คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 1 - ป่าเขา
" พี่ฮะ..ข้างนอกมีอะไรหรือ? "
...สิ่งที่ตอบกลับมาพร้อมกับการลูบศีรษะคือ..
" ไม่มีอะไรที่น่าสนุกสำหรับเจ้าหรอก..
...กำแพงสูง..ที่บดบังทุกสิ่งทุกอย่าง..
" พี่ฮะ.. ทำไมตัวพี่ถึงได้เหม็นคาวจังละฮะ? "
..สิ่งที่ตอบมาพร้อมกับการตบบ่าเบา ๆ คือ..
" เสียใจด้วยนะ.. ข้าสอนให้เจ้าฆ่าใครไม่ได้หรอก "
...สิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่ปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่างไว้.. จนกว่าความตาย จะมาถึง..
Disaster of the God :: Demon 's DAWN :: รุ่งอรุณแห่งอสูร
ตอนที่ 1 - ป่า
ท่ามกลางทะเลไพรอันหนาทึบดุจจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง มีเงาตะหง่านของสถาปัตยกรรมสมัยโบราณตั้งอยู่กลางวงล้อมนั้น มันคือปราสาทเก่าแก่ที่ผ่านกาลเวลามานานนับร้อยปี แต่โครงสร้างฐานก็ยังคงยืนหยัดมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงไป ..
แผ่นอิฐหนา ๆ หนักหลายกิโลกรัมที่ก่อเรียงไว้คือส่วนประกอบหลังของการทำให้มันทนทาน กับสภาพอากาศอันเลวร้ายของพื้นที่ทางเหนือ .. ยอดปราสาทแหลมบ้างตัดบ้าง โผล่บังเบียดกันเหมือนหมากรุกที่เอามาเรียงซ้อน
ธงสีดำผืนใหญ่ โบกสะบัดด้วยลมบนที่พัดแรงจัด ถูกปักไว้บนยอดปราสาทที่สูงที่สุด ทำให้ดูโดดเด่นยิ่งกว่าสิ่งใด ผืนธงใหญ่ แบ่งเป็นสองส่วนติดกัน ส่วนบนเป็นสีดำส่วนล่างเป็นสีขาว ส่วนที่เป็นพื้นสีดำปักเลื่อมด้วยดิ้นเงิน ส่วนเป็นสีขาวปักเลื่อมด้วยดิ้นทอง
ธงสีดำขาว ที่เคียงคู่กันอยู่นี้ เป็นสัญลักษณ์ของเป้าหมายอันสูงสุดของการที่ปราสาทแห่งนี้ยืนหยัดอยู่กลางป่าไพร ใครต่อใครเรียกขานสถานที่แห่งนี้ว่า "เธมิส ครูซิฟิกซ์" และที่แห่งนี้ก็ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของดินแดนอันห่างไกลจากผู้คน แยกตนอย่างสันโดษตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
มันไม่ใช่สถานที่แห่งความลับ..กลับกันแล้ว .. คนทั่วไปล้วนรู้จักที่แห่งนี้..
ในสายตาคนนอก.. มันเป็นสถานที่อันไม่น่าพิศมัย ราวกับเป็นการประชดโลกทั้งสองฝั่งแคว้น .. ตัวปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาทับรอยต่อกึ่งกลางระหว่างเดียโบลิคและยูรานอส อย่างจงใจ.. ประกาศเจตนารมณ์วางตนเป็นกลางเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างปีศาจและมนุษย์ เป็นองค์กรที่นำเอาลูกหลานของทั้งเผ่าพันธ์มนุษย์ ภูติ และปีศาจ มารวมอยู่ในที่เดียวกัน .. แล้วทำการอบรมสอนสั่งให้การศึกษาในศาสตร์แขนงต่าง ๆ อย่างชนชั้นสูง
แต่แม้ว่าเจตนารมณ์อันดีงามนั้นจะถูกยํ้าเตือนให้ชัดเจนสักเพียงใด .. ผู้คนก็มิวายที่จะคลางแคลงใจกับการกระทำอันน่าประหลาดขององค์กรนี้
"จะให้เชื่อน่ะหรือ? ..ว่าความปรองดองของมนุษย์และปีศาจนั้นจะเกิดขึ้นได้.. "
ข่าวลือมากมายแพร่กระจายออกไปเป็นประจำ.. ทำนองว่า เป็นองค์กรมืดที่ตั้งขึ้นเพื่อหวังผลประโยชน์ของฝ่ายปีศาจ .. หรือบ้างก็ว่าเป็นองค์กรบังหน้าที่อดีตราชาปีศาจใช้ซ่องสุมกำลังพลเพื่อบุกเข้ารุกรานเผ่าพันธ์มนุษย์ในอนาคต ..
เช่นนั้นแล้วสถานที่แห่งนี้จึงถูกขนานนามมืดให้คนมากมายจดจำไปพร้อมกันนามจริงว่า..
"โรงเรียนดำ "
ณ ที่ใดที่หนึ่งที่ความคำนึงส่งไปถึง..
ป่าทึบยามเช้าหนาวเหน็บสุดประมาณ แสกแรกจับขอบฟ้าทางทิศตะวันออกมองเห็นเป็นเส้นสีแดงอมทองเรืองรอง แต่สรรพสิ่งยังมืดหม่นมัวด้วยหมอกหนาทึบ .. นํ้าค้างแข็งเกาะจับอยู่รายเรียง เถาไม้เลื้อยพันพาดระเกะระกะสลับไปกับเฟิร์นป่า ตะไคร่นํ้าสีเขียวเกาะยึดตามลำต้นอันเต็มไปด้วยเปลือกแข็งและเปียกชื้นของสนภูเขาสูงชะลูด ก้อนหินสีดำด่างโผล่พ้นพื้นดินขึ้นมาวางตัวทับถมกันตามรายทาง..
ตึ่ก... ตึ่ก..
เสียงบูตหนัก ๆ ของกลุ่มคนจำนวนหนึ่งยํ่าลงไปบนพื้นป่าอันชื้นแฉะและขรุขระ ดังแว่วมาเข้าหู.. ก่อนที่สามเงาจะโผล่ออกมาให้เห็นท่ามกลางดงไม้หนาทึบ ..
ฝีเท้าแต่ละคนนั้นถือได้ว่าว่องไวไม่ด้อยกว่ากัน.. และถ้าเทียบกับคนทั่วไปแล้วละก็ จัดได้ว่าเร็วกว่าอยู่มากโขเลยทีเดียว การเคลื่อนไหวนั้นล้วนแล้วแต่ปราดเปรียวและคล่องแคล่วว่องไวคล้ายจะจัดเจนการเดินทางในสภาพภูมิประเทศแบบนี้เป็นอย่างดี เพราะแม้จะเป็นการวิ่งผ่านราไม้และก้อนหินที่เป็นสิ่งกีดขวางต่าง ๆ นานา แต่ก็ไม่ได้มีการสะดุดชะงักหรือเกิดอุบัติเหตุใด ๆ ขึ้นเลย ฝีเท้าที่ยํ่าไปบนดินโคลนแฉะและหินขรุขระก็ยังมั่นคงทั้งที่หินนั้นเปียกปอนและเต็มไปด้วยตะไคร่นํ้าเกาะอยู่เป็นจำนวนมากจนน่าจะลื่นเอาการ..
แต่แม้ว่ามันจะดูเหมือนเป็นอย่างนั้น..
"ฮัดเช้ย! "
เด็กหนุ่มผมสีทองสั้นระต้นคอจามออกมาเป็นรอบที่ห้านับแต่การเดินทาง เท้าจึงสะดุดร่างไม้ที่โผล่พ้นขึ้นมาจากพื้นดินจนเซถลาหน้าทิ่มพื้นดังพลั่ก! เล่นเอาอีกสองคนที่วิ่งมาด้วยกันสะดุ้งและชะงักไปด้วย การเดินทางท่องป่าเลยมีอันต้องหยุดชะงักชั่วคราว
" เฮอะ ๆ โดนหวัดกินแล้วเรอะไง? "
เด็กหนุ่มผมสีเทาเอ่ยถามขึ้นมาก่อนเมื่อ มองอย่างขัน ๆ ไปยังเพื่อนร่วมทางของเขาที่กำลังพยุงตัวลุกขึ้นมานั่งหน้าหงิก
"โว้ย!! "
เจ้าของเสียงจามสบถพรืดออกมา ปัดเศษใบไม้ใบหญ้าที่ติดขาและตามตัวออกไป แล้วบ่นพึมพำอย่างหงุดหงิด
"ทำไมอากาศมันหนาวยังงี้วะ ตอนนี้มันกี่โมงแล้วเนี่ย? "
อีกสองคนมองหน้าคนจามก่อนจะหันมามองหน้ากันเอง.. สุนัขเมืองร้อนไม่ถูกกับอากาศเย็นสินะ..
"ถามฉันแล้วจะไปถามใครกันเล่า? "
คนผมเทายักไหล่ ถือโอกาสตอนหยุดพักกวาดสายตามมองดูสถานที่รอบ ๆ ตัว..
นัยน์ตาสีแดงคมกริบมองกราดไปรอบ ๆ ซึ่งมันก็เต็มไปด้วยป่าพรรณเขียวสด นํ้าค้างแข็งที่จับเกล็ดบนใบไม้และกิ่งสนภูเขาสูงตระหง่าน ส่องประกายพราวระยับเมื่อแสงอรุณสาดส่องผ่านกลุ่มหมอกลงมากระทบ..
"ฉันเริ่มจะขี้เกียจแล้วว่ะ สักแต่วิ่งไปแบบไร้จุดหมายแบบนี้มันเหนื่อยนะโว้ย จะให้วิ่งสำรวจไปทั่วป่าเลยรึไงวะ! "
เด็กหนุ่มเผ่าสุนัขเมืองร้อนเริ่มโวยวายด้วยความหงุดหงิดอันเป็นอุปนิสัยประจำตัวที่แก้ไม่หาย
"คิงเฮล่าเอาธงไปซ่อนไว้ที่ไหนของเขากันน๊า หาตั้งนานยังไม่มีวี่แววว่าจะเจอเลย .. หิวข้าวแล้วนะเนี่ย "
เด็กหนุ่มผมดำอีกคนหย่อนร่างลงนั่งบนโขดหินที่โผล่พ้นดินขึ้นมา เหยียดขาออก แล้วโอดครวญออกมาจากใจจริง
"ให้ตื่นตั้งกะเช้ามืด แล้วมาแหกขี้ตาวิ่งท้าลมหนาว บุกป่าฝ่าดงฝ่าเหวฝ่าหุบ เพื่อไอ้เกมฝึกบ้าบอคอแตก มันจะริดรอนสิทธิกันเกินไปแล้วนะโว้ย ถึงจะเป็นคิง(ราชา)แต่ก็ไม่ใช่ราชาจริง ๆ ซักหน่อย มันจะเผด็จการเกินไปแล้วเฟ้ย! "
"ใช่ ๆ เห็นด้วยเลยอ่ะ "
"โฮ้ย! ฟีลิป โมเทส พวกนายเลิกบ่นกันซะทีได้มั๊ย หนวกหู! ฉันก็หงุดหงิดเหมือนกันนั่นละ ให้ตายเถอะ จะบ่นกันอีกนานมั๊ยหา?จะได้มาหารือกันซะทีว่าจะเอาไงต่อไป "
"นั่นสิ จะเอาไงต่อ "
โมเทส เบลเซบาสหันไปถามเจ้าของคำบ่นมากมายอย่างฟีลิป เดอีสทอล เด็กหนุ่มผมทองเผ่าจิ้งจอกทะเลทรายผู้กำลังโดนไข้หวัดเล่นงานเพราะแพ้อากาศอุณหภูมิตํ่า ส่วนอีกคนที่ยืนเท้าสะเอวมองลงมาด้วยตาขวาง ๆ นั่นคือ อาเบล ไฟน์
"เลิก! " ฟีลิปพูดโดยไม่ต้องคิด
"เอาจริงน่ะ "
อาเบลเลิกคิ้ว จริง ๆ แล้วเขาอยากเลิกนั่นแหละ
"เลิกแล้วจะไปไหนละ ถ้ากลับเธมิส ครูซิฟิกซ์ ไปแบบไม่มีธงละก็ "
..อาเบลทำท่าเอานิ้วปาดคอ ทุกคนเงียบ และกลืนนํ้าลายเอื๊อก..
"ธงมีเก้าธง.. ถ้าจะมีเศษของกลุ่มที่ชวดธงก็กลุ่มนึงนิ.. "
โมเทสเสริมอีก..
"แล้วตกลงจะเอาไง.. "
"หาธง..ก็ได้.. "
ฟีลิปมีสีหน้าปั้นยาก..ตอบไม่เต็มเสียง
"เอ้า.. ก็เข้าอีหรอบเดิมอยู่ดีสินะ.. "
อาเบลถอนหายใจด้วยความเซ็งขีดสุด..
การผจญภัยครั้งที่สองจึงเริ่มต้นขึ้น.. ฟีลิปลุกขึ้นแล้วออกเดินไปพร้อมกับสีหน้าเหยเกและบ่นพึมพำเป็นหมีกินผึ้งไปตลอดทาง .. คราวนี้ทั้งสามคนไม่วิ่ง เพราะวิ่งไปก็ไม่ช่วยให้หา "ธง" สิ่งที่พวกเขาต้องการได้เร็วขึ้น..
ย้อนกลับไปที่ความเดิม..
พวกเขาทั้งสามคือนักเรียนของ "โรงเรียนดำ" โรงเรียนประหลาดนอกรีตที่มาตั้งอยู่กลางเทือกเขา.. ป่าที่พวกเขากำลังยํ่าไปอยู่นี้.. ก็เปรียบเสมือนสวนของโรงเรียนที่อยู่รายล้อม ป่าสนสูงชะลูดและป่าเบญจพรรณ ปกคลุมด้วยหมอกหนาวเย็นเกือบตลอดปี เพราะมีเทือกเขาที่สว่างไปด้วยแสงจันทราทอดยาวเป็นกำแพงโอบล้อม.. และถัดจากเทือกเขาไปอีกในทางด้านเหนือ ก็คือดินแดนแห่งเหมันตกาลมิลืมเลือน ฟริจิดโซน โซนหนาวเหนือ..
แสงอรุณที่ฉายโผล่พ้นกลีบเมฆเริ่มส่องสว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่กระนั้นหมอกที่หนาก็ยังปกคลุมป่าอยู่ไม่สร่างซาไป อากาศก็ยังเย็นชื้นอยู่เช่นเดิม .. แว่วเสียงนกกาและสัตว์ป่ากู่ร้องก้องกังวานเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาแล้วที่จะเริ่มดำเนินชีวิตของมันตามวิถีแห่งธรรมชาติ
หลังจากเดินทอดน่องกันมาได้สักพัก ท่ามกลางทิวไม้อันมืดมัวด้วยไอหมอกหม่นที่ยังลอยตัวจับกลุ่มกันอยู่อย่างหนาแน่น.. สายตาอันคมกริบสีโกเมนของสมิงแห่งโซล อาเบล ไฟน์ ก็ได้สะดุดเข้ากับบางอย่างที่ปลิวไสวลอยเด่นอยู่ในมุมสูง หากเมื่อเพ่งสายตามอง "สิ่งนั้น" ก็มีลักษณาคล้ายผืนผ้าที่ติดอยู่บนยอดไม้..
"เฮ้! " เขาสะกิดคนทั้งสอง " ดูนั่นสิ "
อีกสองคนดูจะงงกับท่าทีของเขาในตอนแรก แต่เมื่อมองตามนิ้วที่ชี้นำไปก็พากันหันมามองหน้ากันตาปริบ ๆ
"ธง? "โมเทสว่า..
"ดูดี ๆ ซิว่าสีอะไร แดง นํ้าเงิน เขียว ส้ม หรือขาว? " ฟีลิปถามยํ้า
"ถ้าตาไม่เบลอฉันเห็นว่ามันเป็นสีแดง.. ธงสีแดงของซัมเมอร์ " อาเบลหรี่ตาเพ่งก่อนจะชะงักไปอีกครั้ง " เดี๋ยว! มีสองอัน.. "
"อีกอันสีอะไร? "
"ขอเวลาแป๊บ .. มันเบลอเพราะหมอก " อาเบลจ้องมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำ " ขาว.. "
โมเทสกับฟีลิปหันมามองหน้ากัน..
"ของวินเทอร์รึ? "
"ไปดูใกล้ ๆ กันเถอะ "
ฟีลิปตัดบทแล้วเดินดุ่ม ๆ นำไปอย่างรวดเร็วด้วยความใจร้อนตามนิสัย
จุดหมายคือธงที่ปลิวไสวเด่นอยู่ท่ามกลางหมอกหนาทึบ เส้นทางขณะการสาวเท้าเดินเริ่มเต็มไปด้วยรากไม้และกิ่งไม้กองสุมกันมากกว่าหินและดิน.. บางครั้งต้องเดินมุดผ่านซุ้มใบไม้ที่มีเถาวัลย์ตกระย้าตกลงมาระกับศีรษะและไหล่ การเดินลัดเลาะเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ เริ่มรู้สึกถึงลมแรงจัดพัดมาปะทะมากขึ้น ๆ เส้นทางเดินเริ่มก็ชันไปทุกขณะจนกลายเป็นการไต่ขึ้นไป.. ท่ามกลางทะเลหมอกมัว ได้ยินเสียงนํ้าไหลซ่า ๆ แว่วมาเข้าหู กลิ่นไอดินเย็นชื้นลอยมากระทบจมูก ท่ามกลางรากไม้ที่พาดระเกะระกะ..
กร๊อบ!!
เท้าที่เหยียบลงไปบนแผงไม้ผุไม่รู้ตัวทำให้โมเทสถลาวูบ พื้นที่เท้าทรุดตัวถล่มลงไปเป็นแผง ดีที่มืออันว่องไวพุ่งไปคว้าหมับเอาเถาวัลย์เส้นใหญ่เหนือศีรษะไว้ได้ โมเทสตะลึงตะลานไปครู่ใหญ่
"เฮ้ย!! "
ฟีลิปกับอาเบลอุทาน.. มองร่างผอมบางกำลังโหนต่องแต่งเป็นลิงบนเถาวัลย์ แล้วมองดูพื้นที่เคยมีให้โมเทสเหยียบ ซึ่งมันกลายเป็นหลุมโหว่ขนาดพอประมาณ .. เห็นปุ๊บฟีลิปกับอาเบลก็ชัดแจ้งไปอย่างรวดเร็ว
"เหว!! "
ว่าตํ่าลงไปข้างใต้บริเวณที่พวกเขายืนกันอยู่นั้นคือ เหว!!
"อะไรวะเนี่ย? " อาเบลกัดฟันแน่น หันมามองฟีลิป.. " เฮ้ย ! ธงละ.. "
ฟีลิปหันหลังกลับไปมองด้านหน้า.. ผ้าธงสีแดงยังปลิวไสวโดดเด่นอยู่เช่นเดิม.. แต่ยังมองเห็นบริเวณฐานของมันไม่ชัดเพราะหมอกบังตาอยู่.. ทว่าก็พอจะเริ่มเดาได้ว่ามันคงถูกนำไปปักไว้บนที่สูง อาจเป็นริมหน้าผา หรือว่าบนยอดไม้..
"เฮ้! เอายังไงกับไอ้หมอนี่ดี.. "
ฟีลิปหันไปถามอาเบล อีกฝ่ายนิ่วหน้า ได้แต่มองเพื่อนผู้โชคร้ายของเขาที่กำลังห้อยเป็นลิงและทำตาปริบ ๆ อาเบลนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มเดินอย่างระมัดระวังเข้าไปใกล้.. แต่อนิจจา กิ่งไม้ที่กองสุมกันอยู่นั้น มันเกิดรอยผุพังไปครั้งหนึ่งแล้ว จึงไม่มีความทนทานหลงเหลืออยู่.. เพราะเพียงแค่เท้าสะกิดกิ่งไม้มันก็ถล่มผวัะหลุดร่วงหายไปท่ามกลางหมอกมัวเบื้องล่าง.. อาเบลกับฟีลิปมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองโมเทสด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกสมเพชเวทนาอย่างสุดซึ้ง..
โมเทสมองหน้าเพื่อนทั้งสอง.. หลุมที่อยู่ใต้เท้า.. มันมองไม่เห็นพื้น มีแต่สีควันขาว ๆ หรือก็คือหมอก ลอยฟ่องอยู่ในระดับตํ่าลงไป .. สองแขนเหนี่ยวเถาวัลย์เส้นยักษ์ไว้อย่างเหนียวแน่น.. ถ้าหล่นลงไปนี่ เขาคงสิ้นชื่อแน่
จะเอายังไงดี?
ความคิดเห็น