คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 2 - เงาธง
Disaster of the God :: Demon 's DAWN :: รุ่งอรุณแห่งอสูร
ตอนที่2 -ธง
ลมเย็นจัดพัดมาต้องผิวกายหนาวสะท้าน แสงอรุณเริ่มส่องผ่านหมอกมัวอาบให้ทิวไม้ที่เห็นอยู่ไกลลิบเป็นสีทองงดงาม นัยน์ตาสีเทาอ่อนจ้องมองปุยหมอกที่ล่องลอยอยู่ตํ่าลงไปเบื้องล่าง มองผ่านหลุมโหว่ขนาดพอประมาณใต้เท้าทั้งสองข้างที่ห้อยต่องแต่ง
วิวมันสวยก็จริง .. แต่มันคงไม่ดีแน่ถ้าตัวของเขาเกิดหล่นลงไป .. ครั้นเบนสายตาขึ้นมามองพรรคพวกอีกสองคนบนฝั่งทางโน้น ก็พบกับสายตาอันกระวนกระวายยามมองมาที่เขา..
เขากำลังเกาะอยู่บนกิ่งไม้.. ส่วนใต้เท้านั้นคือเหวลึกที่ยังมองไม่เห็นก้น..
เอาไงดี?
โมเทสนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง สายตากวาดมองไปรอบ ๆ เพื่อหาวิธีเอาตัวรอดจากวิกฤตตรงหน้า..
จากสภาพที่ตาเห็น บริเวณนี้มีรูปร่างเหมือนรังแมงมุม เสียแต่ใยที่พันพาดอยุ่มันไม่ใช่ใยแมงมุม .. มันคือเถาไม้และกิ่งไม้หลากหลายชนิเด สุมกันเป็นซุ้มขนาดใหญ่ เถาวัลย์ยักษ์ที่ทั้งแข็งและหนาปล่อยรากตกระโยงระยางเป็นเครือเถาไปทั่วอาณาบริเวณ ซุ้มไม้ใหญ่เหมือนมีใครนำเอากิ่งโน้นกิ่งนี้มาถักสานให้เป็นหลังคาและโพรงไม้ ในตอนแรที่เดินตามทางมา พวกเขาก็ไม่ได้สังเกตุอะไรมากมายนัก เพราะมัวแต่มองผืนธงที่ปลิวไสวล่อตาอยู่เองหน้า มันทั้งประหลาดใจและออกจะงง ๆ อยู่บ้าง..
ไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลยว่าป่านอกโรงเรียนมันมีสถานที่แบบนี้อยู่ด้วย?
หลังจากสำรวจตรวจตราหาวิธี.. จากสภาพทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว เพื่อนของเขาเหมือนจะกังวลเอามาก ๆ ทีเดียว .. อาเบลเข้ามาใกล้มากกว่านี้ไม่ได้เพราะกลัวจะเผลอไปเหยียบไม้ผุ ..ก็ดีแล้วที่ไม่เข้ามา นับว่าฉลาดอยู่บ้าง โมเทสอยากจะโกรธเพื่อนเขา แต่น่าแปลกที่เขารู้สึกเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องโกรธอะไรนั่น..
เด็กหนุ่มมองเถาวัลย์เส้นใหญ่ที่เขายึดอยู่ มันเป็นเถาวัลย์ที่ดูแข็งแรง.. จากที่มือสัมผัสดู.. รับนํ้าหนักตัวเขาได้แบบนี้แสดงว่าค่อนข้างเหนียวและทนทานเอาการเลยทีเดียว.. แต่มันจะทนแรงสั่นสะเทือนได้แค่ไหนกัน? ..คิดได้ดังนั้นเขาจึงลองเสี่ยง..มือทั้งสองข้างกระชับเส้นเถาวัลย์ไว้แน่นยิ่งกว่าเก่าแล้วลองเตะขาทั้งสองข้างออกไปเบา ๆ แล้วสังเกตุดูมัน..
มันไหวน้อย ๆ แต่ก็แค่ไหว..
โมเทสเริ่มเหวี่ยงตัวไปมาช้า ๆ และแรงขึ้นอีกหน่อย.. ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกของฟีลิปดังลั่นมาอย่างตกใจ
"เฮ้ย! แกจะทำอะไรวะนั่น!! "
แต่โมเทสไม่สนใจเสียงตะโกนนั่น เขาเอาแต่จับตาดูกิ่งเถาวัลย์ดังกล่าว ..เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ดูเหมือนแค่นํ้าหนักตัวของเขา ที่เพิ่มขึ้นเมื่อแกว่งตัวเอง จะไม่สามารถทำให้มันหักได้ .. เมื่อนั้นรอยยิ้มบาง ๆ จึงระบายออกมาด้วยความพอใจ และความหวังในการมีชีวิตรอดที่โผล่ขึ้นมา..
ทางรอด มีแล้ว.. แต่จะกล้าเสี่ยงรึเปล่า?
คำตอบในใจคือเขาจะลองเสี่ยงมัน..
สองแขนที่เหนี่ยวเครือไม้กระชับแน่น ก่อนจะเริ่มเตะขาทั้งสองไปมาให้ร่างแกว่ง ไอ้เรื่องห้อยโหนแบบนี้เขาถนัดนัก.. เพราะตอนอยู่บ้านก็แอบไปปีนต้นไม้ในสวนอยู่บ่อย ๆ ..แต่พอมานึกดูดี ๆ ส่วนมากแล้วมักจะปีนขึ้นไปแล้วลงไม่ได้..ต้องเรียกคนใช้แถวนั้นมาช่วยตลอด..ว่าแต่เขาจะมาพล่ามอะไรกับตัวเองอยู่ละเนี่ย?
เถาวัลย์เส้นหนาและเหนียวไหวส่ายไปมาตามแรง..
มากขึ้น..มากขึ้น..
โมเทสสูดลมหายใจลึก จ้องมองเถาไม้ที่สองมือจับมั่นอยู่ นับหนึ่ง สอง และ สาม..
ฟึ่บ!
ท่ามกลางสายตาที่เฝ้ามองอย่างลุ้นระทึก เด็กหนุ่มผู้โชคร้ายอาศัยความคล่องตัวของร่างกายตามคุณสมบัติของชาติพันธุ์กับความเหนียวและยืดหยุ่นของไม้ดีดให้ส่งตัวเองลอยขึ้นไป และเขาก็ปล่อยมือ..
ฟีลิปอ้าปากค้างมองร่างของนักกายกรรมกลางอากาศที่ลอยสูงอยู่ชั่วครู่ก่อนหล่นลงมาเกาะที่เครือไม้อีกเครืออย่างพอดิบพอดี.. และก่อนที่ไม้กิ่งนั้นจะไหวยวบร่างนั้นก็เผ่นแผล็วไปเกาะยังอีกกิ่งที่ดูใกล้ ๆ กัน .. จากการเฝ้ามองเพื่อนผู้กำลังทำตัวเป็นลิง กระโจนไปเกาะกิ่งโน้นกิ่งนี้.. โมเทสไม่แสดงอาการหวาดกลัวหรือลังเลใด ๆ ออกมาเลยในทุกก้าวกระโดด ทั้ง ๆ ที่การทำอย่างนั้น มันเล่นซะคนมองหวาดเสียว จนพาลจะหัวใจวายแทน..
ชั่วอึดใจต่อมา ในที่สุดมือและเท้าอันว่องไวก็พาร่างผอมบางนั่นหลุดพ้นรัศมีของเขตหลุมมรณะ มายังพื้นที่มั่นคงกว่าอย่างปลอดภัยไร้กังวล โมเทสถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งสุดจะโล่ง แล้วมองหน้าเพื่อนทั้งสองที่กำลังจ้องเขาตาปริบ ๆ ..
"ไปกันได้รึยัง? "
มันเป็นคำถามที่เหมือนกับว่าเจ้าตัวไม่ได้รู้สึกอะไรเลยซักนิด.. จนทำให้อาเบลนึกอยากเตะมันเข้าซักป้าบ แต่ฟีลิปดูจะไวกว่า มือแข็งแรงของสุนัขเมืองร้อนซัดผวัะใส่ศีรษะนั้นอย่างรวดเร็วก่อนจะตะคอกลั่น!
"ไอ้บ้า! แกอยากตายนักรึไงวะ! "
โมเทสหน้าเหวอไป มองอีกฝ่ายด้วยท่าทางตื่น ๆ ไม่เข้าใจ.. เห็นอย่างนั้นฟีลิปก็ทำท่าจะปรี่เข้าไปซัดอีกรอบ แต่อาเบลดึงไว้ได้ด้วยแรงทั้งหมดเท่าที่มี ฟีลิปจึงทำได้แค่ส่งเสียงโวยวายอย่างโมโห
"ทำไมแกถึงทำอะไรเสี่ยง ๆ แบบนั้นกันหา! แกรู้มั๊ยว่าถ้าพลาดตกลงไปจะเป็นยังไง! พวกฉันไม่ลงไปตามเก็บซากมาให้นะโว้ย!! "
"พอเหอะน่า มันรอดมาก็ดีแล้ว จะเอาอะไรอีกนักหนา.. "
สมิงแห่งโซลพูดปราม ยืนคั่นกลางระหว่างคนดวงแข็งกับคนขี้โมโหเพื่อกันไม่ให้ฟีลิปได้กระโดดเตะโมเทสสมใจอยาก จิ้งจอกทะเลทรายยืนกำหมัดแน่น ..
"นายก็อีกคน ทีหลังอย่าเล่นบ้า ๆ อีกเข้าใจมั๊ย? "
อาเบลหันมาพูดกับโมเทส.. ไอ้บ้านี่จะเข้าใจคำพูดของเขารึเปล่าก็ไม่รู้ แต่มันก็ยังทำหน้าบื้อเหมือนเดิมอยู่อย่างนั้น ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอื่นใดที่ใคร ๆ เขาเป็นกัน..
อาเบลนึกปลงในใจ.. รู้สึกเหนื่อยและท้อแท้เมื่อมองหน้าสมาชิกในทีมล่าธงแต่ละคน.. คนนึงเป็นโรคพาลไปซะทุกอย่าง ส่วนอีกคนไม่สนใจอะไรกับใครซักอย่าง.. ช่างเป็นทีมที่แข็งแกร่งเหลือคณานับ ..จนอยากเอาหัวโขกต้นไม้ซักสิบรอบ
"นายทำอะไรน่ะอาเบล? "
ฟีลิปถามขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนของเขาหันหลังให้แล้วเอาหน้าซบกับกิ่งไม้ใกล้ ๆ ..
"เปล่า.. ไม่มีอะไรนี่ ไปกันต่อเถอะ.. "
อาเบลพูดปด ทิ้งความเหนื่อยหน่ายไว้กับรอยเท้าที่อยู่ด้านหลัง หันหน้าเดินนำไปก่อน.. ฟีลิปกับโมเทสมองอาการของเพื่อนตนแล้วก็ไม่เข้าใจ.. และสักพักทั้งสองก็สลัดมันทิ้งอย่างรวดเร็วแล้วบ่ายหน้าตามหาธงต่อไป..
คราวนี้ทั้งสามคนเดินกันอย่างระมัดระวังมากยิ่งกว่าเดิม สายตาทั้งสามคู่จะคอยสอดส่ายมองพื้นที่เป็นกิ่งไม้สุมและเลือกเส้นทางวางเท้าอย่างถ้วนถี่.. ค่อย ๆ เดินตามกันไป .. บางครั้งการเดินทางก็ต้องมุดฝ่าดงเถาวัลย์ที่ตกระย้า หรือไม่ก็รากไม้ที่หักพาดทับกันไปตลอดเส้นทาง
ธงยังคงปลิวสะบัดอยู่ ณ เบื้องหน้า ยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ หมอกก็เริ่มจางลงตามลำดับ จนทำให้ยิ่งเห็นชัดว่าธงทั้งสองสีแดงขาวที่ปักอยู่ข้าง ๆ กันนั้นไม่ใช่ภาพหลอนเพราะหมอก .. นับเป็นเรื่องน่ายินดี.. น่ายินดีที่พวกเขาได้ค้นพบเป้าหมายแล้ว ซึ่งดูเหมือนจะยังไม่มีกลุ่มนักล่าธงกลุ่มอื่นมาด้วย..
แต่ความดีใจนั้นก็พลันหายเหือดไปเกือบหมดในเวลาต่อมาเมื่อพวกเขาเดินทางไปถึง.. ทันทีที่เห็นว่าที่ ๆ ธงอันลํ้าค่านั้นตั้งอยู่ที่ไหน ทั้งอาเบลและฟีลิปก็พากันยืนอึ้งตะลึงงัน !!
ส่วนโมเทสมองด้วยสายตาประหลาดใจ และเผลออุทานออกมาเบา ๆ ..
ธง..
..สีแดงและธงสีขาว ขนาดกระทัดรัด.. กำลังสะบัดผืนผ้าต่างสีอยู่เคียงข้างกัน.. สูงขึ้นไป.. สูงขึ้นไปห่างจากบริเวณริมเหวที่พวกเขายืนกันอยู่.. สูงขึ้นไปบนประภาคารศิลาใหญ่ลอยได้.. พูดให้ถูกคือหินลอยได้.. มันจะลอยได้อย่างไรไม่รู้.. รู้แต่สันฐานของมันเบื้องล่างไม่ได้อยู่ติดต่อกับพื้นพสุธา ซึ่งเป็นเหวลึกที่มองลงไปแทบไม่เห็นก้นเพราะเต็มไปด้วยหมอกสีขาวคลุ้ง ลมเย็นยะเยือกพัดพะพายมารุนแรงจะแทบจะทำให้ไม่สามารถยืนอยู่ริมขอบเหวได้..
ยิ่งมองนาน ๆ ก็ยิ่งเหมือนถูกดูดลงไป..ภายในกระเพาะของฟีลิปหมุนคว้างจนรู้สึกอยากจะอ้วก ..เดเรลิคท์..บ้านเกิดที่เขาโตมาไม่เคยเจออากาศหนาวและป่าสีเขียว.. ภูเขาสูงก็แทบจะไม่เคยได้ไปเหยียบ.. จากทะเลทรายร้อนระอุที่เขาเคยอยู่กับมันทุกเวลา..มาบัดนี้สายตาของเขามองเห็นแต่ทะเลหมอกกับทะเลป่าสีเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา และใต้เท้าอันแทบจะเย็นเป็นนํ้าแข็งทั้งสองข้างนี้ ก็คือเหว..
เหว...เหว...เหว..เหว..เห..
คำว่าเหวก้องสะท้อนไปมาอยู่ในหูฟีลิป ก้องกังวานและเยือกเย็น.. เขาไม่เคยเป็นโรคแพ้ความสูง แต่นี่มันสูงเกินไป..
"นี่มัน.. อะไรกันเนี่ย " ฟีลิปพึมพำ.. " ไม่ตลกนะโว้ย.. "
"ถึงฉันอยากจะขำ..แต่มันก็ขำไม่ออกแล้วละอีแบบนี้.. " อาเบลเหยียดยิ้ม..
"แล้วจะขึ้นไปเอาทางไหนละเนี่ย "
อาเบลพยายามเก็บซ่อนอาการสั่นระริกของร่างกายเอาไว้ด้วยการพยายามข่มใจตนเอง.. สมิงแห่งโซลกวาดสายตาอันคมกริบของเขาไปรอบ ๆ และเมื่อสังเกตอย่างถี่ถ้วนเขาก็พบว่า บนเกาะศิลาลอยฟ้านั้นเต็มไปด้วยไม้เถาที่พันอยู่รอบ ๆ ตัวมัน และเถาไม้จำนวนมากก็ตกระย้าย้อยลงมา.. เมื่อมองหาหนทางและคิดวกวนหลายตลบ.. เขาก็พบว่ามันอาจเป็นทางเดียวที่นำพาพวกเขาขึ้นไปได้
จะบอกว่าเขาเป็นปีศาจที่มีสมรรถภาพทางร่างกายนั้นสูงกว่ามนุษย์มากก็จริงอยู่.. แต่โดยวิสัยทางเผ่าพันธุ์ของเขาแล้ว.. มันก็ไม่ได้ถนัดปีนป่ายกับเชือกเถาวัลย์แต่อย่างใด.. อีกอย่างหนึ่ง.. แม้ว่าเขาอาจจะกระโจนไปเกาะแล้วปีนขึ้นไปเอาธงมาได้.. แต่ปัญหาที่กวนใจเขาอยู่ตลอดเวลาก็คือสถานที่ที่อยู่ตํ่าลงไปหลายพันเมตร.. แม้อาจจะคิดในทางบวกเพื่อปลอบใจตน ว่าแมวเองก็ยังไม่เคยตกจากที่สูง.. แต่มันก็น่าหวาดผวาอยู่ดี.. เพราะสูงที่สุดที่เขาเคยเหยียบยืนก่อนหน้านี้ก็คือกำแพงเมืองของโซล เมืองแห่งนักรบแห่งดินแดนอาทิตย์ลับแสง แต่มันก็เทียบกันไม่เห็นฝุ่น ถ้าเอามาเคียงข้างกับที่ ๆ เขายืนอยู่ปัจจุบันนี้.. สายตาคม ๆ จึงเบนไปมองฟีลิป.. อีกฝ่ายเบ้ปาก ก่อนจะเริ่มบ่นเสียงดังลั่น
"แม่โว้ย! ลิง! มีแต่ลิงเท่านั้นละที่ขึ้นไปเอามันได้น่ะ!! "
สายลมแรงจัดพัดลงมาจากยอดเขาสูงอันขาวโพลนที่สูงลิ่ว.. พัดเอากลิ่นไอหิมะสีขาวบนนั้นมาต้องจมูก และเอาความเย็นยะเยือกให้มาต้องผิวกาย.. เด็กหนุ่มผู้เคยโชคร้ายและรอดมาได้เพราะดวงแข็งเฝ้ามองเพื่อนทั้งสองของตนที่เอาแต่ยืนทำหน้าตาท่าทางเคร่งเครียดเป็นงานเป็นการ.. ก่อนจะเบนขึ้นไปมองประภาคารลอยฟ้าที่อยู่ห่างออกไปและสูงขึ้นไปเหนือศีรษะ
เขาเอามือป้องตาและนิ่งคิดอยู่คนเดียวเงียบ ๆ .. ไม่มีใครสนใจเขาอยู่แล้วเพราะอีกสองคนก็มัวแต่วุ่นวายกับเหวเบื้องล่าง.. ลมบนที่แรงจัดแม้มันจะหนาวเย็นแต่ก็ไม่พอจะทำให้โมเทสแข็งตายได้ .. เพราะอากาศที่เลวร้ายแบบนี้ก็เหมือน ๆ กับที่บ้านเกิดของเขา.. "ฟอร์ลอร์น" ป่าดำแห่งดินแดนอรุณรุ่งเหน็บหนาวและไร้ชีวิตยิ่งกว่านี้นัก.. ถ้าให้เทียบกันแล้วที่นี่ยังถือว่าดีกว่าอยู่หลายเท่าทีเดียว .. เพราะที่นี่มีแดดส่องมาถึงทุกวัน แต่ฟอร์ลอร์นไม่มี.. หุบเหวเองก็มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปตามธรรมชาติของป่าทึบที่ไม่เคยถูกสำรวจ .. แต่นอกจากสวนหลังบ้านในเขตตระกูลเขาแล้วโมเทสก็ไม่เคยได้ออกไปไหนเลย..
จากที่เฝ้ามองสังเกตการณ์อยู่.. หินลอยฟ้าก้อนนั้นแม้จะอยู่สูงและต้องไต่ทางเถาวัลย์ขึ้นไป และถ้าไม่มามัวคิดเล็กคิดน้อยกับเหวอะไรนั่นมันก็น่าจะขึ้นไปได้สบาย..
"ให้ฉันไปเอาให้ไหม? "
โมเทสเอ่ยปากขึ้น เพื่อนทั้งสองหันมามองเขาเป็นตาเดียว..
"นายว่าอะไรนะ? "ฟีลิปจ้องหน้า
"ฉันถามว่าให้ฉันขึ้นไปเอาธงมาให้ไหม? "โมเทสยังยํ้าคำเดิม ฟีลิปจึงเดินมาจ้องหน้าใกล้ ๆ
"แกบอกว่าจะขึ้นไปเอามัน? "
"ใช่ "
"แกเป็นบ้าไปแล้วรึไงหา! แหกตาดูซิว่า มันขึ้นไปไม่ได้ " ฟีลิปตะโกนเสียงดัง
"ก็ปีนเถาวัลย์พวกนั้นขึ้นไปไง " โมเทสว่า
"บ้าไปแล้ว! เพื่อนแกมันบ้าไปแล้วแน่ ๆ อาเบล! "
"ฉันปีนได้นะ พวกนายก็เห็น เมื่อกี๊ฉันก็ปีนมันมาแล้ว "
โมเทสยังคงยืนกราน..
"แต่ข้างล่างนั่นมันเหวเชียวนะเฟ้ย!! "
ฟีลิปส่งเสียงตะคอกดังลั่น
"ก็ถ้าไม่ตกก็ไม่เป็นอะไรนี่ "
"แล้วนายไม่กลัวรึไงหา! "
"ไม่ " โมเทสส่ายหน้า
ฟีลิปตบหน้าผากตัวเอง.. ผละเดินหนีออกไป
"ถ้าอยากตายขนาดนั้นละก็แกก็ปีนขึ้นไปเลยไป.. ฉันไม่สนใจแล้วโว้ย! "
"ได้.. งั้นฉันไปละ "
"เฮ้ย!! "
อาเบลอุทานลั่น ทันทีที่ฟีลิปหมดความอดทนและเผลอพูดประชดออกไป เขาไม่ทันคิดว่าไอ้คน ๆ นี้มันจะเอาจริง โมเทสก้าวขาฉับ ๆ ผ่านหน้าอาเบล ตรงไปที่ขอบหน้าผา มันรวดเร็วเกินกว่าที่อาเบลจะตั้งสติได้และกว่าจะห้ามไว้ได้ทัน โมเทสก็โดดลอยออกจากฝั่งกระโจนไปเกาะกับเถาวัลย์เส้นหนึ่งที่ห้อยย้อยลงมาใกล้ที่สุดซะแล้ว!
"ไอ้บ้านั่นบ้าไปจริง ๆ แล้ว!! "
ฟีลิปเองก็ตกใจ ร้องตะโกนออกมาดังลั่นหุบเหว..
ลมบนแรงจัดพัดพายมาราวกับจะกระชากสรรพสิ่งให้ปลิดปลิวไปกับมัน.. และทำให้โมเทสไม่ได้ยินเสียงตะโกนของฟีลิป.. หูทั้งสองข้างได้ยินแต่เสียงคำรามอื้ออึงของสายลม มือที่เย็นเฉียบเกาะยึดกับเถาวัลย์เส้นเหนียวไว้แน่นราวกับมือลิง สายตาเอาแต่จับจ้องมองขึ้นไปยังธงผ้าสีแดงที่ปลิวสะบัดล้อลมอยู่เบื้องบน..
ถ้าจะทำอะไรก็ต้องทำอย่างรวดเร็ว.. พี่ชายเขามักจะสอนเขาเสมอ ดังนั้นเขาไม่มีเวลามาโอ้เอ้ห่วงกับเรื่องห่าเหวอะไรข้างล่างนั่นหรอก.. ถ้ายังไม่สิ้นซึ่งสติและประสาทการควบคุมร่างกายเสียอย่าง เขาก็จะไม่มีวันพลาดแน่นอน .. ถ้าหากไม่กลัวเสียอย่าง อะไรที่ต้องการก็จะสำเร็จแน่นอน..ในเมื่อมือทั้งสองข้างกำแน่นอยู่แล้วจะห่วงอะไรอีก.. โมเทสเพิ่งนึกได้ว่าเขาน่าจะถอดรองเท้าบู้ตออกก่อนจะปีนขึ้นมา แต่ก็ช่างเถอะ ใส่มันมาแล้วนี่.. ปีนมันต่อไปทั้ง ๆ อย่างงี้แหละ..
เด็กหนุ่มนึกวาดภาพว่าตัวเขาเองกำลังเป็นลิง ลิงภูเขาแถวบ้านก็มีอยู่หลายฝูงที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยือน.. พวกมันปีนป่ายไปมาบนหลังคาบ้านและบางครั้งก็ไปนั่งเล่นบนต้นพฤกษาเทพ .. คนในบ้านเขาไม่ค่อยจะเดือดร้อนอะไรกับมันมากนัก.. ในเวลาที่ปกติมันจะเพ่นพ่านไปมา แต่วันไหนที่พ่อครัวของบ้านว่างและออกมาเดินเล่นพร้อมกับมีดทำครัว.. พวกลิงภูเขาทั้งหลายเป็นต้องเร้นกายหายวับกลับเข้าไปในป่าดงดิบเสียทุกที.. และเนื้อมันก็อร่อยใช้ได้ทีเดียว
มือก็ปีนไปเรื่อย ๆ ในหัวก็คิดไปเรื่อย ๆ รู้สึกตัวอีกทีเถาวัลย์มันก็มาสิ้นสุดลงซะอย่างนั้น โมเทสหลุดจากห้วงความคิดและพบว่าเขาปีนมาถึงขอบผาหินด้านหนึ่งแล้วโดยไม่รู้ตัว..
อา.. ถ้าพี่รู้มีหวังโดนเอ็ดแน่ .. สติเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเวลาปีน..
ว่าแล้วก็หันไปมองซ้ายขวา ไม่อยากจะไว้ใจในธรรมชาติเท่าไหร่นัก.. ก่อนหน้านี้พี่น้องของเขาหกคนเคยเรียนอยู่ที่นี่มาก่อน.. อาจจะแอบส่งสมุนทิ้งไว้ให้มาคอยสอดส่องดูพฤติกรรมของเขาก็เป็นได้ ซึ่งนั่นมันไม่ตลกเอาซะเลย..
ใช้ความพยายามอีกสักหน่อย ในการปีนป่ายไปตามแง่หินที่โผล่ยื่นออกมา เขาก็สามารถพาตัวเองขึ้นไปถึงยอดได้ .. โมเทสหอบช้า ๆ เพราะลมข้างบนนี้ทั้งแรงจัดและหนาวยะเยือกจนแทบจะทำให้ร่างกายแข็งเป็นนํ้าแข็ง .. ตาทั้งสองจับจ้องสิ่งที่เป็นสาเหตุให้พวกเขาบากบั่นกันมาอย่างยากเย็น มันเป็นแค่ธงผ้าขนาดเล็กที่เป็นผ้าสีแดง ซึ่งเป็นสีแห่งเพลิงและความร้อนระอุเดือดของซัมเมอร์(ฤดูร้อน)..ส่วนธงสีขาว ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการ .. มันเป็นธงของพวกนักเรียนอีกกลุ่มหนึ่งที่มาจากโรงเรียนดำเช่นเดียวกัน.. แต่อยู่คนละสายกับกลุ่มของพวกเขา..
สีขาว..คือสีของหิมะ.. คือสีของความหนาวเหน็บ.. คือสีของความเย็น สัญลักษณ์แห่งเหมันตฤดู ..
" Winter =วินเทอร์ "
ท่ามกลางสายลมที่แรงจัดและเยือกเย็น .. อยู่ ๆ โมเทสก็ได้ยินเสียงกึกก้องของสายลม ดังสนั่นเหมือนเสียงฟ้าผ่า ทำให้เขาสะดุ้งเฮือก.. ตามความจริงแล้ว แค่เสียงลมมันไม่ทำให้เขาสะดุ้งได้หรอก..แต่ทว่าลมเมื่อครู่มันพัดมาพร้อมกับรังสีอำมหิตปริศนาที่พุ่งมายังเขาเลยเนี่ยสิ ..
แล้วทันใดนั้นตาทั้งคู่ก็ต้องเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกตะลึง เมื่อข้างหน้าเขาปรากฏเงาร่างของใครบางคนที่โผล่ขึ้นมาท่ามกลางม่านหมอกที่กำลังจางหาย.. ผมยาวสีนํ้าเงินเข้ม ที่ถูกมัดรวบอย่างเรียบร้อยไว้เบื้องหลัง ปลิวสะบัดอย่างอิสระตามกระแสสายลมที่พัดผ่าน ใบหน้าคมคายดูแวบเดียวก็เดาได้ว่าอารมณ์ของเจ้าตัวไม่ค่อยจะสู้ดีนัก โมเทสมองจ้องร่างนั้นจนลืมสิ้นซึ่งเสียงลมที่อื้ออึงอยู่ดังลั่น .. สาบานได้ว่าเขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกัดฟันกรอดของคนข้างหน้า.. และรู้สึกเย็นวาบไปถึงไขสันหลัง ทันทีที่มองสบเข้ากับนัยน์ตาคมกริบดุจตาเหยี่ยวคู่นั้น
ร่างนั้นยืนจนเต็มส่วนในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงยีนส์.. สูงเพรียวสง่าเหมือนกับอาชา .. เขามองหน้าโมเทสและนิ่งไปนาน ท่ามกลางความรู้สึกที่เหมือนกับว่าเวลานั้นหยุดนิ่ง..
"โมเทส.. เบลเซบาส.. "
โมเทสได้ยินเสียงทุ้มห้าวที่ถูกเอ่ยออกมาเต็มสองรูหู.. ซึ่งมันเป็นชื่อของเขา.. อีกฝ่ายรู้จักเขา.. และเขาเอง ก็รู้จักเด็กหนุ่มคนนั้นเช่นกัน..
เรย์..ลอว์ชีลล์..
ทำไมต้องมาเจอกันในเวลาและสถานที่แบบนี้ด้วย..
ซวยแล้ว!!
ความคิดเห็น