ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Psychophobia

    ลำดับตอนที่ #2 : chapter 01 : once upon a time

    • อัปเดตล่าสุด 19 ส.ค. 57












     

         ในคืนที่ไร้ซึ่งแสงจันทรา และฟ้าที่ขมุกขมัวไปด้วยเมฆฝน กลิ่นอากาศอันแสนเลวร้ายตลบอบอวนไปทั่วบริเวณ ทิวเขาที่รายล้อม เหล่าต้นไม้ในป่าที่โยกเอนไหวตามลมพัดโบก เหมือนธรรมชาติกำลังเอื้อนเอ่ยทำนองบทสวดโศกา รํ่าให้กับความตํ่าทรามของมนุษย์..

    ไม่รู้ว่าพระเจ้าจะมองลงมาดูเหล่าลูกแกะของพระองค์ที่กำลังดิ้นรนอยู่ในโลกอันโหดร้ายนี้หรือไม่.. ไม่รู้เลย พวกเขาไม่รู้เลย

    ดวงตาสีฟ้าซีดทอดมองไปยังเบื้องหน้า จากหน้าผาที่สูงตระหง่านทำให้โลกดูคล้ายจะบีบอัดเข้ามาทุกด้าน สู่หมู่บ้านแห่งเล็กๆ ที่มีไม่กี่สิบหลังคาเรือนและดูน่าหดหู่ .. หูที่แสนดียิ่งกว่าแมว ได้ยินเสียงคุยเสียงกระซิบและเสียงรํ่าให้ของเหล่าชีวิตที่อาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนั้น..

     

    " ข้าไม่เคยรู้สึกสบายใจเลย..ทุกครั้งที่ต้องมาเห็นเหตุการณ์แบบนี้ "

     

    เสียงหนึ่งดังขึ้นทางเบื้องซ้าย ดวงตาสีฟ้าซีดจึงเหลือบแลไป

    ชายหนุ่มผู้หนึ่ง สวมใส่ชุดสีดำอันมีความหมายแห่งการไว้ทุกข์ และเป็นตัวแทนแห่งความตายของผู้ที่อาศัยอยู่ในยมโลก ดวงหน้าซีดขาวของเขาเศร้าหมอง ผมหยักศกสีดำสนิท.. มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่โดดเด่นสะดุดตา และเพราะดอกบัวที่เขาแซมไว้ข้างหูนั้น จึงทำให้ใบหน้าของเขาดูมีชีวิตชีวากว่าใครๆ

    "ทำได้เพียงแค่มองเท่านั้น...ช่างน่าอดสูใจยิ่งนัก" นํ้าเสียงของเขาเจือแววเจ็บปวด

    " ให้ชะตาชีวิตของพวกเขาตัดสินตัวพวกเขาเองเถอะครับ.. " ใครบางคนโผล่ออกจากเงามืดมาจากทางขวา " สิ่งที่เราทำได้..คือไปรับเอาดวงวิญญาณของพวกเขา และคอยคุ้มกันเอาไว้ให้ดีระหว่างที่นำกลับไปรับการพิพากษา.. "

    ชายหนุ่มร่างใหญ่ในชุดดำว่าเสียงขรึม ดวงตาสีทับทิมทอดมองออกไป

     

    สายลมพัดแรงขึ้น อากาศคลอเคลียปลายนิ้วที่เย็นชืดราวกับนํ้าแข็ง เขาผินหูออกจากเสียงของคนข้างกายทั้งคู่ไปยังเสียงมัจจุราชที่ดังมาจากฟากขอบฟ้า..

    เสียงม้าควบสนั่นหวั่นไหวไปบนพื้นดิน ราวกับเสียงกลองศึกที่กระหนํ่าตีลงไป.. มันเคลื่อนมาอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงโห่ร้อง และเสียงอาวุธที่กระทบกันบนมือของผู้ที่กำลังควบ ซึ่งมีมากกว่าร้อย ทำให้สัตว์ป่าแตกตื่นและยํ่าเหยียบลงไปบนแปลงสวนที่ชาวบ้านสร้างไว้จนไม่เหลือชิ้นดี

    คนเถื่อนผู้เรียกตัวเองว่านักรบ สวมใส่เกราะเหล็กและถืออาวุธ พวกเขามีธงแต่ไม่ชักขึ้น.. เคลื่อนพลมายังหมู่บ้าน และไม่นานเสียงกรีดร้องและเสียงแห่งการฆ่าฟันก็บังเกิด

    กลิ่นเหม็นไหม้โชยมาแตะจมูก เสียงดังโครมครามของฝันร้ายและกลิ่นไม้ที่ลุกไหม้.. แสงไฟส่องสว่างไปทั่วทั้งหุบเขา

     

    " สิ่งเล็กๆที่เรียกว่าความป่าเถื่อนของมนุษย์.. " ยมทูตร่างใหญ่เอ่ยเบาๆ ส่วนอีกคนทำหน้าเหมือนอยากจะร้องให้ออกมาเสียตรงนั้น

    " พวกทหารจากริคซีม..ทำสงครามกับเจ้าครองแถบนี้ แต่หมู่บ้านนี่ดันมาอยู่ตรงแนวเส้นรอยต่อพอดี.. "

    " ฆ่าหมดไม่เหลือทั้งผู้หญิง คนแก่ และเด็ก..โหดเหี้ยมยิ่งนัก " ชายหนุ่มผู้แซมดอกบัวไว้ข้างหู "พวกนี้ตกนรกแน่ๆไม่ต้องสงสัย"

    " อย่าตัดสินเลย.. " อีกคนปราม "เราไม่มีอำนาจในส่วนนั้น "

     

    มันใช้เวลาไม่นานนักสำหรับพื้นที่แห่งเล็กๆที่ไม่พร้อมสำหรับการสู้รบ.. ภายในไม่กี่อึดใจเสียงร้องสุดท้ายก็หายไป พวกทหารม้าจัดการตัดรากถอนโคน ปล้นเอาเสบียงและของมีค่าเท่าที่จะหาได้จากหมู่บาทที่แร้นแค้น ต้อนฝูงสัตว์ ก่อนที่จะจุดไฟเผาทุกอย่างจนกลายเป็นทะเลเพลิง แล้วจึงเคลื่อนพลผ่านไปยังอีกขอบฟ้า..

     

    " ไปกันเถอะ.. "

     

    สิ้นเสียงฝีเท้าม้า ยมทูตร่างใหญ่ก็ก้าวออกไป.. พวกเขาสองคนจึงต้องก้าวตาม และไม่ได้มีเพียงพวกเขาสามคนเท่านั้นที่เคลื่อนไหว ถึงตอนนี้ เงาดำหลายเงาเริ่มแทรกซึมออกมาจากแนวป่า..ปรากฏตัวออกมาจากเงามืดที่อยู่หลังต้นไม้

    สองเท้าปราดเปรียวสาวไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ลงไปถึงที่หมาย ภาพที่มองเห็นตรงหน้าทำให้หัวใจอันเย็นเยียบดุจนํ้าแข็งสั่นระทึก ความร้อนของไฟที่เผาผลาญก็กำลังกระตุ้นให้ทั่วทั้งอกปวดแสบไปหมด..

    สภาพของทุกอย่างพังยับเยินไม่เหลือชิ้นดี ข้าวของหกเกลื่อนกลาดและซากศพที่มีอยู่ทุกที่ หญิงคนหนึ่งนอนเบิกตาโพลง ปากอ้ากว้างคล้ายกำลังกรีดร้องอยู่ข้างเกวียนที่เพลาหัก ซอกคอมีรอยปาดลึกจนเกือบขาด เลือดกำลังไหลอาบลงไปยังร่างที่เปลือยเปล่า เด็กชายมือขาดถูกฟันหลายแห่งสิ้นชีพอยู่ข้างๆสุนัขตัวหนึ่ง..และอีกหลายศพที่ชิ้นส่วนกระจัดกระจายจนไม่รู้ว่าจะสามารถนำมาเย็บต่อได้ถูกร่างหรือไม่..

    พระเจ้ากำลังมองเหล่าลูกแกะของพระองค์อยู่ไหม แล้วจะรํ่าให้กับเหล่าชีวิตที่ถูกช่วงชิงไปในคํ่าคืนนี้รึเปล่า..ไม่อาจรู้ได้

     

    " ในยุคที่บ้านเมืองกำลังฆ่าฟันกันเพื่อแย่งชิงดินแดนแสดงอำนาจ " หญิงสาวชุดดำรัดรูปเดินมาหยุดอยู่ข้างๆเขา ผมของเธอยาวและหยักศกตรงปลาย ดวงหน้านิ่งและมองทุกสิ่งด้วยดวงตาสีเขียวคมวับ " ไม่สู้ก็ตาย ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอด.. "

    " ซามวล.. " เขาพึมพำ

    " เป็นวาทะที่ฉันไม่อยากจะเข้าใจมันเลย... " ซามวลเชิดหน้าขึ้นและถอนหายใจออกมาเบาๆ " ฉันเกลียดประโยคนี้..แต่ก็ต้องทำตามมัน "

    " บางครั้งมันก็เป็นเหมือนข้ออ้างนะ เลออน " เธอโคลงศรีษะแล้วก้าวเท้าออกไป เดินยํ่าพื้นเฉอะแฉะด้วยรองเท้าบู้ทส้นสูงที่รัดขึ้นมาถึงต้นขาและเกี่ยวไว้ด้วยสายหนังเล็กๆจากเข็มขัดที่เอว

    "ข้ออ้างสำหรับการคร่าชีวิตของผู้อื่น.."

    เธอเดินหนีเขาไป เธอไปทำหน้าที่ของเธอ เขาเองก็เช่นเดียวกัน

    ท่ามกลางสิ่งที่ลุกโชนแสง กองเถ้าถ่าน รอยเลือด และซากศพ.. เหล่าดวงวิญญาณมากมายกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงแห่งการเปลี่ยนแปลงสุดท้ายของชีวิตที่หลุดลอยไปแล้วของตน ความรู้สึกและอารมณ์ที่ตกค้างก่อนที่จะถูกเด็ดชีพให้ขาดสะบั้น หากเงี่ยหูฟัง ก็จะได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบา เสียงร้องให้สะอึกสะอื้นของเหล่าเด็กและหญิงสาว เสียงคำรามอย่างโกรธแค้นของชายหนุ่มและเสียงก่นด่าของคนแก่..

    เขาเดินข้ามผ่านเสาไม้ที่ดำปื้นและเปรอะเลือดแห้งกรัง ค้นหาเหล่าดวงวิญญาณใต้กองไฟ สะเก็ดร้อนที่กำลังปะทุกระเด็นออกมาถูกชายเสื้อนอกสีดำของเขาที่มีสองหางยาวจนลากพื้นได้.. มันติดไฟและลุกไหม้อยู่ชั่วครู่ก่อนดับหาย และไม่ได้ทิ้งรอยอะไรเอาไว้..

    แสงไฟที่ส่องสว่าง ทำให้ผมสีขาวราวกับเงินยวงของเขาสะท้อนจนกลายเป็นสีทอง มันล้อเล่นกับแสงไฟ พลิ้วสะบัดไปมาอยู่เบื้องหลังยามที่เขาเคลื่อนไหว และเพราะมันยาวเกินไปหน่อยเขาจึงต้องมัดรวบมันเอาไว้ แต่กระนั้นมันก็ยังทิ้งปลายจนเกือบจะลากพื้น.. ซึ่งเขาไม่อยากให้มันติดไฟ

    บางทีเขาอาจจะต้องม้วนมันขึ้นเป็นมวย หรือไม่ก็ตัดมันออก ถ้าไม่เพียงแค่..มีคนผู้หนึ่งได้ขอเอาไว้ไม่ให้ทำเช่นนั้น

    เขาผายมือออกไปข้างกาย รู้สึกราวกับวาทยากรในโรงละคร และ เสียงพรํ่าภาวนาของเหล่าวิญญาณก็หยุดลง..

    " เอาละ..ได้เวลาแล้ว " เอ่ยพึมพำด้วยเสียงที่แผ่วเบา

    " ไปกันเถอะ.." เขาพูด "ไปยังที่ๆพวกท่านควรจะไป"

    เงาร่างเลือนลางค่อยๆ ผุดลุกขึ้นจากร่างของเหล่าผู้ตาย ยืนมองมาที่เขาด้วยท่าทางเลื่อนลอย ก่อนจะกลายเป็นลูกไฟดวงเล็กๆที่ส่องแสงวูบวาบ ปลิดปลิวหลุดออกจากขั้วร่างมาหาเขา ลอยวนเวียนอยู่รอบกายอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะเคลื่อนหายเข้าไปในชายเสื้อคลุม..

    เหล่าวิญญาณจะถูกเก็บไว้ใต้เสื้อคลุมของเขา ยมทูตตนอื่นเรียกมันว่า "การแบกรับ" แม้ว่าบางตนจะไม่ทำอย่างนี้ ซึ่งก็แล้วแต่วิธีการ..

    พวกเขาเป็นยมทูต หรือที่เรียกอีกอย่างว่า ผู้นำทาง.. ผู้ที่มีหน้าที่นำพาวิญญาณผู้ที่เพิ่งสิ้นชีวิตไปยังยมโลก ภพภูมิที่เป็นดินแดนหลังความตาย  หน้าที่นี้ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการตัดสินผู้ตาย และหัวใจสำคัญของมันก็คือ การชักนำ และคอยดูแลความปลอดภัยไปตลอดเส้นทางก่อนจะไปถึงที่หมาย..

    เป็นหน้าที่ที่ดูไม่ค่อยมีความน่าตื่นเต้น ไร้รอยเลือดและการหํ่าหั่นลุ้นระทึก แต่ใครจะรู้.. ว่าหนทางมันจะราบเรียบและถ้ามันไร้ซึ่งปัญหาขนาดนั้นพวกเขาคงไม่ต้องขนพรรคพวกกันมาหลายคนอย่างนี้หรอก...

    ท่ามกลางเชิงตะกอนที่หลงเหลือ กิ่งไม้ที่แตกเปรี๊ยะปร๊ะ เสียงฟ้าร้องครืนครางอยู่บนศีรษะ หูเขากลับได้ยินเสียงประหลาดเมื่อเดินล่วงเข้าไปในเขตคอกสัตว์ที่เหลือแต่เสา..

    เสียงสะอึกสะอื้นของสิ่งมีชีวิตชนิดเล็กๆ นั่นทำให้เขาเริ่มกวาดสายตามองหาที่มา ดวงตาสีฟ้าซีดสะดุดเข้ากับบางสิ่งที่เหนือความคาดหมาย..

     

    แรกเริ่ม คือชายผืนผ้าที่ยาวจนลากคลุมไปกับพื้นดิน  บางส่วนติดประดับด้วยลูกไม้สีขาว ซึ่งตอนนี้มันกระดำกระด่างจนบางส่วนกลายเป็นสีขี้เถ้า

    ดวงตาเรียวคมปล๊าบคู่หนึ่งกำลังจ้องเขม็งมายังเขา มันเป็นสีทองสว่างเรืองรองและเจิดจ้าจนทำให้เขาตัวแข็งไปชั่วขณะ เจ้าของของมันเป็นชายหนุ่มในชุดขาวที่ดูพะรุงพะรังแปลกๆ นั่งไขว้ห้างบนลังไม้ขนาดใหญ่ ศีรษะประดับแปลกตาด้วยสิ่งที่เหมือนเขากวาง เขาเอามือทั้งสองข้างกอดอก เกาะกุมไม้เท้าที่ยาวสูงขึ้นไปเหนือหัว ส่วนยอดปลายงอลงมาและห้อยด้วยโคมไฟสีทองที่สว่างไสวไม่แพ้ไฟที่กำลังลุกไหม้ในตัวหมู่บ้าน แต่แสงนั้นกลับมองแล้วสบายตาและให้ความรู้สึกเป็นมิตรมากกว่า..

    "ออก ไป.."

    ชายผู้นั้นกล่าว และทำให้เขารู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นแขกที่ถูกต้อนรับในที่แห่งนี้...

    " ออกไป ให้พ้น.. " เขาไล่อีกครั้ง " ไม่อย่างนั้น อย่าหาว่า ไม่เตือน "

    ดวงตาสีทองนั้นวาวโรจน์ดุดัน..จนทำให้ต้องก้าวถอยหลัง และเขาเองก็ไม่อยากจะถูกตวาดซํ้าอีกหน แม้กระนั้น ก็ไม่วายที่จะเหลือบมองไปยังจุดที่เสียงสะอึกสะอื้นนั้นดังออกมาจากในลังใหญ่ ที่เขาค่อนข้างจะมั่นใจว่า นั่นไม่ใช่เสียงร้องให้ของดวงวิญญาณที่เขาตามหา..

    คลีม่า.. ยมทูตที่ทำหน้าเศร้าโศกจะดีใจขึ้นหรือเปล่านะถ้าเขารู้เรื่องนี้

     

    ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปในหมู่บ้าน ละทิ้งซึ่งสิ่งที่อยู่นอกเหนือหน้าที่ของตนนั้นแล้ววกกลับสู่เส้นทางเดิม เขาพบว่าพวกยมทูตตนอื่นๆ เก็บกวาดวิญญาณกันจนใกล้เสร็จสิ้นแล้ว.. ไฟเองก็เริ่มมอดดับลง เมฆฝนตั้งเค้าอยู่สูงขึ้นไปเหนือศีรษะ

    ควันไฟลอยขึ้นสูง สูงขึ้นไปยังเมฆที่กำลังจับตัวหนา พวกนกเล็กๆ เตลิดหนีออกจากภูเขาแห่งนี้ไปจนสิ้น แม้ว่าผ่านไปสักพักก็จะหวนกลับมาอีก มหรสพแห่งความตายกำลังจะกลายเป็นเพียงรอยด่างเล็กๆให้กับพื้นดินที่มอดไหม้ พอฝนตกและหยุดไป หญ้าจะงอกขึ้นมาใหม่ และทุกอย่างก็จะถูกลืมเลือน..

    มันไม่มีค่าอะไร..

    ซากศพเน่าเปื่อย พุพังย่อยสลายเป็นอินทรีย์สารสู่ดิน กลายเป็นส่วนหนึ่งของโลก เถ้าสู่เถ้า ธุลีสู่ธุลี.. เป็นเช่นนี้ตามที่เคยเป็นมาแล้วในอดีตกาล และในอนาคตมันก็จะเป็นเช่นนี้ต่อไปอีก..

     

    " พวกยมบาลจะไล่ตามพวกขี่ม้านั่นไป.. " คลีม่าเดินมาอยู่ข้างเขา สีหน้าไม่ได้ดีขึ้นหรือเลวลง ดอกบัวที่เขาแซมข้างศีรษะเปื้อนรอยไหม้เล็กน้อย

    " อีกสักพักเราก็คงได้ไปเก็บวิญญาณพวกนั้น.. " เขาพูด.. ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรที่ดีขึ้นอีกนั่นแหละ " แต่มันก็ต้องเป็นแบบนั้นละนะ.. ยังไงสุดท้ายก็เป็นหน้าที่ของเราอยู่ดี "

    เขายืนฟังคลีม่าบ่นไปตามวิสัย ยมทูตหนุ่มตาสีมรกตผู้นี้มักทำหน้าหมองเหมือนกับตัวเอกในกวีแสนเศร้าที่มองทุกสิ่งด้วยความอ่อนโยนและคล้อยตามไปกับโศกนาฎกรรมรัก.. แต่กระนั้นบางทีเขาก็แช่มชื่นกว่าใครยามที่เขายิ้ม ซึ่งรอยยิ้มย่อมดีกว่าหยาดนํ้าตาอยู่แล้ว..

    ฝ่ามือของใครบางคนฟาดผวัะเข้าที่ไหล่ของเขาจนร่างบอบบางนี้แทบจะสูญเสียการทรงตัว มันก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากนักหรอก แต่ใครกันที่ทำอย่างนี้..

    " บางทีเนื้อพวกนั้นอาจอร่อยกว่าพวกที่เอาแต่กินรากไม้ใบไม้แถวนี้.. "

    ชายเคราบางเดินเบียดไหล่พวกเขาทั้งคู่มา เคี้ยวอะไรซักอย่างอยู่ในปาก คลีม่ามองเขาแล้วยิ้มหึเมื่อเห็นว่าเป็นใคร

    "พูดอย่างนี้ ท่านคงไม่ได้ไปฉวยเอาเนื้อแถวนี้มากินหรอกใช่มั๊ย วิล?"

    " มันก็เนื้อเหมือนกันนั่นแหละ..ร่างที่ไร้วิญญาณสิงสู่มันก็แค่สิ่งที่ตกค้างอยู่เบื้องหลัง.. " ยมทูตที่ถูกเรียกว่าวิลพูดหน้าตาย

    คลีม่ายิ้มแหยง..

    "รสชาติก็ไม่ดีไปกว่าเนื้อหมูหรอก แล้วก็ไม่ได้มีแต่ข้าที่ทำอย่างนั้น " ดวงตาสีนํ้าตาลซีดจางเหมือนทะเลทรายของเขาทอดไปยังชายหนุ่มผู้หนึ่งที่กำลังยืนเลียคราบเลือดที่ติดอยู่บนนิ้วก้อยของตนอยู่..

    ยมทูตนั้นมีสัมผัสว่องไว เจ้าของอากัปกิริยานั้นเบือนมามองพวกเขาอย่างรู้ตัวและยิ้มให้ ดวงตาเขาเป็นสีเดียวกับเลือดที่แต้มติดอยู่บนปลายเล็บสีดำ รอยยิ้มนั้นทำให้ความแข็งกระด้างของสีดำที่สวมใส่และสีผมของตัวเขาให้ลดลง เขาดูสุขุมด้วยโครงหน้าที่ยาวเล็กน้อย ชุดสูทที่เรียบง่ายคล้ายกับชุดของบาทหลวงในโบสถ์ และเสียงของเขาก็ตํ่าลึกและดังกังวาน..

    " กลิ่นมันค่อนข้างเหม็น..แต่ช่างน่าเศร้าที่เราไม่อาจหยุดเขี้ยวและฟันของเราได้.. " เขากล่าว.. "มันเป็นผลพวงจากบาปที่เราได้เคยกระทำ และตอนนี้ก็ทำให้ต้องกลํ้ากลืนกับความทุกข์จากความกระหายที่เป็นแรงผลักดันร่างกายแม้ว่าเราจะพยายามปฏิเสธมันก็ตาม.."

     

    กึ่ด..

     

    "บาป บาป บาป..และก็บาป"  วิลเดินลอยหน้าผ่านไป แล้วชี้นิ้วใส่หน้าชายผู้นั้น.. " ร็อตไวเลอร์  แล้วท่านเคยเห็นมันเป็นตัวเป็นตนไหม ไอ้ตัวบาปน่ะ?.. "

    อีกฝ่ายมองเขา เลิกคิ้วและยิ้มหึอย่างขบขัน

    " ยังอยากได้คำตอบจริงๆน่ะเหรอ.. " ชายผู้ดื่มดํ่ากับหยดเลือดที่ติดนิ้วกล่าว "ท่านเองก็น่าจะรู้ดีพอๆกับเรา"

    " มนุษย์ชอบพูดกันอย่างนี้.. " วิลกลอกตา ชายเสื้อคลุมหนังสีดำของเขาสะบัด กลิ่นอับ สาบสางลอยมาติดจมูกจางๆ " ท้องที่แสนน่าชิงชังของข้ามันไม่เคยหยุดรํ่าร้องว่าสวรรค์ของมันคือการเติมให้เต็ม...แต่กระนั้นจนป่านนี้ข้าก็ไม่ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงว่าเหตุใดมันจึงไม่เคยหยุดครํ่าครวญ.. "

    แล้วเขาก็ทำหน้าพะอืดพะอมขึ้นมา จึงขอแยกไปอีกทางพลางบ่นว่าอาหารเป็นพิษ..

    คลีม่ามองตามหลังเขา ร็อตไวเลอร์มองมาที่เลออน ดวงตาของเขาเชื่อมหวานยามได้มองสบอย่างจริงจัง เป็นชายผู้มากซึ่งเสน่ห์ทางเพศอย่างล้นเหลือ และมากด้วยอารมณ์ขันอย่างที่เขามักพูดว่าตัวเองเป็นคนแก่ ที่ไม่มีความรู้สึกรู้สาใดๆ ต่อเรื่องพรรค์นั้นอีกแล้ว...

    "บาปนั้นมองไม่เห็นแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี.. พวกมนุษย์ชอบเชื่อในสิ่งที่เห็น สิ่งที่ตัวเองทำ" เขาเอ่ยเหมือนระบายความรู้สึก " แต่เราก็ไม่ควรชิงชังใครด้วยเหตุผลที่พวกเขาไม่เชื่อว่าเรามีตัวตน.. "

    " สิ่งที่ไม่รู้ย่อมทำให้รู้สึกหวาดกลัว.. มนุษย์ตอบสนองกับสิ่งต่างๆก็เพราะมันเป็นสัญชาติญาณเอาตัวรอด " คลีม่าว่าบ้าง แล้วเคลื่อนย้ายร่างตนไปรวมกลุ่มกับเหล่ายมทูตตนอื่นที่กลางหมู่บ้าน

     

    สถานที่ๆเคยเป็นที่ตั้งของชานเรือน ที่เคยถูกใช้เป็นที่กินอยู่หลับนอน ตั้งรกรากได้กลายเป็นเพียงลานที่มีแต่กองไม้ถูกเผาเกรียมกระจัดกระจายอยู่แทบเท้า มองเห็นได้รอบบริเวณไม่มีอะไรขว้างกันสายตา กลายเป็นเถ้าถ่านที่ถูกหมางเมินเมื่อมันไม่อาจหาประโยชน์อันใดได้อีก

    ยมทูตร่างใหญ่คนที่เขาคุยด้วยก่อนหน้ายืนอยู่กลางลานนั้น กำลังคุยกับคนโน้นคนนี้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่ต้องให้บอกใครก็คงดูออกว่าเขามีความสำคัญมากกว่าคนอื่น ผมสีดำดกหนาทิ้งตัวคลอเคลียบ่ากว้าง ในอุ้งมือมีหนังสือปกดำเล่มหนึ่งที่หนาไปด้วยกระดาษเล็กๆคั่นไว้ระหว่างหน้า

    "อาบิสโม่ " เป็นรองหัวหน้าของแผนกยมทูต.. แม้ว่าเขาจะบอกทุกครั้งว่าเขาเป็นเพียงยมทูตที่ถูกหัวหน้าแผนกจับมาเป็นลูกมือเท่านั้นก็ตาม แต่พวกยมทูตก็นับถือเขาและชื่นชมในสิ่งที่เขาทำ เขาสมควรได้รับคำว่ารองหัวหน้ามากกว่าจะเป็นคำว่า เบ๊ของหัวหน้า หรืออะไรก็ตามที่เขาพยายามบอกลดคุณค่าและถ่อมตัวตนลงเรื่อยๆ ไปนั่งหลบอยู่หลังเคาท์เตอร์ที่แผนกต้อนรับ แต่กระนั้นเวลาถูกเรียกใช้ทำสิ่งใด เขาก็ขยันขันแข็งและยิ้มแย้มกับทุกงาน..

    แม้จะไม่รู้ว่าภายใต้ใบหน้าประดับยิ้มนั้นแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร อารมณ์ที่จริงแท้ของเขาจะเป็นแบบไหน แต่เขาก็พึ่งพาได้มากและควรค่าแก่คำขอบคุณทั้งหลายอยู่ดี..

    " เราได้ค้นที่นี่ทุกซอกทุกมุมของหมู่บ้านนี้เรียบร้อยดีแล้ว จำนวนวิญญาณที่ได้นำพามาได้มีทั้งหมดสองร้อยสามสิบดวง รวมแล้วทั้งวิญญาณของมนุษย์ สุนัข แมว ม้า แพะ วัว.. " เขาสาธยาย " วิญญาณทุกดวงจะถูกนำกลับไปยังยมโลกเพื่อตัดสินความ..อย่างเท่าเทียมกัน "

    "แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็มีพบผู้รอดชีวิตด้วย" เขายิ้มให้ทุกคน " วิญญาณสองดวงยังไม่ต้องไปกับเรา.. " ดวงตาสีทับทิมชำเลืองเหลือบไปด้านหลัง สายตาทุกคู่มองตามก่อนที่จะได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นดังแหวกขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน..

     

    "ฮึก..ฮือ...ฮือ..."

     

    ฝ่าเท้าน้อยๆอันเปลือยเปล่าเดินเตาะแตะไปท่ามกลางดินที่แห้งผาก เด็กหญิงตัวจ้อยใช้ท่อนแขนที่เล็กบอบบางปาดเช็ดนํ้าตาที่ไหลอาบแก้มเปื้อนเขม่าดิน ผมสีนํ้าตาลยุ่งเหยิงมีรอยไหม้ หัวเข่าทั้งสองบอบชํ้าและมีเลือดไหลซิบ

    เธอโอดครวญด้วยความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ ดวงวิญญาณของเธอกำลังสั่นสะท้านไหวหวั่นกับความมืดที่เริ่มปกคลุมเข้ามา เธอมองไม่เห็นพวกเขาที่ยืนมองเธออยู่..

    หากแต่ข้างหลังเธอ ชายหนุ่มในชุดรุ่มร่ามที่เลออนเจอกำลังยืนเดินตามหลังมา ดวงตาสีทองนั้นยังคงเจิดจ้าและฉายแววดุดัน อากัปกิริยาดูหยิ่งยะโสยามมองมายังเหล่ายมทูตเช่นพวกเขา และใช้มือที่ปกคลุมด้วยแขนเสื้อที่ยาวจนลากพื้น ดึงไหล่เล็กๆของหนูน้อยไว้ และดันให้เดินไปอีกทาง..

    "พวกยมทูตพี่เลี้ยงเด็ก.." คลีม่าพึมพำ

    "นั่นสินะ.. ที่ไหนมีหมู่บ้านย่อมมีเด็กๆรวมอยู่ด้วย..." ร็อตไวเลอร์จ้องมองเด็กน้อยเดินอยู่เคียงข้างกับชายผู้นั้น "คนที่คอยนำดวงวิญญาณมาเกิดใหม่ยังโลกนี้..พวกนี้จะคิดยังไงนะที่เห็นวิญญาณที่ตัวเองพามาเกิดถูกดับชีพไปต่อหน้า.."

    "อย่าไปกังวลแทนเขาเลยครับ " อาบิสโม่โพล่งขึ้นขณะที่ยังก้มหน้ามองหนังสือ..

    " เขาก็มีหน้าที่ของเขา เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดก็พอแล้ว.. เหล่ายมทูตหมอตำแยจะคอยดูแลดวงวิญญาณที่นำไปจุติและคุ้มครองอยู่จนกระทั่งถึงชั่วเวลาหนึ่ง.. แต่เขาก็ห้ามความตายไม่ได้ "

    " ก็เหมือนพวกเรานั่นแหละครับ.. ต้องมาเกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย ผมก็ไม่ชอบหรอกครับที่ต้องพรากชีวิตผู้อื่นไป.. แต่ก็ไม่สามารถไปกำหนดชีวิตของพวกเขาได้ เมื่อถึงวาระของพวกเขา ยังไงพวกเขาก็ต้องตาย...  "

    อาบิสโม่ผ่อนลมหายใจยาวๆ แล้วพลิกหน้ากระดาษตรวจเช็ครายละเอียดอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่างานนี้ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

    "ดูหยิ่งจังเลยนะ.. ทั้งที่เป็นยมทูตทำงานที่เดียวกันแท้ๆ " วิลหาวหวอด บ่นอยู่ข้างหลังเลออน

     

    " รุ่นพี่ก็เป็นคนแบบนี้ละครับ "

     

    เสียงที่ดังเข้าหูวิลมาพร้อมกับลำแขนที่โผล่มาโอบรอบคอยมทูตเคราบาง ท่อนแขนแข็งแรงทิ้งนํ้าหนักลงบนหลังทำให้วิลเซเล็กน้อย ก่อนที่จะหันไปทำตาดุใส่คนแปลกหน้าที่โผล่มาตีสนิทถึงเนื้อถึงตัวแบบไม่เกรงใจ

    " เขาอารมณ์ไม่ดีเพราะต้องเห็นเด็กคนอื่นๆวิ่งออกไปรับคมมีดกับคมหอก..เราพยายามเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่ก็ช่วยอะไรกับเด็กที่ถึงคราวต้องสิ้นอายุขัยของตนไม่ได้..  "

    ชายหนุ่มนํ้าเสียงสดใสกดไหล่ชิดกับวิล จ้องมองมาด้วยดวงตาต่างสีที่ยียวนอย่างประหลาด เครื่องแต่งกายดูแปลกแยกจากทุกคนที่ยืนรวมกลุ่มกันอยู่ ด้วยสีสันที่ไม่ออกโทนดำ แม้ไม่ได้ฉูดฉาด แต่ก็มีสไตล์ที่ต่างจากพวกเขาสุดขั้ว

    ผมสีฟ้าถูกคลุมไว้ด้วยฮู้ดถัดสีซีด รองเท้าผ้าใบสานเชือกเกี่ยวกระหวัดอย่างปราณีตและกางเกงยีนส์ที่ใส่แล้วดูทะมัดทะแมงเหมือนวัยรุ่นสมัยใหม่..และห่มคลุมร่างด้วยผ้าคลุมไหล่เหมือนนักเดินทาง..

    " พวกเราดูแลเด็กๆทั้งสิบสองคนของทั้งหมู่บ้าน ทั้งลูกสุนัข ลูกแมว ลูกแกะ ลูกม้า.. ไม่แบ่งแยกเช่นเดียวกับพวกท่าน " เขาว่า  "ร่างที่เพิ่งถือกำเนิดอ่อนแอและหลุดลอยได้ง่าย..เป็นเป้าหมายของพวกหัวขโมยที่กระหายอยากในรสชาติของดวงวิญญาณ.. เราจะคอยคุ้มครองพวกเขาที่ดูแลตนเองยังไม่ได้ไปจนวาระใดวาระหนึ่ง.."

    "คิดว่าสนุกมั๊ย? ถ้าคุณต้องคอยดูเด็กๆทั้งหลายที่อุส่าห์เฝ้าฟูมฟักมาตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแม่ มองพวกเขายามที่ลืมตาดูโลกออกมาครั้งแรก มองพวกเขาวิ่งเล่นและเล่นสนุกไปกับพวกเขา.. แล้วต้องปล่อยออกไปเผชิญกับความตาย.. เหนื่อยจะตาย ไม่รู้รึ? "

    เขาตบท้ายคำพูดพร้อมกับตบไหล่ของวิลดังปุๆ แล้วหันไปยิ้มให้ยมทูตผู้ถือบัญชี ยิ้มของเขาเหมือนรูปตัววีที่กางออกและมีเขี้ยวล่างโผล่อยู่ที่มุมปากข้างซ้าย ดวงตารีเล็กต่างสีซ้ายสีเขียวมินท์และขวาเป็นสีนิล เมื่อยามยิ้มก็จะหายไป..

    "เด็กนี่พลังเยอะอย่าบอกใคร ท่านเคยเลี้ยงเด็กมั๊ย.. ข้าไม่เคยมีลูกหรอก แต่ก็ต้องหัดเลี้ยงนะ ยากมาก บอกเลย ไหนจะเด็กขี้แยที่ตอนกลางคืนก็เอาแต่ร้องโยเยไม่หยุดไม่หย่อน หนวกหูจะตาย.. "

    ขณะที่เขากำลังสาธยายภาระของตน ก็พยักเพยิศไปยังเสียงร้องตะโกนที่ดังมาจากอีกด้านพร้อมกับร่างเล็กๆอีกร่างที่พุ่งตัวออกมาจากความมืด เท้าเล็กๆวิ่งเร็วรี่ผ่ากลางเหล่ายมทูตไปยังเด็กหญิงที่ยืนร้องให้

     

    เด็กชายอีกคนรอดชีวิต..

     

    เจ้าหนูตรงเข้าไปปลอบโยนน้องสาวตัวน้อยและเรียกชื่อซํ้าไปซํ้ามา อายุอานามนั้นไม่น่าจะเกินห้าขวบเศษแต่เขาก็ทำหน้าที่ของพี่ชายตนด้วยการมอบอ้อมกอดและเกาะกุมร่างอันสั่นเทาไว้ แม้ว่าใบหน้าของเขาก็มีนํ้าตาปริ่มๆออกมาก็ตาม

    พวกเขาพูดคุยกันเล็กน้อยด้วยภาษาท้องถิ่นและประโยคไม่กี่คำ..โลกของเด็กหญิงยังพอมีสิ่งหลงเหลือไว้ให้เธอพึ่งพิง และพวกเขาต้องพึ่งพากันและกัน นับแต่นี้ต่อไป..

    "ก็อย่างที่เห็น..งานของเรายังไม่จบสิ้น " ชายหนุ่มเอามือดึงฮู้ดถักของตนแล้วผละออกจากวิลไปยืนท้าวสะเอวอยู่ข้างๆ อาบิสโม่

    " เราจะคุ้มครองเด็กสองคนนี้ไปตลอดเส้นทางจนกว่าจะถึงที่ปลอดภัย..แต่จะสภาพรุ่งริ่งแค่ไหนก็ต้องทนสักหน่อย.. ผมกับรุ่นพี่ของผมอาจไม่เดือดร้อนอะไรกับพิษภัยในป่านัก แต่เนื้อหนังมังสาของเด็กก็ยังบอบบางสำหรับถนนที่ขรุขระและขวากหนามที่เกิดอยู่ตามทาง..ต้องเป็นงานหนักแน่ๆ ไม่อยากจะคิดเลย..หึหึ "

     

    เสียงร้องให้ของหนูน้อยเริ่มแผ่วลงจนเหลือแต่เสียงสะอึกสะอื้นในลำคอ ไฟสีทองที่ส่องสว่างจากตะเกียงที่ห้อยอยู่ปลายไม้เท้ากำลังทำให้รอบๆตัวของสองผู้รอดชีวิตสว่างไสว ด้วยปุยเล็กๆที่เหมือนหิ่งห้อย เพื่อไม่ให้ดูผิดปกธรรมชาติจนเกินไปนัก..

    แน่ละว่าหากมองในสายตาของมนุษย์.. ในบริเวณแห่งนี้ก็มีเพียงสองร่างนี้เท่านั้น เพราะพวกยมทูตเช่นพวกเขามีกายที่ละเอียดเกินกว่าดวงตาของมนุษย์ทั่วไปจะมองเห็น

    โลกวิญญาณและโลกมนุษย์ซ้อนทับกันเพียงเข่า เราอาจจะเดินสวนทางกันบนถนนเดินเท้า.. แต่พวกคนธรรมดาจะไม่รู้สึกถึงตัวตน แต่ก็ยกเว้นคนที่มีอะไรไม่เหมือนคนๆอื่น เช่นพวกเด็กๆ ที่ยังเล็ก ก็พอจะมีสัมผัสพิเศษให้รู้สึกหรือมองเห็นพวกเขาได้ แต่เมื่อโตขึ้น สัมผัสพิศวงเหล่านั้นจะหายไป และพวกเขาก็จะลืมเลือนกัน

     

    " ผมต้องไปแล้ว... " ชายหนุ่มพูดขึ้นเมื่อมีสายตาคมปล๊าบจ้องเขม็งมา ดวงตะวันสีทองเจิดจ้าทั้งสองดวงกำลังส่งคลื่นความหงุดหงิดมาทางนี้ ใครๆก็รู้สึกได้ 

    " เขาเป็นแบบนี้ตลอดเลยเหรอ? " วิลพึมพำ ยังมิวายมาติกับพฤติกรรมของคนอื่น..

    " รุ่นพี่ไซม่อนไม่ชอบเป็นจุดสายตาน่ะ.. " อีกคนหันมากระซิบ " ผมหมายถึงเขาไม่ชอบให้คนจ้องเวลาเขาใส่ชุดแบบนั้น.. "

    คิ้วดกหนาของวิลเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเริ่มเข้าใจ " อ้อ.. "

    " แต่มันเป็นคำสั่งของหัวหน้าแผนก..เรามีคนสวมชุดแบบนี้เดินสะบัดชายผ้าประชันกันหลายคน แต่พอออกมาข้างนอกมันจะเด่นสะดุดตายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด...ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกเขินอายเกินทน จนแทบจะเอาผ้ามาคลุมหัวเวลาเดิน "

     

    " มิกกี้! "

     

    คราวนี้เป็นเสียงเรียกสะบัดห้วน.. อารมณ์ของคนรอเริ่มปะทุเดือดเพราะรับรู้ได้ถึงเสียงกระซิบนินทาของอีกฝ่าย และนั่นทำให้วิลรู้ว่าคนข้างๆที่กำลังตีสนิทกับเขาชื่อว่าอะไรกันแน่..

    สิ้นเสียงเรียกครั้งสุดท้ายความอดทนก็หมดลง ชายหนุ่มผู้นั้นสะกิดๆ ไหล่ของพี่ชายตัวน้อย เจ้าหนูนั่นเงยหน้าขึ้นมา เขาอาจจะเห็นสัญญาณ หรืออาจจะเป็นเพียงแค่ความคิดที่สำนึกขึ้นมาได้ว่าควรจะไปจากที่นี่ได้เสียที จึงค่อยๆ พยุงเอาร่างของเด็กหญิงตัวน้อยขึ้นมา และจูงมือนั่นพาเดินไป

    ชายผ้าชีฟองปักดิ้นทองประดับเล็กน้อยสะบัดไหว ก่อนที่ร่างสูงเพรียวเจ้าของดวงตาสีทอง จะหมุนตัวก้าวเดินตามหลังเด็กทั้งคู่ไป ด้วยรองเท้าที่มีส้นสูงกว่าสี่นิ้วโดยประมาณ นวยนาถราวกับกวางที่กำลังเยื้องกราย จริตจะก้านสมจริงจนน่าฉงน.. แต่ก็ไม่ได้ดูขัดตาแต่อย่างใด

    ปุยสีทองส่องแสงวิบวับดุจหิ่งห้อยที่ลอยออกมาจากตะเกียงบนไม้เท้าของเขากำลังนำทางเด็กทั้งคู่ไปท่ามกลางความมืดที่โรยตัวลงมา

    มิกกี้กล่าวลาสั้นแล้วรีบสาวเท้าตาม เขาเป็นชายหนุ่มที่รูปร่างปราดเปรียวและกระฉับกระเฉง จะหมอตำแยก็ดี จะพี่เลี้ยงเด็กก็ดี หรืออาจจะถูกเรียกว่าเป็นผีปั้นลูกก็ดี แต่ตามบทบาทหน้าที่พวกเขาก็เป็นยมทูตนำทางวิญญาณ เป็นสารถีที่คอยรับส่งวิญญาณระหว่างภพมนุษย์และภพคนตาย คอยทำให้วงจรวัฏนั้นสมบูรณ์

     

    อาบิสโม่พับหนังสือเก็บไว้ด้านในของเสื้อนอก ทุกคนเริ่มเตรียมตัวกลับ ซามวลยังคงเดินสำรวจไปทั่วเหมือนกับสุนัขดมกลิ่นไปรอบๆ อาจคาดหวังจะเจออะไรบางสิ่งอยู่ หล่อนมักบอกว่ามันเป็นความเคยชินเก่าแก่ที่คิดว่าดีแล้วที่จะไม่ละทิ้งมันไป ทั้งความกระฉับกระเฉงและกระตือรือร้น มันทำให้เธอทำงานได้อย่างมีจุดหมายและไม่ทำให้เบื่อหน่าย เธอยืนคุยกับยมทูตหญิงร่างอวบอัดแต่ส่วนสูงกระทัดรัดที่สวมแว่นตากลมโตผูกโบว์มหึมาสีชมพูเหมือนกับสีผมที่สั้นของเธอ ก่อนจะหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้เลออนเมื่อเขาเหลือบไปเห็น

     

    " ป้าแซมมี่บอกว่าเธอเห็นหมาป่า.. "

    ซามวลเอ่ยขึ้นขณะที่พวกเขากำลังเดินออกจากหมู่บ้าน " ครายก็เห็นเหมือนกัน "

    เลออนนึกถึงใบหน้าของ ครายอิ้ง. ยมทูตชายวัยกลางคนที่มีเครารก ชอบคาบบุหรี่ไว้ในปากและมีนิสัยไปกันได้กับซามวล อย่างที่ซามวลมักบอกเช่นกัน..

    "เขาพบมันสองสามตัวอยู่ในป่าชายหมู่บ้าน ตรงที่ใกล้กับผาด้านหลัง..แล้วก็ไล่มันไป " หญิงสาวว่า

    "ก็แค่หมาป่า.." วิลที่เดินอยู่ข้างเปรยขึ้นลอยๆ "มันอาจมารอกินศพ ไม่แปลกนัก.."

    "ก็อาจเป็นได้... แต่ปกติแล้วสัตว์มันไม่อยากมายุ่งกับพวกยมทูตอย่างเราๆ และข้ามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ "

    ซามวลกอดอกแล้วทำท่าทางครุ่นคิด

    " ฉันเห็นมังกับอาบิสโม่กระซิบกระซาบกัน..ชี้นิ้วไปทางหน้าผาที่พวกเราเพิ่งจากมา แล้วถ้านายเลิกหรี่ตามองโลกแค่45องศา ควักมันออกมาและชูมันไปรอบๆ นายอาจจะพึงสังเกตุว่าเจ้าจิงโจ้ธรณีกับทีเร็กซ์ผละจากกลุ่มเราไปและยังไม่กลับมา "

    "สอดรู้ได้ทั่วจริงๆ.." วิลเกาท้ายทอยแกรกๆ ยอมรับในความเก็บรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของหญิงสาว เลออนเองก็อดรู้สึกทึ่งกับความจับสังเกตุอันเฉียบแหลมของเธอ..

    "ก็ฉันมันเป็นสุนัขตำรวจ.." เธอไม่ยิ้ม ไม่รู้ว่าปลื้มใจหรือหงุดหงิด ใบหน้าของซามวลก็เฉยชาเหมือนหน้ากากที่สงบราบเรียบ แบบที่เรียกว่าเล่นๆว่า "poker face" และวาจาที่ใช้ก็กระชากจิตใจคนฟังเอาการ..

    "เธอน่าจะหัดพูดอะไรนุ่มนวลให้สมกับเป็นผู้หญิงบ้างนะซามวล" วิลบ่นออกมาเล็กๆ

    "ฉันเป็นของฉันอย่างนี้ดีแล้ว..ไม่ต้องให้คนอย่างนายมาบอกหรอก เจ้าโชตะค่อน "

    "นี่เธอ.." ดวงตาสีนํ้าตาลซีดของวิลหันไปส่งความขุ่นข้องใส่ซามวลที่เบนหน้าหนีออกข้างทางไปดื้อๆ..

    ก่อนที่มวยต่างรุ่นจะได้ปะทะฝีปากกัน ความสนใจของทั้งสามก็ต้องเปลี่ยนไปยังใครบางคนที่โผล่พรวดมาจากด้านท้ายขบวน ชายผ้าดำลายทางที่ใช้พันศีรษะสะบัดปัดมาโดนแขนวิล ยมทูตเคราบางชักสีหน้าแวบนึงแต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไรเพราะกิริยาอาการนั่นดูเคร่งเครียด จนรู้สึกได้ถึงความรู้สึกอึมครึมหนักๆเพียงแค่มองจากแผ่นหลังที่พริบตาเดียวก็ห่างไปโน่นแล้ว

    " มังกลับมาแล้ว.." ซามวลเปรย "ท่าทางมีเรื่องไม่สู้ดี"

     

    " มังคิดจะเปิดประตูนรกระหว่างที่เรากำลังเดินผ่านป่า.. "

     

    เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นด้านหลังทั้งสามอย่างเร่งร้อน ชายหนุ่มอีกคนโผล่มาพร้อมเหงื่อซ่กเต็มหน้า หอบเบาๆ พลางเอามือเช็ดหน้าผาก เขามีรอยสักบนหน้าที่เป็นเส้นตรง จากกลางหน้าผากลากผ่านหว่างคิ้ว แนวโค้งของสันจมูกโด่งๆ ริมฝีปากและคาง ลงไปสิ้นสุดเนินไหปลาร้า แบ่งหน้าตัวเองเป็นสองซีก.. ชื่อของเขาคือทีเร็กซ์

    "หายไปไหนกันมา?" ซามวลเลิกคิ้ว

    " บอกรายละเอียดเยอะไม่ไหวนะ.. " ทีเร็กซ์ว่า " มีอะไรไม่รู้อยู่ในป่า กำลังซุ่มตามเราอยู่ข้างหลัง "

    เขาลุกลี้ลุกลน พูดลิ้นระรัว ท่าทางตื่นกลัวเห็นได้ชัด

    "หมาป่า?"

    "ก็ไม่เชิงอ่ะ" ชายหนุ่มสับขาพลางมองไปรอบๆ " มังเห็นเงาแปลกๆ จากบนหน้าผาที่เราเพิ่งลงมา อาบิสโม่เลยใช้ให้ข้าไปดู "

    "เราไปไม่ถึงข้างบนหรอก.. แต่แค่ที่เจอข้างล่างใต้ผานั่นก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นไปแล้ว ไม่รู้ว่าอะไรอยู่บนนั้นหรอก เราต้องรีบกลับมาเพราะเราแค่ไปดู แค่ไปดูก็พอแล้ว ดูเฉยๆ ข้าไม่ยอมขึ้นไปแน่..ทำเหมือนไม่รู้ตัว รีบกลับมาแล้วรีบไป รีบไปให้เร็วที่สุดก่อนที่พวกมันจะได้ทันคิดว่าเราจะทำอะไร.. โอเค ทีนี้เข้าใจมั๊ยว่าเราต้องรีบไปแล้ว เราแบกวิญญาณกันอยู่ แล้วใครจะสู้ล่ะ "

    ทีเร็กซ์เริ่มรัวลิ้น เขาดูตื่นตระหนกเหมือนสุนัขที่กำลังวิ่งไปพลางตัวสั่นไปพลาง พูดอะไรซํ้าไปมา วิลมองเขาแล้วทำหน้าหน่าย ไม่เข้าใจว่าชายคนนี้ตกลงว่าเป็นคนกล้าหาญหรือขี้ขลาดกันแน่..

    "ไอ้เรื่องต้องไปน่ะเข้าใจแล้ว..แต่นายไปเจออะไรมากันแน่" ซามวลหน้าตึงใส่

    "หมา..หรืออะไรซักอย่างที่คล้ายหมา " เขาเบิกตาโตใส่ "ไม่ใช่ตัวเดียวนะ ทั้งฝูงเลย!"

    " มีมากกว่าร้อยตัวได้ มันวิ่งไล่งับหูงับหางอยู่ใต้ผา .. แต่มันไม่มีลมหายใจหรือกลิ่นแบบหมา มังบอกว่าพวกมันยังไม่โต.. หมอนั่นรู้ได้ไง แต่ละตัวตัวใหญ่เท่าม้าเลย ขนตั้งเป็นแผง ปากกว้างและมีฟันเต็มปาก.. "

    "บ่นอะไรอยู่หรือพ่อหนุ่มน้อย.."

    ร็อตไวเลอร์เบรกลิ้นของทีเร็กซ์ให้จบลง ขณะที่เขาเดินย้อนศรลงมาข้างหลัง

    " พวกท่านรู้แล้วใช่มั๊ยว่าเราจะทำอะไรกัน " เขาหันมาทางเลออน ซามวล วิล รวมทั้งอีกสองสามคนที่เดินอยู่รอบๆ

    "ก็ไม่เชิง.." วิลยักไหล่

    ร็อตไวเลอร์ยิ้มน้อยๆ แบบที่เขายิ้มเสมอไม่เคยขาด ไม่บอกว่ารู้สึกมากกว่านั้นในเรื่องใด รอยยิ้มของบางคนบอกอะไรไม่ได้เหมือนกับถนนที่คดเคี้ยวไปมาใต้เท้า

    " ระมัดระวังหลังของพวกท่านที่หนักอึ้งด้วยภาระแสนสำคัญไว้ให้ดี รักษาให้ปลอดภัยจนกว่าเราจะไปถึงที่หมายกัน เราไม่อยากทิ้งใครไว้ข้างหลังและไม่อยากเสี่ยงอะไรทั้งนั้น.. "

    เสียงของเขาเรียบแต่ก็เจือแววกังวล พวกเขาทุกคนก็กังวลกันทั้งนั้นแม้จะไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา แน่ละ แม้แต่เลออน วิล หรือแซมวล เองก็ด้วย

    หน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ สิ่งนี้ที่ฝังอยู่ในหัว มันเป็นกฏ เป็นความหมายของการมีอยู่ เป็นทุกอย่างของเหล่ายมทูตทุกตน พวกเขาคือผู้นำทางวิญญาณ เจ้าหน้าที่จากยมโลกผู้เก็บเกี่ยวความตายและโปรยหว่านชีวิต..

    ฟังดูแล้วก็เหมือนโดนขึงไม่ให้ได้รับอิสรภาพ แต่ความจริงมันไม่ได้ฟังดูจำกัดและกดดันจนไร้ซึ่งความสุขซะทีเดียว เพราะแต่ถ้าสุขมากกว่านี้ก็คงไม่ได้มาเป็นยมทูตหรอก..

    เท้าทุกคู่เหยียบยํ่าลงบนดินหยาบและก้าวข้ามรากไม้ที่โผล่ขึ้นมาบนผิวดิน ท่วงทำนองการเดินจากที่เดินเร่งกันอยู่แล้วเริ่มถูกเร่งให้เร็วขึ้นไปอีกจนแทบจะกลายเป็นเผ่นทะยาน

    ยมทูตทุกตนนั้นมีฝีเท้าที่ว่องไวและเบาหวิวยิ่งกว่าแมว หนึ่งในจำนวนนั้นเริ่มวิ่งนำออกไปเบื้องหน้ากลุ่ม ชายผู้ปกปิดใบหน้าด้วยสีดำของผืนผ้าที่พันล้อมศีรษะทำให้ธรณีใต้เท้าเขาสั่นสะเทือนจนทุกคนเริ่มสัมผัสได้แม้อยู่ในความมืดสลัวไร้ซึ่งแสงไฟ..

    ไม่มีใครหันกลับไปมองเบื้องหลัง ไม่มีใครอยากจะแตกกลุ่มไปหวนรำลึกถึงสิ่งที่ทิ้งเอาไว้ หรือสิ่งที่กำลังไล่ตามมาอย่างที่ชายหนุ่มผู้สั่นกลัวราวลูกสุนัขได้บอกเล่าถึงสิ่งที่เห็น

    กลิ่นของอากาศชื้นบ่งบอกว่าหมอกกำลังค่อยๆ ร่วงหล่นลงมา ลมที่โชยพัดยังคงหยิ่งทรนงเกินกว่าจะกระซิบกระซาบถึงสิ่งที่รู้ สิ่งที่มันคิด ให้กับนักเดินทางที่ยํ่าเหยียบลงไปบนเส้นทางที่ซ้อนทับกับรอยที่มนุษย์เคยเดิน แต่เส้นทางนั้นเป็นเพียงอดีตแล้ว ณ ตอนนี้ แถบนี้คงร้างไปอีกสักพักจนกว่าสงครามรอยตะเข็บชายแดนจะสงบลง

     

    ลมนั้นคือผู้ที่มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง..

     

    มันพัดหวิวและกรีดร้องเมื่อเสียดสีกับแขนงไม้และใบหญ้าที่ตํ่าติดดิน พัดพาเอามวลอากาศและกลิ่นต่างๆ กระจายไปรอบทิศ หมุนวนขึ้นไปสู่ยอดผาและโลมไล้ไปรอบๆ แผ่นหินที่ยื่นลํ้าออกมาเหมือนระเบียงและเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดหากต้องการเห็นโลกให้กว้างขึ้น

    เปลวไฟสีแดงสองดวงกำลังลุกโชนแสงราวกับทับทิมที่ลุกไหม้ เบ้าตาอยู่ในระดับเสมอกันบ่งบอกลักษณะของสายพันธุ์นักล่าที่สมบูรณ์แบบ..นอกจากนี้ ในปากที่กว้างยังแลเห็นว่าเต็มไปด้วยฟันขาวและเขี้ยวที่เรียวแหลมเรียงชิดกันอย่างเป็นระเบียบ สุ้มเสียงครางเครือตํ่าๆ เล็ดลอยออกมานั้นฟังแล้วชวนให้หัวใจสั่นไหวเป็นยิ่งนัก

    ช่วงลำคอที่ปกคลุมไปด้วยขนสีดำเมื่อมได้รับการประดับประดาด้วยซี่กระดูกจนเป็นสร้อยอันพิลึกพิลั่น และบนหลังของมันมีชายร่างกำยำผู้หนึ่งกำลังถือสายบังเหียนที่โยงมาจากสิ่งที่ครอบรัดอยู่รอบปากใหญ่..

    ชายผู้นั้นมีตาสีเดียวกับเจ้าสัตว์ที่เขากำลังขี่ แต่มันทอประกายได้มากกว่า ลุกวาวและสั่นไหวอย่างตื่นเต้นระทึกใจจนมุมปากทั้งสองขยับยิ้มได้กว้างจนเกือบถึงใบหู..

    มือใหญ่ลูบไปบนแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยแผงขนสองชั้นอันหนานุ่มที่กำลังตั้งชันขึ้นอย่างตื่นตัว เอ่ยคำพูดปลอบประโลมด้วยเสียงแหบตํ่า

    " ใจเย็นๆสิเมียข้า.." เขากล่าว  "ข้ารู้ว่าเจ้าตื่นเต้นแค่ไหนที่กำลังจะได้ออกล่าเหยื่อกัน "

    ดวงตาสีเลือดดูอ่อนโยนอย่างน่าขนลุก ราวกับหมาป่า.. จ้องมองไปยังทะเลสีทึมๆเบื้องล่างที่มืดสลัว

     

    " แต่ยังก่อน... มันยังไม่ใช่ตอนนี้หรอก "

     

    เสียงของเขาราบเรียบ เย็นยะเยือกยิ่งกว่าหมอกที่กำลังไล่จับนํ้าในอากาศ กระซิบไว้ให้รับรู้กันเพียงกันและกันเท่านั้น..

    ก่อนที่ชายหนุ่มจะละทิ้งความสนใจจากภาพเบื้องหน้า กระชากบังเหียนดึงศีรษะของหมาป่ายักษ์ให้ผินกลับไปในทิศตรงข้าม กระตุ้นให้มันเยื้องกรายก้าวขาที่ถูกคล้องด้วยกำไลโซ่เหล็ก หางใหญ่ปัดป่ายไปมา อุ้งเท้าหนาฝากรอยไหม้สีดำไว้บนพื้นที่เหยียบประทับลงไป ทิ้งเพียงกลิ่นสาปสางไว้เบื้องหลัง ปล่อยให้สายลมที่จะพัดผ่านมาครั้งใหม่ ปัดเป่ามันจนจางหายไปเอง..

     

     

     

    end of chapter 01 : once upon a time






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×