ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานแห่งเทพหายนะ : รุ่งอรุณแห่งอสูร

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 1 - ป่าเขา

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ค. 54


       

    " พี่ฮะ..ข้างนอกมีอะไรหรือ? "

    ...สิ่งที่ตอบกลับมาพร้อมกับการลูบศีรษะคือ..

    " ไม่มีอะไรที่น่าสนุกสำหรับเจ้าหรอก..  "

    ...กำแพงสูง..ที่บดบังทุกสิ่งทุกอย่าง..

    " พี่ฮะ.. ทำไมตัวพี่ถึงได้เหม็นคาวจังละฮะ? "

    ..สิ่งที่ตอบมาพร้อมกับการตบบ่าเบา ๆ คือ..

    " เสียใจด้วยนะ.. ข้าสอนให้เจ้าฆ่าใครไม่ได้หรอก "

    ...สิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่ปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่างไว้.. จนกว่าความตาย จะมาถึง..

     

     

    ………………………………………………………………

    Disaster of the God :: Demon 's DAWN :: รุ่งอรุณแห่งอสูร
    ตอนที่ 1  -   ป่า



         

    ท่ามกลางทะเลไพรอันหนาทึบดุจจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง มีเงาตะหง่านของสถาปัตยกรรมสมัยโบราณตั้งอยู่กลางวงล้อมนั้น มันคือปราสาทเก่าแก่ที่ผ่านกาลเวลามานานนับร้อยปี แต่โครงสร้างฐานก็ยังคงยืนหยัดมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงไป ..
             แผ่นอิฐหนา ๆ หนักหลายกิโลกรัมที่ก่อเรียงไว้คือส่วนประกอบหลังของการทำให้มันทนทาน กับสภาพอากาศอันเลวร้ายของพื้นที่ทางเหนือ .. ยอดปราสาทแหลมบ้างตัดบ้าง โผล่บังเบียดกันเหมือนหมากรุกที่เอามาเรียงซ้อน

    ธงสีดำผืนใหญ่ โบกสะบัดด้วยลมบนที่พัดแรงจัด ถูกปักไว้บนยอดปราสาทที่สูงที่สุด ทำให้ดูโดดเด่นยิ่งกว่าสิ่งใด ผืนธงใหญ่ แบ่งเป็นสองส่วนติดกัน ส่วนบนเป็นสีดำส่วนล่างเป็นสีขาว ส่วนที่เป็นพื้นสีดำปักเลื่อมด้วยดิ้นเงิน ส่วนเป็นสีขาวปักเลื่อมด้วยดิ้นทอง

    ธงสีดำขาว ที่เคียงคู่กันอยู่นี้ เป็นสัญลักษณ์ของเป้าหมายอันสูงสุดของการที่ปราสาทแห่งนี้ยืนหยัดอยู่กลางป่าไพร ใครต่อใครเรียกขานสถานที่แห่งนี้ว่า "เธมิส ครูซิฟิกซ์"  และที่แห่งนี้ก็ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของดินแดนอันห่างไกลจากผู้คน แยกตนอย่างสันโดษตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง

     

    มันไม่ใช่สถานที่แห่งความลับ..กลับกันแล้ว .. คนทั่วไปล้วนรู้จักที่แห่งนี้..

     

    ในสายตาคนนอก.. มันเป็นสถานที่อันไม่น่าพิศมัย ราวกับเป็นการประชดโลกทั้งสองฝั่งแคว้น .. ตัวปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาทับรอยต่อกึ่งกลางระหว่างเดียโบลิคและยูรานอส อย่างจงใจ.. ประกาศเจตนารมณ์วางตนเป็นกลางเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างปีศาจและมนุษย์ เป็นองค์กรที่นำเอาลูกหลานของทั้งเผ่าพันธ์มนุษย์ ภูติ และปีศาจ มารวมอยู่ในที่เดียวกัน .. แล้วทำการอบรมสอนสั่งให้การศึกษาในศาสตร์แขนงต่าง ๆ อย่างชนชั้นสูง

     

    แต่แม้ว่าเจตนารมณ์อันดีงามนั้นจะถูกยํ้าเตือนให้ชัดเจนสักเพียงใด .. ผู้คนก็มิวายที่จะคลางแคลงใจกับการกระทำอันน่าประหลาดขององค์กรนี้

     

    "จะให้เชื่อน่ะหรือ? ..ว่าความปรองดองของมนุษย์และปีศาจนั้นจะเกิดขึ้นได้.. "

     

    ข่าวลือมากมายแพร่กระจายออกไปเป็นประจำ.. ทำนองว่า เป็นองค์กรมืดที่ตั้งขึ้นเพื่อหวังผลประโยชน์ของฝ่ายปีศาจ .. หรือบ้างก็ว่าเป็นองค์กรบังหน้าที่อดีตราชาปีศาจใช้ซ่องสุมกำลังพลเพื่อบุกเข้ารุกรานเผ่าพันธ์มนุษย์ในอนาคต ..

     

    เช่นนั้นแล้วสถานที่แห่งนี้จึงถูกขนานนามมืดให้คนมากมายจดจำไปพร้อมกันนามจริงว่า..

     

    "โรงเรียนดำ "

     

     

     

     
    ณ ที่ใดที่หนึ่งที่ความคำนึงส่งไปถึง..

     

    ป่าทึบยามเช้าหนาวเหน็บสุดประมาณ แสกแรกจับขอบฟ้าทางทิศตะวันออกมองเห็นเป็นเส้นสีแดงอมทองเรืองรอง แต่สรรพสิ่งยังมืดหม่นมัวด้วยหมอกหนาทึบ .. นํ้าค้างแข็งเกาะจับอยู่รายเรียง เถาไม้เลื้อยพันพาดระเกะระกะสลับไปกับเฟิร์นป่า ตะไคร่นํ้าสีเขียวเกาะยึดตามลำต้นอันเต็มไปด้วยเปลือกแข็งและเปียกชื้นของสนภูเขาสูงชะลูด ก้อนหินสีดำด่างโผล่พ้นพื้นดินขึ้นมาวางตัวทับถมกันตามรายทาง..

    ตึ่ก... ตึ่ก..

    เสียงบูตหนัก ๆ ของกลุ่มคนจำนวนหนึ่งยํ่าลงไปบนพื้นป่าอันชื้นแฉะและขรุขระ ดังแว่วมาเข้าหู.. ก่อนที่สามเงาจะโผล่ออกมาให้เห็นท่ามกลางดงไม้หนาทึบ ..

    ฝีเท้าแต่ละคนนั้นถือได้ว่าว่องไวไม่ด้อยกว่ากัน.. และถ้าเทียบกับคนทั่วไปแล้วละก็ จัดได้ว่าเร็วกว่าอยู่มากโขเลยทีเดียว  การเคลื่อนไหวนั้นล้วนแล้วแต่ปราดเปรียวและคล่องแคล่วว่องไวคล้ายจะจัดเจนการเดินทางในสภาพภูมิประเทศแบบนี้เป็นอย่างดี เพราะแม้จะเป็นการวิ่งผ่านราไม้และก้อนหินที่เป็นสิ่งกีดขวางต่าง ๆ นานา แต่ก็ไม่ได้มีการสะดุดชะงักหรือเกิดอุบัติเหตุใด ๆ ขึ้นเลย  ฝีเท้าที่ยํ่าไปบนดินโคลนแฉะและหินขรุขระก็ยังมั่นคงทั้งที่หินนั้นเปียกปอนและเต็มไปด้วยตะไคร่นํ้าเกาะอยู่เป็นจำนวนมากจนน่าจะลื่นเอาการ..

    แต่แม้ว่ามันจะดูเหมือนเป็นอย่างนั้น..

    "ฮัดเช้ย! "

    เด็กหนุ่มผมสีทองสั้นระต้นคอจามออกมาเป็นรอบที่ห้านับแต่การเดินทาง เท้าจึงสะดุดร่างไม้ที่โผล่พ้นขึ้นมาจากพื้นดินจนเซถลาหน้าทิ่มพื้นดังพลั่ก! เล่นเอาอีกสองคนที่วิ่งมาด้วยกันสะดุ้งและชะงักไปด้วย การเดินทางท่องป่าเลยมีอันต้องหยุดชะงักชั่วคราว

    เฮอะ ๆ โดนหวัดกินแล้วเรอะไง? "

     เด็กหนุ่มผมสีเทาเอ่ยถามขึ้นมาก่อนเมื่อ มองอย่างขัน ๆ ไปยังเพื่อนร่วมทางของเขาที่กำลังพยุงตัวลุกขึ้นมานั่งหน้าหงิก

    "โว้ย!!  " 

    เจ้าของเสียงจามสบถพรืดออกมา ปัดเศษใบไม้ใบหญ้าที่ติดขาและตามตัวออกไป แล้วบ่นพึมพำอย่างหงุดหงิด 

    "ทำไมอากาศมันหนาวยังงี้วะ ตอนนี้มันกี่โมงแล้วเนี่ย?  "

    อีกสองคนมองหน้าคนจามก่อนจะหันมามองหน้ากันเอง..   สุนัขเมืองร้อนไม่ถูกกับอากาศเย็นสินะ..

    "ถามฉันแล้วจะไปถามใครกันเล่า? " 

    คนผมเทายักไหล่ ถือโอกาสตอนหยุดพักกวาดสายตามมองดูสถานที่รอบ ๆ ตัว..

    นัยน์ตาสีแดงคมกริบมองกราดไปรอบ ๆ ซึ่งมันก็เต็มไปด้วยป่าพรรณเขียวสด นํ้าค้างแข็งที่จับเกล็ดบนใบไม้และกิ่งสนภูเขาสูงตระหง่าน ส่องประกายพราวระยับเมื่อแสงอรุณสาดส่องผ่านกลุ่มหมอกลงมากระทบ..

    "ฉันเริ่มจะขี้เกียจแล้วว่ะ สักแต่วิ่งไปแบบไร้จุดหมายแบบนี้มันเหนื่อยนะโว้ย จะให้วิ่งสำรวจไปทั่วป่าเลยรึไงวะ! "

    เด็กหนุ่มเผ่าสุนัขเมืองร้อนเริ่มโวยวายด้วยความหงุดหงิดอันเป็นอุปนิสัยประจำตัวที่แก้ไม่หาย

    "คิงเฮล่าเอาธงไปซ่อนไว้ที่ไหนของเขากันน๊า หาตั้งนานยังไม่มีวี่แววว่าจะเจอเลย .. หิวข้าวแล้วนะเนี่ย "

    เด็กหนุ่มผมดำอีกคนหย่อนร่างลงนั่งบนโขดหินที่โผล่พ้นดินขึ้นมา เหยียดขาออก แล้วโอดครวญออกมาจากใจจริง

    "ให้ตื่นตั้งกะเช้ามืด แล้วมาแหกขี้ตาวิ่งท้าลมหนาว บุกป่าฝ่าดงฝ่าเหวฝ่าหุบ เพื่อไอ้เกมฝึกบ้าบอคอแตก มันจะริดรอนสิทธิกันเกินไปแล้วนะโว้ย ถึงจะเป็นคิง(ราชา)แต่ก็ไม่ใช่ราชาจริง ๆ ซักหน่อย มันจะเผด็จการเกินไปแล้วเฟ้ย! "

    "ใช่ ๆ เห็นด้วยเลยอ่ะ  "

    "โฮ้ย! ฟีลิป โมเทส พวกนายเลิกบ่นกันซะทีได้มั๊ย หนวกหู! ฉันก็หงุดหงิดเหมือนกันนั่นละ ให้ตายเถอะ  จะบ่นกันอีกนานมั๊ยหา?จะได้มาหารือกันซะทีว่าจะเอาไงต่อไป  "

    "นั่นสิ จะเอาไงต่อ "

    โมเทส เบลเซบาสหันไปถามเจ้าของคำบ่นมากมายอย่างฟีลิป เดอีสทอล เด็กหนุ่มผมทองเผ่าจิ้งจอกทะเลทรายผู้กำลังโดนไข้หวัดเล่นงานเพราะแพ้อากาศอุณหภูมิตํ่า ส่วนอีกคนที่ยืนเท้าสะเอวมองลงมาด้วยตาขวาง ๆ นั่นคือ อาเบล ไฟน์

    "เลิก! "  ฟีลิปพูดโดยไม่ต้องคิด

    "เอาจริงน่ะ " 

    อาเบลเลิกคิ้ว จริง ๆ แล้วเขาอยากเลิกนั่นแหละ 

    "เลิกแล้วจะไปไหนละ ถ้ากลับเธมิส ครูซิฟิกซ์ ไปแบบไม่มีธงละก็ "

    ..อาเบลทำท่าเอานิ้วปาดคอ  ทุกคนเงียบ และกลืนนํ้าลายเอื๊อก..

    "ธงมีเก้าธง.. ถ้าจะมีเศษของกลุ่มที่ชวดธงก็กลุ่มนึงนิ.. "

    โมเทสเสริมอีก..

    "แล้วตกลงจะเอาไง.. "

    "หาธง..ก็ได้..   " 

    ฟีลิปมีสีหน้าปั้นยาก..ตอบไม่เต็มเสียง

    "เอ้า.. ก็เข้าอีหรอบเดิมอยู่ดีสินะ.. "  

    อาเบลถอนหายใจด้วยความเซ็งขีดสุด..

    การผจญภัยครั้งที่สองจึงเริ่มต้นขึ้น.. ฟีลิปลุกขึ้นแล้วออกเดินไปพร้อมกับสีหน้าเหยเกและบ่นพึมพำเป็นหมีกินผึ้งไปตลอดทาง .. คราวนี้ทั้งสามคนไม่วิ่ง เพราะวิ่งไปก็ไม่ช่วยให้หา "ธง" สิ่งที่พวกเขาต้องการได้เร็วขึ้น..

    ย้อนกลับไปที่ความเดิม..

    พวกเขาทั้งสามคือนักเรียนของ "โรงเรียนดำ"    โรงเรียนประหลาดนอกรีตที่มาตั้งอยู่กลางเทือกเขา.. ป่าที่พวกเขากำลังยํ่าไปอยู่นี้.. ก็เปรียบเสมือนสวนของโรงเรียนที่อยู่รายล้อม ป่าสนสูงชะลูดและป่าเบญจพรรณ ปกคลุมด้วยหมอกหนาวเย็นเกือบตลอดปี เพราะมีเทือกเขาที่สว่างไปด้วยแสงจันทราทอดยาวเป็นกำแพงโอบล้อม.. และถัดจากเทือกเขาไปอีกในทางด้านเหนือ ก็คือดินแดนแห่งเหมันตกาลมิลืมเลือน ฟริจิดโซน โซนหนาวเหนือ..


    แสงอรุณที่ฉายโผล่พ้นกลีบเมฆเริ่มส่องสว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่กระนั้นหมอกที่หนาก็ยังปกคลุมป่าอยู่ไม่สร่างซาไป อากาศก็ยังเย็นชื้นอยู่เช่นเดิม ..
      แว่วเสียงนกกาและสัตว์ป่ากู่ร้องก้องกังวานเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาแล้วที่จะเริ่มดำเนินชีวิตของมันตามวิถีแห่งธรรมชาติ

    หลังจากเดินทอดน่องกันมาได้สักพัก ท่ามกลางทิวไม้อันมืดมัวด้วยไอหมอกหม่นที่ยังลอยตัวจับกลุ่มกันอยู่อย่างหนาแน่น.. สายตาอันคมกริบสีโกเมนของสมิงแห่งโซล อาเบล ไฟน์ ก็ได้สะดุดเข้ากับบางอย่างที่ปลิวไสวลอยเด่นอยู่ในมุมสูง หากเมื่อเพ่งสายตามอง "สิ่งนั้น" ก็มีลักษณาคล้ายผืนผ้าที่ติดอยู่บนยอดไม้..

     

    "เฮ้! "  เขาสะกิดคนทั้งสอง   " ดูนั่นสิ "

    อีกสองคนดูจะงงกับท่าทีของเขาในตอนแรก แต่เมื่อมองตามนิ้วที่ชี้นำไปก็พากันหันมามองหน้ากันตาปริบ ๆ 

    "ธง?  "โมเทสว่า..     

    "ดูดี ๆ ซิว่าสีอะไร แดง นํ้าเงิน เขียว ส้ม หรือขาว? " ฟีลิปถามยํ้า

    "ถ้าตาไม่เบลอฉันเห็นว่ามันเป็นสีแดง.. ธงสีแดงของซัมเมอร์ "  อาเบลหรี่ตาเพ่งก่อนจะชะงักไปอีกครั้ง  " เดี๋ยว! มีสองอัน..  "

    "อีกอันสีอะไร? "

    "ขอเวลาแป๊บ .. มันเบลอเพราะหมอก "  อาเบลจ้องมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำ  " ขาว.. "

    โมเทสกับฟีลิปหันมามองหน้ากัน.. 

    "ของวินเทอร์รึ? "

    "ไปดูใกล้ ๆ กันเถอะ "

    ฟีลิปตัดบทแล้วเดินดุ่ม ๆ นำไปอย่างรวดเร็วด้วยความใจร้อนตามนิสัย

    จุดหมายคือธงที่ปลิวไสวเด่นอยู่ท่ามกลางหมอกหนาทึบ เส้นทางขณะการสาวเท้าเดินเริ่มเต็มไปด้วยรากไม้และกิ่งไม้กองสุมกันมากกว่าหินและดิน.. บางครั้งต้องเดินมุดผ่านซุ้มใบไม้ที่มีเถาวัลย์ตกระย้าตกลงมาระกับศีรษะและไหล่ การเดินลัดเลาะเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ เริ่มรู้สึกถึงลมแรงจัดพัดมาปะทะมากขึ้น ๆ เส้นทางเดินเริ่มก็ชันไปทุกขณะจนกลายเป็นการไต่ขึ้นไป.. ท่ามกลางทะเลหมอกมัว ได้ยินเสียงนํ้าไหลซ่า ๆ แว่วมาเข้าหู กลิ่นไอดินเย็นชื้นลอยมากระทบจมูก  ท่ามกลางรากไม้ที่พาดระเกะระกะ..

    กร๊อบ!!

     

    เท้าที่เหยียบลงไปบนแผงไม้ผุไม่รู้ตัวทำให้โมเทสถลาวูบ พื้นที่เท้าทรุดตัวถล่มลงไปเป็นแผง ดีที่มืออันว่องไวพุ่งไปคว้าหมับเอาเถาวัลย์เส้นใหญ่เหนือศีรษะไว้ได้ โมเทสตะลึงตะลานไปครู่ใหญ่

    "เฮ้ย!! "

    ฟีลิปกับอาเบลอุทาน..  มองร่างผอมบางกำลังโหนต่องแต่งเป็นลิงบนเถาวัลย์ แล้วมองดูพื้นที่เคยมีให้โมเทสเหยียบ ซึ่งมันกลายเป็นหลุมโหว่ขนาดพอประมาณ .. เห็นปุ๊บฟีลิปกับอาเบลก็ชัดแจ้งไปอย่างรวดเร็ว

     

    "เหว!!  "

     

    ว่าตํ่าลงไปข้างใต้บริเวณที่พวกเขายืนกันอยู่นั้นคือ   เหว!!

    "อะไรวะเนี่ย? " อาเบลกัดฟันแน่น หันมามองฟีลิป..  " เฮ้ย ! ธงละ.. "

    ฟีลิปหันหลังกลับไปมองด้านหน้า..  ผ้าธงสีแดงยังปลิวไสวโดดเด่นอยู่เช่นเดิม.. แต่ยังมองเห็นบริเวณฐานของมันไม่ชัดเพราะหมอกบังตาอยู่.. ทว่าก็พอจะเริ่มเดาได้ว่ามันคงถูกนำไปปักไว้บนที่สูง อาจเป็นริมหน้าผา หรือว่าบนยอดไม้..

    "เฮ้!  เอายังไงกับไอ้หมอนี่ดี.. "

    ฟีลิปหันไปถามอาเบล อีกฝ่ายนิ่วหน้า ได้แต่มองเพื่อนผู้โชคร้ายของเขาที่กำลังห้อยเป็นลิงและทำตาปริบ ๆ อาเบลนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มเดินอย่างระมัดระวังเข้าไปใกล้.. แต่อนิจจา กิ่งไม้ที่กองสุมกันอยู่นั้น มันเกิดรอยผุพังไปครั้งหนึ่งแล้ว จึงไม่มีความทนทานหลงเหลืออยู่.. เพราะเพียงแค่เท้าสะกิดกิ่งไม้มันก็ถล่มผวัะหลุดร่วงหายไปท่ามกลางหมอกมัวเบื้องล่าง.. อาเบลกับฟีลิปมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองโมเทสด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกสมเพชเวทนาอย่างสุดซึ้ง..

    โมเทสมองหน้าเพื่อนทั้งสอง.. หลุมที่อยู่ใต้เท้า.. มันมองไม่เห็นพื้น มีแต่สีควันขาว ๆ หรือก็คือหมอก ลอยฟ่องอยู่ในระดับตํ่าลงไป .. สองแขนเหนี่ยวเถาวัลย์เส้นยักษ์ไว้อย่างเหนียวแน่น.. ถ้าหล่นลงไปนี่ เขาคงสิ้นชื่อแน่

    จะเอายังไงดี?  

     .............................................................................

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×