คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : >>> 2
Revenge, The
Return
เมื่อตะวันลับขอบฟ้า ผืนฟ้าที่เคยสว่างสดใสและอบอุ่นก็แทนที่ด้วยความมืดมิดซึ่งแผ่ปกคลุมไปทั่ว แสงดาวดวงน้อยริบหรี่กระจัดกระจายเต็มท้องฟ้า รวมทั้งแสงจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่แม้จะให้แสงสว่างได้ไม่มากและไม่อบอุ่นเท่าแสงตะวันก็ตาม ทว่าสำหรับบางคนแล้ว ความมืดมิดและแสงจันทร์กลับเป็นเสมือนเพื่อนยามค่ำคืนที่อบอุ่นยิ่งกว่าแสงตะวันเสียอีก
ท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน บ้านสองชั้นขนาดใหญ่ตบแต่งตามสไตล์ยุโรปสมัยกลางอย่างงดงามด้วยความประณีตและอ่อนช้อย บนหลังคาสีขาวนวลมองดูสบายตา หากไม่นานร่างของใครคนหนึ่งกลับปรากฏตัวยืนอยู่ ณ ที่ว่างบนหลังคานั้น
ร่างปริศนาสวมเสื้อคลุมสีดำยาว ปกปิดร่างมิดชิด แม้ใบหน้าเพียงเสี้ยวเดียวก็ไม่เผยให้เห็น มือเรียวก็กระชับกระบอกโลหะสีดำมันขลับในมือซ้ายที่เปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายให้มั่นโดยไม่ได้รู้สึกถึงน้ำหนักของมันเลยสักนิด นัยน์ตาสีรัตติกาลเงยหน้ามองดวงจันทร์ ริมฝีปากกระตุกยิ้มบาง ก่อนจะแฝงกายหายไปกับความมืดพร้อมกับความเงียบเข้าไปในบ้าน
เงาดำเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนจับตามองไม่ทัน ร่างสูงใหญ่ของกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าเป็นบอดี้การ์ดฝีมือดีจากบริษัทชื่อดังกลับไม่รู้สึกถึงการมาของผู้บุกรุกเลยสักนิด จะมีก็แต่ร่างที่ล้มลงไปโดยไม่ทันได้ส่งร้องใดๆทั้งสิ้น ตามทางเดินที่ทอดยาวไปถึงห้องทำงานของเจ้าของบ้าน ไม่นานผู้บุกรุกก็พบสถานที่ที่ต้องการ มือเรียวผลักประตูเพียงเบาๆก่อนจะเข้าไปหาชายเจ้าของบ้านซึ่งกำลังนั่งทำงานที่โต๊ะของตนโดยไม่รู้เลยว่าอันตรายกำลังย่างเยื้องเข้ามาใกล้
“ใครน่ะ?”
เสียงชายคนนั้นถามขึ้นทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากกระดาษเอกสารตรงหน้า แต่เมื่อไม่ได้รับคำตอบที่สมควรได้ยินเขาจึงเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะตะโกนร้องอย่างตกใจปนหวาดกลัว
“แก!! แกเป็นใคร?! ต้องการอะไร?!!”
ทั้งที่ถูกตะคอกถามอย่างไม่ไยดี หากแต่ร่างปริศนานั้นกลับดึงผ้าคลุมหน้าลงเผยให้เห็นรอยยิ้มหวาน ราวกับไม่ใส่ใจต่อน้ำเสียงแบบนั้นแม้แต่น้อย
“อยากรู้เหรอ?”
นัยน์ตาสีเดียวกับรัตติกาลนั้นเหลือบตวัดขึ้นมามองหน้าเขาอีกครั้ง รอยยิ้มหวานแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มน้อยๆที่ดูลึกลับและเยือกเย็น
“ชีวิตของคุณ...คือสิ่งที่ผมต้องการ”
“ยะ...อย่าเข้ามานะ”
ด้วยลางสังหรณ์บางอย่างทำให้เขารู้สึกกลัวผู้บุกรุกตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก คำร้องห้ามของเขากลับทำให้รอยยิ้มหวานฉีกกว้าง นัยน์ตาคู่เดิมฉายแววเป็นประกายราวกับกำลังหัวเราะเยาะก่อนจะกลายเป็นความว่างเปล่าไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ร่างบางในชุดคลุมสีดำสนิทตรงไปหาชายคนนั้น รอยเหี่ยวย่นที่บนใบหน้าแสดงถึงความเจนจัดต่อโลก ทว่ายามนี้เขากลับมองคนตรงหน้าด้วยความหวาดหวั่น ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างไม่มีเหตุผล
“ฉะ...ฉันให้แกได้ทุกอย่างเลยนะ จะเป็นเงินทองหรืออะไรก็ได้ ขออย่างเดียว อย่าฆ่าฉันเลยนะ...ได้โปรดเถอะ”
“สิ่งที่ผมต้องการมีเพียงอย่างเดียว...”
“จะ...จริง...จริงเหรอ บะ...บอกสิว่ามันคืออะไร?” เสียงแหบสั่นเครืออย่างยินดีเมื่อคิดว่าตัวเองกำลังจะรอด ทว่าเมื่อมือเรียวยกของสิ่งหนึ่งที่อยู่ในมือซ้ายขึ้นมาเขาก็ได้รู้ว่าตัวเองนั้นคิดผิด เพราะสิ่งที่ปรากฏในมือเรียวนั้นคือปืนสั้นสีดำมันแวววับ
“ชีวิตของคุณ...” เขาหน้าซีดด้วยความกลัวและนั้นก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขารู้สึกได้ เมื่อร่างบางนั้นจะลดปลายกระบอกเหล็กสีดำลงต่ำ
เปรี้ยง...
เสียงลูกกระสุนวิ่งทะลุผ่านก้อนเนื้อทะลุที่กำลังเต้น ตัดขั้วหัวใจในทันที ไม่มีแม้กระทั่งเสียงร้องของความเจ็บปวด การ์ดรูปปีกสีดำที่มีตัวอักษร DL สีแดงอยู่เหนือปีกคู่นั้น ถูกทิ้งไว้บนร่างไร้ลมหายใจของชายคนนั้น ก่อนผู้บุกรุกจะแฝงกายหายไปกับความมืดราวกับไม่เคยมีเกิดอะไรขึ้น
ร่างในชุดคลุมปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่สวนสาธารณะไกลออกมาจากสถานที่เกิดเหตุเมื่อกี้พอสมควร เสียงลมหายใจหอบเกิดจากการวิ่งมาไกลดังไปทั่วบริเวณสวนที่ไม่มีคนอยู่ ร่างบางทิ้งตัวลงนั่งพัก แสงจันทร์ที่ส่องลงมาเพียงเล็กน้อย เผยให้เห็นดวงหน้าหวานที่งดงามราวประติมากรรมชิ้นเอกของพระเจ้า ทั้งเส้นผมสีทองเป็นประกายยามต้องแสงจันทร์ ริมฝีปากบางสีกลีบกุหลาบ พวงแก้มขาวเนียน และนัยน์ตาสีรัตติกาลคู่สวยที่ให้ความรู้สึกสดใสอ่อนโยนแตกต่างจากเมื่อกี้โดยสิ้นเชิงราวกับเป็นคนละคน หลังจากเสียงหอบเหนื่อยนั้นหายไป มือเรียวจึงใช้โทรศัพท์มือถือสีบรอนซ์เงินที่อยู่ในกระเป๋าติดต่อไปหาใครคนหนึ่ง
“Hi Knight! I’m Queen. งานเสร็จเรียบร้อยแล้วนะ“ เสียงหวานกล่าวคำพูดที่เป็นรหัสในการรายงานตัวต่ออีกฝ่าย แต่ประโยคถัดมากลายเป็นคำพูดที่ใช้กันโดยทั่วไป
“เร็วดีนี่ครับ... ว่าแต่เร็วอย่างนี้กะจะหนีไปเที่ยวไหนรึเปล่าครับ?” เสียงทุ้มตอบกลับมาเอ่ยอย่างรู้ทัน
“คิบอม! นายนี่นะ!”
“ว่าแต่จะไปไหนละครับ...พี่แจจุง ผมจะได้บอกพี่จองซูถูก” เด็กหนุ่มที่อยู่ปลายสายตอบกลับมาเสียงเรียบๆ เมื่อรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคาดไว้ไม่ได้ผิดไปเลย
“เอาน่า...แค่ไปซื้อของนิดๆหน่อยๆ พี่กลับไปถึงก่อนเที่ยงคืนแน่ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก”
“หา!! เจ๊เที่ยงคืนเนี่ยนะ!?”
“คิบอม!”
“โธ่! พี่แจจุงก็...ไม่เรียก ’เจ๊’ ก็ได้ อย่าโมโหเลยน่า...นะ ผมมีข่าวดีจะบอกให้ด้วยน้า~”
“ข่าวดีอะไรของนาย?” น้ำเสียงหวานเย็นชาจนคิบอมคิดว่าถ้าข่าวที่เขาจะบอกไม่ดีจริงอาจโดนเจาะรูที่กะโหลกศีรษะได้
”ก็...พรุ่งนี้พี่ยูชอนกับซีวอนจะกลับมาแล้วนะครับ”
“จริงเหรอ? มากัน...ครบแล้วสินะ“
“ครับ เพราะงั้นพี่จองซูบอกว่าคืนพรุ่งนี้ไปฉลองกันหน่อย... เพราะฉะนั้นคืนนี้อย่ากลับช้านะครับผม เดี๋ยวจะนอนไม่พอ^^”
“รู้แล้วน่า!!” เสียงหวานแว้ดใส่ก่อนจะกระแทกโทรศัพท์เสียเสียงดังจนฝ่ายตรงข้ามหูชาไปพักหนึ่งเลยทีเดียว
หน้าที่ในองค์กรที่ถูกแบ่งได้อย่างลงตัวเป็นที่สุด เด็กหนุ่มนึกถึงเจ้าของใบหน้าสวยที่เพิ่งจะทำงานเสร็จหมาดๆ ก็จะหาเรื่องไปเที่ยวซะแล้ว แน่นอนว่าคนที่เด็กหนุ่มนึกถึงหาใช่ใครที่ไหนก็ Queen แห่ง DL นั่นแหละ เรื่องฝีมือคงไม่ต้องพูดถึงขนาดได้ตำแหน่งสูงสุดใน DL นั้นก็บ่งบอกทุกอย่างได้เป็นอย่างดีแล้ว
แสงตะวันสาดส่องไปทั่วท้องฟ้าผืนกว้างทำให้ค่ำคืนที่เคยมืดมิดกลับกลายเป็นเช้าวันใหม่ที่อบอุ่น ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่สนามบินนานาชาติอินชอนพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบโต ใบหน้าอันหล่อเหลาทำเอาพนักงานสาวภาคพื้นดินในสนามบินแอบมองกันตาไม่กระพริบ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนภายใต้กรอบแว่นกันแดดสีดำกำลังมองหาคนที่จะมารับเขาขณะนั่งลงตรงเก้าอี้ผู้โดยสารตัวหนึ่งในสนามบิน ไม่นานก็ปรากฏร่างสูงเพรียวของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งตรงเข้ามาหา เขาจึงถอดแว่นกันแดดออกแล้วลุกขึ้นยืน พร้อมกับคำทักทายของเด็กคนนั้น
“สวัสดีครับ คุณคือคุณชองยุนโฮใช่มั้ยครับ?”
“ครับ แล้วคุณคือ...”
“ผมชิมชางมิน เจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูลของหน่วยสืบสวนพิเศษ DL ขออภัยที่ทำให้คุณต้องรอนานนะครับ...” เด็กหนุ่มคนนี้สูงยิ่งกว่ายุนโฮเสียอีก เขาหยิบแผ่นป้ายสีเงินขึ้นมาให้ยุนโฮดูเพื่อเป็นการยืนยันสถานะตัวเอง
“ไม่เป็นไรครับ... ผมชองยุนโฮ จะมาเข้าร่วมในหน่วยสืบสวนพิเศษครั้งนี้ ยินดีที่ได้รู้จักแล้วก็ร่วมงานกันนะครับ” ทั้งสองคนจับมือกันก่อนจะเดินทางออกจากสนามบินเพื่อไปยังที่ทำงานของพวกเขา...งานที่ได้รับจาก ICPO (องค์กรตำรวจโลก)
ใช้เวลาเพียงไม่นานทั้งสองคนก็มาถึงตึกที่ทั้งสูงและกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ป้ายด้านหน้าเขียนไว้ว่าศูนย์รักษาความปลอดภัยและความมั่นคงแห่งชาติ ชางมินพายุนโฮเข้าไปข้างในแล้วขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 9 จากจำนวนทั้งหมด 10 ชั้นแล้วเด็กหนุ่มก็พาเขาไปจนกระทั่งถึงห้องประชุมห้องหนึ่งซึ่งข้างในทุกคนกำลังรอเขาอยู่ ผู้ชายวัยกลางคนดูภูมิฐานคนหนึ่งหันมาไปที่ประตูเมื่อได้ยินเสียงเปิด เขายิ้มให้ยุนโฮก่อนจะยื่นมือให้จับ
“ยินดีจริงๆที่นายยอมทำงานนี้นะ ยุนโฮ”
“ครับท่านซูมาน ผมเองก็รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้รับงานนี้เช่นกัน...” ยุนโฮเอ่ยตอบชายคนนี้ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงผบ.ตำรวจแห่งเกาหลี ก่อนซูมานจะแนะนำยุนโฮให้คนอื่นๆ ในห้องรู้จัก
“ทุกคนนี่คือชองยุนโฮ เขาเป็นนายตำรวจชาวเกาหลีคนแรกที่ได้เข้าร่วมกับ ICPO ตั้งแต่ยังอายุยังน้อย แล้วก็ถูกเรียกตัวกลับมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ... ” ชายหนุ่มโค้งตัวลงเมื่อซูมานแนะนำตัวเขาจบ
“แล้วนี่ก็ชิมชางมิน เขาเป็นเด็กอัจฉริยะที่มีไอคิวสูงที่สุดที่เราเคยพบมา ความรู้ของเขาคงจะช่วยงานนี้ได้บ้างไม่มากก็น้อย... ว่าแต่นายคงรู้จักกันที่สนามบินแล้วสินะ ” ยุนโฮพยักหน้าตอบ ก่อนท่านผบ.ซูมานจะเอ่ยต่อ ”แล้วนี่ก็ลีดงแฮ เจ้าหน้าที่ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานที่ขอตัวมาเป็นกรณีพิเศษเพื่อความรวดเร็วในการตรวจสอบ แล้วก็นี่...คังอิน” แต่ยังไม่ทันที่ท่านผบ.ซูมานจะพูดจบ หนุ่มเจ้าของชื่อก็ทักทายยุนโฮแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ไงยุนโฮไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” หนุ่มร่างท่วมแต่ดูทะมัดทะแมงเอ่ยทักชายหนุ่มเขาคือเพื่อนที่รู้จักกันตอนที่ทั้งสองไปสอบเข้า ICPO แต่คังอินมีเหตุจำเป็นที่ต้องสละสิทธิ์ คนที่ได้ไปจึงเป็นยุนโฮ
“ลีฮยอกแจ แต่เรียกอึนฮยอกก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักยุนโฮ”
“ฉัน...คยูฮยอน หวังว่าเราคงร่วมงานกันได้นะ” เด็กหนุ่มที่ดูท่าทางเย็นชาแนะนำตัวก่อนท่านผบ.ซูมานจะเริ่มการอธิบายเหตุผลที่พวกเขาทุกคนมาร่วมตัวกันอยู่ที่นี่...
“ฉันคิดว่าพวกเราคงจะรู้จัก DL กันมาบ้างแล้วใช่ไหม?”
“ก็เล็กน้อยครับท่าน...” ยุนโฮเอ่ยตอบขณะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ชางมิน
“ตัวย่อ DL มาจาก Death Libra ตาชั่งแห่งความตาย องค์กรนักฆ่าลึกลับซึ่งมักจะได้ยินชื่อเสมอ คดีลอบสังหารบุคคลสำคัญต่างๆมากกว่าครึ่งเป็นฝีมือของพวกมัน ขอบข่ายการปฏิบัติงานของพวกมันยังไม่รู้แน่ชัด ว่ากันว่าผู้นำของพวกมันเป็นคนเกาหลีที่เรียกตัวเองว่า...Angel และนอกจากรอยสักเป็นตัวอักษร DL สีแดงบนรูปปีกสีดำแล้ว ทุกอย่างก็ล้วนเป็นปริศนา...” ท่านผบ.ซูมานกล่าวอธิบายพร้อมกับจอภาพที่ฝาผนังซึ่งปรากฏเป็นรูปสัญลักษณ์ของ DL ปีกนกอันอ่อนช้อยสีดำตัดกับตัวอักษรสีแดงให้ความรู้สึกน่าขนลุก
“...และข่าวที่พวกเราได้รับมาจาก ICPO ก็คือ ตอนนี้พวกมันกำลังจะกลับมาที่เกาหลี แต่สาเหตุเพราะอะไรนั้นพวกเราไม่อาจทราบได้ รู้แต่ว่ามันคงไม่ดีแน่ถ้าจะปล่อยให้คนอันตรายพวกนั้นอยู่ในประเทศของเราโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้แบบนี้ และนั่นก็คือเหตุผลที่เราต้องตั้งหน่วยสืบสวนพิเศษ DL นี้ขึ้นมา...”
“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงครับ ว่า DL มาที่นี่แล้วจริง อาจจะเป็นแค่ข่าวโคมลอยก็ได้ไม่ใช่เหรอครับ?” อึนฮยอกที่นั่งเงียบฟังมานานเอ่ยถามท่านผบ.ซูมานที่กำลังเปลี่ยนรูปที่หน้าจอให้กลายเป็นร่างที่ไร้ลมหายใจของประธานบริษัทเครื่องครัวชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งทุกคนรู้จักดี พร้อมกับรูปหน้าเว็บไซด์ที่ชื่อว่า ‘ หนทางแห่งการแก้แค้น ’
“คิมโซฮยอนประธานบริษัทโซเครื่องครัวถูกสมาชิกคนหนึ่งของ DL ฆ่าเมื่อคืนนี้ กระสุนเพียงนัดเดียวตัดขั้วหัวใจทำให้เขาสิ้นใจทันที ไม่มีเสียงร้อง ไม่มีอะไรเลย กว่าคนในบ้านจะรู้ก็ตอนเช้านั่นแหละ แล้วลองดูรูปนี้นะ เห็นการ์ดใบที่อยู่บนตัวเขามั้ย? นี่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ยืนยันว่าพวกมันมาที่นี่แล้วจริงๆ แล้วก็รูปข้างๆนั่นคือ เว็บไซด์ที่ชื่อว่า ‘ หนทางแห่งการแก้แค้น ’ เป็นเครื่องมือที่พวกมันใช้ในการรับใบสั่งฆ่า แต่มันจะเปิดตอนเที่ยงคืนจนถึงตีหนึ่งเท่านั้น เรียกได้ว่าไม่ทันที่พวกเราจะหาเครือข่าย,ผู้ใช้หรือทำอะไรได้เลย”
“แล้วทำไมเราไม่ลองใช้ตัวเองเป็นนกต่อล่อพวกมันละครับ” คยูฮยอนลองเสนอความคิดขึ้นมา เขาเข้าร่วมหน่วยสืบสวนนี้ด้วยเหตุผลบางอย่างที่อยู่ในใจซึ่งไม่อาจมีใครล่วงรู้
“ไม่ได้หรอก พวก DL ฉลาดมากพอที่จะรู้ว่าผู้ว่าจ้างของพวกเขาเป็นใคร ไม่มีทางที่พวกเขาจะตกหลุมเราได้ง่ายๆหรอก แล้วเราเองก็รู้เรื่องเกี่ยวกับพวกมันน้อยมาก... ถ้าพลาดไปอาจจะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายอะไรขึ้นมาก็ได้...”
“หมายความว่าเราแทบจะไม่มีข้อมูลเลยสินะครับ...” ชางมินสรุปคำพูดของผบ.ซูมานที่ฟังดูแล้วการสืบสวนของพวกเขาดูจะยากเหลือเกิน
“ความจริงก็ไม่เชิงหรอกนะข้อมูลจาก ICPO บอกว่าสมาชิกของ DL นั้นมีประมาณ 8 - 9 เท่านั้นเองและแต่ละคนจะมีตำแหน่งของตัวเองเพื่อบ่งบอกระดับอย่างเช่น ‘Queen’ และ ‘King’ ที่จริงคงมีมากกว่านี้ แต่เรารู้แค่ว่า 2 ตำแหน่ง...”
“แล้วพอจะรู้มั้ยครับว่า งานต่อไปของพวกมันคืองานอะไร คนประเภทไหนที่มักจะตกเป็นเหยื่อของพวกมัน...” อึนฮยอกเอ่ยถามอีกครั้ง
“คำแนะนำจาก ICPO คืออะไร ไหนลองบอกซิยุนโฮ” ผบ.ซูมานยกให้คนที่มาจาก ICPO เป็นผู้ตอบแทน
“เป้าหมายส่วนใหญ่...ไม่สิ ต้องเรียกว่าทั้งหมดของ DL คือบุคคลที่ อืม...เรียกว่าทำให้คนอื่นเขาแค้นนะครับ...” ชายหนุ่มเอ่ยให้ทุกคนได้ยินก่อนผบ.ซูมานจะขยายความต่อ
“ใช่แล้วล่ะ... ยกตัวอย่างเช่นประธานคิมโซฮยอนคนนี้ เขาเคยมีข่าวไม่ดีมากมายเกี่ยวกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของบริษัท และบริษัทเล็กที่ต้องถูกเทคโอเว่อร์เพราะเขามากมาย... บางทีอาจจะมีคนแค้นเขาเพราะสาเหตุนี้ก็ได้...”
“งั้นที่เขาถูก DL จัดการก็เพราะเรื่องนี้เหรอครับ...”
“จะว่างั้นก็คงใช่ เพียงแต่ต้องอย่าลืมว่า ถ้าไม่มีผู้ว่าจ้าง สมาชิก DL ทุกคนจะไม่ลงมือ...”
“...” ประโยคสุดท้ายของท่านผบ.ซูมานทำให้ทุกคนเงียบไป ต่างตนต่างกำลังคิดหาเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้
“โลกนี้ยังมีเรื่องที่เราคาดไม่ถึงอยู่เยอะ บางทีการกระทำของ DL อาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่เราคาดไม่ถึงก็เป็นได้...”
“ไม่จำเป็นหรอกครับ ยังไงการฆ่าคนมันก็เป็นเรื่องที่ผิดอยู่ดี...ต่อให้มีเหตุผลสวยหรูในการกระทำแค่ไหนมันก็ลบล้างความจริงนั้นไม่ได้หรอกครับ ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม...” ชางมินที่นั่งเงียบมาตลอดกล่าวเรียบๆ คำพูดที่ทำให้ทั้งห้องเงียบไปอีกครั้ง ความอึดอัดก่อตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ
“เอาเถอะ ! จะยังไงก็ตามฉันขอฝากความหวังเรื่องนี้ไว้กับพวกเธอทุกคนด้วยก็แล้วกัน... อ๋อ! อีกอย่างต่อไปให้เรียกฉันว่าหัวหน้านะ ห้ามเรียกผบ.เด็ดขาด เข้าใจนะ”
“ครับ!!” คนในห้องทุกคนตอบรับก่อนจะแยกย้ายกันไป ในขณะที่ยุนโฮตัดสินใจกลับไปที่บ้านของตัวเองซึ่งไม่ได้กลับไปถึง 4 ปีเต็ม โดยมีชางมินที่ว่างรับหน้าที่จะไปส่งให้เพราะยุนโฮยังไม่มีรถ ถ้ากลับแท็กซี่เองก็คงลำบาก เด็กหนุ่มจึงเต็มใจจะช่วย
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เครื่องบินSM746 จากญี่ปุ่นลงจอด ณ สนามบินนานาชาติอินชอน ชายหนุ่มสองคนก้าวลงจากเครื่องแล้วขึ้นรสบัสที่รับผู้โดยสารไปยังอาคารผู้โดยสารขาออกเพื่อรับกระเป๋าเดินทาง ชายคนแรกรูปร่างสูงโปร่งสวมหมวกสีดำท่าทางดูดีอย่างบอกไม่ถูก ส่วนอีกคนสวมแว่นกันแดดซึ่งบดบังใบหน้าเอาไว้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้โดยสารสาวและพนักงานบางคนถึงกับเผลอจ้องมองโดยไม่รู้ตัว
“พี่ยูชอน....มาถึงแล้วจะไปไหนก่อนดี?”
“นั่นสิ...ยังไงคงต้องไปหาซื้อของขวัญให้อัจฉริยะของเราก่อนดีกว่า ว่าไงล่ะซีวอน หรือนายอยากจะกลับไปหาพี่จองซูก่อน...” ยูชอนยิ้มหวานแต่ดูน่ากลัวในสายตาของคนมองอย่างซีวอนที่กำลังทำหน้าเจื่อนๆ เมื่อคนตรงหน้าดันรู้ดี แต่ก็ยังจะแกล้งเขาอยู่ได้
“รู้แล้วยังจะแกล้งอีกนะ! พี่นี่!”
“ฮ่าๆๆ เอาน่าเดี๋ยวยังไงคืนนี้ก็เจออยู่แล้วนี่นา ที่สำคัญถ้าไม่รีบไปตอนนี้แล้วจะซื้อของขวัญกันตอนไหนเล่า เดี๋ยวเจ้าเด็กนั่นงอนตายเลย ไปได้แล้วน่าซีวอน” แล้วซีวอนก็ถูกยูชอนลากไปอย่างไม่เต็มใจนัก
กว่าจะหาซื้อของที่ต้องการได้ก็เกือบหกโมงเย็นเข้าไปแล้ว หลังจากดูนาฬิกายูชอนกับซีวอนตัดสินใจตรงไปที่โรงแรม Heaven ซึ่งเป็นสถานที่นัดหมายของพวกเขา อาจเป็นเพราะพวกเขามาถึงเร็วไปก็ได้ โต๊ะที่จองไว้จึงยังไม่มีใครนอกจากพวกเขาสองคน ยูชอนนั่งลงอย่างสบายใจเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง นัยน์สีน้ำตาลเข้มฉายแววเจ็บปวด
นานแล้วที่ไม่ได้กลับมาที่เกาหลี
จริงอยู่ว่าที่นี่คือบ้านเกิด...หากแต่ว่ามันเป็นสถานที่ที่เขาไม่อยากกลับมาเหยียบมากที่สุด
แต่แล้ววันนี้เขาก็ต้องกลับมา...
7 ปีแล้วสินะที่ไม่ได้มาที่นี่เลย...
ยูชอนนั่งเงียบอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เมื่อชายหนุ่มหับไปสบตากับซีวอนแล้วเหลือบมองกระจกเงาที่สะท้อนภาพผู้ชายสามคนกำลังนั่งจ้องมาที่พวกเขาด้วยสายตาที่ไม่หวังดีนัก
“จ้องพี่มาสักพักแล้ว ให้ผมจัดการมั้ย?”
“ไม่ต้องหรอกซีวอน ฉันเองดีกว่า
” ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก นัยน์ตาคมหรี่มอง ‘เหยื่อ’ ผ่านทางกระจกที่ประดับอยู่บนฝาผนัง
“กะอีแค่พวกกระจอกๆ ไม่เห็นพี่ต้องเสียเวลากับมันเลยนี่นา” ซีวอนท้วงอย่างไม่เห็นด้วย ไม่ใช่เพราะกลัวยูชอนแพ้ แต่กลัวไอ้พวกกระจอกที่ว่าจะตายคามือซะมากกว่า
“ก็แค่ยืนเส้นยืดสายล่ะน่า...” ร่างสูงแค่นยิ้ม พูดเสียงเนิบอย่างใจเย็น ทว่าสิ่งที่ฉายออกมาทางสายตานั้นกลับตรงกันข้าม ไฟที่เต้นระริกอยู่ในแววตา ยากนักที่จะมอดดับลงง่ายๆ หากไม่ได้ปลดปล่อยมันออกไป
เกมครั้งนี้ ไม่ต้องแม้แต่จะคิดก็รู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ คิดจะมาเล่นกับ ‘King’ แห่ง DL ยังห่างกันหลายชั้นนัก!!
ซีวอนคิดอยู่ในใจเพียงแค่มองก็รู้ได้ทันทีว่าพวกกระจอกเหล่านี้ฝีมือต่างจาก ‘King’ ของพวกเขามากขนาดไหน... ในขณะที่ยูชอนแกล้งเดินไปที่ห้องเก็บสินค้าขนาดไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไปนักที่อยู่ติดกับห้องอาหาร และพวกผู้ชายสามคนนั้นก็หลงกลเดินตามไป
“เฮ้ย? หายไปไหนแล้ววะ? คลาดสายตาไปแค่นิดเดียวเอง” ชายคนแรกที่มีผมสีแดงสดตะโกนเมื่อเปิดประตูห้องเก็บสินค้าแล้วไม่พบใคร ในขณะที่อีกคนซึ่งยูชอนคาดว่าคงเป็นลูกน้องผมเขียวเดินตามเข้ามา และคนสุดท้ายที่มีผมสีทองออกเหลือง
“ฮึ...ทำสีผมสวยดีนี่เป็นสัญญาณไฟจราจรเชียวนะ หึๆ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของพวกไม่เจียมตัวอย่างชัดเจน ขณะนั่งอยู่บนลังกระดาษที่สูงขึ้นไปเกือบเมตร
“หึ ดี
ปากเก่งดีนี่ไอ้หนู? รู้รึเปล่าว่าพูดอยู่กับใคร
ห๊ะ?” ตะคอกคำสุดท้ายออกมาเสียงดัง หวังจะข่มอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เพราะไอ้คนที่ว่าเพียงแต่พูดต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน แถมยังกระโดดลงมาประจันหน้ากับพวกมันอีก
“เฮ้อ!!~ ฉันละเบื่อจริงๆกับพวกไม่มีมันสมองอย่างพวกแกเนี่ย... รู้จักฉันน้อยเกินไปรึเปล่า...” ชายหนุ่มพูดจบแล้วก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย หน้าตาปลงตกอย่างเสแสร้งทำให้ผู้บุกรุกเลือดขึ้นหน้าขึ้นมาทันที คนหนึ่งใช้ท่อนเหล็กฟาดลงมาที่ข้อมือ ยูชอนหลบได้แต่โทรศัพท์ดันตกกระแทกพื้นซะได้... พวกนักเลงตะคอกอย่างหัวเสีย
“พล่ามอะไรของแกวะ!?” แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาจากอีกฝ่ายกลับว่าไปอีกเรื่อง
“เฮ้ย!!!~ โทรศัพท์เครื่องนี้บอสเพิ่งซื้อให้นะ ยังใช้ได้ไม่ถึงสองเดือนเลย ไอ้เวร!!!! ”
“เหอะ เอาตัวให้รอดก่อนจะไปห่วงไอ้โทรศัพท์นั่นก่อนเหอะ ไอ้ลูกไก่!” ไม่ทันให้พวกนักเลงได้พูดอะไรอี หมัดหนักๆที่มีเป้าเป็นใบหน้ากวนประสาทก็ถูกปล่อยออกมาทันที ก่อนจะหมุนตัวกลับมาอยู่ด้านหลังแล้วถีบพลั่กเข้าให้จนร่างของชายผมแดงทั้งร่างเซไปกระแทกกับฝาผนังที่อยู่ไม่ไกลนักเต็มแรง
“ไอ้นี่นิ!” เสียงของชายผมแดงสบถอย่างขัดใจ ในขณะที่ลูกน้องของมันรีบออกมารับหน้าแทนลูกพี่
“คิดจะทำอะไรวะ อย่าลืมว่าพวกฉันมีสามคนนะเว้ย” ไอ้หัวทองที่ยิ้มเยาะเนื่องด้วยคิดว่าเป็นฝ่ายเหนือกว่า ยูชอนสบถพรืดอย่างขัดใจ กำหมัดแน่นก่อนจะหันไปตะบันหน้าคนที่มาขวางตนไว้อย่างไม่ยั้ง
“อยู่นิ่งๆจะได้ไม่เจ็บตัว จำใส่หัวเอาไว้ว่าไม่ใช่เรื่อง ไม่ต้องมาแส่!” ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกายวาวด้วยความโกรธอย่างน่ากลัว
น่ากลัวเกินไปเหมือนจะฆ่าคนได้ทุกเมื่อโดยไม่ต้องคิดอะไรให้หนักสมอง นักเลงคนที่สองที่ยืนอึ้งอยู่ได้ซักพักเตรียมจะกระโจนเข้าใส่ยูชอนพร้อมกัน
แต่ก็ช้าเกินไปกว่าสัญชาตญาณของร่างสูงสั่งให้คว้าสิ่งที่เหน็บซ่อนไว้ที่เอวขึ้นมาจ่อขมับหนึ่งในสองคนนั้นพร้อมกับรอยยิ้มเยาะเย้ย
“บอกแล้วไง
ไม่ใช่เรื่องก็ไม่ต้องมาแส่
” ยูชอนพูดเสียงเย็น ขัดกับนัยน์ตาแข็งกร้าวที่ข่มขู่ให้จิตใต้สำนึกของคนที่เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำต้องยอมแพ้อย่างไม่มีทางสู้
เพียงแต่กว่าจะรู้ตัวว่ากำลังเล่นกับคนที่ไม่สมควรเล่นด้วยอยู่ก็ช้าไป
เสียงลั่นไกปืนดังเป็นสิ่งสุดท้ายที่ได้ยิน ก่อนสติสัมปชัญญะทั้งหมดจะดับวูบ
ปัง...
นักเลงพวกนั้นเป็นล้มไปพร้อมกันทั้ง 3 คนเมื่อได้ยินเสียงปืนปลอมๆ ที่ยูชอนทำขึ้น ร่างสูงพึมพำกับตัวเองพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ กับความใจเสาะของพวกนักเลงที่มาหาเรื่องเขา
“ประสาท...” แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อหมุนตัวกลับไปทางประตูแล้วเห็นร่างของอีกบุคคลหนึ่งยืนขวางอยู่แล้ว ดวงหน้าสวยราวกับนางฟ้ากำลังยิ้มหวานให้เขา
“ใจร้อนจังเลยนะ ‘King’ ”
“แจจุง
” ยูชอนเอ่ยหน่ายๆ พลางก้มลงเก็บปืนกลับเข้าที่เดิม “ยังไม่ถึงเวลาทำงาน อย่ามาเรียกอย่างนั้นได้มั้ยห่ะ? “
”แล้วนี่เสร็จงานแล้วรึไง?” เสียงหวานเอ่ยถาม ขณะที่ชายหนุ่มกลับหัวเราะกับท่าทาง หน้าตาและน้ำเสียงของเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันมาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วเพราะงานต่างประเทศที่ยังติดค้างอยู่
“ถ้าไม่เสร็จ ฉันจะกลับมาให้บอสบ่นมั้ยล่ะ?”
“เอ่อ ฉันลืมไปว่านายมันพวกไม่เคยทำงานพลาด
”
“เฮอะ!ว่าแต่ฉัน แล้วนายเคยพลาดเหรอ? ‘Queen’ ”
“ยูชอน!!”
“คุณพี่ที่รักทั้งสองครับ อย่ามัวแต่เถียงกันเลยนะครับ ทุกคนเขารออยู่ไปกันได้แล้ว...” เสียงใสๆ ของหนุ่มน้อยซองมินซึ่งตามแจจุงมากำลังห้ามทัพทั้งสองคน
“จ้าๆ...” เสียงน้องเล็กขององก์กรเรียกให้เขาทั้งคู่หยุดการเถียงกันชั่วคราว เมื่อซองมินเดินไป มือเรียวก็กอดคอชายหนุ่มเข้าให้ โดยที่ยูชอนผู้ไม่ทันตั้งตัวถึงกับรู้สึกเขินอาย
ก็ไม่บ่อยสักหน่อยนี่นาที่แจจุงจะทำแบบนี้... ถ้าไม่ใช่ตอนกำลังร้องไห้ละก็ ไม่มีทาง!!
“ยินดีต้อนรับกลับนะ...” ริมฝีปากเรียวสวยแย้มรอยยิ้มสดใส ก่อนจะเดินล่วงหน้าชายหนุ่มไปเพื่อซ่อนใบหน้าแดงระเรื่อของตน
“ขอบใจนะ แจจุง...” ตอนนี้ยูชอนเข้าใจแล้ว ร่างบางแค่กลัวว่าเขาจะรู้สึกไม่ดีที่ต้องกลับมาที่เกาหลีนี่ ถึงได้ทำแบบนี้
ฉันน่ะ...ไม่เป็นไรหรอกนะแจจุง แค่ได้อยู่กับพวกนายก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว อีกอย่างไม่ได้มีแต่ฉันที่รู้สึกอย่างนั้นไม่ใช่รึไง...
“ไปเถอะ ทุกคนกำลังรอเราอยู่...” เสียงหวานเอ่ยเรียกชายหนุ่มที่ยังยืนนิ่งอยู่คนเดียวให้เร่งตามตนเองไป เพราะวันนี้เป็นวันสำคัญ...วันเกิดของอัจฉริยะประจำองค์กรอย่างคิมคิบอมที่ดูท่าเจ้าตัวจะลืมไปเสียสนิทเลย
To Be Con...
โอ้พระเจ้า!!!~ แต่งไปแต่งมาทำไมตอนแรกมันยาวกว่าที่คิดเนี่ย เอาเถอะอาจจะยังไม่ค่อยมีอะไรมากเอาไว้ต่อตอนต่อไปก็แล้วกัน
เฮ้อ~ ง่วง
เดี๋ยววันพรุ่งนี้จะพยายามอัพ Maze กับ Once Sweet ให้นะจ้ะ^^ (แค่พยายามนะอย่าพึ่งดีใจไป T^T)
-b g--s b- + + ไม้กาง เขน B G
ความคิดเห็น