คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทนำ : เหตุแห่งปัญหา
Disater of the God ตำนานแห่งเทพหายนะ ภาคปฐมฤกษ์ " รุ่งอรุณแห่งอสูร "
.............................................................................................................................................
บทนำ - เหตุแห่งปัญหา " พิธีประทานพร "
พระจันทร์กลมโตบนท้องฟ้า
ส่องแสงออร่าสีแดงเรืองสาดลงมายังทะเลป่าเบื้องล่าง.. ที่เห็นอยู่ไกลลิบนั่นคือเทือกเขาแห่งแสงจันทร์ที่ทอดยาวไกลหลายไมลล์ แสงสีแดงกํ่าจากดวงจันทร์ที่เปล่งรัศมีออกมาดุจดังถูกชโลมไปด้วยเลือด ทำให้ท้องฟ้าในคํ่าคืนนี้ดูน่าขนลุกเป็นอย่างยิ่ง..อากาศยามคํ่าคืนเย็นเฉียบและเหน็บหนาว อันเนื่องมาจากสภาพภูมิประเทศที่อยู่ทางตอนเหนือสุด แวดล้อมด้วยป่าสนสูงใหญ่ทุกทิศทาง
..แต่ท่ามกลางป่าที่มืดทึบ ..ก็ปรากฏมีแสงสว่างเรืองรองอยู่ที่กลางป่าพร้อมกับมีเสียงดนตรีเยือกเย็นแว่วมาให้ได้ยิน..
ณ บริเวณอันมีแสงสว่างจากแสงคบไฟที่ตั้งกระจายอยู่รายล้อม
ผู้คนในป่ามาชุมนุมกันบางตาในบริเวณที่คล้ายลานแคบ ๆ ..ตรงกลางลานมีแอ่งนํ้าพุ .. นํ้าสีแดงดั่งโลหิตไหลหลั่งเป็นสายจากคนโทในมือของรูปปั้นหญิงสาวบนแท่นกลางนํ้า .. นํ้าที่ไหลตกกระทบแผ่นหินแทบเท้ารูปปั้นหิน กระเซ็นเล็กน้อยก่อนไหลไปรวมกันในแอ่งใหญ่.. ผิวนํ้าถูกแสงจันทราตกกระทบเป็นประกายสีแดงดุจทับทิมสุก..
และนํ้านั้นก็ถูกตักขึ้นด้วยเหยือกทองคำใบใหญ่ นำไปแจกจ่ายให้กับเหล่าผู้ชุมนุมที่จับกลุ่มอยู่รายล้อม บางนั่ง บ้างยืน สนทนาปราศรัยไปพลางดื่มนํ้าที่ได้รับแจกจ่าย .. ซึ่งมีรสกลิ่นและดีกรีไม่ต่างจากสุรารสเลิศแต่อย่างใด
เสียงเพลงแว่วหวานเพราะพริ้งมาจากกลุ่มภูตดำ ที่นั่งจับกลุ่มอยู่อีกด้าน.. สตรีผู้สวมมงคลดอกไม้สีดำ แต่งกายด้วยอาภรณ์ผ้าเนื้อบางสีดำสนิทนั่งอยู่กลางวงล้อมบรรจงไล้ปลายนิ้วไปตามสายพิณในอ้อมแขน ข้าง ๆ มีพัค..ภูตตัวเล็กที่มีขาเป็นแพะและมีเขาคอยเป่าขลุ่ยเลาเล็กสีงาช้างคลอไป..
ไม่นานนักเสียงบรรเลงก็หยุดลง .. และทุกคนพร้อมใจละจากกิจที่กระทำเบนความสนใจไปยังบริเวณหนึ่งซึ่งแยกเป็นเอกเทศออกจากกลุ่ม.. บริเวณนั้นถูกจับจองโดยเหล่าคนอีกกลุ่มหนึ่งที่พิเศษกว่าผู้ใด..
คนกลุ่มนั้นไม่ได้นั่งร่วมปราศรัยกับผู้ใด แต่ละคนทั้งชายและหญิงล้วนสวมศิราภรณ์อันแปลกตานั่งรายล้อมอยู่บนแท่นที่ยกสูงอยู่กระจัดกระจาย.. ประดับประดาด้วยเครื่องประดับลํ้าค่า .. ทั้งเพชรพลอยเม็ดเขื่องที่ติดอยู่ห่วงกำไล.. สร้อยคอที่ทำจากทองคำอันถือว่าเป็นสิ่งที่เลอค่าที่สุด..และกลางหน้าผากของพวกเขาก็ล้วนปรากฎเป็นอักขระโบราณต่างๆกัน..
แลบริเวณกลางกลุ่มคนเหล่านั้น .. บุรุษผู้หนึ่งในศิราภรณ์สีดำสนิท สวมรัดเกล้าเส้นเล็กประดับด้วยเพชรดำสนิทเจียระไน... เกศายาวสยายหยักศกถูกปล่อยให้ระเรื่อยลงตามวิถี .. ใบหน้าคมเชิดสง่าเยือกเย็น ประทับนั่งเอกเขนกบนแท่นสลักทองปูด้วยผ้าขนสัตว์สีดำสนิทที่ยกสูงกว่าแท่นอื่น ๆ นัยน์เนตรคมกริบสีทองเรือง.. จับจ้องไปยังสองร่างเล็กของเด็กชาย ซึ่งยืนเคียงกันอยู่ห่างออกไปตรงหน้า..
เด็กคนซ้ายเจ้าของนัยน์ตากลมโตสีเทาอ่อนอันสดใสกำลังกวาดมองไปรอบ ๆ กายอย่างสนอกสนใจ .. ในขณะที่เด็กคนขวากำลังยืนอย่างนิ่งสงบ นัยน์ตาโตสีนํ้าเงินวาวดุจอัญมณีจับจ้องมองตรงมายังกลุ่มคนเบื้องหน้าไม่วอกแวก..
ช่างแตกต่าง..
เจ้าของเนตรสีทองคมกริบเบนผ่านร่างเล็กไปยังด้านหลังที่ห่างไปราวสองก้าว..บุรุษสองร่างยืนอยู่ข้างกัน .. ผู้หนึ่งเป็นชายวัยหนุ่มงามสง่าดุจอาชา ..เกศาสีนํ้าเงินเหยียดยาว สวมชุดทะมัดทะแมงคลุมทับร่างด้วยผ้าคลุมขนสัตว์สีขาวผืนใหญ่..ซึ่งเป็นแบบพิมพ์ของเด็กชายคนขวา ..
ส่วนอีกหนึ่งเป็นชายวัยกลางคน.. เกศาสีดำยาวถักเปียหลวมตวัดพันรอบคอ ห่อหุ้มร่างสูงใหญ่ด้วยชุดหนังสีดำสนิท ซึ่งเป็นแบบพิมพ์ของเด็กชายคนซ้าย..
ขณะที่ชายคนแรกกำลังมองดูลูกชายตนด้วยสายตาที่ฉายแววแห่งความเครียดขรึม แต่อีกคนกลับอยู่ในอาการนิ่งสงบดุจผิวนํ้า ใบหน้าเฉยชา นัยน์ตาสีฟ้าคมกริบไม่สะท้อนความรู้สึกใด ๆ
เด็กน้อยจากสองตระกูล..
ตระกูลหนึ่งระบือชื่อนามด้านความองอาจ ยิ่งยง ทรนงและกล้าหาญ ตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน..
กับอีกตระกูลหนึ่งซึ่งเคยรุ่งเรืองในอดีตและฝากนามอันน่าเกรงขามผ่านกาลเวลา..
แสงจันทร์แดงกํ่าสุกส่องสว่างเรืองรองตัดกับฉากหลังอันมืดสนิทไร้หมู่ดาว.. เมฆยามคํ่าคืนเคลื่อนคล้อยด้วยลมบนที่แรงจัด .. ความเงียบมาเยือนสู่พื้นที่ชุมนุม .. ดุจว่าทุกคนล้วนกลายเป็นหินกันไปเสียหมดแล้ว.. ได้ยินเพียงเสียงหวีดหวิวครวญครางของแบนชีลอยมาตามลมจากซอกหุบเขาที่ห่างไกล..
ครั้นแล้ว .. ร่างหนึ่งก็ไหวขึ้นจากแท่นฝั่งเบื้องขวา ร่างเพรียวระหงก้าวช้า ๆ ผ่านกลุ่ม และกลายเป็นจุดรวมของสายตาเมื่อมายืนอยู่เบื้องหน้าของเด็กน้อย.. สตรีงามสวมศิราภรณ์เครื่องประดับ ผู้มีเกศาสีดำเงางามยาวสยายถึงกลางแผ่นหลัง นัยน์ตาคมกล้าสีฟ้าครามที่แผ่ความน่าเกรงขามดุจดั่งรัศมีดวงอาทิตย์อันแผดจ้า ท่ามกลางความมืดมิดของทุกสิ่ง.. นางมองเด็กน้อยทั้งสองสลับกันอย่างชั่งใจ..ก่อนจะหันมาทางขวา.. ริมฝีปากแต้มด้วยรอยยิ้มแห่งความมั่นใจเต็มเปี่ยม.. เอ่ยด้วยเสียงกังวานจับใจ
" อาชาเรียกหาอาชา ตัวตนของเจ้ารํ่าร้องถึงข้า 'ชีรางจี' เทพีแห่งโชคชัย "
สองมือตะกองยกตัวเด็กน้อยคนขวาที่ผงะไปเล็กน้อย .. ตาเบิกกว้าง ตัวแข็งในขณะที่ร่างเล็กถูกยกขึ้นสูง..
" เด็กน้อยแห่งลอวชีลล์ชาติอาชา. "
นางยิ้มพราวให้กับเด็กน้อยในอ้อมแขน ส่งให้ผู้เป็นบิดาซึ่งเอื้อมมารับไว้ก่อนจะโค้งลง .. เทพีแห่งโชคชัยผู้งามสง่าวาดมือขวาออกไปยังข้าง ๆ แสงสีเงินยวงปรากฎจากปลายนิ้วเรียวก่อตัวเป็นท่อนเงินยาวสูงเป็นสองเท่าของร่างนาง บริเวณส่วนปลายคลี่ออกได้เป็นธงที่ทำจากผ้ากำมะหยี่สีนํ้าเงินเข้มผืนใหญ่ ปักเลื่อมด้วยดิ้นเงินเป็นลายอักขระโบราณ
ผืนธงสะบัดพรึ่บ ยื่นมาตรงหน้าของเด็กน้อย
" ข้าแต่จันทราโลหิตอันสว่างไสวเป็นสีทับทิมในคํ่าคืนนี้.. " นางเอ่ยด้วยเสียงกังวานก่อนจะโน้มชายธงแตะศีรษะเล็ก ๆ นั้น " ด้วยอำนาจแห่งข้า " ชีรางจี" เทพีแห่งชัยชนะแห่งดินแดนเทพทมิฬ ขออวยชัยให้เจ้า จงประสบพบแต่ชัยชนะ .. ไม่ว่าจะกระทำสิ่งใด ๆ ก็ตาม..ความพ่ายแพ้ จักมิมาเยี่ยมเยือน ..
หากเจ้าคิดสิ่งใด ก็ให้คิดสำเร็จ หากเจ้าทำสิ่งใด ก็ให้ทำสำเร็จ .. หากเจ้ายาตราบนวิถีแห่งสงคราม ก็ขอให้ธงแห่งโชคชัยจงโบกสะบัดอยู่ข้างเจ้าเสมอ .. ไม่ว่าอุปสรรคจะยากเย็นสักเพียงใด .. แม้ว่าความหวังจะเป็นเพียงเทียนอันริบหรี่สักปานไหน..แม้ว่าราวกับจะสิ้นหวังลงสักเท่าใด..จงจำไว้ว่าธงชัยของข้าจะยังโบกสะบัดอยู่ข้างกายเจ้าเสมอ.. "
" และด้วยพรแห่งข้า .. ที่ได้ลั่นวาจาออกไปแล้ว จักไม่มีการเสื่อมลง.. ตราบชั่วฟ้าดินสลาย.. จักไม่มีการดับสูญไป.. ไม่ว่าตัวข้าจะดำรงอยู่หรือไม่ก็ตาม "
สายลมแรงสาดระลอกนำเอาคำกล่าวนี้ให้กังวานก้องทั่วบริเวณ เสียงที่ราวกับพรายกระซิบตอบดังทวนคำ สะท้อนไปมาซํ้าแล้วซํ้าเล่า .. ยอดไม้เสียดสีกันดังอยู่ซ่า ๆ ใบไม้ปลิดปลิวล่องลอยตามลม .. ผ้าธงผืนใหญ่สะบัดชายพริ้วไหวเป็นคลื่น
แว่วเสียงหัวเราะตํ่า ๆ แปร่งหูดังเสียดแทรกขึ้นมาท่ามกลางเสียงลมหวีดหวิว ..ก่อนจะค่อย ๆ ดังขึ้นเป็นลำดับ เสียงหัวเราะแหบห้าวสูงตํ่าเยือกเย็นชวนให้หนาวเยือกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ.. ก่อนที่เงาร่างสูงโย่งจะโผล่ออกมาจากในเงามืด บริเวณที่แสงจากคบไฟส่องไปไม่ถึง .. รอยยิ้มพราวแต้มระยับบนใบหน้าคมคาย มุมปากทั้งสองข้างฉีกกว้างขึ้น ชวนให้ยิ้มนั้นดูแสยะเย้ยหยันน่าพรั่นพรึง ..
การปรากฏตัวแทรกพิธีเรียกเสียงฮือฮาอื้ออึงจากคนรอบด้าน.. ทั้งประหลาดใจระคนหวาดหวั่น .. ก่อนจะเงียบงันไปอย่างรวดเร็วเมื่อสายตานั้นเหลือบมามองกราด นัยน์ตาขวาสีนํ้าตาลเข้มส่องประกายประหลาดน่าขนลุก ขณะที่ใบหน้าซีกซ้ายถูกบดบังด้วยเกศาสีฟางที่ตกลงมาปรกไว้
ร่างในอาภรณ์ครึ่งตัว เปลือยท่อนบนแลเห็นแผงอกแกร่งกำยำ สาวเท้ามาทางเด็กน้อยผมดำที่ถูกทิ้งไว้แต่แรก มือขวาฉวยคอเสื้อหมับฉุดจนร่างนั้นลอยจากพื้น หิ้วเหมือนตุ๊กตาเดินตรงไปยังผู้เป็นบิดาดังเช่นที่เทพีสตรีได้กระทำก่อน
" เจ้าหนูนั่นช่างโชคดีเสียจริงที่เทพีแห่งชัยชนะเข้าข้าง "
เมื่อมาถึงก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าบุรุษชุดดำที่ยังยืนนิ่งไม่ขยับ กิริยาอาการสงบเยือกเย็นไม่ไหวหวั่น ..
" ส่วนเจ้าเองก็ช่างโชคดีเสียยิ่งกว่า ที่ข้าเลือกเจ้า "
นิ้วผอม ๆ จิ้มลงไปที่กลางหน้าผาก เด็กน้อยหลับตาปี๋ก่อนจะลืมตาขึ้นมามองด้วยตาโตสดใสอีกครั้ง มองอย่างฉงนก่อนจะส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ บุรุษร่างสูงเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะแสยะยิ้มพราว หัวเราะหึ ๆ ในลำคอ
" เจ้าผู้ถูกชิงชังและรักใคร่ ไม่ใส่ใจซึ่งร้อนหนาวสักเพียงนิด .. ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังเล่า ก็ถูกโอบล้อมด้วยเสียงแซ่ซ้องอันก้องกึก อึกทึกอยู่วุ่นวายสับสน .. พ่อเจ้าช่างเลี้ยงได้น่าเอ็นดูเสียจริง ทายาทแห่งเบลเซบาส "
ครั้นแล้วก็ชำเลืองไปยังเทพีชีรางจีผู้งามสง่าที่ยืนเชิดหน้าทะนงตนอยู่ไม่ไกล นางไม่พอใจที่พิธีของนางถูกก่อกวน
" ช่างน่าเศร้าจริง ๆ ที่ข้าไม่มีอำนาจอันยิ่งใหญ่ตระการตาให้แสดงออกมาในพิธีนี้ "
สำเนียงเอ่ยเรียบ ๆ มีการประชดประชันเสียดสีเล็กน้อยชวนให้เห็นเป็นเรื่องตลก.. แต่ก็ไม่มีใครกล้าหัวเราะ..เพราะเทพีสตรีกำลังแผ่รังสีทะมึนทึมให้กับอีกฝ่าย ที่กำลังลอยหน้าลอยตายิ้มแย้มยวนโทสะไม่เลิกรา ถ้าไม่ติดที่ว่ากำลังอยู่ต่อหน้ามหาเทพผู้สถิตย์นิ่ง ณ บัลลังค์สูงเบื้องหลัง การวิวาทระหว่างเทพคงบังเกิด ..
สำหรับดินแดนแห่งความมืด เทพวิวาทกันเป็นเรื่องปกติ
และในที่สุดเทพีชีรางจีก็ได้แต่กัดฟันข่มความโกรธสะบัดหน้าหนีสายตาของอีกฝ่ายไป.. บรรยากาศมาคุจางหายไปชั่วคราว เด็กน้อยในอ้อมแขนแกร่งมองรอยยิ้มแสยะพราวด้วยความไม่ประสาและเหมือนจะไม่รับรู้ด้วยว่าสิ่งใดภัยสิ่งใดมิตร
เทพหนุ่มจิ้มนิ้วไปที่หน้าผากมนของเด็กน้อยแล้วกล่าวด้วยนํ้าเสียงทุ้มตํ่ากังวานและเยียบเย็น เอื้อนเอ่ยออกมาท่ามกลางความเงียบในอาณาบริเวณ.. เป็นประโยคที่คล้ายกับสิ่งที่เทพีสาวได้ลั่นออกไป หากแต่เปลี่ยนแปลงเนื้อหาบางส่วนไป ..
" ข้าแต่จันทราโลหิตอันสว่างไสวลุกไหม้เป็นสีแดงเดือด.. ด้วยอำนาจแห่งข้า ่ราคิส ่ เทพแห่งความหวาดกลัวผู้รอคอยอรุณรุ่งมาเยือนในทุกเช้า .. จะขออำนวยพรวิเศษอันมิเคยมีผู้ใดได้รับให้แก่บุตรคนที่สิบเอ็ดแห่งตระกูลอสูรผู้ถูกสาปแช่ง หึ ๆ .. "
นัยน์ตาสีนํ้าตาลเหลือบมองไปทางเด็กน้อยอีกคนในอ้อมแขนของเทพีแห่งชัยชนะ..
" หากเจ้าคิดสิ่งใด.. ทำสิ่งใด.. จงคิดให้สำเร็จ จงทำให้สำเร็จ.. หากเจ้าก่อการใหญ่.. ก็จงก่อให้สำเร็จ จงสร้างสงครามแห่งกาลวิบัติอันยิ่งใหญ่ไม่แพ้สงครามในอดีตกาลขึ้นมาอีกครั้ง ให้มันมีสงครามที่นำมาซึ่งชัยชนะอย่างที่เทพีชีรางจีปรารถนา "
กระแสเสียงพูดปนกับเสียงหัวเราะแหบห้าวน่าขนลุก แต่เนื้อหาพรน่าขนลุกยิ่งกว่า และมันทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาทั่วทั้งบริเวณ ถ้อยคำของเทพราคิสจึงถูกเพิ่มระดับขึ้นมายิ่งกว่าเก่าอย่างจงใจให้ได้ยินไปทั่ว
" ให้มันเป็นสงครามแห่งกาลวิปโยคที่นำมาซึ่งความหวาดสยองไปทั่วทวีป! ให้เพลิงกาฬลุกไหม้ไปทั่วทั้งแผ่นหิน! หิมะขาวหิมะดำปกคลุมไปทั่วทั้งแผ่นดิน ให้โลหิตอาบทาเทราด ให้มันเนืองนองไปทั่วราชอาณาเขต ให้นํ้าตาคนทั้งมวลหลั่งใหลซึมซาบลงไปถึงเอนเบร์ท..นรกภูมิใต้บาดาล!! "
ไม่เพียงแค่นั้น.. เทพราคิสแห่งความหวาดกลัวก้มลงกระซิบแก่เด็กน้อยด้วยเสียงเบาบาง
" แต่จงสร้างมันขึ้นมาก่อนที่เจ้าจักอายุครบสิบแปดปีในภายหน้า หาไม่แล้วเจ้าก็ต้องตาย.."
แล้วยังชำเลืองสายตาไปมองผู้เป็นพ่อของเด็กน้อยในอ้อมแขน " หึหึ.. พรของข้ามันเยี่ยมดีใช่หรือไม่ อาดิเล็กซ์ เบลเซบาส.. "
คิ้วหนาของบุรุษสูงวัยเริ่มขมวดเข้ามาชิดกัน แต่ก็ไม่มีคำพูดใดส่งตอบออกมา เทพหนุ่มหัวเราะออกมาด้วยความพอใจกับแผนการวางระเบิดของตนเอง เสียงแหบห้าวแปร่งหูดังก้อง แล้วจึงหันไปชี้นิ้วใส่เด็กน้อยที่เทพีสาวอุ้มอยู่แล้วพูดพลางหัวเราะ
" หรือถ้าเจ้าไม่อยากให้บุตรของเจ้ากลายเป็นกบฏแผ่นดิน งั้นก็ต้องให้มันฆ่าเจ้านั่นเป็นการแก้เคล็ดก็แล้วกัน!!! "
" ว่าไงนะ!! "
เทพีชีรางจีส่งเสียงเกรี้ยวกราดดังลั่นอย่างตกใจ เช่นเดียวกับท่าทีของบุรุษในชุดคลุมขนสัตว์สีขาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ที่ตะลึงงันไป
" อย่ามาพูดจาบ้าบอ ไอ้เทพวิบัติ!! " เทพีแห่งชัยชนะตวาดเสียงกร้าวพลางชี้นิ้วใส่ นัยน์เนตรสีนํ้าเงินกรุ่นไหวด้วยเพลิงโทสะที่ลุกไหม้อยู่ภายใน
" ข้าก็ไม่ได้พูดเล่นแต่อย่างใดนี่ ชีราง " เทพหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ยั่วอารมณ์ต่อไป
" ใช่แล้ว ทายาทแห่งเบลเซบาสเอ๋ย ว่าด้วยพรอันพิเศษที่ข้าได้ประทานไปนั้น ถ้าเจ้ามองหาทางเลือกอื่นนอกจากการก่อสงคราม เจ้าก็จะต้องก่อฆาตกรรม โดยจะต้องดับชีพคู่กรรมในคํ่านี้ นามนั้นคือเรย์ ลอว์ชีลล์ชาติอาชา ผู้ถูกอุปการะด้วยเทพีแห่งชัยชนะ.. "
แล้วเสียงหัวเราะแหบห้าวก็แผดก้องไปทั่วบริเวณ สะกดให้ทุกผู้ที่ได้ยินต้องสงบนิ่งตะลึงงัน
" ฮะ.. " เทพีสาวพยายามข่มอารมณ์ให้เย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้ แค่นเสียงหัวเราะ
" รนหาที่ตายละซิไม่ว่า .. เจ้าก็น่าจะรู้ว่าหากข้ายืนอยู่ข้างไหน ข้างนั้นก็ย่อมมีชัยเสมอนั่นละ นับว่าโง่โดยแท้ ที่กล้าเอานามข้าไปเกี่ยวข้องกับเกมกลอันไร้แก่นสารของเจ้า ราคิส! "
" หืม? แล้วจะมีโทสะไปใยเล่า มันก็แค่เกม.. หรือท่านเองก็กลัวที่จะต้องเสี่ยงกับข้า ? "
เขาพูดยิ้ม ๆ พลางหยอกเอินกับเด็กน้อยผู้ไม่ประสากับชะตากรรมในอนาคต .. แล้วเทพหนุ่มผู้สร้างโทสะก็ปล่อยให้เทพีแห่งชัยชนะยืนตัวสั่นด้วยความโกรธสุดประมาณอยู่ข้างหลัง หันมาส่งเด็กคืนให้กับผู้เป็นบิดา แล้วก็มิวายเย้าบุรุษวัยกลางคนอีกรอบ
" โดยส่วนตัวข้าสนับสนุนให้มันก่อสงครามมากกว่านะ หึหึ.. พวกเจ้าอย่าทำให้ข้าผิดหวังเสียละ "
ครั้นแล้วนัยน์ตาสีนํ้าตาลก็เบนออกไป .. สายตาคมวาวทอดมองผ่านร่างเทพสาวและเทพองค์อื่น ๆ ที่รายล้อมอยู่รอบด้าน สบเข้ากับเนตรสีทองคมกริบของมหาบุรุษผู้สนิทนิ่งดุจรูปปั้นในท่าเอกเขนกบนแท่นสูงสลักทอง
" เกมส์ฆ่าเวลา.. อย่างที่คนผู้นั้นโปรดปรานเป็นอย่างยิ่ง.. "
ความคิดเห็น