโผล่พ้นน้ำ ให้เวลาเล็กน้อยพอมีโอกาสให้หายใจเอาอากาศเข้าไปในปอด ก่อนจะกดลงไปในน้ำอีกหลายต่อหลายครั้ง และเวลาต่อครั้งก็นานขึ้นเรื่อยๆ จนครั้งสุดท้ายที่กินเวลานานเสียจนเด็กหนุ่มคิดว่าตัวเองต้องไม่รอดแล้วแน่ แต่ยูชอนก็จับให้ชางมินขึ้นจากน้ำก่อนจะขาดอากาศหายใจตาย
“แค่กๆ...ฮึก...แค่ก
” พอขึ้นมาได้มือเรียวก็เกาะขอบอ่างยึดเป็นที่พักพิงแน่นไม่ยอมปล่อยด้วยกลัวจะถูกจับลงไปในน้ำอีก นัยน์ตาสีน้ำผึ้งจ้องมองนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของยูชอนอย่างเอาเป็นเอาตายทั้งที่ยังหายใจหอบ ใบหน้าเรียวเปียกชุ่มด้วยหยาดน้ำพราวบนผิวแก้มสีซีด เนื้อตัวเปียกปอนหนาวจนสั่นไปหมดทั้งตัว มือใหญ่บีบเข้าที่คางเชยให้ร่างเพรียวนั้นเงยหน้าขึ้น
“จะเอาอีกหรือไง?” ชางมินไม่ได้โต้ตอบอะไรไป หากแต่สายตาที่ยังจ้องมองชายหนุ่มนั้นไม่ได้ละไปไหน แววที่ไม่ได้แสดงความหวาดกลัวอย่างที่ยูชอนต้องการทำเอาเจ้าตัวรู้สึกฉุนขาด
เพี๊ยะ!!
ฝ่ามือใหญ่ฟาดเข้าที่ผิวแก้มของคนปากจนใบหน้าเรียวต้องหันไปตามแรงตบ เลือดที่มุมปากไหลซึมออกมาให้เห็นนิดๆ และพอให้เจ้าตัวได้รู้รสและกลิ่นคาวของเลือดได้เป็นอย่างดี หากแต่นัยน์ตาคู่นั้นก็ยังหันกลับมามองหน้าเขาเหมือนดังเช่นในตอนแรก
“ฆ่าผมแล้วคนรักของคุณจะฟื้นขึ้นมาได้หรือไง!?” ร่างเพรียวตะโกนใส่ชายหนุ่มเสียงแหบพร่า คำถามที่ทำให้ยูชอนถึงกับนิ่งเงียบไปพักใหญ่ หากแต่ตัวคนพูดไม่ได้รู้เลยว่าประโยคเมื่อกี้ของตัวเองทำร้ายหัวใจของชายหนุ่มมากขนาดไหน และมันกำลังจะนำไปสู่ผลร้ายต่อตัวเองอย่างไรบ้าง?
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนหลังจากนั่งเงียบมานาน สองมือคว้าร่างที่ไร้เรี่ยวแรงทุ่มลงกับเตียงนุ่ม ความอ่อนนุ่มที่พอจะช่วยบรรเทาแรงกระแทกได้บ้าง แต่ก็ไม่มากมายอะไรนัก ถึงจะเจ็บแต่ริมฝีปากนั้นก็ไม่ยอมส่งเสียงร้อง ก่อนจะพยายามพลิกร่างหนีคนที่กำลังขึ้นคร่อมเขาไว้ แต่มันก็ช้าเกินไปอยู่ดี
/>
“จริงอยู่ ถึงฉันฆ่านายไป จุนซูก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอยู่ดี แต่ว่า...” ยูชอนจับใบหน้าเรียวให้หันมามองตนเองเสียเต็มตา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววแข็งกร้าวจนดูน่ากลัว “ฉันทำให้นายทรมานแบบเดียวกับที่เขาต้องเจอได้...”
/>
พูดจบร่างสูงก็ไม่รอช้าที่จะปลดเสื้อที่เปียกชุ่มจนแนบเนื้อนั้นออก ขณะที่ชางมินก็พยายามถอยหนี นัยน์ตาสีน้ำผึ้งเหลือบเห็นประกายสีเงินที่สะท้อนกับแสงไฟบนหัวเตียง...มีดสั้นด้ามเล็ก เด็กหนุ่มใช้โอกาสที่ยูชอนเผลอคว้ามันมาจ่อไว้ที่คอตัวเอง การกระทำของร่างเพรียวเรียกให้ชายหนุ่มหยุดชะงักด้วยความตกใจ หากแต่สีหน้ายังคงเรียบนิ่ง
“ถ้าจะต้องถูกคุณทำอะไรล่ะก็...? ผมยอมตายซะดีกว่า...” น้ำเสียงแหบพร่ากล่าวเสียงเบา มีดสั้นซึ่งจ่ออยู่ที่คอเตรียมแทงลงไปอย่างไม่ลังเล หากแต่ชางมินคงลืมไปว่าคนที่อยู่กับเขาคือใคร ยูชอนจับข้อมือเรียวได้ทันก่อนที่คมมีดจะฝังลงไปบนผิวนั้นเพียงเสี้ยววินาที
“รู้หรือยังว่าจุนซูรู้สึกยังไง?“ เสียงทุ้มเอ่ยถามเรียบๆ ก่อนจะบิดข้อมือเรียวอย่างแรงจนของมีคมนั้นหลุดจากมือตกลงจากเตียงสู่พื้นห้อง
“โอ๊ย!!” เสียงร้องเจ็บของชางมินดังเป็นครั้งแรกเมื่อข้อมือที่ถูกจับบิดนั้นทำให้กระดูกผิดรูปไป ก่อนบริเวณนั้นจะค่อยๆ บวมแดงขึ้นเป็นลำดับ ชายหนุ่มปล่อยข้อมือเรียวลงกับเตียง ใบหน้าหล่อคมคายโน้มตัวลงมากระซิบข้างหู
”เขารู้สึกแบบนายตอนนี้ไงล่ะ” หยดน้ำตาล้นเอ่อนัยน์ตาสีน้ำผึ้งไหลอาบผิวแก้มเป็นทาง สุดท้ายคนไร้ทางหนีก็ทำได้แค่ปล่อยให้อะไรๆ เป็นไปตามที่ชายหนุ่มต้องการ...ความต้องการที่ไร้ซึ่งความเห็นใจ เมื่อสิ่งนั้นคือความทรมานและความเจ็บปวดของเขาเอง
“ฉันสอนให้นายรู้ว่าความเจ็บปวดมันเป็นยังไง...”
To Be Con
/>
ก่อนอื่นยังขอยืนยันว่าเรื่องนี้จะต้องจบแบบยุนแจ ยูซู
(แม้มันจะออกไปทาง โซลเมท และคิส มากสักเพียงไรก็ตาม เหอๆ -*- )
ตอนนี้คนแต่งง่วงมากแต่ก็ยังจะนั่งพิมพ์ต่อไป 55
เริ่มจากอะไรดี อ๋อ...ตัวละครที่เพิ่มเข้ามาดีกว่า อิอิ คราวที่แล้วหายไปสอง คราวนี้เราจึงเพิ่มเข้ามาอีกสอง
แต่ไม่ต้องห่วงนะค่ะ เพิ่มได้แค่นี้แหละ เพราะหลังจากนี้จะทยอยหายกันเกลี้ยง
อย่างที่บอกว่ามันคือโศกนาฏกรรม 55 (ยังหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ)
อืม...หวังว่าหลายๆคนยังไม่ลืมป๋าฮันใช่ไหมค่ะ?
พอดีค่าตัวป๋าแพงอ่ะค่ะเลยไม่ค่อยอยากเชิญมาเท่าไหร่ แต่ช่วงนี้พยายามขูดเลือดขูดเนื้อตัวเองไปลากป๋ามาเล่นให้อีกสักตอน ตามคำเรียกร้องของใครบางคนแถวนี้ 55 ตอนนี้มาแต่ชื่อไปก่อนคราวหน้า (แต่ไม่รู้ตอนไหน) มาเป็นตัวเป็นตนแน่นอน
เอิ่ม...เรื่องอยากคุยมีอีกเยอะแต่ตอนนี้ง่วงจริงๆ ไปดีกว่า
เหอๆ บ๊ายบายค่ะ เจอกันตอนหน้าที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ -*-
ปล.เฮียค่ะจะเปลี่ยนอาชีพจากนักร้องไปเป็นตลกคาเฟ่แล้วเหรอค่ะ? 555
ปล2. Forgotten Angel ยังพอมีเหลืออยู่บ้างใครสนใจก็เมล์มานะค่ะ
ปล3.อย่าว่าเรียกร้องคอมเม้นต์เลยเหอะ แต่ถ้าน้อยขนาดนี้มันก็ขี้เกี้ยจอัพเหมือนกันนะค่ะ
อัพครั้งหน้า 15 ธันวา แต่ถ้าเม้นต์ไม่ถึง 220 ก็ฝันไปเหอะ หุหุ (หัวเราะชั่วร้ายมาก -*- )
-b g--s b- + + ไม้กาง เขน B G
ความคิดเห็น