ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานแห่งเทพหายนะ : รุ่งอรุณแห่งอสูร

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 4 - เปลวไฟ

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ค. 54





    Disaster of the God  :: Demon 's DAWN :: รุ่งอรุณแห่งอสูร



     


    ตอนที่
    4 – ไฟ

     

     

    เมฆสีขาวเคลื่อนตัวอยู่บนท้องฟ้า.. ลมแรง ๆ กำลังพัดมันให้ลอยไปทางใต้ ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใส แสงแดดสีทองยังทอลงมาอย่างช้า ๆ แต่ความหนาวเหน็บของที่นี่ราวกับจะแช่แข็งให้กาลเวลานั้นเชื่องช้าลงทุก ๆ วินาที..

    แว่วเสียงกัมปนาทของแรงระเบิดดังกึกก้องไปรอบทิศ ต้นเสียงมาจากบริเวณใจกลางป่าลึก พวกสัตว์พากันตื่นตระหนกกับเสียงประหลาด ฝูงนกพากันบินกรูขึ้นสู่ท้องฟ้า ได้ยินเสียงอีการ้องมาจากแนวชายป่า.. สรรพสิ่งต่าง ๆ กำลังปั่นป่วน

     

    "หืม  อะไร? "

     

    หญิงสาวผู้หนึ่งยืนเท้าสะเอว ผมสีทองสั้นระต้นคอสะท้อนล้อแสงแดงเป็นสีทองงดงาม สายตาคมกล้าจับจ้องไปยังทิศที่เสียงดังมา ก่อนจะหรี่ลงเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด..

    "ป่าแตก.. "

    ชายหนุ่มผมเงินผู้มีนัยน์ตาสองสีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พึมพำ..

    "เสียงระเบิด "

    "ใครมาจุดระเบิดเล่นกันนะ? "

    ฝาแฝดผู้มีผมชี้เหมือนเม่นสองคนโผล่เข้ามาเอามือป้องตาเพ่งมองตาม.. ขณะที่ชายหนุ่มสวมแว่นอีกคนก็เดินมารวมกลุ่ม โดยในมือของเขาถือธงสีเขียวอยู่

    "เสียงระเบิดสามครั้ง สัญญาณอะไรรึเปล่า? "เขาออกความเห็น

    "รหัส? "

    "สัญญาณขอความช่วยเหลือ? "

    "ใครกำลังเดือดร้อน? "

    "เด็กหอไหนกันนะ? "

    "แล้วใครจะไปช่วยละ? "

    "ฮ่า ๆ ๆ  "

    ฝาแฝดผมเม่นสีขาวส่งเสียงหัวเราะลั่นออกมาทันที

    "ไม่มีใครไปช่วยหรอกซีเนีย "

    "เอ๊ะทำไมละ ซีเลีย? "

    ฝาแฝดผมเม่นสีดำเอียงคอมองหน้าคนข้าง ๆ

    "ก็เพราะราชาแต่ละคนมันโหดไงละซีเนีย " แฝดเม่นขาวหัวเราะคิกคัก

    หญิงสาวผมทองกับชายหนุ่มผมเงินชำเลืองมามองทันที.. ขณะที่ชายหนุ่มสวมแว่นหัวเราะน้อย ๆ พลางเอ่ยด้วยนํ้าเสียงอ่อนโยน

    "สมาชิกหอสปริงกลับมากันครบแล้ว.. ดังนั้นเราก็คงผ่านเรื่องระเบิดไป แต่ถ้าอยากได้ความช่วยเหลือทางนี้ก็ยินดีช่วย "

    "ไม่ต้องมายุ่งหรอกท่านราชาแห่งวสันตฤดู เอวา เฮราเรียร์ เราจัดการเองได้.. "

    หญิงสาวผมทองสะบัดคำพูดด้วยเสียงห้าวหาญ 

    "ใครจะว่าโหดก็ช่าง แต่ข้าก็หวังดีอยากจะให้บรรดาชาวหอซัมเมอร์ได้ออกกำลังฝึกฝนกันอย่างเต็มที่.. "

    "ฮ่า ๆ จริงอะ ท่านราชาแห่งคิมหันต์เฮล่า แซนเทดัส.. ไม่ใช่เพราะนึกสนุกอยากแกล้งคนหรอกเรอะ ก็เลยเอาธงไปปักไว้ในที่ ๆ ลำบากสุด ๆ ให้สมาชิกหอหากันเลือดตาแทบกระเด็น.. ซีเนีย ตอนนี้คนหอซัมเมอร์กลับมากี่กลุ่มแล้วนะบอกหน่อย? "

    แฝดเม่นขาวซีเลียหันไปถามพี่น้องตน

    "จากเก้ากลุ่มตอนนี้กลับมาแล้วสองกลุ่มละซีเลีย " แฝดเม่นดำซีเนียตอบ

    "อ้าว! งั้นก็เหลืออีกตั้งเจ็ดกลุ่มที่ยังไม่กลับมานะสิ ว่าแต่เหลือเวลาอีกเท่าไหร่กันละซีเนีย? "

    "เหลือสองนาทีน่ะซีเลีย "

    "อ้าว!งั้นก็มันทอดน่ะซิซีเนีย ตายละ! ขืนกลับมาช้าก็หมดเวลาพอดีน่ะสิ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นรู้ป่ะซีเนีย "

    "แล้วทำไมถึงเป็นอย่างนั้นละ? "

    "ก็นั่นน่ะซี่.. เพราะอะไรกันน๊า คิดสิ คิด คิด คิด.. อ๊า.. มันติดอยู่ตรงไหนกันน๊า.."

    "ข้าคิดออกแล้วละซีเลีย " แฝดเม่นดำดีดนิ้ว

    "งั้นนายก็บอกหน่อยสิว่าเพราะอะไร " แฝดเม่นขาวทำตาโต

    "เพราะคิงโหดไงล่ะ!! "

    "จริงด้วย!! ฮ่า ๆ ใช่เลย! "

    แล้วแฝดเม่นขาวก็กุมท้องหัวเราะเสียงดังลั่น .. ชายหนุ่มผมเงินส่ายหน้าน้อย ๆ .. ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อหันไปเห็นหญิงสาวผมทองยืนตัวสั่นเทิ้ม

     

    "โอ๊ย! ข้าโหดแล้วมันหนักส่วนไหนของพวกนายหา! "

     

    คิงสาวเอ็ดตะโรด้วยความเดือดดาล ก่อนจะหันไปตวาดลั่นเอากับคิงหนุ่มแห่งสปริงที่หัวเราะออกมาอย่างขัน ๆ เขาจึงหยุดหัวเราะแต่ก็ยังคงยิ้มละไมอยู่อย่างนั้น..

    "ฮึ่ม.. ถ้าไม่ติดว่า.. นะ พวกเจ้าตายแน่ "

    หญิงสาวขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างขัดใจ สะบัดหน้าหนีไปอีกทาง ได้ยินเสียงสบถพึมพำไม่เลิกดังมาเข้าหู..

    "ฮ่า ๆ  "

    แฝดเม่นผมขาวผู้พอใจมากที่ได้แกล้งยั่วโมโหคนสำเร็จค่อย ๆ ขยับยืนตัวตรง ใช้ศอกกระแทกสีข้างของชายหนุ่มผมเงินที่ยืนนิ่ง ร่างนั้นจึงหันมามองด้วยนัยน์ตาต่างสีอันคมกริบดุจใบมีด

    "เฮ้ย.. คิงแห่งวินเทอร์ไม่มีความเห็นบ้างหรือ ว่าไงเหมันต์ราชา ไวลเบียร์ เวนอเมส?..คิก ๆ "

    "ข้าไม่มีความเห็นอะไรทั้งสิ้น "  ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงทุ้มตํ่า..

    "โอ๊ยหนาวอะ "

    ซีเลียแกล้งทำท่าทางห่อไหลแล้วถอยห่างไปยืนรวมกับฝาแฝดตัวเองที่ยืนทำหน้าตายสนิท..

    "ฮ่า ๆ ๆ รู้จักกันมาเกือบหกปี ยังเป็นนํ้าแข็งยังไงก็ยังแข็งอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนนะเจ้า  "

    คิงหนุ่มชำเลืองมองด้วยสายตาแต่ไม่พูดอะไร เพราะพูดอะไรไปมันก็เท่านั้น..

     

    ทันใดนั้นเสียงระเบิดก็ดังขึ้นมาอีกสองเปรี้ยงชนิดว่าตั้งใจจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้ราบ .. ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่สาดส่อง มองเห็นควันสีขาวลอยคลุ้งขึ้นมาจากที่ไกล ๆ  ลมแรงที่พัดโชยมาก็หอบเอากลิ่นถ่านไหม้มาด้วย..

     

    "เฮ้ย.. เสียงระเบิดนั่นมันดังเป็นครั้งที่ห้าแล้วนะ.. ชักจะไม่ดีเท่าไหร่แล้วสิ  "

    หญิงชายคู่หนึ่งเดินมาสมทบกับกลุ่ม .. ชายหนุ่มผมสีขาวและมีหูสุนัขผิดแผกไปจากคนธรรมดาพูดกับคิงสาวด้วยเสียงแหบห้าว

    "มีกลิ่นควันไฟ ท่าทางไฟจะไหม้ป่าซะแล้ว.. แต่ป่าเปียก ๆ นั่นจะมีเชื้อไฟมาจากไหน "

    เขาเอานิ้วแตะจมูก..

    "ตอนนี้ถ้าถามถึงเชื้อไฟโดยตรงก็คนของเราน่ะสิ  "

    หญิงสาวผมแดงอีกคนออกความเห็น..

    "ตอนนี้ในป่ามีคนของหอออทั่มประมาณ6คน สปริงไม่มี เรนนี่เหลือ9วินเทอร์3แล้วก็ซัมเมอร์..21 "

    จำนวนของอันสุดท้ายฟังแล้วทำให้ราชาสาวแห่งหอคิมหันต์เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง

    "จะว่าพวกสายนํ้ากับนํ้าแข็งทำไฟไหม้รึก็ไม่สมเหตุสมผล..ถ้าหากไฟมันลามหนัก พวกเราต้องโดนเพ่งเล็งแน่.. "

    "หุบปากสุนัขของนายลงซะดีกรี มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ว่าแต่วาราร์ต โอลิเวีย หมอนั่นหายไปไหน? "

    ราชาสาวตั้งคำถามเมื่อพบว่ามีใครบางคนขาดหายไป..

    "วาราร์ต โอลิเวีย กระโจนเข้าไปในป่าตั้งแต่ได้ยินเสียงระเบิดรอบที่สอง..รู้สึกว่าจะมุ่งหน้าไปตามหาน้องชายตัวเอง "

    หญิงสาวผมแดงตอบหน้านิ่ง

    "น้องชายหมอนั่น..เจ้าเด็กปีนึ่งที่ชื่อเรนาร์ดอะไรนั่นรึเปล่า?  "

    ชายหนุ่มผู้มีหูสุนัขถาม ซึ่งเธอก็พยักหน้าด้วยท่าทีเบื่อหน่าย..

    "เหะ?จะว่าไปแล้วใครบางคนก็มีน้องชายเป็นนักวางระเบิดนะ "

    แฝดเม่นขาวซีเลียเอ่ยขึ้นเพราะสะกิดใจ ทำให้ทุกคนชะงักไปและหันมามอง

    "หืม?หมายถึงหมอนั่นน่ะเหรอ.. ไอ้คนพี่น้องเยอะนั่นน่ะนะ "

    "ใช่ ..ก็จะใครซะอีกละ ข้าก็หมายถึงไอ้ผีดิบนั่นแหละ "

     

    "พวกแกว่าใครเป็นผีดิบหา.. "

     

    เสียงห้าวตํ่าแปร่งหูดังมาจากทางด้านหลัง ไม่ห่างไปนักจากบริเวณที่พวกเขาจับกลุ่มยืนคุยกันอยู่.. ชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นสนภูเขา บนม้านั่งเดี่ยวที่ทำจากไม้ของต้นเทเฟิล นัยน์ตาสีเทาอ่อนมองผาด ๆ จะเห็นเป็นสีนํ้าเงิน กำลังจับจ้องมาด้วยสายตาที่แสดงความไม่สบอารมณ์อย่างเต็มที่.. สาเหตุหลักคืออาการที่เหมือนโรคประจำตัว ส่วนสาเหตุรองลงมาคือเพราะรำคาญเสียงคนคุยกัน

    "อรุณสวัสดิ์แวมไพร์ นายตื่นสายนะ "

    ราชาหนุ่มแห่งหอสปริงเอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตร แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่มีอารมณ์มาเล่นด้วย ชายหนุ่มหน้าบึ้ง

    "เรื่องของฉันไม่ต้องมายุ่ง "

    "ขอโทษที่ต้องให้นายมาลำบากด้วยซะทุกที "

    "พูดตอนนี้ฟังแล้วหงุดหงิดว่ะเอวา เลิกพูดเถอะ  "

    คำห้วน ๆ ที่สวนกลับทำเอาคิงหนุ่มต้องหัวเราะเก้อไป

    "ฉันก็ว่านายหงุดหงิดตลอดนั่นแหละแวมไพร์ "

    ชายหนุ่มหูสุนัขเปรยมาอย่างเบื่อหน่าย

    "ไอ้สัตว์หน้าขนอย่างแกหุบปากไปเถอะดีกรี "

    "ห่ะ.. "

    เขาชะงัก.. และเบือนหน้ากลับมาเพราะคำแสบร้อนของอีกฝ่ายแทงฉึกเข้ากลางใจ

    "ว่าไงนะ? "  ดีกรีหรี่ตามอง นัยน์ตาสีเงินของเขาวาวเรืองขึ้นมาเพราะโทสะกรุ่น ๆ

    "เฮ้.. ไม่เอาน่าดีกรี "   หญิงสาวผมแดงตบบ่าเพื่อนชายแรง ๆ 

    "นายก็รู้ว่าหมอนั่นเป็นคนยังไง อย่าไปถือสาหาความสิ.. "

    ชายหนุ่มหูสุนัขจ้องหน้าอีกฝ่ายพลางกัดฟันกรอด.. สูดลมหายใจลึก ๆ เพื่อข่มอารมณ์โกรธ ก่อนจะแสยะยิ้มให้เห็นเขี้ยวสีขาว

    "เออนั่นสิ.. ลืมไปว่านายป่วยเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษา โรคความดันตํ่า..  "

    นัยน์ตาสีเทาเหลือนํ้าเงินวาวโรจน์ขึ้นในทันที ร่างสูงในชุดหนังสีดำลุกพรวดขึ้นจากม้านั่ง ยืนตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ จ้องดีกรีเขม็งด้วยสายตาที่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เขี้ยวในปากขบกันกรอดจนเป็นสันนูนขึ้นมา คมเขี้ยวที่กดลึกเรียกให้มีเลือดสีแดงซึมออกมาที่มุมปาก เล็บแหลมจิกแน่นจนแทบจะแทงลงไปในเนื้อ

    ชายหนุ่มหูสุนัขยังคงแสยะยิ้มยั่ว.. แต่เพื่อนสาวผมแดงเอามือตบหน้าผาก บ่นพึมพำ

    "จะบ้าตาย.. บอกให้เลิกดันไปหาเรื่องอีกแล้ว..  "

    "เลิกกัดกันซะทีจะได้มั๊ย ไอ้พวกปัญญาอ่อน! " เฮล่ารำคาญ

    "เงียบไปเลยยัยผู้หญิงถึก! "

    ดีกรีกับแวมไพร์ตะโกนพร้อมกันอย่างพร้อมเพรียง ก่อนที่ดีกรีจะชะงักเพราะเพิ่งจะสำนึกว่าเผลอพูดอะไรออกไป!

    "ว่าไงนะ!! "

    คิงสาวแห่งหอซัมเมอร์ตะโกนลั่นอย่างโมโหจัด เส้นสติขาดผึงกระโจนเข้าร่วมวง ชายหนุ่มหูสุนัขวูบหลบส้นรองเท้าหนังที่ลอยหวือมาไปอยู่ด้านหลังของหญิงสาวผมแดงอย่างว่องไว ขณะที่ราชาอีกสองคนก็ช่วยล็อกตัวของคิงสาวเอาไว้ ..หญิงสาวผมแดงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายและระอาใจสุดประมาณ

    "พวกแกนั่นแหละปัญญาอ่อน.. "

    ชายหนุ่มตาขวางผู้ยืนมองดูเหตุการณ์ห่าง ๆ มองด้วยสายตาสมเพช ความเดือดดาลกลายเป็นความอนาถใจ ก่อนจะมองเลยผ่านกลุ่มคนอันวุ่นวายตรงหน้าไปยังควันขาวที่ลอยโขมงอยู่ ณ ปลายขอบฟ้า

    ท่ามกลางเงาทะมึนของแนวหุบเขาภายใต้ม่านหมอกจาง ๆ ..แว่วเสียงลิงค่างและเหล่านกกากู่ร้องอยู่สับสน  ลมเย็นจัดพัดพายเอากลิ่นเหม็นไหม้ของถ่านไม้โชยมาเตะจมูก .. ชายหนุ่มเอานิ้วถูสันจมูกเบา ๆ พึมพำ..

    "ไอ้เด็กบ้านั่น.. ก่อเรื่องอีกแล้วเรอะ "

     

     

     

    ณ ใจกลางป่าลึก ที่ความคิดถึงกำลังเดินทางไปหา

     

    เสี้ยวหนึ่งของผาหินที่สูงชันแหว่งหายไป..

    เศษหินก้อนเล็กก้อนใหญ่ขมุกขมอมร่วงกราวลงไปในหุบเหวด้านล่างที่มีสายนํ้าเชี่ยวกรากพัดเอาทุกสิ่งทุกอย่างให้ไหลไปอย่างบ้าคลั่ง สาดกระแทกใส่โขดหินสีดำสนิทที่อยู่ตามรายทาง ดังโครมครามตลอดลำนํ้า ส่งหยดนํ้าเย็นเฉียบกระเซ็นเป็นวงกว้าง

    ประภาคารศิลาที่เคยล่องลอยอยู่บนฟ้าตอนนี้มันก็อันตธานหายไปเช่นเดียวกัน.. คงเหลือแต่เศษฝุ่นเศษผงเล็ก ๆ น้อย ๆ ขณะที่ต้นไม้ใหญ่ส่วนหนึ่งที่อยู่ในบริเวณข้างเคียงกำลังติดไฟเป็นบริเวณกว้าง ควันสีขาวลอยโขมงคละคลุ้ง ลิงค่างบ่างชะนีส่งเสียงกู่ร้องอย่างตื่นตระหนก ฝูงเก้งกว้างแตกตื่นวิ่งหนีกันอลหม่าน

    ผลงานครั้งยิ่งใหญ่บ่งบอกถึงอำนาจของระเบิดได้เป็นอย่างดี.. ระเบิดครั้งแรกคว้านเอาส่วนหนึ่งของใต้ผาหินทั้งสองไป ระเบิดครั้งที่สองดึงเอาผาหินรอบด้านที่ไม่สมประกอบถล่มลง ระเบิดรอบที่สามสี่และห้าที่ตามกันมาติด ๆ ส่งแรงสะท้อนไปถึงหินลอยฟ้าจนมันแตกเป็นเสี่ยง ๆ แล้วร่วงกราวลงสู่เหวเบื้องล่างก่อนจมหายลงไปในลำนํ้าลึกที่เชี่ยวกราก.. ระเบิดมีส่วนผสมของดินดำที่ทำปฏิกิริยากับอากาศอุณหภูมิตํ่า ยิ่งหนาวเท่าไหร่การระเบิดยิ่งรุนแรงเป็นเท่าตัว.. ระเบิดและแตกตัวเป็นสะเก็ดไฟพุ่งไปตกตามที่ต่าง ๆ ก่อนจะเกิดการลุกไหม้ขึ้นเมื่อตกลงไปยังซากไม้แห้ง..แล้วยิ่งโหมกระพือหนักเมื่อมีลมแรงพัดมา

    แต่การระเบิดยังเหลืออยู่อีกหนึ่งหน..

     

    ตึ่ก.. ตึ่ก..

     

    "แฮ่ก.. แฮ่ก.. "

    เสือร้ายหอบหายใจแรงขณะที่บังคับเท้าทั้งสองให้ก้าวทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่กวางยังตามไม่ทัน .. กระโจนผ่านก้อนหินที่นอนระเกะระกะขวางทาง ก้อนแล้วก้อนเล่า บุกเข้าไปในพงไม้จนบางครั้งโดนกิ่งแหลมขูดเอาถลอกปอกเปิกเลือดไหลซิบ แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจให้เสียเวลา

    "อ๊าก! มันอะไรกันฟะเนี่ย "

    คนที่วิ่งรี่ตามหลังมาติด ๆ ร้องออกมาอย่างเดือดดาล

    ก็น่าอยู่หรอก..

    "ไอ้บ้านั่นมันกะฆ่าเราด้วยรึไงเนี่ย! คอยดูนะ เจอเมื่อไหร่มันตาย! "

    อาเบลไม่มีเวลาหันไปมอง แต่ก็ตะโกนสวนออกไปขณะที่เท้ายังวิ่งไปไม่หยุด

    "หยุดแหกปากซะทีไอ้หมาบ้า หนวกหูโว้ย! "

     

    จากความเดิมตอนที่แล้ว หลังจากที่ทั้งอาเบลและฟีลิปได้รับข้อความด่วนจากโมเทส และเกิดเสียงระเบิดขึ้น.. ไม่ต้องให้เตือนซํ้าซ้อนและพูดกันให้มากความ สองสหายรีบโกยอ้าวออกจากบริเวณนั้นทันที ..

    ฟีลิปเดือดดาลเป็นการใหญ่.. ไอ้เพื่อนร่วมทางตัวแสบมันไม่คิดจะปราณีปราศรัยเป็นห่วงเป็นใยพวกเขาเสียบ้างเลย .. ระเบิดรอบสองและสามที่เกิดขึ้นตามหลังระเบิดลูกแรกไปไม่ถึงสามวินาที เสียงดังกึกก้องกัมปนาทเหมือนมีสายฟ้าฟาดลงมาจนแทบจะลืมหายใจ.. รอบ ๆ ด้านสะท้านสะเทือนเลือนลั่นเหมือนฟ้าจะถล่ม เริ่มที่บริเวณที่ยืนเหยียบทรุดหายลงไปต่อหน้าต่อตา พวกเขาต้องตะเกียกตะกายหนีเอาชีวิตรอดกันสุดชีวิต  สะเก็ดไฟหลังจากการระเบิดที่เหมือนกับธนูไฟพุ่งกระจายไปรอบด้านเมื่อตกลงบริเวณไหนก็มีไฟลุกพรึ่บขึ้นมาอย่างน่ากลัว..

    เสียมตูมตามเปรี้ยงปร้างแทบจะทำให้พวกเขาสิ้นสติ แต่ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของสายพันธุ์ที่มีมาแต่กำเนิดทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวไปเองอย่างรวดเร็ว.. และพลังงานมากมายพุ่งพรวดขึ้นมาทำให้พวกเขามีแรงเพิ่มขึ้น อัตราการสาวเท้าเร็วขึ้นเป็นสามเท่าอย่างไม่น่าเชื่อ.. และทำให้ลืมไปว่ากำลังวิ่งอยู่บนปากเหว นอกจากนี้ยังไม่มีการลัดเลี้ยวหลีกหลบสิ่งใด ๆ ที่ขวางหน้า แม้กระทั่งรูโหว่ที่เกิดขึ้นในขามาก็ลืมมันซะสนิท กระโจนพรวดผ่านปากหลุมที่กว้างไปได้อย่างง่ายดาย.. ขณะที่เสียงระเบิดรอบที่สี่และห้าก็ดังไล่หลังมาติด ๆ

    ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นราวกับฝันร้ายเพียงไม่กี่นาทีแต่ก็จดจำได้ทุก ๆ เสี้ยวนาทีเฉียดตาย.. พวกเขาวิ่ง วิ่ง และวิ่งอย่างลืมโลก คิดอยู่แค่อย่างเดียวคือการหนีเอาชีวิตรอด.. ไม่เคยมีครั้งไหนที่อาเบลจะรู้สึกดีใจมากที่ได้เกิดมาเป็นปีศาจเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย.. ทั้ง ๆ ที่แต่เดิมมันมักจะเป็นสิ่งที่มีปัญหากับการใช้ชีวิตของเขามากพอสมควร..

    ไฟไหม้ยังคงโหมอยู่เบื้องหลังส่งควันสีขาวลอยขึ้นฟ้าแต่ทั้งเขาไม่คิดจะหันไปดูเพราะต้องการทำเวลา .. วิ่งมาครู่ใหญ่ก็ได้ยินเสียงนํ้าไหลดังซ่า ๆ แว่วมาเข้าหู อาเบลที่วิ่งนำหน้าตีโค้งเบนเข็มเปลี่ยนทิศทางการวิ่งวกหาลํานํ้าอย่างไม่รอช้า ฟีลิปวิ่งตามหลังมาติด ๆ อันที่จริงแล้วสุนัขเมืองร้อนไม่รู้หรอกว่าอาเบลจะวิ่งไปไหน เพราะเขาจำทางไม่ได้เลยซักนิด..

    หลังหายจากตื่นตะหนกเมื่อครู่ สติสตังก็เริ่มกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว อาเบลนึกถึงคำสั่งเสียของโมเทสขึ้นมาได้อีกครั้ง .. เขาต้องไปรับเจ้านั่นและ "ธง" ที่ วอเตอร์วอร์น.. จากการที่เขาวิ่งมาแบบบ้าคลั่งเมื่อครู่เลยลืมดูทางไปสนิทเลยว่าตอนนี้เขาวิ่งมาไกลแค่ไหนแล้ว แต่ถ้าหากยึดเอาสายนํ้าเป็นหลักมันก็อาจจะนำเขาไปก็ได้..

    เมื่อทะลุป่าออกมาถึงริมฝั่งก็พบเข้ากับทางนํ้าอันเชี่ยวกราก สีของนํ้าเป็นสีแดงขุ่นเพราะตะกอนในนํ้าถูกก่อกวนด้วยเหตุการณ์เมื่อครู่.. มีเศษดินเศษไม้ถูกกระแสนํ้าพัดพาเอามามากมาย..

    อาเบลกระตุกยิ้มที่มุมปากออกมาเมื่อพิจารณามันอย่างถี่ถ้วน..

    ทางนํ้าใหญ่ที่ไหลแรงขนาดนี้จะต้องไหลลงไปรวมตัวกันยังแม่นํ้าเซอเพนไทน์ แม่นํ้าสายใหญ่ที่อยู่ติดกับเธมิส ครูซิฟิกซ์แน่นอน..

     

    และก่อนจะถึงที่นั่นมันก็ต้องผ่าน.."วอเตอร์วอร์น"

     

     

    .....จบ ตอนที่ 4....

     

      




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×