คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : >>> 10
href="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_filelist.xml" />
Revenge, The
href="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_filelist.xml" />
“ไม่เอา! ให้ตายฉันก็ไม่เอาไอ้เม็ดสีขาวนั่นลงไปเด็ดขาด” เสียงหวานที่แม้จะแหบแห้งแต่ก็ยังเถียงปฏิเสธคอเป็นเอ็นไม่ยอมทานยาที่เพื่อนร่วมองค์กรทั้งสี่คนเพียรพยายามบังคับให้ทาน
“แจจุง!! / พี่แจจุง!!” เสียงทั้งสี่ประสานกันอย่างเหน็ดเหนื่อยใจ เมื่อความต้องการของพวกเขาไม่เป็นผลสำเร็จ
“บอกแล้วไงว่า...ไม่!!! ไม่ว่าพวกนายจะว่ายังไง ฉันก็ไม่กิน!” มือเรียวดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมซุกตัวเองให้อยู่ใต้ผ้านวมผืนนุ่ม พาเอาคนอื่นพากันถอดใจ ถ้าบังเอิญไม่ปรากฏร่างของใครคนหนึ่งที่เข้ามาอย่างเงียบๆ ขึ้น ร่างที่ทำให้ทุกคนต้องยิ้มออก
“ถึงพี่จะขอร้องงั้นเหรอ? แจจุง?”
“พะ...พี่จองซูอ่า กลับ...กลับมาเร็วจังนะฮะ” แจจุงยอมเปิดผ้าห่มออกเผยให้เห็นใบหน้าสวยหวานที่หงอยลงเพราะบุคคลที่ปรากฏตัวตรงหน้า คนที่บอกว่าจะกลับมาคืนนี้แต่เล่นกลับมาซะเร็วกว่าที่เคยบอกไว้ ไม่ต้องเดาร่างบางก็รู้ว่าสาเหตุมาจากใคร ถ้าไม่ใช่ตัวเขาเอง
“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลยนะ ทำไมชอบทำให้พี่เป็นห่วงนักนะ...เราน่ะ” นางฟ้าแห่งองค์กรขยี้เส้นผมนุ่มอย่างระอาปนเอ็นดูระหว่างที่ร่างบางจำใจยอมลุกขึ้นมากินยาอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
“ขอโทษฮะ” เจ้าของนัยน์ตาสีนิลเอ่ยเสียงอ่อยพลางพยักหน้าให้จุนซูเป็นสัญญาณ ก่อนร่างเล็กจะชวนทุกคนทยอยกันออกไปข้างนอกห้อง เหลือเพียงคนเจ็บและคนที่พึ่งกลับมา
“…คือว่า” น้ำเสียงหวานอ้ำอึ้งไปเพราะไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไร แต่จองซูกลับส่ายหน้าแผ่วเบาราวกับว่าไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ ทำให้สิ่งที่แจจุงเตรียมจะพูดหายกลับไปอยู่ในลำคอ
“พี่เชื่อใจนายเสมอ...แจจุง” เพียงแค่คำพูดประโยคเดียวแต่กลับเรียกหยาดน้ำตาให้ไหลลงมาจากนัยน์ตาคู่สวยอย่างไม่อาจหักห้ามได้
“พี่จองซู…”
“ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรทั้งนั้น เพราะพี่รู้ว่าสิ่งที่นายทำ...มันไม่มีวันทำร้ายพวกเรา” มือเรียวเอื้อมไปจับดวงหน้าสวยเอาไว้ นิ้วเรียวปาดหยาดน้ำตาออกจากพวงแก้มขาว “แต่ที่พี่ห่วงคือตัวนายเอง จำไว้นะแจจุง...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุกคนจะอยู่เคียงข้างนายเสมอ...” ร่างบางไม่อาจเอื้อนเอ่ยอะไรได้อีก สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงตอบรับความอบอุ่นจากอ้อมแขนของนางฟ้าแห่งองค์กร มือเรียวลูบแผ่นหลังบางเพื่อปลอบประโลม น้ำเสียงสะอึกสะอื้นค่อยๆ แผ่วเบาจนเงียบลงในที่สุด
“ผม...ฝันถึงพี่ฮีชอลด้วยละฮะ” ชื่อของคนที่ถูกกล่าวถึงเรียกให้มือเรียวนั้นหยุดชะงักลง คิมฮีชอล...พี่ชายแท้ๆ ของแจจุง แต่มันไม่สำคัญเท่ากับว่านั่นคือชื่อของคนที่ปาร์คจองซูรักมากที่สุด
“...เจ็ดปีแล้วสินะ เวลา...ผ่านไปเร็วจริงๆ “ นัยน์ตากลมโตคู่สวยฉายแวววูบไหวเมื่อนึกถึงเจ้าของใบหน้าอันงดงามที่จากเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ ผู้ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของเขาเสมอ จองซูอดนึกถึงวันนั้นไม่ได้....
.
.
.
ท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำซัดซ้ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งขดตัวอยู่รวมกับกองขยะข้างเสาไฟฟ้า เส้นผมสีน้ำตาลทองเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำ เสื้อผ้าเปียกปอน นัยน์ตาสีสวยดูอ้างว้างซะจนน่าตกใจ และแล้วเด็กหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่กันน้ำฝนไม่ให้โดนตัวเขาอีกต่อไป ด้วยความสงสัยเขาจึงเงยหน้าขึ้นมองเห็นเป็นร่มสีฟ้าที่อยู่เหนือศีรษะพร้อมกับดวงหน้าหวานราวกับผู้หญิงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าดูแล้วอายุคงไม่ต่างจากเขาสักเท่าไหร่
“มานั่งตากฝนอะไรอยู่ตรงนี้น่ะ” น้ำเสียงหวานเจือความเป็นห่วงเช่นเดียวกับใบหน้า แต่เขาไม่ยอมตอบอะไรออกไป มือเรียวถูกยื่นให้แก่เด็กหนุ่มผู้เปียกปอน...ไม่รู้อะไรที่ดลใจให้เขาส่งมือให้แก่เจ้าของร่มสีฟ้านั้น
นั่นคือครั้งแรกที่เขาสองคนได้พบกัน คิมฮีชอล...คนเพียงคนเดียวที่เขายอมบอกทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเองให้รู้ น่าแปลกที่ร่างบางนั้นมีความคิดต่างจากคนทั่วไป ฮีชอลรับได้กับการที่มีคนรักเป็นนักฆ่าทั้งที่พ่อของตนเองเป็นตำรวจ นายตำรวจคิม...ผู้ที่ถูกยกย่องว่ามีความซื่อสัตย์และยุติธรรมเป็นที่สุดจนเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงานและประชาชนโดยทั่วไป หากแต่เพราะนิสัยแบบนี้แหละถึงได้เป็นก้างชิ้นใหญ่ของพวกผู้มีอิทธิพลและพวกคนที่ใช้อำนาจของเครื่องแบบในทางที่ผิด แต่นายตำรวจคิมก็ยังเชื่ออยู่เสมอว่าความดีไม่มีวันพ่ายแพ้ต่อความชั่ว
จองซูยังจำได้ดี...ถึงวันที่ฮีชอลจากเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ วันนั้นเป็นวันพุธในช่วงฤดูหนาวต้นเดือนกุมภาพันธ์ อากาศขมุกขมัวแต่เช้า ท้องฟ้าหม่นหมองราวกับเป็นลางบอกเหตุอะไรบางอย่าง เนื่องจากจองซูมีงานที่ต่างจังหวัดจึงมาหาฮีชอลก่อนจะเดินทางไป
“นี่จองซู แจจุงอยากเจอนายล่ะ?”
“หา! จริงอ่ะ นายไปเล่าอะไรให้น้องนายฟังเรื่องฉันบ้างเนี่ย!?” ใบหน้าหวานมุ่ยลงเมื่อไม่รู้ว่าฮีชอลเล่าเรื่องของตนให้แจจุงฟังว่ายังไงบ้าง
“เปล่าสักหน่อยนี่ ยังไงก็ฝากดูแลน้องฉันด้วยนะ” ร่างบางไม่ยอมพูดเพียงแต่ยิ้มแบบที่จองซูเห็นว่ามันแฝงแววเจ้าเล่ห์เอาไว้อยู่ภายใต้รอยยิ้มนั้นด้วย
“รู้แล้วน่า ไว้ใจได้เลย” เจ้าของนัยน์ตาคู่สวยแย้มยิ้มตอบคนรัก ก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อจัดกระเป๋าสะพายของตนให้เข้าที่ ฮีชอลลุกขึ้นตามเพื่อจะเดินไปส่ง
“คราวนี้ฉันต้องไปหลายวันหน่อย ไม่ต้องเป็นห่วงนะ…มีอะไรรึเปล่า?” เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงท่าทีของคนรักที่ดูแปลกกว่าที่เคย ใบหน้าสวยคล้ายจะมีเรื่องกังวลใจอะไรบางอย่าง
“ฉันรักนายนะ...จองซู” ถ้อยคำหวานถูกเอื้อยเอ่ยให้ได้ยินพร้อมกับสองแขนกอดคนรักเอาไว้แน่นจนคนถูกกอดรู้สึกประหลาดใจในเมื่อไม่บ่อยนักหรอกที่ฮีชอลจะเป็นฝ่ายพูดหรือทำอย่างนี้
“อืม...ฉันก็เหมือนกัน” จองซูกอดคนรักตอบโดยไม่รู้เลยว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้กอดคนรักในสภาพที่ยังมีลมหายใจ...
“โชคดีนะ จองซู”
นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ปาร์คจองซูได้ยินจากคิมฮีชอล... เมื่อเขากลับมาอีกครั้งก็พบว่าทั้งบ้านตระกูลคิมนั้นเต็มไปด้วยของเหลวสีแดงข้นและร่างของคนรักที่นอนนิ่งจมกองเลือด ตระกูลคิมถูกฆ่าทั้งครอบครัวเหลือก็เพียงคิมแจจุง...น้องชายของฮีชอลที่รอดมาได้ คนที่เขาสัญญากับคนรักไว้ว่าจะดูแลให้ แม้เขาจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ เพราะหลักฐานเดียวที่เหลืออยู่คือความทรงจำที่หายไปของแจจุง แต่เขาก็ยังหวังไว้ว่าสักวันแจจุงจะจำมันได้...แม้ว่ามันจะเป็นความทรงจำที่น่าเจ็บปวดที่สุดก็ตาม
.
.
.
สายธารแห่งกาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ นับจากวันที่เหล่า DL ปรากฏตัวในงานเลี้ยงเพื่อสังหารโซฮีจุนก็ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์แล้ว การสืบสวนที่เกือบจะคืบหน้าก็มีอันต้องหยุดชะงักไปถ้าไม่บังเอิญว่ายอดอัจฉริยะแห่งกรมตำรวจ เจ้าเด็กไอคิวสูงจะได้พบกับอะไรบางอย่างที่อาจจะจับพวก DL ได้
หน้าจอโน้ตบุ๊คของชางมินมีแต่รหัสตัวเลขตัวอักษรต่างๆ ที่ยุนโฮไม่เข้าใจมันเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่รู้ว่าไอ้รหัสพวกนี้มันจะช่วยให้เขาปฏิบัติงานให้สำเร็จได้อย่างไร หากแต่สิ่งที่เขากังวลกลับเป็นตัวเขาเอง เพราะจนป่านนี้แล้วเขายังไม่อาจตัดสินใจได้เลยว่าควรจะทำอย่างไรกับการเผชิญหน้ากับเหล่า DL ครั้งต่อไป แน่นอนว่าคนที่คิดแบบนี้คงไม่ใช่แค่เขาคนเดียว นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบมองร่างเล็กที่กำลังวุ่นวายกับการเตรียมเอกสาร เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานคนน่ารักที่มีเรื่องปิดบังเอาไว้ ถึงแม้ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรแต่ลางสังหรณ์ของเขาบ่งบอกว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยว DL อย่างแน่นอน
ไม่นานชางมินก็ออกไปยืนอยู่ด้านหน้าก่อนจะเริ่มอธิบายข้อมูลที่เจ้าตัวได้มากจากความพยายามลุกล้ำเข้าไปในระบบเน็ตเวิร์คที่คิบอมเคยใช้ อาจเป็นเพราะช่วงนี้ทางฝั่ง DL คงมีเรื่องวุ่นวายอะไรบางอยู่จนทำให้อัจฉริยะหนุ่มขององค์กรลืมตรวจดูความเรียบร้อยของระบบ เปิดโอกาสให้ชางมินเข้าไปดึงมันออกมาได้ และสิ่งที่ได้กลับมาแม้ว่าจะไม่มาก แต่ก็นับว่ามีประโยชน์ทีเดียว เพราะนั่นคือชื่อของผู้เป็นเหยื่อรายต่อไปของ DL รวมทั้งเวลาสถานที่และชื่อของผู้ที่จะรับงานในครั้งนี้ด้วย
.
.
.
ณ ห้างสรรพสินค้าสุดหรูย่านการค้า บริเวณแผนกเครื่องประดับของห้างชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังขะมักเขม้นในการเลือกซื้อของขวัญวันเกิดให้แก่เจ้าหญิงตัวน้อยคนรัก หากออกไปไม่ไกลร่างบางก็กำลังเลือกของอยู่เช่นกัน ใช้เวลาไม่นานยูชอนก็เลือกได้พอจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยก็เดินไปหาอีกคนที่เพิ่งจะเลือกได้ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มยามมองเพื่อนร่วมองค์กรที่ไม่เจียมตัวว่ายังไม่หายดีแต่ก็ดึงดันจะออกมาข้างนอกพร้อมกับเขาให้ได้ แต่ดูเหมือนนางพญาคนงามจะอ่านความหมายจากแววตานั้นออก
“นายจะให้ฉันนอนแกร่วอยู่บนเตียงทั้งวันเลยรึไง?” คำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่ไอ้คนฟังก็ดันตอบมาซะอย่างนั้น แถมด้วยการพยักหน้ารับยืนยันแบบที่ไม่ต้องขอเลยสักนิด
“ใช่”
“ยูชอน…” น้ำเสียงเยียบเย็นที่ไม่ได้ทำให้คนฟังสะทกสะท้านสักเท่าไหร่ มือใหญ่ขยี้เส้นผมคนตัวเล็กกว่าที่ทำหน้ายักษ์ใส่
“พูดเล่นน่า ฉันก็แค่เป็นห่วง” ความห่วงใยที่ส่งผ่านน้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นมานั้น แจจุงสัมผัสได้...แต่คนดื้ออย่างเขาก็ทำได้แค่ตอบรับไปส่งๆ แบบที่เพื่อนร่วมองค์กรได้รับเป็นประจำ แถมด้วยการเปลี่ยนเรื่องเป็นอย่างอื่นไปซะอีก
“ฉันรู้...นี่ไปซื้อเค้กกันเถอะ” แจจุงลากยูชอนให้ไปร้านเค้กชื่อดังที่ชั้นใต้ดินของห้าง ขนมเค้กมากหน้าหลายตาถูกวางโชว์เรียงรายอวดโฉม แจจุงปล่อยให้คนรักของเจ้าของวันเกิดเป็นคนเลือก ไม่นานเค้กวนิลาหน้าตาน่ารับประทานก็ถูกจัดให้อยู่ในกล่องสวยหรูเตรียมพร้อมสำหรับงานฉลองที่กำลังจะเกิดขึ้น หลังจากได้ของที่ต้องการทั้งคู่ก็พากันกลับบ้าน
“กลับมาแล้วครับ” แจจุงกับยูชอนกลับมาถึงในเวลาเกือบสองทุ่ม ภายในบ้านคนที่อยู่ต่างจัดสถานที่สำหรับงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเจ้าหญิงตัวน้อย จองซูรับหน้าที่ทำอาหาร ซองมินจัดโต๊ะอาหาร คิบอมจัดสถานที่และบรรยากาศ ในขณะที่เจ้าของงานและเจ้าชายหนุ่มออกไปทำงานตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว
“อืม...จุนซูยังไม่กลับมาอีกเหรอ? นานเกินไปรึเปล่า?” แจจุงเริ่มรู้สึกผิดสังเกตเมื่อมองเวลาตั้งแต่พวกจุนซูออกไปก็เกือบสี่ชั่วโมงเข้าไปแล้ว นางพญาคนงามเริ่มรู้สึกเป็นกังวล เหตุเพราะเจ้าหญิงตัวน้อยไม่เคยทำงานช้าขนาดนี้ นอกเสียจาก...จะมีอะไรที่นอกเหนือความคาดหมาย
เพล๊ง!!
เสียงแก้วแตกดังจนทุกคนต้องกันมามองเป็นทางเดียวกัน ทั้งที่ไม่มีลม ไม่มีแรงกระแทกใดๆ แต่แก้วใบนั้นกลับลงไปนอนกองอยู่บนพื้นในสภาพที่แหลกละเอียด นัยน์ตาสีนิลเบิกกว้างอย่างตกตะลึง ขณะหันไปสบตากับยูชอนและคนอื่นๆ ที่ฉายแววไม่ต่างกัน เมื่อแก้วน้ำเซรามิกสีฟ้าลายต้นมะพร้าวสีสดใสนั่นคือ แก้วของจุนซู!!!
.
.
.
ย้อนกลับไปเมื่อสี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ จุนซูและซีวอนเข้าไปในเมือง เหยื่อในวันนี้ของพวกเขาคือคุณหนูผู้เย่อหยิ่งแห่งตระกูลควอน เจ้าของธุรกิจเสื้อผ้าส่งออกขนาดใหญ่ของประเทศ คฤหาสน์ตระกูลควอนยามเย็นดูงดงามยามแดดทอแสงสีร้อนแรง ทั้งสองคนรอจนอาทิตย์ลับลาขอบฟ้าเหลือเพียงความมืดที่แผ่กระจายไปทั่วบริเวณ จุนซูดึงผ้าสีดำคลุมตัวพร้อมกับกางแท่งสีเงินออกให้กลายเป็นเคียวเป็นสัญญาณบอกถึงเวลาแห่งการล่าที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
“ขอให้พรแห่งดวงจันทร์จงอยู่เคียงข้างเรา...” น้ำเสียงหวานกล่าวคำขอพรจากดวงจันทร์อันงดงาม หากร่างเล็กจะสังเกตสักนิดคงจะมองเห็นว่าพระจันทร์ในค่ำคืนนี้หม่นหมองกว่าที่เคย แสงอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นความเศร้าสร้อยตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้
การลอบเข้าไปข้างในตัวคฤหาสน์ไม่ใช่เรื่องยาก แต่จุนซูกลับรู้สึกแปลกใจที่มันง่ายจนเกินไปราวกับถูกจัดเตรียมไว้ต้อนรับพวกเขา ทางเดินของห้องโถงว่างเปล่า จุนซูจึงแยกกับซีวอนเป็นสองทางเพื่อความปลอดภัย เจ้าชายหนุ่มขึ้นไปที่ชั้นสอง ขณะที่ร่างเล็กไปที่ห้องอาหารซึ่งโต๊ะตัวยาวนั้นมีอาหารเย็นซึ่งยังร้อนกรุ่นเสมือนพึ่งเอาออกมาวางได้ไม่นาน เจ้าหญิงตัวน้อยยิ่งรู้สึกสังหรณ์ใจจนต้องติดต่อซีวอนผ่านต่างหูรูปไม้กางเขนเพื่อบอกให้ชายหนุ่มระวังตัวให้ดี
และก็เป็นดังที่ร่างเล็กคาดเอาไว้เมื่อเขาออกมาที่ห้องโถงอีกครั้ง คราวนี้มันไม่ได้ว่างเปล่าเช่นในตอนแรกอีกแล้ว นายตำรวจหลายสิบนายกำลังเล็งปืนมาที่เขาเป็นทางเดียว หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาดี...ชิมชางมิน คนที่เขาคาดเดาว่าเป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย
“แหม! มากันเยอะจังนะ” นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงยังคงฉายแววขี้เล่นอย่างไม่เดือดร้อนสักเท่าไหร่นัก มือเรียวยังคงกวัดแกว่งเคียวไปมาอย่างไม่สะทกสะท้านต่อปืนหลากหลายกระบอกที่เล็งมาทางเขา
“วางอาวุธลง! แล้วก็เปิดผ้าคลุมออกด้วย!” จุนซูกวาดสายตามองสถานการณ์โดยรอบแม้แต่ที่ชั้นสองก็ยังมีพวกตำรวจอยู่ ซีวอนน่าจะรู้ตัวแล้ว ดีว่ายังไหวตัวทันไม่ถูกจับได้ ร่างเล็กยอมวางเคียวลงและเปิดผ้าคลุมหน้าออก เนื่องด้วยไม่มีความจำเป็นที่ต้องปิดบังต่อคนที่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน อีกอย่างเขาน่าจะหาทางยืดเวลาให้ซีวอนหาเหยื่อได้อีกด้วย
“ยกมือขึ้น!” ร่างเล็กยอมทำตามอย่างว่าง่าย สองมือเล็กชูขึ้นระดับเดียวกับศีรษะ พวกตำรวจจึงได้ใจเมื่อผู้ที่เป็นสมาชิกคนหนึ่งของ DL ยอมทำตามพวกตนโดยไม่ได้รับรู้ถึงผลของการไว้ใจคนที่ได้ชื่อว่านักฆ่าเลย
“เชอะ! นี่น่ะเหรอหน้าของคนที่จะฆ่าฉันน่ะ ออกจะน่ารักขนาดนี้ไม่น่าเลยนะ” น้ำเสียงหวีดแหลมจากควอนยูริ คุณหนูแห่งตระกูลควอน ด้วยความที่คิดว่าตัวเองปลอดภัยแล้วผู้ตกเป็นเหยื่อจึงไม่ทันระวังตัวออกจากห้องที่ซ่อนตัวมาดูโฉมหน้าของคนที่จะฆ่าเธอ
ปัง! ปัง! ปัง! ควับ!
เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่อาจมีใครตั้งตัวทัน วินาทีที่เหยื่อปรากฏตัวออกมาซีวอนโผล่ออกมาจากผ้าม่านสาดกระสุนใส่อย่างรวดเร็วพร้อมๆ กับที่จุนซูก้มตัวลงคว้าเคียวคู่ใจคว้างขึ้นไปบริเวณที่หญิงสาวยืนอยู่ กระสุนถูกจุดสำคัญที่ทำให้คุณหนูตระกูลควอนเสียชีวิตในทันที ยิ่งแน่ใจได้ยิ่งกว่าเมื่อปลายเคียวสีเงินแทงเข้าตรงกลางอกจนเลือดอาบ
หากแต่ทันทีที่ฝ่ายตำรวจตั้งสติได้ อึนฮยอกก็ขว้างลูกระเบิดควันออกไป หากมันเป็นควันธรรมดาคงไม่มีผลอะไรต่อเจ้าหญิงและเจ้าชายแห่งองค์กร แต่มันกลับเป็นควันที่ทำให้เกิดอาการชาไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย จุนซูรับรู้ได้ในทันทีว่าเขาพลาดท่าเสียแล้ว
“ไปซะ!! ไม่ต้องห่วงฉัน!! ไป!! “เสียงหวานตะโกนให้เจ้าชายหนุ่มที่ยังได้รับผลจากควันไม่มากรีบหนีไป ขณะที่เจ้าตัวเองก็ยังไม่ละความพยายามที่จะหนีหากแต่คังอินก็รู้ทันถึงได้ยิงที่ขาจนร่างเล็กเสียการทรงตัวก่อนจะถูกจับกุมได้
“ตามมันไป อย่าปล่อยให้หนีไปได้นะ” เสียงคยูฮยอนตะโกนสั่งให้ตำรวจคนอื่นๆ เร่งรีบตามซีวอนที่หนีออกไปได้
“ชิ!” จุนซูส่งเสียงในลำคออย่างไม่พอใจ การถูกจับไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขานักหรอก ถ้าวันนี้มันไม่ใช่วันเกิดที่ทุกคนกำลังรอให้เขากลับไปอยู่ละก็นะ ร่างเล็กคิดก่อนจะสลบไป
.
.
.
จุนซูรู้สึกตัวอีกครั้งในห้องว่างโล่งห้องหนึ่งจากน้ำที่ถูกสาดเข้าใส่ มือเรียวถูกใส่กุญแจมือติดอยู่กับเก้าอี้ข้างหน้ามีโต๊ะสี่เหลี่ยมขนาดเล็กอยู่ตัวหนึ่ง เบื้องหน้าเขาคือพวกหน่วยปราบปรามพิเศษครบทุกคน ร่างเล็กยังชาไปทั้งตัวดูท่าฤทธิ์ของยานั่นคงยังไม่หมด ถึงจะอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบแต่จุนซูก็ยังยิ้มออก
“อยู่กันครบเลยนะ” เสียงหวานเอ่ยเปรยเมื่อนับจำนวนคนแล้วครบกับจำนวนที่ซองมินเคยบอกพอดี นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงมองไปที่ป้ายเจ้าหน้าที่เพื่อจดจำรายชื่อของทุกคน
“อยากจะสารภาพดีๆ หรือต้องเจ็บตัวก่อนถึงจะยอมบอก” อึนฮยอกเอ่ยเสียงห้วนไม่อ้อมค้อมเพราะเจ้าตัวเองอยากขยี้คนตรงหน้าให้ตายคามืออยู่แล้ว
“อย่าเลยน่า” ยุนโฮกับดงแฮกลับเอ่ยปากห้ามไว้เพราะวิธีแบบนั้นดูจะโหดร้ายเกินไป หรือที่จริงอาจเป็นเพราะเหตุผลอื่นมากกว่า
“แต่ว่า...” อึนฮยอกจะแย้ง แต่ท่านผบ.ซูมาน ตัดสินใจโดยการสั่งให้ยุนโฮทำหน้าที่แทนด้วยเหตุผลที่ว่าการสอบสวนควรเริ่มอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทุกคนทยอยออกจากห้องไปนั่งอยู่ในห้องข้างๆ ที่มีกระจกซึ่งสามารถมองเห็นและได้ยินเสียงจากห้องสอบสวนเมื่อกี้นี้ได้ แต่ในห้องนั้นจะไม่เห็นพวกเขา ตอนนี้จึงเหลือเพียงจุนซูและยุนโฮเท่านั้น
“คุณคือยุนโฮสินะ?” จุนซูถามขึ้นก่อนที่ตำรวจหนุ่มจะเริ่มสอบ ร่างสูงพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับนักฆ่าแห่ง DL
“มีอะไรอยากพูดไหม?” น้ำเสียงเริ่มจากการถามเรื่องที่จุนซูอยากพูดแทนที่จะเริ่มสอบเกี่ยวกับ DL แต่ร่างเล็กรู้ว่าสิ่งที่ยุนโฮทำมันเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง จุนซูฉลาดพอที่จะไม่ตกเข้าไปในหลุมพรางที่มาพร้อมกับคำถามแสนเรียบนั่น
“คำถามดีแต่มันไม่จำเป็นหรอก มีอะไรที่พวกคุณยังไม่รู้อีกล่ะ? ประวัติของผมคุณคงรู้หมดแล้วล่ะมั้ง ส่วนเรื่องของ DL ผมบอกคุณได้แค่บางอย่างเท่านั้น...” จุนซูยักคิ้วให้ชายหนุ่มอย่างขี้เล่นทั้งที่ความจริงแล้วเขากำลังรอเวลาที่ยาชาจะหมดฤทธิ์ เพราะไอ้กุญแจมือที่พันธนาการเขาเอาไว้มันไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่นัก ถ้าคิดจะเอาออกมันก็ไม่ใช่เรื่องยากติดคือยาชาที่ไม่ยอมหมดฤทธิ์ง่ายๆ นี่สิที่ทำให้ลำบาก
“ตำแหน่งใน DL?” คำถามแรกของยุนโฮเรียกรอยยิ้มจากผู้ต้องหาที่ยังเล่นไม่เลิก คำถามที่น่าจะตอบมาง่ายๆ ก็ยังอุตส่าห์เล่นลิ้นกวนประสาทพ่อตำรวจหนุ่มได้
“ลองทายดูสิ…”
“ฉันไม่มีเวลามาเล่นตลกกับนายนะ” ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบแต่แฝงความรู้สึกบางอย่างไว้ข้างใน ความรู้สึกที่จุนซูสัมผัสได้ว่ายุนโฮอยากให้เขาตอบมาดีๆ ก่อนคนที่จะมานั่งสอบอาจจะไม่ใช่ตนเองอีกต่อไป
“Princess”
“คนที่มาด้วยล่ะ?”
“Prince”
“หัวหน้าของ DL คือใคร?” จุนซูนั่งเงียบไม่ยอมตอบ ใบหน้าน่ารักไร้รอยยิ้มเช่นในตอนแรก ความเงียบที่ทำให้ยุนโฮเงยหน้าขึ้นมองผู้ตกเป็นจำเลย เป็นสัญญาณที่บอกให้เขารู้ว่าจุนซูจะไม่ตอบสิ่งที่ทำให้คนอื่นลำบาก หลังจากนั้นไม่ว่าเป็นคำถามใดๆ ที่เกี่ยวกับ DL จุนซูแทบจะไม่ยอมปริปากพูดเลยด้วยซ้ำ ยุนโฮรู้ว่าคงไม่มีคำตอบหลุดออกมาจากกลีบปากสวยนั่นอีกแล้ว คำถามสุดท้ายจึงเป็น...
“เพราะอะไรถึงเข้าร่วมกับDL?” ความจริงชายหนุ่มไม่ได้คาดหวังว่าร่างเล็กจะตอบหรอก ก็จุนซูเล่นนั่งเงียบมาตลอดไม่ยอมตอบตั้งแต่ที่เขาถามว่าหัวหน้าขององค์กรนี้คือใครแล้วนี่นา
“ยุนโฮ...คุณเคยเจออะไรแบบนี้ไหม?” นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงมองนายตำรวจหนุ่มพร้อมกับคำตอบที่ทำให้ชายหนุ่มต้องนิ่งฟังอย่างตั้งใจ
”ในวันหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า... อะไรบางอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด อะไรที่เคยเป็นของเรากลับกลายเป็นไม่ใช่ รวมทั้งสิ่งที่เรารักมาก...ไม่มีอีกแล้ว ความทุกข์เดินทางมาสู่คืนวันที่เหลืออยู่อย่างรวดเร็ว ออกจะเป็นการยากที่จะต้องทำใจยอมรับให้ได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่ใช่ของๆ เราอีกต่อไปแล้ว พอหลับตาลง ภาพของสิ่งต่างๆ ที่เคยอยู่ เคยเป็น เคยมี เคยได้ วนเวียนอยู่ตรงหน้าราวกับจงใจแกล้ง ตอกย้ำให้เจ็บยิ่งกว่าที่กำลังเจ็บอยู่ ร้อยพันความรู้สึกประดังเข้ามาจนไม่รู้ว่าควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นไร” ร่างเล็กถอนหายใจแผ่วเบายาวนึกถึงอดีตแห่งความเจ็บปวดที่เกือบจะเลือนหายไปจากความรู้สึกเมื่อนานมาแล้ว
.
.
.
“ของานให้ผมทำเถอะนะครับ”
“ไป! ไปไกลๆ เลยไอ้ขอทาน หน้าอย่างแกจะทำงานอะไรได้!!” เสียงแหบหยาบไล้เด็กหนุ่มในเสื้อผ้าสกปรกๆ ที่มาของานทำอย่างกับเด็กคนนั้นไม่ใช่มนุษย์
“แต่ว่า...”
“ไปสิ!! ฉันบอกให้ไปไง!” ชายร่างท้วมทั้งถีบทั้งเตะเด็กหนุ่มอย่างแรงราวกับหมูกับหมา ก่อนจะเทขยะจากถังในมือใส่ร่างเล็กที่ถูกเขาทำร้ายอย่างไม่ปราณี จนร่างเล็กต้องรีบหนีไปก่อนจะเจ็บตัวมากกว่านี้
เด็กหนุ่มซมซานกลับไปอยู่ที่ซอกตึกแห่งหนึ่ง สถานที่ที่เขาใช้มันเป็นที่ซุกหัวนอนซึ่งมีแค่หมอนที่ทำจากขวดน้ำบิดเบี้ยวไม่ได้รูปห่อผ้า และผ้าคลุมเตียงบางๆ ผืนเก่าที่ใช้แทนผ้าห่ม ร่างเล็กตัวสั่นเทาอยู่ใต้ผ้าผืนเก่าที่ทำได้แค่ป้องกันลมเพียงเท่านั้น หากแต่ไม่นานเด็กหนุ่มก็รู้สึกถึงความหนักและความอบอุ่นบริเวณไหล่จึงรีบหันกลับไปมอง ก็พบคนแปลกหน้าเจ้าของเสื้อโค้ทที่อยู่บนไหล่ของเขา
“คุณเป็นใคร?”
“ไปกับฉันไหม...คุณหนูจุนซู?” คนแปลกหน้าไม่ยอมตอบคำถามของเด็กหนุ่ม เพียงแค่ยื่นมือมาตรงหน้า นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงมองมือนั้นอย่างสงสัย ดูเหมือนว่าคนๆ นี้จะรู้เรื่องราวของเขาดีจนต้องถามคำถามเดิมอีกครั้ง
“คุณเป็นใคร?”
“ไม่อยากแก้แค้นบ้างเหรอ?” เจ้าของเสื้อโค้ดยังไม่ยอมตอบเช่นเคย หากแต่คำถามนี้กลับทำให้จุนซูต้องนิ่งคิด ความรู้สึกในร่างกายดึงดันให้เขาส่งมือให้กับคนแปลกหน้านี้ แต่เขาก็ยังตัดใจไม่ยอมทำตามความรู้สึกของตนเอง
“ไม่จำเป็น ผมจัดการเองได้!” ร่างเล็กปฏิเสธเขาไม่จำเป็นต้องขอยืมมือใคร ทุกอย่างที่เคยเป็นของเขา...เขาจะแย่งมันกลับมาด้วยตัวเอง ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใครทั้งนั้น
“ถ้าเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็...โทรมานะ” น้ำเสียงหวานไม่ได้แสดงอาการขุ่นเคืองเมื่อเด็กน้อยปฏิเสธ เพียงแค่รอยยิ้มอันแสนอบอุ่นและนามบัตรแผ่นหนึ่งที่ถูกส่งมาให้ก่อนเจ้าตัวจะจากไป คนแปลกหน้าที่เขารู้จักเพียงแค่ชื่อ...ปาร์คจองซู
...คุณหนูจุนซูงั้นเหรอ?...
สรรพนามที่เคยถูกเรียกทำให้เด็กหนุ่มอดทบทวนถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่ผ่านมาในชีวิตไม่ได้ หลังจากพ่อแม่ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตเขาก็โดนเชิญออกจากบ้าน ไม่มีญาติคนไหนยอมรับเลี้ยงดู จนต้องไปอาศัยอยู่ที่หอพักของโรงเรียน แต่กลับถูกโรงเรียนไล่ออกเพราะเหตุผลที่ว่าเงินบริจาคของพ่อที่ให้โรงเรียนนั้นหมดแล้ว ทั้งที่ความจริงเงินจำนวนนั้นมันทำให้เขาอยู่จนเรียนจบได้เลยด้วยซ้ำ จุนซูรู้...แต่ก็ไม่เรียกร้องอะไร ความปรารถนาเดียวของเขาคือเปิดเผยความจริงให้ทุกคนได้รับรู้ด้วยตัวของตัวเอง หากนับแต่บัดนี้ก็เกือบสองปีเข้าไปแล้ว เขายังไม่สามารถทำอะไรได้เลย บ้านก็ไม่มีอยู่ เงินจำนวนเพียงน้อยนิดที่ติดตัวมาก็หมดไปนานแล้ว จะถูกเรียกว่า ’ขอทาน’ ก็ไม่ผิดนักหรอก
หลังจากการได้พบกันระหว่างคุณหนูผู้ตกยากกับคนแปลกหน้าก็ผ่านไปเกือบเดือนแล้ว ดูเหมือนโชคดีจะมาเยือนจุนซูหลังจากห่างหายไปนาน เขาไปสมัครงานที่ร้านแห่งหนึ่งด้วยความที่เจ้าของร้านเป็นคนใจดีและกำลังขาดคนจึงรับเขาเข้าทำงานในตำแหน่งเด็กเสิร์ฟ แต่เพียงแค่ทำงานวันแรกเสร็จความโชคร้ายก็มาเยือนซะแล้ว
“ขอบคุณมากครับ” จุนซูกล่าวลาเจ้าของร้านก่อนจะเดินออกมาที่หน้าประตู ร่างเล็กคงได้กลับไปนอนที่ซอกตึกอย่างสบายใจหากไม่พบกับคนกลุ่มหนึ่งที่เดินมาพบเขาในตอนนั้นเข้าพอดี
“จุนซู”
“ระ...เรียววุค” นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงเบิกกว้างยามได้พบกับเพื่อนเก่าที่โรงเรียน ถึงจะได้ชื่อว่าเพื่อนแต่กลับเป็นกลุ่มคนที่จุนซูไม่อยากจะเจอมากที่สุดรองจากพวกญาติๆ เลยก็ว่าได้
“ทำงานที่นี่เหรอ?” เรียววุคเดินวนรอบตัวของอดีตเพื่อนใช้สายตามองอย่างสำรวจ ขณะที่จุนซูได้แต่ยืนนิ่งตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับตัว มีเพียงเสียงหวานที่หลุดตอบออกมาเบาๆ
“อือ...”
“ใครน่ะเรียววุค?” เพื่อนของร่างเล็กถามคนที่เพิ่งกลับมาจากการเดินวนรอบตัวคนที่พวกเขาเห็นว่าเป็นแค่ขอทานสกปรกคนหนึ่งเท่านั้น
“นายจำไม่ได้เหรอ? ก็สมควรอยู่หรอกนะ นี่น่ะคุณหนูจุนซูไงล่ะ คนที่พ่อมันโกงบริษัทตัวเองจนศาลตัดสินให้ยึดทรัพย์ทั้งหมด แถมยังโชคร้ายดันมาตายซะก่อนจะฟังศาลตัดสินซะอีก จงใจทำให้เป็นอุบัติเหตุเพื่อเรียกเงินประกันรึเปล่าก็ไม่รู้...แต่พวกตำรวจคงรู้มั้งว่าตั้งใจฆ่าตัวตาย จากคุณหนูก็เลยกลายเป็นคนธรรมดาแบบนี้ไง!” คำพูดหยามเหยียดกับน้ำเสียงดูถูกที่ได้ยิน จุนซูทำได้แค่อดทนเท่านั้น มือเล็กกำแน่นสกัดกลั้นอารมณ์อ่อนไหวที่กำลังจะแสดงออกมา ความอ่อนแอที่เขาเก็บซ่อนมันไว้มาตลอด
“นายพูดผิดแล้วนะ...เรียววุค อย่างนี้เขาเรียก ’ขอทาน’ มากกว่า” เพื่อนของเรียววุคคนหนึ่งช่วยแก้คำพูดของร่างเล็กที่ผิดจากความเป็นจริงไปสักหน่อย ทั้งที่มันไม่จำเป็นเลยสักนิด
“หืม? นั่นสินะ ไม่เจอกันแค่แป๊บเดียวกลายเป็น ’ขอทาน’ ไปแล้ว น่าสงสารจริงๆ อยากได้เท่าไหร่ละ? ฉันจะสงเคราะห์ให้ก็ได้นะ” เรียววุคหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาแล้วหยิบธนบัตรข้างในออกมาชูโบกพัดไปมาในอากาศเพื่อล่อตาร่างเล็ก แต่จุนซูกลับปฏิเสธ
“ไม่จำเป็น ฉันไม่ต้องการเงินสกปรกของนาย” น้ำเสียงหวานเอ่ยราบเรียบทั้งที่มือเล็กนั้นกำแน่นเสียจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ เกิดเป็นรอยแผลมีเลือดไหลซึม
“แน่ะ! ยังหยิ่งได้อีกนะ เงินของพ่อนายมันก็สกปรกไม่ต่างกันหรอก แต่พ่อแม่นายคงเสียใจนะที่ต้องเห็นลูกชายคนเดียวกลายเป็น ’ขอทาน’ แบบนี้” เสียงหัวเราะของร่างเล็กเสียดแทงเข้าไปในหัวใจที่เคยแข็งแรงของจุนซูอย่างไม่อาจห้ามได้ สายตาของคนเหล่านั้นที่จับจ้องมาเต็มไปด้วยความดูถูกจนเจ้าตัวทนไม่ไหวอีกต่อไป ร่างเล็กหมุนตัวไปอีกทางแล้วเริ่มวิ่ง...วิ่งไปทั้งที่ไม่รู้ว่าจุดหมายนั้นคือที่ใด วิ่งเหมือนตอนที่สูญเสียพ่อแม่...สูญเสียทุกอย่างไปเมื่อสองปีก่อน
จุนซูวิ่งไปอย่างไร้จุดหมายด้วยหัวใจที่เจ็บปวดโปรยปรายหยาดน้ำตาลงบนพื้นดินที่แห้งเหือด มือเล็กผลักผู้คนที่เกะกะขวางทาง ถูกด่าแล้วด่าเล่า จนรู้สึกเหมือนกับว่าโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้ไม่อนุญาตให้เขาเหยียบย่ำแม้แต่ตารางเมตรเดียว เขายังคงวิ่งต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายสถานที่ที่ร่างเล็กมาหยุดอยู่ หลังจากการวิ่งอันยาวนานก็คือตู้โทรศัพท์สาธารณะเก่าๆ ริมถนนซึ่งไม่มีคนอยู่ ในตู้โทรศัพท์เต็มไปด้วยกลิ่นของเครื่องจักรที่เย็นเฉียบ เขาหยิบนามบัตรที่ไม่เคยคิดจะใช้มันออกมาแล้วใช้เงินที่มีเหลือเพียงไม่กี่วอนกดไปที่เบอร์นั้น เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งก็มีผู้รับสาย
“สวัสดีครับ...” น้ำเสียงหวานที่ดังมาตามสายฟังดูสบายและนุ่มนวล เด็กหนุ่มรีบกรองเสียงลงไปด้วยหัวใจที่บอบช้ำและเจ็บปวด ทั้งที่ใครจะพูดยังไงเขาก็ไม่เคยใส่ใจเลยแท้ๆ แต่คราวนี้เขาทนไม่ได้จริงๆ บางทีอาจเป็นเพราะเขาอดทนมามากเกินไป มากเกินกว่าจะเก็บมันไว้ได้อีกแล้ว
“ช่วยผมได้ใช่ไหมครับ?”
“ใครครับ?”
“ผมคือขอทานสกปรกข้างถนนครับ” สายลมอันเย็นยะเยือกของฤดูหนาวลอดผ่านประตูตู้โทรศัพท์เข้ามากระทบแผ่นหลังเล็ก หนาวจนอยากจะขาดใจตายให้รู้แล้วรู้รอดไป
“พาผมไปทีเถอะ ฮึก...ผมขอร้องพาผมไปจากโลกสกปรกๆ ใบนี้ที” น้ำเสียงหวานสะอึกสะอื้น จุนซูร้องไห้อย่างที่ไม่เคยร้องมาก่อน เขาเคยอดทนต่อทุกสิ่งทุกอย่างได้ดีมาตลอด แต่ตอนนี้มันไม่ไหวแล้วจริงๆ สิ่งที่เขาต้องการตอนนี้มีเพียงความอบอุ่นจากใครสักคนเท่านั้น จะเป็นใครก็ได้ จะถูก..จะผิด...หรืออะไรยังไง เขาก็ไม่อยากสนใจมันอีกต่อไปแล้ว
“เธอคือจุนซูใช่ไหม?”
หลังจากนั้นไม่นานก็มีรถยนต์คันหนึ่งแล่นมาจอดอยู่ตรงหน้าตู้โทรศัพท์ เด็กหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นมองร่างบอบบางที่ลงมาจากรถ...คนแปลกหน้าคนของจุนซูเดินมาหาร่างเล็กใกล้ๆ ก่อนจะดึงเจ้าตัวเข้ามากอด ไออุ่นที่ไม่เคยได้สัมผัสมาแสนนานเรียกให้น้ำตาที่แห้งเหือดไปแล้วให้ไหลรินลงมาอีกครั้ง ไม่ต้องมีคำพูดใดๆ เพียงแค่อ้อมกอดแสนอบอุ่นที่แทนคำตอบทุกอย่าง ไม่ว่าคนตรงหน้าจะเป็นใคร...มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
.
.
.
“ในวันที่โลกโยนเราทิ้งและปล่อยให้โดดเดี่ยว ในวันที่ถูกสังคมตัดสินผิดๆ หรือโดนทำร้ายจนบาดเจ็บ จะยังมีที่แห่งหนึ่ง ที่มีคนคอยรับฟังคำทุกคำ เชื่อในทุกอย่าง ยอมรับในทุกสิ่ง และให้อภัยในทุกเรื่อง ที่ตรงนั้นไม่เคยร้องขอ ไม่เคยเรียกร้อง ไม่เคยบังคับ ไม่ว่าจะเคยถูกมองข้ามไป แต่มันจะเป็นที่สุดท้าย ที่อ้าแขนรับเราเสมอ...สำหรับผม DL คือ ที่แห่งนั้น...” จุนซูต่อท้ายประโยคของตนเองจนจบ สำหรับแจจุง DL คือครอบครัว แต่สำหรับจุนซูมันคือโลกที่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่น ถึงความหมายจะต่างแต่ความสำคัญมันไม่เคยต่างกันเลย
“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ” ยุนโฮกล่าวบอกเพียงก่อนจะจัดเก็บเอกสารเตรียมออกจากห้อง ร่างสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งมาเกือบชั่วโมงเต็ม เมื่อใช้วิธีการนุ่มนวลไม่สำเร็จ ผบ.ซูมานจึงยกให้อึนฮยอก...ผู้มีความแค้นส่วนตัวเข้าไปจัดการแทน
“ขอผมสอบคนเดียวได้ไหมครับ?” อึนฮยอกขอให้ทุกคนออกไปข้างนอกด้วยเหตุผลที่ว่าวิธีการของเขามันรุนแรงจนไม่อยากให้ทุกคนมองเพราะอาจจะใจอ่อนสั่งให้เขาหยุดซะก่อน เมื่อท่านผบ.ซูมานเห็นด้วยทุกคนจึงออกนอกบริเวณเพื่อปล่อยให้อึนฮยอกได้อยู่ตามลำพังกับร่างเล็ก
เพราะอึนฮยอกไม่ได้มีความนุ่มนวลในการสอบสวนเช่นยุนโฮ ยิ่งวิธีการที่ชายหนุ่มใช้เรียกได้ว่าโหดเกินไปด้วยซ้ำ เพราะทันทีที่เข้าไปในห้องชายหนุ่มก็กระชากเส้นผมนุ่มดึงให้ให้ร่างเล็กลุกขึ้นมาแรงดึงก่อนจะซ้อมอย่างไม่บันยะบันยัง ทั้งชก ทั้งเตะ ทั้งต่อย การสอบสวนของชายหนุ่มเลวร้ายลงเรื่อยๆ เขาทำแม้กระทั่งจับหัวร่างเล็กกดลงไปในน้ำแบบเดียวกับที่พวกเกสตาโปนใช้เพื่อคาดคั้นความจริงจากนักโทษ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมาจากปากร่างเล็กเลยแม้แต่คำเดียว อย่าว่าแต่คำพูดเลย แม้กระทั่งเสียงร้องยังไม่มีด้วยซ้ำ
“แค่ก...แค่ก...” ร่างเล็กสำลักเพราะหายใจไม่ทัน ใบหน้าน่ารักยามนี้เต็มไปด้วยรอยช้ำ อึนฮยอกจับร่างเล็กวางลงบนโต๊ะ มือข้างหนึ่งจับแขนที่ถูกพันธนาการด้วยกุญแจมือไว้ติดกับโต๊ะ เส้นผมสีดำเปียกปอนเพราะถูกจับกดน้ำหลายต่อหลายครั้ง
“ปากแข็งจริงนะ ไอ้ปีศาจ!!” ตำรวจหนุ่มตะโกนลั่นแต่สิ่งที่เขาได้ก็ยังเป็นความเงียบงันจากนักฆ่าที่มีความอดทนมากที่สุดของ DL จุนซูนึกอารมณ์เสียที่ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงแล้วฤทธิ์ของยาชาก็ไม่หมดไปสักที ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ยอมเสียเวลาเจ็บตัวแบบนี้หรอก
“จะไม่ยอมพูดจริงๆ ใช่ไหม?”
“ฉันไม่มีวันบอกแกต่อให้มีมีดมาจ่ออยู่ที่คอก็ตาม” ประโยคแรกจากคนเป็นผู้ร้ายคงน่ายินดี ถ้ามันไม่ใช่คำท้าทายเช่นนี้ อึนฮยอกยิ่งโมโหหนักกว่าเก่าที่ไม่ว่าจะทรมานแค่ไหน ร่างเล็กก็ยังดื้อด้านไม่ยอมปริปากอะไรออกมาเลย อย่างน้อยถ้ามีเสียงร้องบ้างมันก็อาจจะระงับความโกรธที่อยู่ในใจเขาไปได้บ้าง
“ได้!! ถ้ายังไม่ยอมพูดก็ลองนี่หน่อยเป็นไง?” ชายหนุ่มใช้มือบีบที่แก้มของจุนซูแล้วบดขยี้ริมฝีปากเรียวบางนั้นอย่างรุนแรงจนเจ้าตัวรู้สึกแสบชา และแล้วจุนซูก็ต้องเป็นฝ่ายยินยอมให้อึนฮยอกได้สัมผัสความอ่อนนุ่มของริมฝีปากอิ่มนั้นอย่างไม่เต็มใจ
พลั่ก!!!
ร่างเล็กยกเท้าถีบเข้าที่หน้าท้องของอึนฮยอกจนร่างสูงกว่าต้องผละออกไป แล้วจุนซูก็รีบพลิกกายลงจากโต๊ะจะหนีทันทีที่มีโอกาสโดยลืมไปว่าฤทธิ์ของยาชาที่ทำให้เขาขยับตัวแทบไม่ได้นั้นยังอยู่
“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก!” อึนฮยอกกระชากไหล่จุนซูได้ทันแล้วรีบพลิกร่างเล็กให้อยู่ในท่าเดิม จุนซูไม่เหลือทางรอดอีกแล้ว...ไม่เหลือเลย
“ปล่อยฉันนะ...”
ร่างเล็กพยายามดิ้นรนและเกร็งร่างกายสุดชีวิต ตะเกียกตะกายให้ร่างเป็นอิสระแต่ก็ได้รับมาแต่ความเจ็บปวด เรี่ยวแรงเพียงน้อยนิดที่เหลืออยู่เหือดหายไปกับการสะบัดตัวหนี ที่ได้กลับมามีเพียงแรงกดที่เพิ่มขึ้นจากอึนฮยอกที่ดูจะไม่ยี่หระอะไรเลย
“หมดแรงดิ้นแล้วเหรอ?”
“ปล่อย”
“ไม่มีทาง!!! แกต้องชดใช้!!!” อึนฮยอกตะโกนใส่หน้าจุนซูแล้วผลักร่างเล็กลงกับพื้นตามมาด้วยการคร่อมเหนือร่างนั้นไว้ ไม่ว่าจุนซูจะดิ้นสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถหลุดไปจากร่างเขาได้เลย แม้ว่าจะรู้ว่าไร้ทางสู้ แต่จุนซูจะไม่มีวันขอร้องชายคนนี้ให้เสียศักดิ์ศรีอย่างเด็ดขาด
“เลว...”
“ถ้าฉันเลว แกก็สารเลวไม่ต่างกันหรอก!!!” อึนฮยอกตะคอกแล้วกดร่างเล็กลงกับพื้นกระเบื้องหินเย็นเฉียบจนกระดิกตัวไม่ได้ เขากระแทกจูบลงมาบดขยี้ริมฝีปากย่ำยีลงมาที่ร่องรอยเดิมๆ
“โอ้ย!” อึนฮยอกอุทานและถอนริมฝีปากออกเมื่อจุนซูกัดลิ้นเขา
เพียะ!!
“สำนึกซะบ้างนะว่าอยู่ในฐานะอะไร...ถ้าไม่รู้ฉันจะบอกให้ นักโทษยังไงล่ะ!!!” อึนฮยอกตะคอกใส่จุนซู หลังจากที่เหวี่ยงฝ่ามือหนาฟาดลงไปที่ใบหน้าเนียนใสจนเลือดกบปาก จุนซูได้แต่กัดฟันแน่นทนรับความเจ็บปวดเอาไว้โดยโต้ตอบอะไรไม่ได้ เขาเกร็งร่างทั้งร่างให้พ้นจากภัยคุกคาม มือใหญ่เลื่อนมากระชากเสื้อเชิ้ตตัวบางออกจากร่างเขาอย่างไร้ความปรานี
“ไม่นะ!! ไม่!!!” จุนซูร้องสุดเสียง ลมหายใจถี่กระชั้นด้วยความตกใจจนแทบหายใจไม่ทัน แต่ก็ไม่อาจหยุดการกระทำของชายหนุ่มได้ จุนซูนึกโทษตัวเองที่ชะล่าใจไม่ยอมหนีเสียตั้งแต่ตอนที่ยังมีโอกาสจนมันกลายเป็นแบบนี้ มือที่เคยทำได้แม้กระทั่งควักหัวใจ บัดนี้กลับไม่สามารถช่วยอะไรตนเองได้เลย
.
.
.
อึนฮยอกจัดการแต่งตัวให้จุดซูเหมือนเดิมราวกับก่อนหน้าที่เขาไม่เคยทำอะไรนอกเหนือจากซ้อมเพื่อคาดคั้นความจริง แล้วตำรวจหนุ่มก็ดึงตัวร่างเล็กขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเริ่มแล้วออกจากห้องไป เสียงประตูปิดดังขึ้นพร้อมกับหยาดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าที่ไม่สามารถชะล้างร่องรอยใดๆ ให้เลือนหายไปจากความทรงจำของเขาได้เลย ณ เวลานี้ เขารู้สึกถึงหัวใจที่อ่อนล้าของตัวเอง และมันก็คงไม่สามารถกลับเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว...
ฤทธิ์ของยาชาที่ป้องกันไม่ให้เขาหนีได้หมดไปแล้ว แต่มันก็ไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไป จุนซูจัดการปลดกุญแจมือที่พันธนาการตัวเองออกอย่างง่ายดาย นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงที่ว่างเปล่าเจือไปด้วยความเจ็บปวด มือเล็กแตะไปที่ต่างหูไม้กางเขนสีเงินอย่างชั่งใจ ดูจากเวลาคาดว่าทุกคนคงใกล้จะมาช่วยเขาแล้ว แต่ว่า...
“ขอโทษนะ...ทุกคน” เสียงหวานเอ่ยเพียงแผ่วเบาราวเสียงกระซิบต่อต่างหูสีเงินที่นอกจากจะทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสื่อสารและบอกตำแหน่งแล้วมันสามารถบันทึกเสียงได้อีกด้วย และสิ่งที่จุนซูกำลังจะทำคือบันทึกคำพูดของเขาให้ทุกคนได้ฟัง
“พวกนายอาจจะโกรธที่ฉันตัดสินใจแบบนี้ แต่ว่าฉันทนไม่ไหวแล้ว ร่างกายนี้มันน่ารังเกียจเกินไป พวกนายอาจรับได้ แต่ฉันรับไม่ได้ ขอโทษนะ ขอโทษที่ผิดสัญญา พี่จองซู...ผมขอโทษที่ผมทิ้งชีวิตที่พี่ให้มาแบบนี้ ซีวอน...ฝากดูแลพี่จองซูด้วย คิบอม,ซองมิน...เรื่องทะเลาะกันนะ เพลาลงบ้างก็ได้นะ แจจุง...ดูแลตัวเองด้วย ฉันไม่ได้อยู่คอยจ้ำจี้จ้ำไชกับนายแล้วนะ... รู้ใช่ไหม? ฉันรักพวกนายมากนะ” หยาดน้ำตาไหลอาบผิวแก้มราวกับไม่มีวันแห้งเหือดไป จุนซูไม่คิดจะปาดน้ำตาออกเลย ร่างเล็กหายใจเข้าปอดลึกๆ อากาศของโลกใบนี้ที่อีกไม่กี่นาทีเขาจะไม่ได้สัมผัสมันอีกแล้ว
“ยูชอน...อย่าโกรธฉันนะ อย่าโกรธที่ฉันผิดสัญญา แต่ครั้งนี้เท่านั้นที่ฉันทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ขอโทษนะยูชอน ฉันขอโทษ... “ น้ำเสียงหวานสั่นเครือเสียจนไม่อาจกล่าวต่อไปได้ แต่จุนซูก็ต้องพูด...รู้ว่าการกระทำของเขาทำให้ชายหนุ่มเจ็บปวด...ทำให้เสียใจ แต่ว่าเขาไม่มีหน้าจะไปพบกับยูชอนได้อีกแล้ว มันสายเกินไป...
”หากวันใดวันหนึ่ง นายได้พบใครสักคนที่นายรู้สึกดีด้วย อย่าลังเลที่จะรักเขา อย่ารู้สึกผิดกับฉัน อย่าปิดกั้นตัวเองเพราะฉัน เพราะฉันไม่อยากให้นายเจ็บปวด แต่ว่า...ฉันอยากขอร้องนาย ช่วยฟังคำขอร้องของคนนิสัยไม่ดีคนนี้หน่อยได้ไหม?” มือเล็กที่จับต่างหูนั้นสั่นเทาอย่างไม่อาจห้ามได้ เมื่อนี่คือประโยคสุดท้ายที่เขาจะพูด
“ถ้าชาติหน้าได้พบกันอีกครั้ง สัญญาได้ไหม ถ้าได้พบกันนายจะรักฉันอีกครั้ง แล้วฉันสัญญา...ว่าจะไม่ทำให้นายเสียใจอีก ฉันรักนายมากนะ...ยูชอน” จุนซูจบคำพูดของตนไว้เพียงเท่านี้ มือเล็กเลื่อนจากต่างหูไม้กางเขนสีเงินลงมาที่หน้าอกด้านซ้าย สูดลมหายใจเข้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะใช้แรงทั้งหมดจู่โจมเข้าไปที่หัวใจอย่างแม่นยำ ของเหลวสีแดงสดไหลทะลักออกมาตามปากแผลขนาดใหญ่อย่างรวดเร็วย้อมเสื้อเชิ้ตสีขาวให้กลายเป็นสีแดง ร่างเล็กค่อยๆ ดึงมือที่ชุ่มไปด้วยหยาดเลือดของตนออกมาจากบาดแผล กลีบปากบางแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจก่อนมืออันสั่นเทานั้นจะตกลงข้างตัวพร้อมกับดวงตาที่ปิดลง...ตลอดกาล
To Be Con...
/>
เหอๆ กลับมาพล่ามยาวๆ ให้อ่านกันอีกแล้ว โฮะๆ (มันน่าหัวเราะตรงไหนกันเนี่ย?)
ที่จริงแต่งจบตั้งแต่เมื่อเช้า (ตอนตีสาม -*- ) แต่ลืมทำรูปประกอบก็เลยยังไม่ลงละค่ะ
พอตื่นเช้ามา (บ่ายโมง) ก็เลยแต่งรูปแล้วก็เอามาลง อย่างที่เห็น...
ที่จริงตอนนี้ไม่อยากพูดมากเพราะตอนแต่งก็แอบทรมานจิตใจอยู่แล้ว
ขอโทษนะค่ะที่ฟิกของพลอยมันอาจจะทำร้ายจิตใจไปบ้าง(?)
แต่ถึงมันจะเป็นโศกนาฏกรรม...แต่หลังความโศกเศร้ามันก็ต้องมีความสุขอยู่เสมอนะค่ะ
อย่าเพิ่งเลิกอ่านล่ะ เหอๆ (กลัวจริงๆนะเนี่ย T^T )
ปล.ตอนแรกแอบตกใจกับจำนวนคอมเม้นต์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย
นี่คือสาเหตุที่อัพเรื่องนี้เร็วกว่า 1 เดือน -*- (น่าภูมิใจมากกกก)
ปล2.รู้สึกถึงโศกนาฏกรรมอย่างที่เคยบอกรึยังค่ะ?
ปล3.คิวต่อไปที่จะอัพคือ Maze Ver. SJ นะค่ะ
ปล4.รักคนอ่านมากมายเจ้าค่ะ
ปล5.จบ (เพื่อ???)
ความคิดเห็น