คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : >>> 5
Revenge, The
“แจจุงยังไม่ลงมาอีกเหรอ?” ยูชอนนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ยามเช้าที่มีเพียงขนมปังปิ้งไหม้ๆ 2 แผ่นกับกาแฟรสเฝื่อน 1 แก้ว ที่เจ้าตัวเป็นคนลงมือทำเองเท่านั้น สีของน้ำในแก้วไม่ชวนน่ารับประทานอย่างแรง ก็รู้อยู่หรอกนะว่าพี่ชายคนนี้ทำอาหารไม่เป็น
แต่...คิบอมก็ไม่คิดว่ามันจะแย่ขนาดนี้ โดยปกติแล้วไม่จองซูก็แจจุงจะเป็นคนคอยเตรียมอาหาร แต่เพราะเมื่อคืนจองซูเองก็วุ่นอยู่กับซองมิน ในขณะที่แจจุงเองก็ต้องหลับๆ ตื่นๆ ทั้งคืนเพราะอาการฝันร้ายของคิบอม เช้าวันนี้ก็เลยไม่มีใครตื่นมาทำอาหารเลยสักคน
“โทษทีฮะ เมื่อคืนยาผมหมด ก็เลย...”
“อืม... พี่รู้แล้ว พี่จองซูกับซองมินก็คงเหมือนกันสินะ...”
“ครับ...” อัจฉริยะหนุ่มตอบรับก่อนจะถามถึงบรรดาคนที่เขายังไม่เห็นหน้า ”แล้วพี่จุนซูกับซีวอนล่ะฮะ?”
“จุนซูปวดหัวนิดหน่อย กินยาไปแล้วสักพักคงดีขึ้น... ส่วนซีวอนเดี๋ยวลงมา” ยูชอนพับเก็บหนังสือพิมพ์แล้ววางลงบนโต๊ะอย่างเรียบร้อย มือใหญ่หยิบแก้วที่วางตรงหน้าขึ้นมาดื่ม ก่อนจะทำหน้าปุเลี่ยนๆ ด้วยรสชาติที่ไม่มีความเอร็ดอร่อยเลยสักนิด ชวนคิดถึงกลิ่นหอมของเอสเพรสโซ่ฝีมือแจจุงชะมัด พอคิดแบบนั้นแล้วก็มีกาแฟแก้วใหม่วางตรงหน้า จากอัจฉริยะหนุ่มประจำองค์กรที่ดูเหมือนจะทนไม่ได้กับกาแฟที่สีเหมือนน้ำล้างเท้าของยูชอน
“คงไม่ดีเท่าพี่แจจุง แต่น่าจะดีกว่าของพี่นะครับ ว่าแต่...ทำไมไม่ไปดูแลเจ้าหญิงของพี่ละครับ?” คิบอมนั่งลงตรงที่นั่งตรงข้ามชายหนุ่ม โดยมีโน้ตบุ๊กเครื่องเดิมวางอยู่ข้างๆ
“ก็อยากทำแบบนั้นอยู่หรอก แต่ ’งาน’ ไม่มีคนทำก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ? ไหนๆ เมื่อคืนพี่ก็โดดไปแล้วนี่นา
” ยูชอนยกกาแฟแก้วใหม่ขึ้นชิม ถึงจะรสชาติดีไม่เท่าของแจจุงแต่ก็ยังดีกว่าของเขาเยอะ
“รู้ตัวก็ดีแล้วล่ะครับ แต่ความจริงงานคราวนี้ ผมว่าพี่ทำคนเดียวก็คงได้ แต่จะเอาซีวอนไปด้วยไหมล่ะฮะ?” เด็กหนุ่มละมือจากกาแฟตรงหน้าไปโน้ตบุ๊กคู่ใจเพื่ออธิบายรายละเอียดของงานชิ้นนี้ ซึ่งผู้ว่าจ้างเป็นถึงดารานักร้องสาวชื่อดัง ‘โบอา’ คำขอก็คือจัดการกับสโตรกเกอร์โรคจิตที่คอยตามทำลายชีวิตเธอ
“ไม่ต้องหรอก พี่คนเดียวก็เกินพอแล้ว...” ยูชอนวางแก้วกาแฟลงหลังฟังรายละเอียดของงานเสร็จก่อนตอบคำถามของคิบอมอย่างไม่ต้องคิดมาก แต่กลับมีเสียงของผู้มาใหม่ปฏิเสธเข้าให้
“สงสัยจะไม่ได้ละครับพี่...”
“ซีวอน...?” สีหน้าของยูชอนที่ตอนนี้ดูก็รู้ว่าไม่เข้าใจสิ่งที่ซีวอนพูดสักนิด นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่จ้องมองมาคาดคั้นจนเขาต้องรีบบอกสาเหตุก่อนจะมีลูกกระสุนเฉียดหัวเขาไปสักนัดหรือสองนัด
“ก็พี่จองซูเพิ่งไล่ผมมาทำงานนิครับ...” ยูชอนพยักหน้ารับรู้อย่างเข้าใจ
“งั้น...รีบไปรีบกลับก็แล้วกัน... คิบอม พี่ฝากดูแลจุนซูด้วยนะ”
“รับทราบครับผม...”
ในโดมที่ใช้ทำการแสดงคอนเสิร์ตของดาราสาวชื่อดัง เจ้าของเสียงหวานไฟเราะดุจนกไนติงเกล เส้นผมสีน้ำตาลของเธอพลิ้วตามการเคลื่อนไหวของร่างกายด้วยท่วงท่าที่งดงาม ใบหน้าที่ยิ้มแย้มด้วยความสุขโดยมิได้มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่า ภายใต้หน้ากากของรอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกกดดันมากเพียงใด เสียงเมโลดี้ตัวสุดท้ายสิ้นสุดลงพร้อมม่านที่ปิดมาบ่งบอกถึงช่วงเวลาของความสุขที่จบลง
ภายในห้องแต่งตัวที่ไม่มีใครอยู่แล้ว หญิงสาวคนที่พึ่งร้องเพลงและเต้นอย่างมีชีวิตชีวาบนเวทีเมื่อกี้กลับนั่งน้ำตานองใบหน้า เมื่อสิ่งที่เธอเห็นในโทรศัพท์มือถือของเธอคือภาพที่ถูกแอบถ่ายจากสโตรกเกอร์ที่คอยตามเธอ ไม่ว่าจะเปลี่ยนเบอร์สักกี่ครั้งมันก็ยังตามหลอกหลอนเธอไม่เลิก รูปที่ถ่ายทุกการกระทำของเธอทั้งในห้องเปลี่ยนเสื้อและตามที่ต่างๆ ข่าวอื้อฉาวของเธอก็ล้วนมาจากคนๆ นี้ทั้งนั้น เพราะแรงกดดันจากมือที่มองไม่เห็นทำให้หญิงสาวตัดสินใจเปิดเว็บ ‘หนทางแห่งการแก้แค้น’ ที่เคยได้ยินขึ้นมา ไม่รู้ว่ามันจะช่วยอะไรได้รึเปล่าแต่เธอก็ทำมันไปแล้ว...
“สวัสดีครับ คุณผู้หญิง...” เสียงคนแปลกหน้าดังมาจากด้านหลังเรียกให้หญิงสาวตกใจ หันไปมองชายหนุ่มที่อยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวลายทาง เพราะหมวกและแว่นตาดำที่ใช้ปิดบังทำให้เธอไม่รู้ว่าหน้าตาของเขาเป็นเช่นไร และเขาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?
“คะ...คุณเป็นใคร?” เสียงแหบหวานเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก หรือว่าชายคนนี้คือสโตรกเกอร์ที่ติดตามเธออย่างนั้นเหรอ!!?
“ขออภัยที่แนะนำตัวช้าไป ผมคือ ‘Prince’ แห่ง DL ความปรารถนาของคุณ เราจะทำให้เป็นจริง หากคุณยอมรับเงื่อนไขของพันธะแห่งสัญญา” น้ำเสียงทุ้มหล่อชวนให้ลุ่มหลง หากแต่การกระทำกลับตรงข้ามกันโดนสิ้นเชิงเมื่อกระบอกปืนสีดำมันในมือกลับถูกยกขึ้นจ่อในระดับเดียวกับศีรษะ นัยน์ตาของหญิงสาวเบิกกว้างด้วยความตกใจ
”หากยอมรับก็หมายความว่าคนที่คุณต้องการแก้แค้นจะต้องสิ้นชีวิตไป แต่นั่นก็หมายถึงคุณที่ต้องตายตามเขาไปด้วย ทีนี้คุณมีความแค้นมากพอที่ยอมรับพันธะสัญญานี้หรือไม่...?” ชายหนุ่มอธิบายอย่างรวบรัดแล้วปล่อยให้หญิงสาวมีเวลาได้คิดทบทวนทั้งที่ปืนยังคงจ่ออยู่แบบนั้น
คำถามที่ทำให้คนบางคนต้องคิดหนักแต่กับโบอาแล้วคงไม่ หญิงสาวหลับตาลงเพื่อตั้งสติ ในเมื่อเธอไม่มีอะไรจะเสียดายแล้วนี้ความฝันของเธอคือการได้ร้องเพลงก็ทำไปแล้ว ยอมตายไปพร้อมกับไอ้โรคจิตที่จ้องจะทำลายชีวิตเธอมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนี่...
“ฉันตกลงค่ะ!!” นัยน์ตาของหญิงสาวเป็นประกายมุ่งมั่นยามตอบตกลง คำตอบที่ให้ซีวอนยิ้มอยู่ในใจ มือที่ถือปืนลดลงมาก่อนเก็บเข้าที่เดิม ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ลูบหัวหญิงสาวเบาๆ แต่กลับอบอุ่นจนเธอเกือบร้องไห้ออกมา
“ยินดีด้วยคุณผู้หญิง ‘พันธะสัญญา’ เป็นอันสำเร็จ ขอโทษที่ขู่ให้กลัวนะ แต่พวกเราไม่ฆ่าเธอหรอก ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปจะไม่มีใครมารังควานชีวิตเธออีกแล้วล่ะ ร้องเพลงอย่างมีความสุขเถอะนะ... ลาก่อน...” ซีวอนหายตัวไปอย่างรวดเร็วไม่ทันให้หญิงสาวทันได้ซักถามอะไร สิ่งที่คนแปลกหน้าอย่างเขาพูดอาจจะดูไม่น่าเชื่อแต่กลับทำให้เธอมั่นใจ ว่าต่อจากนี้ไปจะไม่มีใครเข้ามาทำลายชีวิตเธออีกแล้ว การพบกันที่เหมือนความฝันเพียงเสี้ยววินาที
ไม่นานซีวอนก็มาปรากฏตัวบนยอดตึกแห่งหนึ่ง ณ ที่ตรงนั้นมีใครคนหนึ่งรออยู่แล้ว... เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มยามนี้ไร้แววขี้เล่นดังเช่นปกติ มีเพียงความเย็นชาและดุดันยามมองดูใบไม้หลากสีที่ปลิดตัวเองจากยอดลงสู่พื้นดิน บ่งบอกถึงฤดูใบไม้ร่วงที่เดินทางมาถึงแล้ว... ยูชอนไม่ได้หันหลังไปมอง เพียงแค่เสียงฝีเท้าชายหนุ่มก็รู้แล้วว่าผู้มาเยือนเป็นใคร
“ว่าไง?”
“พันธะสัญญาเสร็จสมบูรณ์ครับ แล้ว...?” ซีวอนเว้นวรรคเพื่อรอให้ยูชอนสั่งว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป เนื่องจากงานนี้จะต้องหาตัวคนที่เป็นสโตรกเกอร์ให้ได้ซะก่อน แล้วเรื่องหลังจากนั้นก็ไม่ใช่ปัญหา
“สะกดรอยตามเธอไป เดี๋ยวก็เจอมันเองนั่นแหละ... แต่ตอนลงมือ...ฉันจะจัดการเอง” น้ำเสียงที่ออกคำสั่งเรียบนิ่ง ซีวอนเหลือบตามองยูชอนด้วยสายตาแฝงความนัย ก่อนจะหายตัวไปทำตามคำสั่ง เขารู้ว่า...ทำไม ‘King’ แห่ง DL จึงอยากลงมือเอง หากไม่ใช่เพราะเรื่องในอดีตที่ฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้
“เพราะมีคนแบบพวกแกอยู่ โลกมันถึงได้สกปรก...” ชายหนุ่มทิ้งเพียงคำพูด ก่อนร่างในชุดสีดำจะหายตัวไปจากยอดตึกแห่งนั้น สายลมพัดผ่านพาทุกสิ่งทุกอย่างให้หายไป หากแต่สายลมนั้นไม่เคยลบล้างอดีตออกไปได้เลย
แสงแดดยามเที่ยงที่ลอดผ่านรอยแหวกของม่านสีครีมช่างร้อนแรงเสียจนคนบนเตียงต้องตื่นขึ้นมาไม่ได้... แพขนตาหนาขยับน้อยๆ ก่อนจะเผยให้เห็นนัยน์ตาคู่สวย ร่างบางบิดกายเบาๆ คลายความเมื่อยล้า เป็นเวลาเดียวกับอัจฉริยะขององค์กรเข้ามาในห้องพอดี
“ตื่นแล้วเหรอฮะ?” ร่างบางพยักหน้าก่อนจะใช้มือขยี้ตาเบาๆ ขณะเดียวเด็กหนุ่มนั่งลงบนเตียงข้างคนสวยที่เขาเป็นคนทำให้ไม่ได้นอนแทบทั้งคืนนั่นเอง
“ขอโทษครับ ผมทำให้พี่เหนื่อยอีกแล้ว...” สีหน้าสำนึกผิดที่ทำให้แจจุงอดดึงเด็กหนุ่มเข้ามากอดไว้ไม่ได้ มือเรียวตีหน้าผากคิบอมด้วยความเอ็นดูเสียหนึ่งที น้ำเสียงหวานที่เอื้อนเอ่ยติดจะยังงัวเงียอยู่มาก
“เด็กโง่...คิดมากทำไม เรื่องไม่เป็นเรื่อง
”
“พี่แจจุง...” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ แต่คิบอมที่เป็นแบบนี้แจจุงไม่ชอบเท่าไหร่หรอก เพราะมันทำให้เขารู้สึกว่าคิบอมกำลังเจ็บปวดโดยที่เขาไม่สามารถช่วยอะไรได้มากไปกว่านี้
“ลงไปกินข้าวกันดีกว่านะ ว่าแต่ตอนนี้กี่โมงแล้วเนี่ย? แล้วงานล่ะ?” ร่างบางถามเป็นชุดพลางควานหานาฬิกาบนหัวตียงที่ไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน ท่าทางที่ทำให้คิบอมต้องยิ้มและหัวเราะออกมาเบาๆ
“ใจเย็นๆ สิครับ ตอนนี้เที่ยงครึ่ง ส่วนงาน...ผมให้พี่ยูชอนกับซีวอนไปทำแทนแล้วครับไม่ต้องห่วง รีบลงไปข้างล่างเถอะครับ ป่านนี้พี่จุนซูทำอาหารเสร็จแล้วล่ะมั้ง?” ร่างบางพยักหน้ารับก่อนจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัว
เด็กหนุ่มเดินลงมาด้านล่างตามบันไดที่ปูด้วยพรมสีน้ำเงินเข้มดูคลาสสิค ราวบันไดสีทองสว่างเข้ากับผนังบ้านสีครีมอ่อนและม่านสีโอรสสวย แชนเดอเลียตัวใหญ่ที่อยู่กลางบ้านยิ่งเสริมให้ดูงดงามราวกับอยู่ในพระราชวัง เพราะเสียงฝีเท้าที่ดังจากด้านบนทำให้ร่างเล็กที่อยู่ในครัวโผล่หน้าออกมามอง ตามด้วยเสียงทักอย่างสดใส
“คิบอม...แจจุงตื่นแล้วเหรอ?”
“ครับ...เดี๋ยวสักพักคงลงมา ว่าแต่เที่ยงนี้มีอะไรกินมั่งละฮะ?” คิบอมเดินเข้าไปนั่งรอที่โต๊ะอาหารที่ตอนนี้มีเพียงจานและแก้วน้ำเปล่าว่างเตรียมไว้อยู่
“นายคิดว่าพี่ทำอาหารเก่งนักรึไง?“ จุนซูนำข้าวผัดเป็ดปักกิ่งจานใหญ่มาวางไว้ตรงกลางโต๊ะ อย่างที่พูด...สิ่งที่ร่างเล็กทำได้ก็มีแค่ข้าวผัดเพียงอย่างเดียว
“แต่ยังไงข้าวผัดพี่ก็อร่อยที่สุดนี่ฮะ” เด็กหนุ่มยิ้มตอบ แต่เป็นรอยยิ้มที่ชวนให้จุนซูหมั่นเขี้ยวซะมากกว่า คิบอมรู้ว่าควรพูดอะไรในตอนไหนและต่อหน้าใคร ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าเป็นคนรู้เวลา แต่สำหรับเขามันก็แค่...คนปากหวาน...เท่านั้นแหละน่า
“ถ้าแจจุงอยู่...นายคงไม่พูดแบบนี้ใช่ไหม?” จุนซูส่งสายตาคาดโทษไปให้ เด็กหนุ่มได้แต่ยิ้มแหย่ๆ เพราะเถียงไม่ออก
“ง่า...พี่จุนซูอ่า...”
“ช่างเถอะ นายจัดการต่อด้วย พี่จะไปเรียกพี่จองซูกับซองมินมาก่อน”
“ครับๆ”
หลังจากเวลาอาหารเที่ยงผ่านไป แจจุงออกไปเดินเที่ยวข้างนอกคนเดียว ร่างบางเดินไปตามฟุตบาทถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่นควัน นัยน์ตาคู่สวยมองดูสถานที่รอบๆ ตัวซึ่งดูไม่คุ้นตา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างไม่ชอบใจนัก เจ็ดปีที่ไม่ได้กลับมาที่เกาหลี ถนนหนทางเปลี่ยนไปมาก การเดินคนเดียวไม่ใช่เรื่องดีเอาซะเลย ทุกทีจะมีเพื่อนอย่างจุนซูหรือยูชอนมาด้วย แต่พอมาคนเดียวกลับเริ่มรู้สึกเหมือนจะหลงทาง แล้วจะหาคนนำทางก็ไม่ได้ซะด้วย
เพราะมัวแต่เหม่อร่างบางถึงไม่ได้สังเกตว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเดินออกมาจากซอยข้างหน้าเขา ทั้งสองจึงชนเข้าอย่างจัง แจจุงล้มลงไปบนตัวคนที่เขาชนจนใบหน้าของทั้งคู่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ เสียงทุ้มต่ำกำลังจะเอ่ยต่อว่าร่างที่ล้มลงมาทับเขาหากไม่เห็นใบหน้าของร่างบางชัดๆเสียก่อน น้ำเสียงตะคอกในตอนแรกกลายเป็นเขินอายอย่างรวดเร็ว
“นี่ คุณ!!
จะ...แจจุง...”
“อ้าว...นายนี่เอง เจอกันอีกแล้วนะ...” พอเห็นหน้าคนที่ตัวเองล้มลงไปทับรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าสวย หวานเสียจนคนที่มองใจแทบละลาย สองมือแกร่งยันกายขึ้นเมื่อร่างบางลุกขึ้นแล้วส่งมือมาให้ชายหนุ่ม ทั้งที่เขาอยากอยู่แบบนั้นนานๆ อีกนิด
“ขอโทษด้วย ฉันไม่ระวังเอง นายเจ็บตรงไหนรึเปล่า?” แจจุงสำรวจไปรอบตัวชายหนุ่มก่อนจะพบศอกขวาที่ถลอกจนเลือดซึม ร่างหวานยิ้มแหย่ๆ ก่อนจะเอ่ยขอโทษอีกครั้ง มือเรียวใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวของตนพันแขนชายหนุ่มไว้
“อืม...พันไว้แบบนี้คงไม่เป็นไรแล้วมั้ง? ขอโทษนายจริงๆนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ... ว่าแต่คุณจะรีบไปไหนเหรอครับ?” ความจริงแล้วชายหนุ่มดีใจมากที่ได้พบกับแจจุงอีกครั้ง หากแต่สิ่งที่พูดกลับเรียกคิ้วเรียวให้ขมวดกัน สีหน้าๆ ยุ่งที่ทำเอายุนโฮนึกไม่ออกว่าพูดอะไรผิดไป ถ้าไม่ได้แจจุงช่วยเฉลยให้ละก็...
“นี่...คราวที่แล้วฉันบอกนายว่าอะไรนะ?” คำถามที่เรียกให้ชายหนุ่มประมวลความทรงจำของตัวเองในตอนที่พบแจจุงครั้งแรก ก่อนใบหน้าคมจะมีรอยยิ้มเมื่อนึกออก
“โอเคๆ ขอโทษที แล้วตกลงนายจะรีบไปไหนล่ะ?”
“อืม...ดีแล้ว เปล่าหรอก คือ...ฉันแค่....กำลังหลงทางน่ะ...” แจจุงสารภาพไปตามความจริงเพราะร่างบางคาดหวังว่าชายหนุ่มแปลกหน้าที่พึ่งเจอกันเมื่อวานอาจช่วยเขาได้
“หลงทาง? ในโซลเนี่ยนะ?” น้ำเสียงของชายหนุ่มมีแต่ความประหลาดใจที่เรียกสีหน้ายุ่งๆ ของแจจุงให้ผุดขึ้นมาอีกครั้ง
“อย่าถามอย่างนั้นสิ...ก็ฉันไม่ได้กลับมาที่นี่ตั้งนานแล้วนะ”
“ฮ่าๆ...ล้อเล่นน่าอย่าโกรธเลย ให้ฉันนำทางเป็นการไถ่โทษได้ไหม?”
“จริงเหรอ? นายจะจะช่วยฉันจริงเหรอ? ขอบใจนะ
” เสียงหวานเต็มไปด้วยความยินดี มือเรียวจับมือชายหนุ่มเขย่าแสดงความขอบคุณ กลีบปากบางสีกลีบกุหลาบแย้มรอยยิ้มสวย โดยไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มของตนนั้นทำให้ยุนโฮหลงใหลขนาดไหน
นี่...เขากำลังตกหลุมรักรอยยิ้มแบบนี้ ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!!?...
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็พาร่างบางเดินเที่ยวซะทั่วเมือง นัยน์ตาสีนิลมองสำรวจไปรอบๆ เพื่อจดจำเส้นทางในเมืองให้แม่นยำ ในขณะที่ยุนโฮมองท่าทางแบบนั้นแล้วอมยิ้มอย่างมีความสุข เวลาล่วงเลยมาจนเกือบสี่โมงเย็น ยุนโฮเริ่มรู้สึกโหวงๆ ในท้องและพึ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเขาเองไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าแล้ว เพราะมัวแต่วุ่นวายกับคดีของ DL ที่มีคนในหน่วยได้ไปเจอมากับตัวถึงสองคน เสียงท้องร้องประท้วงดังโคร่งครากจนแจจุงได้ยิน
“ยุนโฮ...ท้องนายร้องแน่ะ?” เสียงหวานทักเบาๆ พลางหัวเราะ คำพูดที่เรียกสีแดงเรื่อบนใบหน้าคมที่เกิดจากความอายได้เป็นอย่างดี
“นายช่วยทำเป็นไม่ได้ยินก็ได้นะ...”
เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่กลับสานสายสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ให้ใกล้ชิดกันราวกับเป็นเพื่อนสนิทที่รู้ใจกันมานาน แจจุงยอมรับกับตัวเองในใจว่าเขารู้สึกดีกับยุนโฮมากทีเดียว...มันเป็นเรื่องน่าแปลก สำหรับคนอย่างเขาที่ไว้ใจและสนิทสนมกับคนที่พึ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงหนึ่งวัน
“ฮ่าๆ ก็หูไม่ได้หนวกนิ” แจจุงยิ่งหัวเราะหนักกว่าเดิมเพราะท่าทางของยุนโฮที่ซ่อนหน้าแดงๆของตนด้วยการก้มหน้างุดๆ ลงต่ำ ก่อนจะรีบหาทางหยุดเสียงหัวเราะอย่างสนุกของร่างบาง ถึงจะชอบก็เถอะ แต่ก็ไม่อยากอายมากไปกว่านี้นี่นา...
“ไปทานข้าวกันไหม?”
“นายจะเลี้ยงเหรอ?”
“ก็ประมาณนั้น...แล้วนายอยากทานอะไรล่ะ?”
“ฉันเหรอ? ฉันอยากไปร้านสเต็กตรงหัวมุมถนนเมื่อกี้ได้ไหมอ่ะ?”
“ตามใจนายสิ...”
แล้วยุนโฮก็พาแจจุงเดินย้อนกลับไปร้านที่ว่าซึ่งอยู่ตรงหัวมุมถนน ด้วยความที่เป็นร้านเล็กแบบเปิดโล่งจึงอาจมีผู้ใช้บริการไม่มากนัก ตัวร้านล้อมด้วยรั้วไม้สีอ่อน พื้นเป็นลานดินที่ถูกโรยทับด้วยหินกรวดสีขาวก้อนเล็กๆ โรยไว้มีแผ่นหินสีดำขนาดพอเหมาะวางไว้เป็นทางให้ก้าว กำแพงอิฐประดับด้วยเถาไอวี่ดูเป็นธรรมชาติ ทั้งสองคนเลือกนั่งโต๊ะตัวที่อยู่มุมด้านในติดกับกำแพงและรั้วสีขาว โต๊ะกลมทำจากแผ่นกระจกใส ขาตั้งเป็นแท่งแสตนเลนบางสีดำตัดกับสีของรั้วถึงจะบางแต่กลับมั่นคงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ขณะที่เก้าอี้เป็นไม้สีขาวแบบเดียวกับรั้ว โดยแต่ละโต๊ะจะมีร่มผ้าสีขาวขนาดใหญ่ไว้ใช้บังแดด
เพราะบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติของร้านทำให้แจจุงประทับใจตั้งแต่แรกเจอ... มันเหมือนกับร้านในฝันของเขา ตั้งแต่เด็กแล้วร่างบางฝันอยากจะเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเองสักครั้ง หากแต่เมื่อเหตุการณ์วันนั้นมันทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตต้องสูญเสียไป ทั้งครอบครัว ทั้งความฝัน แม้กระทั่งความทรงจำก็ไม่มีเหลือ...
“แจจุง...” เสียงทุ้มที่เรียกให้ร่างบางสั่งอาหารปลุกให้เขาให้ตื่นจากภวังค์ในอดีต แจจุงปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนเงยหน้าขึ้นจากเมนูที่ปิดหน้าตัวเองไว้ หันไปสั่งอาหารกับบริกรหนุ่มที่ยืนรออยู่
“อืม...ขอสปาเก็ตตี้ไวท์ซอสกับซุปไก่ครับ” แจจุงว่าก่อนจะหันกลับมาหาชายหนุ่มที่เอาแต่มองหน้าเขาอยู่
“ยุนโฮ...มองหน้าฉันทำไม?”
“มองคนสวย...ผิดด้วยเหรอ?” ยุนโฮยื่นหน้าทะเล้นเข้าไปใกล้ ถ้าเป็นคนอื่นคงถูกร่างบางเอาปืนที่ซ่อนอยู่ออกมาเป่าสมองจนกระจุยแล้วเป็นแน่ แต่กับคนๆ นี้กลับไม่ใช่ เพราะสิ่งที่ชายหนุ่มได้รับมีเพียงพวงแก้มขาวที่ขึ้นสีแดงระเรื่อแทน แม้แต่ตัวเองยังอดประหลาดใจไม่ได้ เขาไม่เคยเป็นแบบนี้... ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน... ทำไมชายหนุ่มตรงหน้าถึงมีอิทธิพลกับเขามากมายขนาดนี้
“บ้า...นายพูดแบบนี้อีกแล้วนะ...”
“ก็มันจริงนี่นา...” ชายหนุ่มยังคงยืนยันคำพูดของตนเอง ร่างบางใช้เมนูปิดหน้าตัวเองไว้ จนกระทั่งอาหารที่สั่งไปมาเสิร์ฟตรงหน้านั่นแหละ ถึงได้ยอมเอาออก ชายหนุ่มมองร่างบางตรงหน้าที่ทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ลืมไปเลยว่าคนที่สมควรรีบทานคือเขาต่างหาก เพราะร่างบางมัวแต่ลิ้มรสชาติแสนอร่อยจนไม่รู้ตัวเลยว่าซอสของสปาเก็ตตี้เปื้อนปากเขาอยู่ ยุนโฮที่มองอยู่จึงหยิบผ้าเช็ดปากซึ่งวางอยู่ด้านข้างขึ้นไปเช็ดให้ร่างบาง
“แจจุง...เลอะหมดแล้ว” ชายหนุ่มยื่นผ้าขาวไปเช็ดซอสที่เปื้อนมุมปาก ในขณะที่คนทานเลอะได้แต่นั่งนิ่งอย่างเขินอาย ที่พึ่งทำตัวเหมือนเด็กๆ ไป
“ขอบคุณ
” เสียงหวานเอ่ยขอบคุณ รอยยิ้มเพียงแผ่วบางแต่กลับกอบกุมหัวใจไปทั้งดวง ทำให้ยุนโฮไม่อาจละสายตาไปจากดวงหน้าสวยได้เลย แจจุงรีบหาเปลี่ยนเรื่องไม่ให้ชายหนุ่มจ้องหน้าเขาไปนานกว่านี้ “ยุนโฮ...นายทำงานอะไรหรอ?”
แต่กลับเป็นคำถามที่ทำให้ชายหนุ่มต้องคิดหนักว่าควรจะตอบไปตามความจริงดีหรือไม่ เขาเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับคนที่ไม่ชอบอาชีพตำรวจมาก่อน เลยไม่แน่ใจว่าแจจุงจะเป็นอย่างนั้นด้วยไหม? และถ้าเป็น...เขาก็ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของเขากับร่างบางต้องจบลงเพียงเท่านี้ จึงเลือกที่จะตอบแบบเลี่ยงๆ ไปแทน
“ก็แค่งานรับราชการน่ะ แล้วนายล่ะ?” ยุนโฮรีบถามกลับไม่เปิดโอกาสให้แจจุงถามต่อว่าราชการอะไร
“ฉันเหรอ? งานอิสระน่ะ ไม่ได้ทำอะไรเป็นหลักเป็นแหล่งหรอก ถึงต้องเดินทางไปที่อื่นอยู่ตลอดไง”
“มิน่านายถึงได้หลงทาง แล้วพ่อแม่นายล่ะ พวกท่านอยู่ที่นี่รึเปล่า?”
“พ่อแม่ฉัน...ท่านเสียไปแล้วล่ะ เพราะฉันยังเด็กก็เลยไม่รู้ว่าพวกท่านเสียไปเพราะอะไร ตอนนี้ฉันอยู่กับพี่นะ...”
“ขอโทษที่ทำให้นึกถึงนะ...” ยุนโฮรีบขอโทษเพราะดูเหมือนตัวเองจะถามอะไรที่ไม่เข้าท่าออกไปแล้ว ยิ่งเห็นใบหน้าที่หมองเศร้าลงแม้เพียงวูบเดียวก็ทำให้เขารู้สึกผิดมากกว่าเก่า
“ไม่เป็นไรหรอก...แล้วนายล่ะยุนโฮ?”
“เหมือนนายแหละ...แต่ฉันอยู่คนเดียวน่ะ” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับเสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นขัดจังหวะได้อย่างพอดิบพอดี เบอร์ที่ขึ้นเป็นของอึนฮยอกทำให้ยุนโฮรู้ว่าจะต้องมีคดีอะไรเกิดขึ้นอีกแน่ นิ้วเรียวกดรับสายในทันใด
“มีอะไร?”
“พบศพชายไม่ทราบชื่อถูกฆ่าใกล้บริษัท SM Entertainment คาดว่าเป็นฝีมือ DL”
“อืม...เข้าใจแล้ว ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”
“ยุนโฮ...มีอะไรเหรอ?”
“คือ...มีงานด่วนนิดหน่อย ขอโทษจริงๆ นะ แจจุง ให้ฉันไปส่งไหม?”
“ไม่ต้องหรอก นายรีบนี่นา ฉันกลับเองได้ไม่ต้องห่วง แต่นายอย่าลืมจ่ายค่าอาหารก็แล้วกัน...” แจจุงงพูดติดตลกไม่ให้ชายหนุ่มเป็นห่วง ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ายุนโฮกลัวเขาหลงทาง
“ไม่ลืมหรอกน่า เอานี่...เบอร์ฉันถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรมา แล้วคราวหน้าเจอกันใหม่นะ...” ชายหนุ่มส่งกระดาษที่จดเบอร์ของตัวเองให้แล้วรีบไปเช็คบิล โดยไม่ลืมที่จะโบกไม้โบกมือลาร่างบางอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม
ทางด้านแจจุงหลังจากแยกกับยุนโฮ รอยยิ้มที่มีบนใบหน้าจางหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กลายเป็นความเย็นชาที่เข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว ร่างบางลุกออกจากร้านเพื่อกลับบ้าน ทว่าในหัวมีแต่เรื่องที่พึ่งคุยกับยุนโฮไป
“ฮึ...จำไม่ได้งั้นเหรอ...แจจุงนายพูดออกไปด้วยสีหน้าแบบไหนกัน...” ร่างบางแค่นยิ้มกับตัวเอง พลางหัวเราะอย่างขมขื่น นัยน์ตาสีนิลยามนี้มองยังไงก็สัมผัสได้เพียงว่างเปล่าจนน่ากลัว
“ทำไมจะจำไม่ได้... เสียงกรีดร้องทุรนทุรายของแม่ เสียงตะโกนอย่างเจ็บปวดของพ่อ เลือดที่สาดกระเซ็นไปทั่วทุกแห่งของพื้นบ้าน นายยังเห็นมันชัดเจนเหมือนภาพหนังที่ฉายซ้ำไปซ้ำมาอย่างนี้!!! จะบอกว่านายจำไม่ได้อย่างนั้นเหรอ...?” มือเรียวกุมศีรษะที่เริ่มปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าหวานเหยเกด้วยความทรมาน พยายามพาตัวเองกลับให้เร็วที่สุด
แต่ก็แค่นั้นเพียงเดินออกจากร้านไม่ถึงสิบนาที ร่างบางก็ทรุดลงที่พื้นหญ้าในสวนสาธารณะแห่งเดียวกับวันก่อน ถึงจะห่างจากบ้านไม่มากนัก แต่แจจุงก็ไม่มีแรงพอจะพาตัวเองกลับได้แล้ว นัยน์ตาคู่สวยปิดลง มือเรียวคว้านหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า
“Knight! I’m Queen. คิบอม...มารับ....พี่ที” แจจุงไม่ลืมรหัสในการรายงานตัว แต่เสียงหวานก็ขาดเป็นช่วงๆ เพราะอาการปวดที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
“พี่แจจุง!! เป็นอะไรไปฮะ? ตอนนี้พี่อยู่ที่ไหน?” น้ำเสียงปลายสายฟังดูทรมานมากเสียจนเด็กหนุ่มตกใจ มือข้างที่ข้างที่ว่างรีบหาที่อยู่ของแจจุงจากสัญญาณโทรศัพท์ในโน้ตบุ๊ก
“เปล่า...แค่ปวดหัว...นิดหน่อย...ฮึก...”
“มันไม่นิดแล้วนะฮะ พี่รออยู่ที่นั่นก่อนเดี๋ยวผมกับพี่จุนซูจะไปรับนะฮะ พี่แจจุง!!!” คิบอมตะโกนเรียกแจจุงที่เงียบไป อัจฉริยะหนุ่มเรียกเจ้าหญิงแห่ง DL ให้ไปด้วยกัน ไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงสถานที่ที่แจจุงอยู่
“แจจุง / พี่แจจุง” สองเสียงประสานกันเมื่อได้พบร่างบางที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้เตี้ยไม่ให้ใครเห็น ความทรมานที่ปรากฏบนใบหน้ายังเด่นชัด
“จุนซู...คิบอม..”
“แจจุง...บอกฉัน เกิดอะไรขึ้น...?!!”
“ฉันเห็นมันอีกแล้ว...จุนซู...ฉัน...” เพียงประโยคสั้นๆ แต่ทำให้ร่างเล็กเข้าใจ จุนซูดึงแจจุงเข้ามากอดไว้แน่นๆ เพื่อปลอบให้ร่างบางสงบลง
“ไม่เป็นไร...แจจุง ลืมมันไปซะ...ลืมมันไป... นายจะได้ไม่ทรมาน...” จุนซูกระซิบแผ่วเบา มือเล็กลูบศีรษะแจจุง แล้วผละออกให้คิบอมรับแจจุงขึ้นขี่หลัง ก่อนร่างของทั้งสามคนจะหายไป...
หลังจากคอนเสิร์ตรอบบ่ายจบลง โบอาก็กลับไปที่บริษัท SM Entertainment ต้นสังกัดของเธอเอง หญิงสาวจอดรถบริเวณด้านหลังบริษัท แต่พอลงจากรถก็รู้สึกเหมือนถูกมอง เธอหันไปข้างหลังแต่ก็ไม่พบใคร นักร้องสาวส่ายหน้าให้กับการคิดมากเกินไปของเธอเอง ก่อนจะก้าวเข้าตึกไป ลับหลังหญิงสาวชายคนหนึ่งอยู่ในเสื้อยึดสีขาวกางเกงสีดำสวมหมวกและแว่นตาดำปิดบังใบหน้า ในมือถือกล้องตัวไม่ใหญ่มากนัก โผล่ออกมาจากซอกตึกตรงข้ามบริษัท มันคือ...สโตรกเกอร์ที่คอยตามหญิงสาวนั่นเอง
และชายผู้นี้คงได้ลักลอบเข้าไปในบริษัทเพื่อถ่ายภาพนักร้องสาวเป็นแน่ หากไม่มีแรงกระชากที่ปกคอเสื้อทำให้เจ้าตัวลงไปกองกับพื้น อาจเป็นเพราะชายคนที่กระชากเขาลงมาแต่งตัวด้วยหมวกและแว่นตาที่ปิดบังใบหน้าเลยคิดว่าเป็นพวกเดียวกัน
“นี่...นายน่ะ ตามโบอาเหมือนกันเหรอ? ถ้าไงเรามาร่วมมือกันดีไหมล่ะ?” แต่คำชวนคงไม่เป็นผลเมื่อคนที่เขาพึ่งชวนกลับลากคอเขาเข้าไปในซอกตึกข้างบริษัท SM แทน
“ปล่อย!!! ปล่อยฉันนะเว้ย!! แกเป็นใครว่ะ?” เสียงโวยวายดังไปตลอดทางที่ถูกลากไป ไม่ว่าจะขืนตัวออกยังไงก็สู้แรงไม่ได้ หากแต่เสียงนั้นกลับต้องเงียบลงเมื่อเห็นประกายมันของแท่งกระบอกสีนิลที่จ่ออยู่ที่ปาก
“หุบปากแกซะ ถ้าไม่อยากตาย...” น้ำเสียงเยียบเย็นที่ทำให้สโตรกเกอร์โรคจิตเงียบลงในทันใด
“พูดผิดแล้วนะ ‘Prince’ ต้องเติมว่า...เร็วเกิน...ไปด้วยซิ หึๆ แต่ยังไงก็ไม่ต่างกันอยู่ดีนี่นะ” เจ้าของน้ำเสียงเย็นชาอีกคนปรากฏตัวขึ้นด้านหลังชายคนแรก ในมือถืออาวุธไม่ต่างกันเพียงคราวนี้มันจ่ออยู่ที่หัวของเขา ความกลัวแล่นเข้าเกาะกุมหัวใจ
“พะ...พวกแกเป็นใคร!!!?”
“...สิ่งที่แกต้องรู้มีอย่างเดียว......ฉันเกลียดคนที่ทำร้ายผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้!!!”
...ปัง...
เพียงนัดเดียวแต่แม่นราวกับจับวาง ลูกกระสุนโลหะพุ่งทะลุหัวกะโหลกจนสมองนิ่มๆ แตกกระจุย งานนี้...ง่ายดายในการทำ แต่ยากในความรู้สึกของซีวอน จะเป็นอะไรหากไม่ใช่รอยยิ้มขมขื่นที่อยู่บนใบหน้าของ ‘King’ แห่ง DL
“พี่ยูชอน...ไม่รีบเกินไปเหรอครับ?” หลังจากงานจบลง คำพูดในการทำงานก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป หากแต่ความรู้สึกของคนตรงหน้าที่กำลังจมอยู่ในอดีตนั่นเล่าจะกลับคืนมาหรือยัง?
“ไม่ดีเหรอซีวอน? จะได้กลับไปหาพี่จองซูเร็วๆไง...” ยูชอนว่าพลางหยิบการ์ดที่มีสัญลักษณ์ของ DL ทิ้งไว้บนร่างไร้ลมหายใจของเหยื่อ
“มันก็ใช่ครับ... แต่...” สิ่งที่ซีวอนจะพูดถูกหยุดไว้เพียงแค่นั้น เมื่อยูชอนหันมายิ้มให้แล้วบอกว่า...
“กลับกันเถอะ...”
ร่างของคนทั้งคู่หายไปในความมืดมิดที่แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันและซากของอดีตสิ่งมีชีวิต ไม่นานก็มาถึงบ้าน ซีวอนรีบไปหาคนรักอย่างไม่รอช้า ในขณะที่ยูชอนทิ้งตัวลงบนโซฟานุ่ม ร่างสูงบิดกายด้วยความเมื่อยล้า มือเรียวเล็กโอบคอชายหนุ่มจากด้านหลัง
“จุนซู...หายปวดหัวแล้วเหรอ?” ยูชอนว่าขณะเงยหน้าขึ้นมองคนรัก มือใหญ่จับเส้นผมสีน้ำตาลเข้มของคนรักก่อนกดลงมาแลกสัมผัสอ่อนหวานของกันและกันผ่านริมฝีปาก
“จะปวดอีกก็เพราะนายนี่ล่ะ? กลับช้านะ
”
“งานยุ่งยากนิดหน่อยน่ะ แล้วแจจุงล่ะ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามถึงอีกคนที่ตั้งแต่กลับมายังไม่เห็นหน้า ทั้งที่ปกติน่าจะมาแหย่เขาที่กลับมาช้าเป็นคนแรกแท้ๆ
“ในห้อง... แต่...” น้ำเสียงจุนซูฟังดูผิดปกติกว่าที่เคย แต่แค่นั้นมันก็มากพอที่จะทำให้ชายหนุ่มรู้ได้แล้วว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ
“หือ?”
“ตอนบ่ายแจจุงออกไปข้างนอกมา ตอนไปไม่มีอะไรหรอก แต่ตอนกลับ ฉันไม่รู้ว่าเขาเจออะไร แต่เหมือนมันจะไปกระตุ้นความทรงจำนั้นของแจจุงเข้าก็เลย...”
“จำได้แล้ว...?”
“ไม่หรอก...เขายังนึกอะไรไม่ออกเลยนอกจากภาพเหตุการณ์ในตอนนั้น” จุนซูถอนหายใจอย่างหนักอก ดูท่าว่าการกลับมาบ้านเกิดที่จากไปนานไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด พอนึกถึงเหตุผลที่บังคับให้พวกเขากลับมาก็ยิ่งแล้วใหญ่ ยิ่งคิดก็ยิ่งหนักอกจนต้องถอนหายใจออกมาอีกรอบ
”เฮ้อ!~ บางทีนะยูชอน... ฉันก็ไม่อยากให้แจจุงนึกอะไรออกเลย ถึงการแก้แค้นมันจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราทุกคนยืนหยัดได้มาจนทุกวันนี้ แต่กับแจจุงที่จำไม่ได้ว่าใครที่เป็นคนฆ่าน่ะ ฉัน...”
“จุนซู...”
”ขนาดยังจำไม่ได้แจจุงยังเป็นขนาดนี้ แล้วถ้านึกออกล่ะ ไม่ยิ่งแย่กว่านี้หรอกเหรอ?”
“เรื่องนั้น...ฉันเองก็ไม่รู้... แต่ถึงวันนี้ไม่...มันก็ต้องมีสักวันที่แจจุงจำมันได้ และพอถึงวันนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันก็เป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องช่วยกันโอบอุ้มและประคับประคองหัวใจดวงนั้นไว้ไม่ใช่เหรอ? อย่าคิดมากเลย...จุนซู”
“นั่นสินะ...ยูชอน”
“พี่ยูชอน~~~~” เสียงตะโกนของอัจฉริยะประจำองค์กรดังมาจากชั้น 2 เรียกให้เจ้าของชื่อหน้ามุ่ยหันขานรับอย่างไม่เต็มใจนัก ก็มาขัดจังหวะหวานของเขานี่จะไม่อารมณ์เสียได้ไง
“อะไร?!!”
“พี่จองซูเรียกฮะ เร็วๆ หน่อยก็ดีนะคร๊าบบบ...” หลังพูดจบคิบอมก็หนีเข้าห้องตัวเองไปทันทีทันใด เพราะชื่อของคนเรียกทำให้ยูชอนลุกขึ้นโดยไม่รอช้า
“เดี๋ยวฉันมานะ จุนซู
”
ภายในห้องสีขาวบริสุทธิ์ สีที่เหมาะกับนางฟ้าขององค์กร
ปาร์คจองซู...สำหรับคนอื่น เขาคนนี้อาจเป็นปีศาจร้าย หัวหน้าองค์กร DL แต่สำหรับยูชอนแล้ว เขาคนนี้คือนางฟ้าตัวจริง ร่างบางนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงดวงหน้าหวานยามนี้มีเพียงความอิดโรยที่สังเกตได้ชัดขึ้นกว่าเมื่อหลายเดือนก่อน
“ยูชอน...มาใกล้ๆ พี่หน่อย...” ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ลากเก้าอี้ไปชิดขอบเตียงใกล้ร่างบาง มืออุ่นลูบศีรษะคนอายุอ่อนกว่าด้วยความเอ็นดู นัยน์ตากลมโตคู่สวยฉายแววบางอย่างที่ยูชอนไม่เข้าใจ
“นายโตขึ้นเยอะเลยนะ...เจ็ดปีแล้ว เด็กน้อยที่นั่งร้องไห้อยู่ท่ามกลางพายุหิมะที่ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาคนนั้น... กลายเป็นชายหนุ่มที่กล้าแกร่ง เข้มแข็ง แต่ก็ยังขี้แยเหมือนเดิม” ริมฝีปากบางแย้มรอยยิ้มที่เหมาะกับดวงหน้าหวานเป็นที่สุด
“โธ่! พี่ก็...ผมไม่ได้ขี้แยนะ แค่อ่อนไหวง่ายเท่านั้นเอง ว่าแต่ที่เรียกผมมีอะไรเหรอครับ?” คำถามที่เรียกสีหน้าหวานให้หมองเศร้าลง
“ขอโทษนะ...”
“พี่จองซู
”
“พี่รู้ดี...ว่าการกลับมาที่นี่มันเป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจมาก ความเฉียบขาดในการทำงานของพวกนายลดลง เพราะอดีตของที่นี่กำลังดึงให้เราตกลงไปในห้วงแห่งความทรงจำอีกครั้ง พี่รู้ตั้งแต่ก่อนจะกลับมาแล้วว่าต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น แต่ว่า...พี่ก็ยังขอให้พวกนายกลับมาพร้อมกับพี่...ขอโทษนะ”
“เรื่องนั้นพี่อย่าเป็นห่วงไปเลยฮะ พวกเราทุกคนยอมทำตามความปรารถนาของพี่โดยไม่มีข้อแม้อยู่แล้ว ไม่งั้นเราจะกลับมาทำไม พี่คิดมากเรื่องนี้เหรอครับ?” จองซูส่ายหน้าแล้วคว้ามือใหญ่ของยูชอนขึ้นมาจับไว้ ทั้งที่เมื่อก่อนเพียงแค่มือเดียวเขาก็สามารถรวมมือเล็กนั่นได้แล้ว แต่ตอนนี้เขาต้องใช้ถึงสองมือกุม ความรู้สึกหนึ่งที่แล่นขึ้นมาในหัวใจเรียกรอยยิ้มเศร้าๆ จากร่างบางที่ยูชอนไม่ทันสังเกตเห็น
...เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ...
“พี่มีเรื่องจะขอร้องนาย... ฝาก DL และทุกคนไว้กับนาย ให้ช่วยดูแลแทนพี่ นายจะรับปากพี่ได้ไหม?”
“ทะ...ทำไม...ถึงเป็นผม...?”
“ในบรรดาพวกเราแล้วคนที่นายคิดว่าเหมาะคือแจจุงใช่ไหม?” ชายหนุ่มพยักหน้าตอบตามความคิดของตนเอง...ทั้งการตัดสินใจและฝีมือที่เฉียบขาดเกินใครใน DL ถ้าจะมีใครที่ทำหน้าที่แทนจองซูได้ คนๆ นั้นก็น่าจะเป็นแจจุง...ไม่ใช่เขา!!
“คิดแล้วเชียวว่านายต้องตอบแบบนี้... ถ้าดูกันตามความจริงแล้ว แจจุงคงเหมาะสมที่สุดที่จะทำหน้าที่แทนพี่ แต่ยูชอน...นายรู้อะไรไหม? จิตใจของแจจุงเปราะบางเกินไป... เพียงแค่มีอะไรมากระทบมันก็พร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ...หรือนายว่ามันไม่จริง?” ยูชอนนิ่งคิดตามคำพูดของจองซู
“จริงฮะ...”
“พี่เชื่อว่านายเป็นคนหนึ่งที่เข้าใจแจจุงมากที่สุด และพี่ก็เชื่อว่านายเข้มแข็งพอที่จะประคับประคองทุกคนได้ พี่อยู่กับพวกนายมาเจ็ดปี...พี่มั่นใจว่ารู้จักพวกนายดีพอ ยูชอน...พี่เชื่อสายตาตัวองนะ“ แววตาที่เปี่ยมความมุ่งมั่นจากนัยน์ตากลมโตคู่สวยบังคับให้เขาต้องตอบรับ
“ถ้าพี่คิดว่าถูก...มันก็จะถูกสำหรับพวกเราเสมอ ผมสัญญาว่าจะดูแลทุกคนแทนพี่เอง ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะครับ...”
To Be Con...
555+ ในที่สุดก็..เสร็จ
รอกันนานมั้ย?
-_- ถ้าจะนานแฮะ หายกันไปหมดเลย
แง้...นู๋ขอโทดดดดดดดดด....
ไปแล้วๆๆๆ
See you next Chapter...
ความคิดเห็น