ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Flaw Flower [Fic TVXQ : Soulmate]

    ลำดับตอนที่ #11 : [ 9 ] : You're mine

    • อัปเดตล่าสุด 22 ส.ค. 55






    Chapter IX : You're mine.

     

    ภายในห้องอาหารของตระกูลชอง ยุนโฮอยู่ในชุดสูทสีดำสนิทน่าเกรงขามกำลังอ่านหนังสือพิมพ์หลังทานมื้อเช้าเสร็จ โดยมีฮีชอลคอยยืนอยู่ด้านข้างอย่างอารมณ์ดี เป็นเพราะจุนซูไม่ได้อยู่ในห้อง ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเช้าวันนี้ถึงไม่เห็นหัวหน้าการ์ดร่างเล็กอยู่ข้างกายนายใหญ่เหมือนเคย มีเพียงฮยอกแจที่วุ่นวายกับการเตรียมเส้นทางไปเยี่ยมชมเกาะไข่มุกของนายใหญ่ โดยเกาะไข่มุกที่ว่านี้เป็นเกาะทางตะวันตกที่อยู่ในอำนาจปกครองของตระกูลชอง ซึ่งอยู่ในระหว่างก่อสร้างเป็นโรงแรมและคาสิโนขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่เกือบทั้งเกาะ
     

    “เรียบร้อยแล้วเหรอ?” ยุนโฮวางหนังสือพิมพ์ลงเมื่อเห็นฮยอกแจที่กำลังเดินเข้ามาในห้องอาหาร
     

    “พร้อมออกเดินทางได้ทุกเมื่อครับ”
     

    “ดีมาก” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างพอใจ ก่อนจะทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก ร่างสูงหันมาสั่ง ก่อนจะออกจากห้องไป “อ้อ! ไม่รู้ว่าจุนซูตื่นหรือยัง ฝากบอกด้วยนะว่าไหวแล้วค่อยตามฉันไปที่เกาะ”
     

    “ทราบแล้วครับ” ฮยอกแจขานรับผู้เป็นนาย ในขณะที่ฮีชอลชักสีหน้าทันทีที่รู้เหตุผลว่าทำไมจุนซูถึงไม่มาทำงาน นัยน์ตาเรียวสวยฉายแววดุให้รองการ์ดหนุ่มที่รู้ดีแต่กลับไม่ปริปากบอกเขาสักคำ
     

    “ทำไมนายไม่บอกฉัน” ฮีชอลถามเสียงดุ
     

    “ฉันต้องรายงานเรื่องพวกนี้กับนายตั้งแต่เมื่อไหร่” ท่าทางเมินเฉยของฮยอกแจสะกิดต่อมอารมณ์ของเลขาคนสวยจนแทบระเบิด
     

    “ใครเป็นคู่ขาของนายใหญ่ฉันก็ควรรู้ไว้นี่” เลขาคนสวยจงใจกวนประสาทรองหัวหน้าการ์ด นิ้วเรียวยาวแกล้งไล้ไปตามไหปลาร้าอย่างยั่วอารมณ์ แต่ก็ถูกปัดออกอย่างไม่ใยดี
     

    “หัดระวังคำพูดซะบ้างนะ ฮีชอล” ใบหน้าที่เฉยเมยไร้อารมณ์ของฮยอกแจเริ่มจะตึงเครียดขึ้นมา เขาไม่ชอบให้ใครพูดถึงนายใหญ่กับหัวหน้าของเขาในทางลบแบบนั้น ซึ่งโดยปกติก็ไม่มีใครกล้าทำนักหรอก
     

    “หึ นายก็เข้าข้างเจ้าตุ๊กตานั่นตลอดแหละ” ฮีชอลว่าน้ำเสียงหงุดหงิดขณะมองฮยอกแจที่กำลังเดินไปที่เรือนใหญ่โดยไม่ใส่ใจถ้อยคำถากถางของเขาเลยสักนิด
     

    พื้นทางเดินของเรือนใหญ่เป็นพื้นไม้เคลือบเงาที่แข็งแรงและอบอุ่นปูทับด้วยพรมเนื้อนุ่มสีเข้ม ภายในทางเดินที่ทอดยาวนั้นเงียบสงบ เพราะยุนโฮรักความเป็นส่วนตัวเกินกว่าจะให้ใครเหยียบย่างเข้ามาในเรือนใหญ่ได้ง่ายๆ เรือนใหญ่จึงมีการ์ดไม่กี่คนคอยเฝ้าอยู่ด้านนอก
     

    ก๊อก...ก๊อก...
     

    “จุนซู ตื่นหรือยัง?” เสียงตอบรับแว่วมาเบาเสียจนไม่แน่ใจว่าคนข้างในห้องตื่นแล้วหรือเพียงแค่ขานรับไปโดยไม่รู้สึกตัวกันแน่ ฮยอกแจต้องรออยู่นานทีเดียวกว่าเจ้าของห้องจะมาเปิดให้ ร่างเล็กยืนพิงประตูด้วยความงัวเงีย ผมเผ้ายุ่งเหยิง นัยน์ตาเล็กปรืออย่างคนง่วงงุนแทบไม่เหลือเค้าตุ๊กตาไร้หัวใจเลยสักนิด จุนซูสวมเสื้อเชิ้ตตัวเดียวกับเมื่อวานอย่างลวกๆ โดยไม่ได้ติดกระดุมเลยแม้แต่เม็ดเดียว ปกเสื้อที่รั้งไปด้านหลังทำให้ช่วงคอเปิดกว้าง แขนเสื้อข้างหนึ่งล่นลงมาที่หัวไหล่
     

    “ว่าไง?”
     

    “นายใหญ่ฝากบอกว่าถ้าไหวแล้วค่อยตามไป”
     

    “อืม ฝากนายดูแลแทนทีนะ เดี๋ยวเย็นๆ ฉันจะตามไป...” น้ำเสียงแหบหวานฟังดูเหนื่อยล้าจนฮยอกแจไม่คิดว่าจุนซูจะกลับมาทำงานไหวในช่วงเย็น อีกอย่างถ้าไปเกาะไข่มุกแล้วร่างเล็กคงไม่มีเวลาได้พัก
     

    “ไหวแน่นะ?” ถึงจะพยายามเสหน้าไปทางอื่นไม่มอง แต่ร่องรอยสีกุหลาบที่แต่งแต้มบนผิวกายเนียนนั้นก็ชัดเจนเกินกว่าจะละสายตาชวนให้จินตนาการถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ หากสิ่งที่สะกดสายตารองการ์ดหนุ่มให้นิ่งค้างไปกลับเป็น รอยแผลถูกยิงบนหัวไหล่ขวา แม้รอยจะจางลงไปมากแล้วแต่ฮยอกแจมั่นใจว่ามันเกิดจากกระสุนปืนแน่นอน เขาไม่เคยรู้ว่าจุนซูมีรอยแผลแบบนี้ พอรู้ตัวว่ากำลังถูกมองอะไร จุนซูก็รีบดึงเสื้อปิดด้วยแววตาที่ซ่อนความโกรธไว้ไม่มิด
     

    “ฉันดูแลตัวเองได้ นายก็รีบไปได้แล้ว!!” น้ำเสียงแหบหวานตวาดดังแสดงความไม่พอใจชัดเจน
     

    “แล้วเจอกัน” ฮยอกแจลาไปโดยไม่ได้ถามถึงที่มาของแผล แต่คงเป็นเพราะรู้ว่าถามไปก็ไม่ได้คำตอบเสียมากกว่า
     

    พอรองการ์ดหนุ่มไป จุนซูก็กลับเข้ามาในห้องนัยน์ตาเรียวมองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ ปกคอเสื้อที่เลื่อนลงมาเผยให้เห็นรอยแผลเดิมอีกครั้ง พร้อมกับร่องรอยที่ยุนโฮทิ้งไว้บนผิวกายตลอดคืน ริมฝีปากบางฝืนยิ้มให้ตัวเองในกระจกแล้วเริ่มหัวเราะอย่างน่าสมเพส จุนซูไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่ เขาควรจะดีใจที่แผนของตนเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางดีแล้วแท้ๆ แต่กลับรู้สึกหดหู่ยิ่งกว่าตอนยังไม่เริ่มลงมือเสียอีก

     

    ...เพราะยุนโฮคนเดียวที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้

     

    “สักวัน...ผมจะทำให้คุณเจ็บเหมือนที่ผมเคยเจ็บ” เสียงเล็กขาดหายเพราะก้อนสะอื้นจุกอยู่ที่คอ หยดน้ำตาไหลเป็นทางลงมาที่ปลายคาง รอยยิ้มที่สะท้อนในกระจกค่อยๆ จางหายไปเมื่อเห็นน้ำตาตัวเอง จุนซูรีบปาดคราบน้ำตาออกจากแก้ม แต่ยิ่งพยายามเช็ดมากเท่าไหร่ น้ำตาก็ยิ่งรินไหลออกมามากเท่านั้น
     

    “หึ! ถ้าจะร้องก็ร้องมาให้หมดนะ นับจากนี้ไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นายจะถอยหลังไม่ได้อีกแล้ว รู้ใช่ไหม?” ปลายนิ้วเรียวแตะบนแผ่นกระจกตรงใบหน้า ผิวสัมผัสที่เยียบเย็นคล้ายจะย้ำเตือนให้รู้ว่าหนทางข้างหน้านั่นตั้งอยู่บนความโดดเดี่ยวเพียงใด ความเหน็บหนาวที่ทำให้จุนซูคิดถึงใครคนหนึ่งขึ้นมา คนที่ทำให้ดวงตาของเขาชุ่มไปด้วยหยาดน้ำจนพร่ามัวมองอะไรแทบไม่เห็นอีกต่อไป สองแขนยกขึ้นกอดตัวเองแน่น น้ำเสียงแหบสั่นเครือยามเมื่อเอ่ยชื่อคนที่แสนคิดถึง
     

     “พี่จุนโฮ...”

     

    .

    .

    .

     

    แสงสว่างจากข้างนอกลอดรอยแหวกของม่านเข้ามาในห้องนอนที่ปิดทึบได้ไม่มาก แต่ก็มากพอจะทำให้เห็นความเป็นไปในห้องที่แสนเงียบสงบ ยูชอนตื่นนานแล้วแต่ยังไม่ยอมลุกจากเตียงแม้จะเริ่มสาย นัยน์ตาคมจ้องมองแจจุงที่ยังคงหลับสนิท ริมฝีปากเรียวแห้งผาก ใบหน้าซีดไร้สีเลือดยิ่งขับให้รอยช้ำบนผิวแก้มดูชัดเจนกว่าเดิม และหากสังเกตดีๆ จะมองเห็นคราบน้ำตาที่เหือดแห้ง ยูชอนไม่รู้ตัวเลยว่ามองร่างบางอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานเพียงใด กว่าจะรู้สึกตัวก็ตอนที่เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงขออนุญาตของเลขาหนุ่ม

     

    “อรุณสวัสดิ์ ชางมิน”

     

    “สายแล้วต่างหากครับ” ยูชอนยิ้มรับคำที่ฟังดูจงใจเหน็บแนบเขาอย่างอารมณ์ดี ชางมินจะพูดตรงๆ กับเขาเสมอ ถึงบางครั้งจะออกแนวขวานผ่าซากไปบ้าง แต่จะมีสักกี่คนกันที่พูดตรงกับใจคิดทั้งหมด

     

    “มีอะไรคืบหน้าบ้างไหม?”

     

    “เมื่อเช้าชองยุนโฮเดินทางไปเกาะไข่มุกครับ”

     

    “เกาะไข่มุก!? ไปทำอะไร?” ยูชอนกอดอกแน่น นัยน์ตาที่เจือแววหยอกล้อเมื่อครู่จางหายไปในพริบตา เกาะไข่มุก...เดิมทีเขากับยุนโฮเป็นเจ้าของร่วมกัน มันเป็นเกาะแห่งความฝันที่พวกเขาตั้งใจสร้างเพื่อเป็นที่พักตากอากาศและทำธุรกิจไปด้วย แต่บัดนี้เหลือเพียงยุนโฮที่เป็นเจ้าของ

     

    “ดูเหมือนว่าการก่อสร้างที่เกาะไข่มุกจะเสร็จสมบูรณ์ในเดือนหน้านี้แล้วครับ” คำตอบที่ทำให้คนฟังต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ นับว่าเป็นข่าวร้ายที่สุดข่าวหนึ่งสำหรับพวกเขาเลยก็ว่าได้ เพราะหลังจากนี้การเคลื่อนไหวของตระกูลชองก็จะคล่องตัวมากขึ้น ทั้งในด้านธุรกิจและความปลอดภัย

     

    “แล้วอีกเรื่อง...” ชางมินมองไปที่ร่างบางที่ถูกผ้านวมอุ่นคลุมจนเห็นเพียงแค่ดวงตาที่โผล่ออกมา เปลือกตาบางยังคงปิดสนิท เด็กหนุ่มลังเลเล็กน้อยแต่ก็ตัดสินใจเล่าในทันที

     

    “ทางนั้นประกาศว่าคิมแจจุงไม่ใช่คนของตระกูลชองอีกต่อไปแล้วครับ”

     

    “เหตุผลล่ะ?” เพราะเป็นข่าวที่คาดไว้แล้วจึงไม่นึกแปลกใจ แต่ที่สงสัยเป็นเพราะเหตุผลของมันต่างหาก

     

    “เป็นสายให้กับเราครับ”

     

    “ว่าไงนะ!” ยูชอนเผลออุทานเสียงดังเสียจนปลุกให้แจจุงที่หลับสนิทมาตลอดเริ่มรู้สึกตัว ขณะที่บทสนทนายังคงดำเนินต่อไป

     

    เปลือกตาบางเลื่อนขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนจะกระพริบตาซ้ำๆ เพื่อปรับการมองเห็น ร่างสูงใหญ่ที่เลือนรางเริ่มชัดเจน ใบหน้าหล่อเหลากำลังคุยกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างเคร่งเครียด ร่างบางมองไม่เห็นอีกฝ่ายแต่ก็พอเดาได้ว่าคงเป็นชางมิน ลำคอที่แห้งเป็นผุยผงทำให้แจจุงเปล่งเสียงไม่ออก เสียงบทสนทนาที่แว่วกระทบโสตประสาทฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องของตัวเอง ร่างบางถึงพยายามเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

     

    “ถ้าให้ผมเดา...บางทีอาจจะมีคนเห็นนายท่านตอนอยู่กับเขา หรือไม่ก็คงมีใครสักคนต้องการกำจัดเขาแล้วใช้ทางเราเป็นข้ออ้างก็ได้ครับ” แม้จะเป็นแค่การเดาส่งของฝ่ายศัตรู แต่ก็เหมือนเรื่องจริงเสียจนอดเจ็บปวดไม่ได้ หยาดน้ำอุ่นคลออยู่ข้างในดวงตาจนแจจุงต้องกระพริบตาซ้ำไล่หยาดน้ำพวกนั้นออกไป
     

    “คนตระกูลชองยังขยันหาเรื่องชิงดีชิงเด่นกันเหมือนเดิมสินะ” ยูชอนได้แต่ส่ายหน้าพลางแค่นหัวเหาะ นิสัยของคนตระกูลชองไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ตั้งแต่ตอนที่เขายังไม่แตกหักกัน พวกลูกน้องก็พยายามแข่งกันเอาหน้าจากยุนโฮเสมอ คงเพราะเป็นตระกูลเก่าแก่ถึงได้เคยชินกับวิธีการแบบนี้
     

    “แล้วนายท่านจะทำยังไงต่อไปครับ?” ไม่ว่าสาเหตุจะเกิดจากอะไร แต่ผลก็คือคิมแจจุงไม่ใช่คนของตระกูลชองอีกต่อไปแล้ว แต่นี่ล่ะที่เป็นปัญหา คนที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศจะไปอยู่ที่ไหนได้อีก อยู่ในเขตตระกูลชองมีแต่จะโดนตามล่าอยู่ร่ำไป ต่อให้เป็นเขตอิทธิพลของคนอื่นจะมีใครกล้ายอมเสี่ยงแลกกับนายใหญ่เขตใต้กันเล่า อีกอย่าง...ได้ชื่อว่าคนทรยศก็ไม่มีใครเชื่อถือ ไม่มีค่าพอจะยอมเสี่ยง เพราะไม่รู้ว่าจะคิดทรยศขึ้นมาอีกเมื่อไหร่

    ดังนั้น การถูกขับไล่ออกจากตระกูลก็เหมือนการบอกให้ไปตาย... ชางมินไม่แปลกใจเลยจริงๆ ที่แจจุงจะอยากตาย...ถ้าเป็นเขา ถ้าถูกยูชอนไล่ออกไปล่ะก็ ฆ่าเขาให้ตายตรงนั้นเลยยังจะดีกว่า
     

    “ถ้ามันเกิดขึ้นเพราะฉัน ไม่คิดว่าฉันควรรับผิดชอบเหรอ?” ในเวลานี้...สถานที่แห่งเดียวที่แจจุงจะอยู่ได้ มีเพียงแค่ตระกูลปาร์คเท่านั้น
     

    “มัน...ไม่ใช่ความผิด..ของคุณหรอกครับ คุณไม่ต้อง..รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น ปล่อย.ให้ผมไป..ก็พอ..” แจจุงเอ่ยแทรกตอบคำถามแทนชางมินด้วยน้ำเสียงแหบแห้งกระท่อนกระแท่น ร่างบางลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก มือเรียวเกาะเกี่ยวเอาราวเหล็กหัวเตียงเป็นหลักยึด แต่พยุงตัวไม่อยู่ต้องเอาหลังพิงราวเหล็กพวกนั้น หากสัมผัสเยียบเย็นของมันก็ทำให้สะดุ้งจนต้องถอยออกห่าง เปลือกตาบางหลับตาสะกดกลั้นความเจ็บปวด ก่อนจะรู้สึกถึงความอ่อนนุ่มที่แทรกกลางเข้ามา นัยน์ตาคู่งามเหลือบขึ้นมอง เป็นยูชอนที่เอาหมอนมาหนุนรองให้นั่นเอง
     

    “จะรับผิดชอบหรือไม่ ฉันจะเป็นคนตัดสินใจเอง... เล่ามาสิ”
     

    “คุณจะอยากรู้ไปทำไมล่ะครับ?” นัยน์ตาคู่งามมองร่างสูงอย่างไม่เข้าใจนัก แต่เห็นยูชอนไม่ยอมตอบ ทั้งยังกอดอกรอฟังเช่นเดียวกับชางมินที่ถอยออกมายืนอยู่ปลายเตียงก็เหมือนถูกกดดันให้ต้องพูด
     

    แจจุงไม่รู้ตัวจริงๆ ว่าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาออกไปด้วยสีหน้าและน้ำเสียงแบบใด มีเพียงความอึดอัดที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนหัวใจถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ เมื่อถึงตอนที่รู้ว่ายุนโฮเป็นคนออกคำสั่ง...
     

    “มีคนช่วยให้ผมหนีออกมา... เรื่องต่อจากนั้นพวกคุณก็รู้แล้ว” มาถึงตอนนี้ คิดๆ ดูแล้ว เขาไม่น่าหนีออกมาเลย น่าจะยอมรับชะตากรรมของตัวเองอยู่ที่ตระกูลชองคงดีกว่า อย่างน้อย...อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนทรมานใจแบบนี้ มือเรียวจับแผลที่หัวไหล่พลางกุมแน่นขึ้นเรื่อยๆ ...ทำไมถึงได้เจ็บขนาดนี้นะ มันเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ เจ็บจนไม่อยากหายใจอีกต่อไปแล้ว
     

    “อย่าจับสิ” คิ้วโก่งโค้งขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างไม่พอใจที่แจจุงจับแผลตัวเองเสียแน่นราวกับจะขย้ำให้แหลกคามือแบบนั้น มือใหญ่เอื้อมแตะเพียงแผ่วแต่ก็ถูกแจจุงสะบัดออกอย่างรวดเร็ว แต่ยูชอนมีหรือจะยอม เขาคว้าข้อมือบางอีกครั้งและยื้อไม่ให้แจจุงดึงกลับไปได้สำเร็จ
     

    “ทำไมครับ?” นัยน์ตาคู่งามมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ทั้งที่อีกฝ่ายจับข้อมือเขาแน่นแต่ก็ไม่บีบแรงจนรู้สึกเจ็บ ความอ่อนโยนจากทั้งการกระทำและสายตาคู่นั้น แจจุงสัมผัสและรับรู้ได้ แต่ก็เพราะรู้นั่นแหละถึงได้สงสัย ทำไมต้องเป็นห่วงเขาทั้งที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยแท้ๆ
     

    “คุณช่วยผมไว้ทำไม... ทำไมไม่ปล่อยให้ผม..ตาย...” แจจุงถามเสียงเครือ ลมหายใจหอบสั่น ผลจากการฝืนออกแรงเริ่มออกฤทธิ์สะท้อนให้ความเจ็บปวดแทรกซึมไปทั่วทั้งร่างจนแทบทนไม่ได้ ร่างบางล้มลงในอ้อมแขนของยูชอน ขณะพยายามประคองสติด้วยแรงกำลังอันน้อยนิด ใบหน้าสวยพราวไปด้วยหยาดเหงื่อ
     

    “ชางมิน! ตามจองซูเดี๋ยวนี้เลย” ยูชอนออกคำสั่งพลางวางร่างบางลงกับเตียงแล้วพลิกดูบาดแผลที่หลัง บนผ้าก๊อตสีขาวปรากฏเป็นหยดเลือดที่เพิ่งจะซึมมาจากปากแผลและกำลังขยายวงกว้าง...
     

    .

    .

    .
     

    แสงแดดยามเย็นสะท้อนบนผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ เกลียวคลื่นซัดเป็นแนวยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา จุนซูยืนพิงราวระเบียงบนเรือข้ามฟาก ถึงแม้การเดินทางไปเกาะไข่มุกจะใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง แต่ร่างเล็กกลับรู้สึกว่ามันนานเหลือเกิน... ถ้ามีเพื่อนนั่งคุยด้วยคงไม่น่าเบื่ออย่างนี้ จุนซูคิดถึงแจจุง ไม่เคยคิดเลยว่าการอยู่คนเดียวมันจะทำให้เหงาได้ถึงขนาดนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่มีใครสักคนเขาก็อยู่คนเดียวได้นี่นา แล้วทำไมถึงได้รู้สึกโดดเดี่ยวอย่างนี้นะ 

     

    ...หวังว่านายคงปลอดภัยดีนะ เพื่อนรัก

     

    ความคิดที่ทำให้ริมฝีปากอิ่มเผยรอยยิ้มบางๆ ที่แลดูเศร้า ไม่รู้ว่าแจจุงจะเป็นไงบ้าง ข่าวล่าสุดที่ตระกูลชองได้มายังไม่มีอะไรคืบหน้ารู้เพียงแค่ว่ายูชอนพาแจจุงขึ้นรถไปด้วย ตอนแรกเขาก็กังวลอยู่ แต่คิดๆ ดูแล้ว บางทีสถานการณ์นี้อาจจะดีกว่าก็ได้ ถึงแม้ว่าแจจุงจะไม่ใช่สายลับของตระกูลปาร์คอย่างที่ถูกกล่าวหา แต่ในเวลานี้มันเป็นที่แห่งเดียวที่ร่างบางจะอยู่ได้อย่างปลอดภัย
     

    “ใกล้ถึงแล้วครับ” เสียงคนขับเรือดังมาจากห้องเครื่องที่อยู่ชั้นล่าง เรียกให้ร่างเล็กมองเกาะที่กำลังใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อาคารทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่สีขาวสะอาดตาตั้งตระหง่านคือโรงแรมและคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลชอง ทางเข้าเกาะสร้างเป็นท่าเรือไว้สำหรับรองรับลูกค้า โดยจะมีทางลงที่สามารถเดินเข้าสู่ตัวโรงแรมได้เลย
     

    เรือที่จุนซูโดยสารมาอ้อมไปจอดเทียบท่าที่ด้านหลังของเกาะซึ่งเป็นทางขึ้นสำหรับคนของตระกูลชอง ด้วยสภาพรอบเกาะที่เป็นหน้าผาทำให้หนทางจะเข้ามาที่เกาะมีแค่สองทาง ด้านหน้าสำหรับคนนอก และด้านหลังสำหรับคนใน ส่งผลให้การรักษาความปลอดภัยของเกาะไข่มุกมีความละเอียดรอบคอบและรัดกุม แม้จะเป็นคนของตระกูลเองก็ยังต้องถูกตรวจสอบอย่างละเอียด
     

    จากด้านหลังเกาะเข้าไปจะมีถนนตัดผ่าน จุนซูจะนั่งรอให้ส่งรถจากโรงแรมมารับก็ได้ แต่เห็นว่าไม่ไกลแล้วก็ไม่อยากรอก็เลยเดินไปเอง ทิวทัศน์สองข้างทางเป็นสวนที่ดูร่มรื่นด้วยไม้พุ่มสีเขียวชอุ่มตัดกับดอกไม้สีสดใส บรรยากาศยามเย็นบนเกาะมีลมพัดเอื่อยๆ ให้ความรู้สึกเย็นสบายจนแทบลืมเวลาไปเลย
     

    ตั้งแต่รับหน้าที่หัวหน้าการ์ดมา น้อยครั้งนักที่จุนซูจะมีเวลาเป็นส่วนตัวนอกเหนือจากเวลาพักผ่อน จุนซูจึงถือโอกาสนี้เดินเล่นไปเรื่อยอย่างไม่เร่งรีบนัก แต่เผลอครู่เดียวก็มาถึงโรงแรมเสียแล้ว ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมองตึกสูงที่ตั้งตระหง่านสะท้อนกับประกายแสงยามเย็นดูสวยงาม นายใหญ่แห่งเขตใต้มีกำหนดการณ์มาเยี่ยมชมเกาะไข่มุกและวางแผนพักผ่อนเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์เพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของทุกอย่างเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะพร้อมเปิดให้บริการในเดือนหน้า
     

    จุนซูถอนหายใจเมื่อเวลาส่วนตัวของเขาหมดลงแล้ว ร่างเล็กก้าวเข้าไปในโรงแรมเดินผ่านส่วนที่เป็นล็อบบี้ ผ่านห้องอาหาร เข้าไปจนถึงส่วนที่เป็นคาสิโน พื้นที่แต่ละส่วนจัดสรรแยกออกจากกันตามประเภทเครื่องเล่น มีความพิเศษตรงความสะดวกสบายและหรูหราไม่แออัดอย่างคาสิโนทั่วๆ ไป ครบครันด้วยเกมการเล่นพนันทุกรูปแบบ ทั้งยังมีห้องแยกให้เล่นสำหรับพวกลูกค้าระดับสูงอีกด้วย หากเดินเลยเข้าไปอีกนิดก็จะเจอกับบาร์เครื่องดื่มอันหรูหรา
     

    นัยน์ตาสีน้ำตาลมองเห็นเจ้านายหนุ่มนั่งอยู่ที่โต๊ะพร้อมกับแก้วเครื่องดื่มสีอำพันในมือขณะที่กำลังคุยกับชินดง ผู้จัดการของโรงแรมแห่งนี้ โดยมีฮยอกแจที่ยืนอยู่ห่างออกมาเล็กน้อย พอรองการ์ดหนุ่มเห็นหัวหน้าตัวเองมาก็กระซิบบอกยุนโฮ ก่อนจะเปลี่ยนให้จุนซูมาทำหน้าที่ต่อ
     

    บทสนทนายังดำเนินต่อไปอย่างยืดยาว ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องทั่วๆ ไปเกี่ยวกับโรงแรม ลูกค้า และบริการต่างๆ ตอนแรกจุนซูก็ตั้งใจฟังอยู่บ้าง แต่ช่วงหลังไม่ว่าเรื่องอะไรก็ดูจะไม่เข้าหูเท่าไหร่ ร่างเล็กยืนกระสับกระส่ายด้วยอาการมึนหัวที่ทวีความรุนแรงหนักขึ้นทุกที เพิ่งจะรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่รีบมาทั้งที่ร่างกายยังไม่พร้อมก็ตอนนี้ จุนซูสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางอาศัยโต๊ะข้างตัวเป็นที่ค้ำยันช่วยจนเริ่มรู้สึกดีขึ้น ยุนโฮก็คุยธุระเสร็จพอดี
     

    “หวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดีนะ”
     

    “แน่นอนครับ นายใหญ่” ชินดงโค้งให้นายใหญ่อย่างนอบน้อม พลางเดินนำยุนโฮไปยังห้องพักที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ให้
     

    แต่ในขณะที่ยุนโฮกลับไปพักผ่อน จุนซูกลับต้องมาจัดการกับงานที่ตัวเองทิ้งมาตลอดทั้งวัน แม้ว่าภารกิจหลักของนายใหญ่แห่งเขตใต้ในครั้งนี้จะเป็นการมาพักผ่อน แต่การรักษาความปลอดภัยก็ยังต้องเป็นไปอย่างเข้มงวด กว่าร่างเล็กจะจัดการทั้งหมดจนเสร็จเรียบร้อยก็ดึกมากแล้ว จุนซูอยากจะรีบกลับไปพักเร็วๆ แต่พอดูจำนวนห้องพักแล้วเขาก็ต้องแปลกใจที่มีให้ครบหมดทุกคน...ยกเว้นเขา
     

    จุนซูนึกเอาเองว่าคงเป็นเพราะความผิดพลาดที่เขาตามมาทีหลัง แต่จะรอให้จัดห้องให้ใหม่ ร่างเล็กก็ทนรอไม่ไหวเลยคิดจะไปนอนกับใครสักคน มือเรียวเคาะประตูห้องบานหนึ่ง รอเพียงอึดใจเดียว เจ้าของห้องก็มาเปิดประตูเป็นฮยอกแจนั่นเอง สีหน้าของรองการ์ดหนุ่มดูไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เห็นจุนซูมาหา เหมือนรู้อยู่แล้วว่าร่างเล็กจะต้องมา
     

    “อยู่ด้วยได้ไหม” ถึงจะถามแต่จุนซูไม่ได้ต้องการคำอนุญาต เพราะเขาสามารถสั่งให้ฮยอกแจเป็นฝ่ายย้ายไปหาห้องใหม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เท้าที่กำลังก้าวเข้าไปในห้องจำต้องหยุดชะงัก เพราะฮยอกแจกางแขนออกมากั้น คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างไม่พึงใจ มือเรียวจับแขนอีกฝ่ายดันออกให้พ้นทาง แต่อีกฝ่ายยังแข็งขืนทั้งที่สีหน้าเรียบเฉยแล้วเอ่ยคำถาม
     

    “ทำไมล่ะ?”
     

    “เขาไม่ได้จัดห้องไว้ให้ฉัน...” น้ำเสียงแหบหวานเต็มไปด้วยความไม่พอใจที่ถูกถามเซ้าซี้ แต่สิ่งที่ฮยอกแจพูดมาทำจุนซูอึ้งไปเลย
     

    “ไม่แปลกหรอก นายใหญ่บอกให้นายพักห้องเดียวกันน่ะ” ฮยอกแจเอาแขนลงแต่จุนซูไม่คิดฝ่าเข้าไปเหมือนในตอนแรก
     

    “งั้นเหรอ...” จุนซูทำได้แค่ถอนหายใจ ถ้าแจจุงยังอยู่...หน้าที่นี้คงเป็นของเจ้าตัวโดยไม่ต้องสงสัย แต่ตอนนี้คนที่ต้องทำหน้าที่นั้นกลายเป็นตัวเขาเองแล้วสินะ ทั้งที่เมื่อคืนมันก็เริ่มไปแล้วแท้ๆ ทำไมยังไม่รู้ตัวอีก...
     

    “คืนนี้นอนที่นี่ก่อนก็ได้นะ” รองการ์ดหนุ่มละคำว่า ถ้าไม่ไหวจริงๆ เอาไว้ เพราะรู้นิสัยไม่ชอบให้ใครดูถูกหรือมาเห็นอกเห็นใจของจุนซูดี ...แต่ถ้าไปที่ห้องนายใหญ่ล่ะก็ โอกาสที่จะได้พักผ่อนอย่างสบายนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย
     

    “ไม่เป็นไร ราตรีสวัสดิ์”

     

    จุนซูเดินกลับมาที่ล็อบบี้แล้วเลี้ยวเข้าไปในทางเข้าตรงกันข้ามกับลิฟต์ของโรงแรม ทางเดินทางยาวเข้าไปจนถึงลิฟต์ส่วนตัวที่อยู่ด้านในสุด ชายในชุดสูทร่างสูงใหญ่สองคนยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้า พอทั้งคู่เห็นจุนซูมาก็ก้มหัวลงทักทาย ก่อนจะเปิดทางให้ร่างเล็กเดินเข้าไป
     

    ลิฟต์ส่วนตัวค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นโดยมีจุดหมายอยู่ที่ชั้นบนสุดซึ่งเป็นที่พักของนายใหญ่ชองยุนโฮ ตัวลิฟต์เป็นกระจกใสที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ด้านนอกได้ชัดเจน แต่คนข้างนอกจะมองเข้ามาไม่เห็น จุนซูมองเพลินจนกระทั่งเสียงเตือนดังขึ้นพร้อมกับลิฟต์ที่จอดเมื่อถึงจุดหมาย
     

    จุนซูก้าวออกมายังห้องโถงกว้างทรงรีที่เงียบสงัด พื้นทางเดินถูกตบแต่งอย่างหรูหราด้วยพรมเปอร์เซียลวดลายอ่อนช้อยเป็นสีน้ำตาลทองและแดง ลายถักทออันเป็นจุดเด่นมีเสน่ห์ดึงดูดสายตาไปจนถึงประตูไม้บานใหญ่ มือเรียวเคาะสองสามครั้ง แต่ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับเลยถือวิสาสะเปิดเข้าไปด้านใน
     

    ภายในห้องกว้างตบแต่งอย่างหรูหราด้วยเฟอร์นิเจอร์สีดำตัดสลับกับผนังสีขาวของห้อง บนเพดานเป็นภาพวาดของพวกเทพเจ้าบนสวรรค์ดูวิจิตรงดงาม ชายคาที่ยื่นออกไปด้านนอกเป็นทั้งสวนและสระว่ายน้ำ จุนซูเดินสำรวจไปทีล่ะส่วน จากห้องนั่งเล่น ห้องทำงาน ไปจนถึงห้องนอนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ก็ไม่พบยุนโฮจนกระทั่งได้ยินเสียงน้ำตกกระทบพื้นกระเบื้องแว่วมาจากข้างใน ให้รู้ว่าเจ้าของห้องคงกำลังอาบน้ำอยู่
     

    หลังจากรู้ว่ายุนโฮอยู่ไหน จุนซูก็เริ่มมองหาที่นอนให้ตัวเอง แต่จากที่เดินสำรวจมาทุกห้องเขาก็ไม่เห็นจะมีที่ไหนให้นอนได้นอกจาก...เตียงของยุนโฮ ก็คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าจะต้องมาลงเอยในรูปแบบนี้ แต่พอเจอเข้าจริงๆ กลับยังรับมือได้ไม่ดีเท่าไหร่ ...ดูเหมือนเขาจะยังเตรียมใจมาไม่พอ
     

    ร่างเล็กนั่งลงตรงขอบเตียงด้านหนึ่งอย่างจนใจ พื้นเตียงนุ่มที่อ่อนยวบลงไปเมื่อรับน้ำหนักที่กดทับลงมาให้ความรู้สึกราวกับนั่งอยู่บนปุยเมฆ สบายสมกับราคาอันแสนแพงของมัน สัมผัสอ่อนนุ่มชวนให้เคลิบเคลิ้มจนอยากจะทิ้งตัวลงนอนเสียเหลือเกิน ติดก็แต่ผู้เป็นนายยังไม่ออกมา และจุนซูก็ไม่รู้ว่าคืนนี้ยุนโฮต้องการอะไร... กระนั้นความง่วงงุนและเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดช่วงเย็นก็ทำให้ร่างเล็กยอมแพ้ใจตัวเอง

     

    ...แค่นิดเดียว คงไม่เป็นไร...

     

    จุนซูเอนตัวนอนลงบนเตียงเพียงครึ่งตัวโดยยังปล่อยให้ปลายเท้าแตะพื้น แม้จะเป็นท่วงท่าที่ไม่สบายนัก แต่เพราะจุนซูไม่อยากให้ตัวเองหลับไปโดยไม่รู้เรื่อง กะว่าถ้าได้ยินเสียงประตูห้องน้ำจะได้ลุกขึ้นมาทัน หากความนุ่มสบายของเตียงก็ทำให้ร่างเล็กผล็อยหลับไปในเวลาอันรวดเร็วโดยไม่ทันได้รับรู้เสียงน้ำที่เงียบลงไป
     

    ยุนโฮเดินออกจากห้องน้ำพร้อมกับผ้าเช็ดผมผืนเล็กที่เจ้าตัวคลุมศีรษะเอาไว้ ชายหนุ่มในชุดคลุมอาบน้ำสีขาวใช้ผ้าขยี้ผมของตัวเองให้แห้งหมาดๆ ก่อนจะทิ้งผ้าผืนนั้นลงไปในตะกร้าที่อยู่หน้าห้องน้ำ นัยน์ตาคมจับจ้องมองร่างเล็กบนเตียงที่หลับสนิท เสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มเอ็นดู
     

    ใจจริงแล้ว ยุนโฮไม่ได้คิดอยากให้จุนซูมาทำหน้าที่แทนแจจุงหรอก ที่พูดไปวันก่อนเขาก็แค่อยากแกล้ง อยากลงโทษที่ร่างเล็กกล้าฝ่าฝืนคำสั่งเขา แล้วยังช่วยแจจุงหนีไปอีก แต่ไม่นึกว่าพอได้ลองกอดเข้าจริงๆ กลับติดใจกว่าที่คิด... น้ำเสียงแหบหวานที่ครางเรียกชื่อเขาแผ่วเบา ใบหน้าที่เขินอายจนกลายเป็นสีแดงเรื่อ ผิวกายละเอียดสั่นเทายามรับสัมผัสที่ไม่คุ้นเคย  ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ไม่มีทางได้เห็นในยามปกติ สำหรับยุนโฮแล้วมันน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
     

    ยุนโฮขยับตัวเข้าไปใกล้ มือใหญ่แตะทาบหน้าผากของร่างเล็ก ไออุ่นที่สัมผัสได้ไม่ทำให้ชายหนุ่มแปลกใจสักเท่าไหร่ ถ้าสบายดีจุนซูคงไม่ปล่อยให้เขาเข้าใกล้ขนาดนี้โดยไม่รู้สึกตัวได้หรอก นิ้วเรียวเกลี่ยปอยผมนุ่มที่บังดวงตาไปทัดใบหู หากสัมผัสแผ่วเบากลับปลุกให้ร่างเล็กรู้สึกตัว เปลือกตาบางเลื่อนขึ้นมองอย่างช้าๆ
     

    “หลับสนิทเลยนะ” เสียงทุ้มทักด้วยรอยยิ้ม
     

    “ขะ...ขอโทษครับ” พอเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นใคร จุนซูก็ตกใจลุกพรวดขึ้นมา เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ สีหน้าตื่นตกใจของหัวหน้าการ์ดที่เยือกเย็นอยู่เสมอทำยุนโฮอดขำไม่ได้
     

    “ถ้าง่วงก็นอนเถอะ” ยุนโฮแก้เนคไทและปลดกระดุมที่คอของจุนซูเพื่อให้เจ้าตัวรู้สึกสบายขึ้น โดยทำเป็นไม่สนใจสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของร่างเล็กที่ไม่ยอมลงไปนอนตามที่เขาบอก จวบจนกระทั่งร่างสูงใหญ่ทอดกายลงบนเตียง แล้วกดรีโมตดับไฟภายในห้องทั้งหมดลงจนเหลือเพียงโคมไฟอันเล็กที่หัวเตียงนั่นแหละ จุนซูถึงได้ยอมนอนลงมาตามเดิม
     

    นัยน์ตาเล็กแอบมองไปทางเจ้านายหนุ่มที่กำลังหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาลูกน้องคนอื่นอย่างแปลกใจ ใครจะคิดว่ายุนโฮจะยอมปล่อยให้นอนจริงๆ โดยไม่ทำอะไรเลยอย่างนี้กันเล่า ตลอดเวลาที่เป็นการ์ดประจำตัวนายใหญ่มาทำให้จุนซูรู้ดีที่สุดว่ายุนโฮไม่เคยยอมให้ใครนอนบนเตียงโดยที่ไม่มีอะไรกัน นี่เป็นครั้งแรก...
     

    ไม่รู้ว่าเจ้านายหนุ่มคิดอะไรอยู่ จะเป็นเพราะว่าเหนื่อย ความใจดี หรือแค่สมเพส จุนซูมองไม่ออก แต่ถึงอยากจะคิดหาเหตุผลอีกสักหน่อย เปลือกตาก็หนักอึ้งเกินจะทนทานไหว ได้แต่ยอมปล่อยให้สติด่ำดิ่งลงสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง

    .

    .

    .

    ภายในห้องนอนของนายใหญ่ตระกูลปาร์คยามนี้ไม่มีใครอยู่เลยนอกจากแจจุง นัยน์ตาคู่งามปรือตามองไปรอบตัวก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง หลังจากหมอจองซูทำแผลที่หลังใหม่จนเสร็จ แจจุงก็ได้สายน้ำเกลือเป็นของแถม ร่างกายที่อ่อนล้าจึงพอมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้าง มือเรียวเอื้อมไปแตะหัวไหล่ตัวเองเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าความเจ็บปวดทุเลาลงบ้างแล้ว ปลายเท้าที่พันด้วยผ้าพันแผลตวัดลงมาเหยียบพื้น หากก็เจ็บจนต้องกลั้นหายใจขณะที่ค่อยๆ ถ่ายเทน้ำหนักลงไปจนเริ่มรู้สึกว่าพอจะทนไหว มือเรียวจึงหันมาดึงสายน้ำเกลือที่ข้อมือออก ทว่ายังไม่ทันสำเร็จ เสียงเปิดประตูก็เรียกให้ร่างบางเบนสายตาไปมองเจ้าของห้องที่ก้าวมายืนอยู่ข้างเตียงอย่างรวดเร็วด้วยสายตาที่มองอย่างไม่พอใจ นัยน์ตาคมอันดุดันทำให้ร่างบางรู้สึกหวั่นเกรงจนต้องหลบสายตา พอยูชอนนั่งลงบนเตียงแจจุงก็เขยิบตัวถอยออกมาเล็กน้อย
     

    “ส่งมือมานี่ซิ” แจจุงยังนั่งนิ่งจนยูชอนต้องคว้ามือบางมาเสียเอง ชายหนุ่มจับสายน้ำเกลือที่แจจุงพยายามจะดึงออกให้เข้าที่ ก่อนจะหยิบเทปมาพันไว้ให้แน่นอย่างเดิมหากมือเรียวจะไม่ยื่นมาขวางไว้เสียก่อน ยูชอนมองหน้าแจจุง ขณะที่ร่างบางช้อนตามองอย่างขลาดๆ
     

    “ให้ผมไปเถอะครับ”
     

    “มีที่จะไปแล้วหรือไง” แจจุงส่ายหน้าอย่างอับจนหนทาง คนทรยศอย่างเขาจะมีที่ไหนให้ไปได้อีก ไม่มีหรอก ไม่มีเลยแม้แต่ที่เดียว
     

    “จะออกไปฆ่าตัวตายที่ไหนอีกล่ะ” น้ำเสียงทุ้มเย็นชาและไร้อารมณ์ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่แจจุงเคยได้ยิน ร่างบางกัดปากแน่นที่ถูกยูชอนรู้ทัน นัยน์ตาคู่สวยสั่นระริกด้วยความรู้สึกที่ยากเกินจะอธิบาย
     

    “ผม...”
     

    “บอกไว้เลยนะว่าฉันไม่อนุญาต” นิ้วเรียวยาวไล้ไปตามริมฝีปากนุ่มให้คลายจากการถูกกัด แล้วเชยคางเรียวให้แจจุงเงยหน้าขึ้นมองเขา
     

    “ฉันเป็นคนช่วยชีวิตนายไว้ ตั้งแต่นี้ไปชีวิตนายเป็นของฉัน... ฉันสั่งให้อยู่นายก็ต้องอยู่ ฉันสั่งไม่ให้ตาย นายก็ตายไม่ได้ เข้าใจไหม?”
     

    “คุณ...!” แจจุงพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรดี ใจหนึ่งยังคงลังเล อีกใจยังคงปฏิเสธ หากส่วนลึกข้างในกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่กำลังล้นเอ่อออกมา แต่ยูชอนไม่รอคำตอบ เขาถือว่าความเงียบนั่นเป็นการตอบรับ
     

    “แล้วก็อยู่ที่นี่ซะ... ถ้าหนีออกไปล่ะก็ คงไม่ต้องบอกนะว่าฉันจะพลิกแผ่นดินลากตัวนายกลับมาให้ได้” ยูชอนวางมือบนหัวแจจุง ลูบเบาๆ ราวกับจะปลอบขวัญตรงข้ามกับคำพูดที่วางอำนาจและบังคับขู่เข็ญนั่นซะเหลือเกิน
     

    แจจุงไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นใครกันแน่... เมื่อไม่กี่วันก่อน เขายังเป็นศัตรูที่แจจุงเกลียดมากที่สุด มือคู่นั้นทั้งรุนแรงและบ้าคลั่งจนรู้สึกเหมือนตัวเองจะแหลกสลาย แต่มาวันนี้...มือคู่นั้นกลับอบอุ่นซะจนทำให้เขาอยากร้องไห้อยู่เรื่อย
     

    “นี่จะร้องไห้ทำไมน่ะ?” ยูชอนเช็ดน้ำตาบนดวงหน้าหวานอย่างลวกๆ แต่แจจุงกลับยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
     

    “ไม่ได้ร้องสักหน่อย” ดูเอาเถอะยังจะปฏิเสธอีก แล้วไอ้น้ำที่ไหลลงจากตานี่เขาไม่เรียกน้ำตาหรือไงนะ...ยูชอนคิดพลางส่ายหน้าเอือมระอา
     

    “ปากไม่เคยตรงกับใจเลยนะนายน่ะ” ยิ่งพูดยิ่งเหมือนจะเป็นการกระตุ้นให้น้ำตาไหลลงมาเรื่อยๆ ยูชอนเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรวบร่างบางเข้ามากอดไว้โดยพยายามระมัดระวังบาดแผลที่แผ่นหลัง แต่แจจุงก็พยายามผลักไสอยู่น้อยๆ จนถูกยูชอนเอ็ดนั่นแหละถึงได้ยอมอยู่นิ่ง
     

    “อยู่นิ่งๆ น่า”

     

     

    ทำไมนะ...?
    ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาอยากทำให้แจจุงร้องไห้
    อยากเห็นน้ำตาของอีกฝ่ายแท้ๆ


     

    แต่ตอนนี้...
    แม้กระทั่งสีหน้าเศร้าสร้อยของร่างบาง
    ...เขายังไม่อยากเห็นด้วยซ้ำ

     

    นี่ปาร์คยูชอน...เป็นอะไรไปแล้ว?

     

    To Be Con...



    Sakura's Talk : หายไปนานเลยคราวนี้ ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะคะ พลอยกำลังอยู่ในช่วงจัดการเรื่องรับปริญญา ก็วุ่นวายเรื่องนู้นเรื่องนี้ไปตามระเบียบ กำลังหางานทำด้วยล่ะก็เลย เหนื่อยๆ นอยด์ๆ ไม่ค่อยมีอารมณ์อยากเขียนอะไรเลย ตอนนี้อาการเริ่มดีขึ้นเล็กน้อยเพราะจะรับปริญญาแล้ว จะเสร็จๆไปเรื่องนึงสักที 5555

    มาพูดถึงตอนนี้กันดีกว่า ใครรอคุณปาร์คกะแจจุงอาจจะผิดหวังกันนิดๆ (หรือเปล่า...?) บทนี้พลอยเน้นจุนซูเยอะมากโดยที่ตัวเองก็ไม่ได้ตั้งใจ มือมันไปเองอ่ะค่ะ 5555 ก็อย่างที่เกริ่นไปในทอร์คตอนที่แล้วว่าทุกคนจะได้รู้จุดประสงค์อันน่าสงสัยของจุนซูสักที อ่านจนถึงตอนนี้แล้วพอจะเดาอะไรออกบ้างหรือยังค่ะ ^_____^

    แต่ถ้าเดาไม่ออก...ก็ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวทุกอย่างจะเริ่มชัดเจนในตอนต่อๆไปเอง หุๆๆๆ ตอนหน้าเราจะกลับมาที่คุณปาร์คกับเจ้าหญิงนิทรากันอีกครั้งนะคะ (เฮ้ยยยยย!! ไม่ใช่ล่ะ ฮ่าๆๆ - -” ) และกำลังคิดว่าเดี๋ยวจะต้องมีคนทักคู่ซีวอน*ชางมินแน่ๆเลย...สำหรับคู่หลังนี้ ยังไม่ถึงเวลาค่าาา รอกันไปก่อน ><

    ส่วนใครที่รอ Revenge ... พลอยมีข่าวร้ายอภิมหาศาลมาแจ้ง จริงๆ พลอยพิมพ์จบไปแล้วนะคะ แต่ลูกชายสุดที่รัก(โน้ตบุ๊ค)เกิดอาการแฮงค์แบบกู้ไม่กลับและตอนจบนั้นก็หายไปกับการแฮงค์ในครั้งนั้นล่ะก๊ะ พลอยไม่ได้เซฟที่อื่นเก็บไว้เลยด้วย เจ็บปวดดด T T นั่งเขียนใหม่รอบสองมันรู้สึกว่าไม่ลื่นไหลเหมือนครั้งแรกเลย เพราะฉะนั้น...รอกันไปนะก๊ะ ความพยายามครั้งสุดท้ายคือจะต้องจบในปีนี้!

    และ...ถ้าใครทนอ่านความเวิ่นเว้อของพลอยมาจนถึงบรรทัดนี้ได้ (จะมีสักกี่คนนะ!?) พลอยมีของขวัญจะให้ค่ะ เป็นการตอบแทนสำหรับความอดทนที่อ่านทอร์คอันไร้สาระของพลอยและฟิคที่ดองได้เป็นเดือนๆ เรื่องนี้ได้ ของขวัญก็คือ...ช็อตฟิคเรื่องหนึ่งที่เพิ่งแต่งจบและจะไม่ลงที่ไหน แต่จะส่งให้อ่านแทนคะ ถ้าคอมเม้นต์แล้ว...อย่าลืมทิ้งอีเมล์ไว้นะคะ ^^

     

    ricbird >> ก่อนหน้านี้ คิดอยู่เลยค่าว่าหายไปไหน นึกว่าพลอยดองนานจนเลิกอ่านไปแล้ว ฮ่าๆๆ ดีใจที่เห็นคอมเม้นต์นะคะ >___< คิดถึงมากเหมือนกันคะ ช่วงนี้ยุ่งๆ เลยไม่ค่อยได้เข้ามาเลย หลังรับปริญญาแล้วก็คงจะพอมีเวลาว่างมากขึ้นแล้วล่ะค่ะ (ถ้าไม่มัวแต่ยุ่งกับการหางานทำซะก่อนนะคะ 555)

    Linniejj >> อยากจะลงสัก 2 ตอนรวดเหมือนกันค่า แต่ไม่ไหว 555 เอาเป็นหนึ่งตอนกับช็อตฟิคเรื่องยาว(?) สักเรื่องแทนแล้วกันนะก๊ะ ^^
     

    -b g--s b- + + ไม้กาง เขน B G
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×