ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ~วีญจ์... ทะลุมิติไปลอนดอน~

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่หนึ่ง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 54
      0
      14 ต.ค. 48

    บทที่หนึ่ง

                  ไม่มีใครที่จะรู้ว่ามีเกาะขนาดเท่าเกาะภูเก็ตเกาะหนึ่งที่อยู่ในอาณาเขตของประเทศไทย และอยู่แถวๆทะเลอันดามันใกล้ๆกับภูเก็ตอีกด้วย มันเป็นเกาะที่มีประชากรเพียงสองแสนกว่าคนเท่านั้น แต่เกาะนี้ก็เต็มไปด้วยความทันสมัยสุดๆ เทคโนโลยีก็ไม่ต้องพูดถึง สุดยอดจริงๆ เกาะนี้ชื่อว่าเกาะไฮเทค การใช้ชีวิตในเกาะนี้ได้เหมือนการเหมือนการดำรงชีวิตในอีกยี่สิบปีข้างหน้าของโลก แต่คุณก็คงจะสงสัยใช่ไหมล่ะว่าทำไมเกาะใหญ่ขนาดนี้ ทำไมจึงไม่มีคนสังเกตเห็น -- อย่าลืมสิ นี่คือเกาะเทคโนโลยีในอีกยี่สิบปีข้างหน้าเชียวนะ! -- ผู้คนบนเกาะก็รู้จักการใช้การหักเหมุมแสงกับน้ำทะเลมาช่วยในช่วยในการพลางตาประกอบกับเทคโนโลยีสุดทันสมัยอีกหลายอย่างที่ไม่สามารถสาธยายได้ และถ้าจะอธิบาย คุณก็คงไม่เข้าใจว่าวิธีการแบบนั้นทำงานอย่างไร แต่การพลางตาเกาะนี้ก็เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบมาก คนในระยะสามกิโลเมตรจะมองไม่เห็นเกาะและแม้แต่ดาวเทียมก็ไม่สามารถระบุที่ตั้งของเกาะได้



    ฉันว่าคุณคงสงสัยเรื่องเกาะแปลกๆนี่หลายเรื่องเลยนะ อย่างเรื่องที่ว่าทำไมเกาะนี้จึงต้องปิดเป็นความลับ คำตอบก็คือ ถ้าเกาะนี้ถูกล่วงรู้โดยคนทั่วทั้งโลก ความสมดุลของโลกเทคโนโลยีจะเปลี่ยนไป เพราะเกาะนี้เป็นเกาะที่เป็นทางผ่านของเทคโนโลยีที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ ถึงกับจะกล่าว ว่าประเทศจะไม่พัฒนาด้านเทคโนโลยีช้าลงถ้าไม่มีเกาะนี้ช่วย เทคโนโลยีเกือบเศษหนึ่งส่วนสี่ของประเทศในปัจจุบันเป็นของที่คิดค้นจากเกาะนี้เมื่อยี่สิบปีก่อน -- คำนวณให้ดีละ เกาะนี้มีของใช้ที่เร็วไปยี่สิบปีนะ เพราะฉะนั้นของที่เราใช้กันตอนนี้ก็ต้องเป็นของที่เกาะค้นพบเมื่อยี่สิบปีก่อน ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเกาะนี้จึงมีของใช้ในอีกยี่สิบปีข้างหน้า ตอบได้ง่ายๆว่า ไม่มีใครรู้



    เกาะนี้มีแค่ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีเท่านั้น ส่วนการเมืองการปกครอง การศึกษาและวัฒนธรรมอื่นๆยังคงเป็นเหมือนปัจจุบันธรรมดาของโลก -- คุณเชื่อไหมว่าเกาะนี้มีเกาะแม่อยู่ที่ลอนดอน ที่นั่นมีเทคโนโลยีที่เร็วกว่าโลกธรรมดาทั่วไปถึงยี่สิบห้าปีเลยทีเดียว จะให้จินตนาการยังไงก็คิดไม่ถึง...



    เราจะมากล่าวเกี่ยวกับตัวเอกของเราดีกว่า เอ้อ... ให้เธอแนะนำตัวเองเลย เธอจะได้พูดถึงตัวเธอเองที่เป็นตัวเธอจริงๆ เพราะฉันก็ไม่รู้จักเธอดีขนาดนั้น แค่รู้ว่าเธอคิดอะไร นั่นก็พอแล้วที่ฉันจะเล่าเรื่องของเธอคนนี้ให้คุณฟัง...



    สวัสดี ฉันชื่อวีญจ์ วัชรนัน ประเสริฐกุล ฉันจะมาเล่าเรื่องของฉันให้ทุกคนได้รู้จักฉันมากขึ้น -- ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด ฉันก็คือตัวเอกของเรื่องนี้นะ -- เพราะว่าบางครั้งฉันอาจจะแสดงท่าทางที่ไม่เหมือนกับนิสัยจริงๆของฉันออกมา ฉันก็เลยกลัวว่าพวกคุณจะเข้าใจผิดว่าฉันมีนิสัยเป็นแบบนั้น! ซึ่งมันไม่ใช่เอาเลย ยังไงก็เอาเหอะ คุณมารู้จักกับฉันดีกว่านะ ก่อนที่คุณจะไปอ่านบทต่อไป



        ชื่อเล่นของฉันที่ว่า ”วีญจ์” ตอนแรกฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมชื่อฉันต้องมีทั้งตัวการันต์และตัวญ.ผู้หญิงให้เรื่องมากไปทำไม น่าจะเขียนง่ายๆแค่ “วีน” ก็พอแล้ว เพราะว่าตอนที่ฉันอายุสี่ขวบ พ่อสอนให้ฉันเขียนชื่อเล่นตัวเองให้เป็น มันเขียนยากน่าดูเลยล่ะ สำหรับเด็กสี่ขวบ แล้วฉันก็ถามพ่อว่าทำไม พ่อก็ตอบว่า…



    “แม่ของลูกที่ตายไปน่ะ เขาชอบคำที่สละสลวย ไม่ชอบคำที่เขียนง่ายๆ ลูกก็รู้นี่ว่าแม่ของลูกเป็นนักเขียนนิยาย ก็ต้องมีอารมณ์ศิลป์เป็นธรรมดา ดูอย่างชื่อของพี่ลูกสิ”



    ใช่ ชื่อพี่ของฉันก็คล้ายๆกันกับฉันเช่นกันเขาเป็นพี่ชายของฉันที่อายุสิบเจ็ดปี ชื่อว่าแวนส์ พี่ของฉันก็บ่นเรื่องที่ต้องมีการันต แต่พ่อก็ยังพูดไม่ถูกอยู่ดีนั่นแหละ ตัวสะกดในชื่อของพี่ก็เป็นน.หนูไม่ใช่ญ.ผู้หญิงนี่นา



    “ที่ชื่อของพี่ลูกเป็นตัวน.หนูก็เพราะว่าพี่เขาเป็นผู้ชาย แต่ลูกเป็นผู้หญิงก็ต้องตัวญ.ผู้หญิงสิ”นี่คือคำตอบจากพ่อ



    ช่างเรื่องชื่อของฉันเถอะ มาคุยเรื่องครอบครัวของฉันดีกว่า อย่างที่บอกไว้แล้วว่าแม่ของฉันตาย แต่ท่านตายตอนฉันอายุแค่สามขวบ ด้วยโรคอะไรสักอย่าง แต่เกี่ยวกับการทำงานแต่งหนังสือของแม่หนักเกินไป ก็เลยตายน่ะนะ แม่ของฉันชื่อว่า “พร” ส่วนพ่อของฉันชื่อออกฝรั่งแต่หน้าไม่ให้เลย ท่านชื่อ “วิน” และพี่ของฉันที่แสนน่าเบื่อชื่อ “แวนส์” อายุสิบเจ็ดปี และฉัน เด็กหญิงอายุสิบสองปีชื่อว่า “วีญจ์”



    พ่อของฉัน ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เกือบจะเรียกว่าสติเฟื่องแถมยังเป็นนักวิทยาศาตร์ที่ผู้คนทั่วทั้งเกาะต้องรู้จักท่านอย่างแน่นอนเพราะนอกจากท่านจะมีลูกสาวอย่างฉัน นักมือโปรคอมพิวเตอร์แล้ว ท่านยังเป็นนักวิทยาศาตร์มือดีที่สามารถประดิษฐ์สิ่งของแปลกๆ  --ที่แปลกมากๆ-- ออกมามากมาย ถ้าจำไม่ผิดพ่อของฉันคงจะเป็นนักวิทยาศาตร์ระดับท้ายแถวของเกาะแม่ที่อังกฤษ ซึ่งนั่นก็ถือว่าเก่งมากแล้วที่ไปถึงที่นั่นได้ มีนักวิทยาศาตร์ประเทศไทยในเกาะไม่ถึงห้าคนที่ไปถึงจุดๆนั้น



    พี่ของฉัน แวนส์ เขาจะกำลังจะเตรียมตัวสองเอ็นทรานซ์ในปีหน้า และหมกมุ่นอยู่กับหนังสือเรียน แถมยังเก็บตัวอยู่ในห้องนอนเป็นประจำและไม่ออกมาเผชิญโลกภายนอก ฉันยังสงสัยอยู่เลยว่าเขาเป็นแดรกคริวล่าหรือเปล่า ถึงต้องหมกตัวอ่านหนังสืออยู่แบบนั้น แต่ฉันก็ไม่คิดจะไปสนเขาหรอก เพราะเขาตั้งใจที่จะ’เอ็นให้ติดแพทย์ ก็คงจะต้องดูหนังสือหนักน่าดูล่ะ แต่ที่ฉันอยากจะเป็นไม่ใช่แพทย์เหมือนกับพี่หรอกนะ –-



    แล้วก็ฉัน วีญจ์คนนี้ เป็นเด็กผู้หญิงที่ถึงจะอายุสิบสอง แต่ฉันคนนี้ก็เรียนม.หนึ่งแล้วนะ ฉันเข้าโรงเรียนก่อนกำหนดหนึ่งปีน่ะ ฉันเรียนอยู่โรงเรียนโรงเรียนหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ค่อนข้างจะแปลกประหลาดสักนิดและมักจะมีกิจกรรมแปลกๆอยู่เสมอ อย่างเช่น เมื่อปีที่แล้วตอนจบกีฬาสี อาจารย์สั่งให้นักเรียนทุกคนแลกเสื้อกีฬาสีกับคู่แข่งสีอื่น โชคดีที่ฉันใส่เสื้อซับมา ซึ่งฉันจะใส่เป็นประจำอยู่แล้ว มันเป็นเสื้อยืดน่ะ ฉันก็เลยแลกเสื้อสีแดงของฉันกับแมน เพื่อนสีเหลือง ส่วนเพื่อนสนิทของฉันน่ะหรือ กลุ่มเพื่อนของฉันก็มีทั้งผู้ชายและผู้หญิงนั่นแหละ เพื่อนสนิทของฉันทั้งหมดนี่มี ผึ้ง --ยัยผึ้งคนนี้มีนิสัยคล้ายๆฉันนี่แหละ-- โจ –-ตัวตลกประจำกลุ่ม–- และแคม –อารมณ์ร้อนกว่าฉันเสียอีก-- ทั้งหมดนี่คือสหายของฉัน ไม่มีใครแปลกใจเลยที่พวกผู้ชายซึ่งก็คือโจและแคมมาเกาะกลุ่มและเป็นเพื่อนสนิทของฉันกับผึ้ง เพื่อนๆที่ห้องของฉันมักล้อว่าฉันสับสนทางเพศว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงดี



    ฉันขอบอกเรื่องนิสัยของฉันเลยนะ

    ฉันชอบชกมวยไม่ใช่เต้นบัลเลต์

    ชอบสีฟ้าและดำไม่ใช่สีชมพู

    ชอบใส่เสื้อเชิ๊ตกับกางเกงยีนส์ไม่ใช่เสื้อแขนกุดกับกระโปรง

    ชอบอ่านหนังสือวรรณกรรมผจญภัยและสืบสวนไม่ใช่นิยายรักโรแมนติก

    ชอบอ่านการ์ตูนสู้กันและผจญภัยไม่ใช่การ์ตูนผู้หญิงที่มีแต่ร้องไห้และร้องไห้

    และสุดท้าย ฉันไม่เคยร้องไห้เลยตั้งแต่อายุแปดขวบ



    ที่ฉันขาดไม่ได้เลยก็คือหนังสืออ่านเล่นกับวรรณกรรมต่างๆนานามากมาย ซึ่งตอนนี้ฉันต้องมีตู้เก็บหนังสือไว้สองตู้เพื่อเก็บนวนิยายและการ์ตูนทั้งหมด

    ฉันไม่มีเรียนพิเศษเหมือนกับเด็กคนอื่นๆทำเลย ยกเว้นเรียนมวยอยู่ที่หมู่บ้านข้างๆในวันเสาร์และอาทิตย์เท่านั้น พ่อของฉันคิดว่าฉันมีเรื่องเรียนอยู่เต็มหัวอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเรียนเสริมเติมแต่งอะไรให้เปลืองเงินหรอก แต่ฉันก็มีวิชาที่อ่อนมากจริงๆเลยนะ ก็คือวิชาภาษาอังกฤษ ฉันอ่านและแปลอะไรไม่ค่อยออก แต่ก็เรียนตามบทเรียนและรอดมาได้นี่แหละ



    ฉันมีเรื่องหนึ่งจะบอกคุณ แต่ฉันก็บอกไม่ได้  --คุณจะได้รู้เรื่องนั้นแน่ถ้าคุณอ่านเรื่องนี้จนจบ เพราะถ้าฉันบอกเรื่องที่เกิดขึ้นต่อไปนี้กับคุณล่ะก็ คุณก็คงจะต้องรู้เรื่องการผจญภัยสนุกๆที่ฉันไปเจอมาทั้งหมดเลยล่ะสิ



    เอ้อ… ฉันได้บอกคุณไหมว่าฉันเป็นโปรคอมพิวเตอร์ ฉันว่าฉันบอกแล้วนะ แต่ช่างเถอะ บอกอีกรอบก็คงจะไม่เสียหายอะไร ฉันค่อนข้างจะเก่งเรื่องคอมพิวเตอร์สักหน่อย ซึ่งฉันกำลังจะเล่าที่มาของความสนใจทางด้านคอมพิวเตอร์ของฉัน



    เมื่อหกปีที่แล้ว ฉันเพิ่งจะอายุหกปีเท่านั้น ในขณะที่ฉันกำลังนั่งดูจอโทรทัศน์ซึ่งเป็นโทรทัศน์ที่เป็นการฉายลำแสงไปบนอากาศโดยไม่มีจอภาพ แสงที่ฉายไปบนอากาศนั้นก็เป็นเหมือนกับหน้าจอทีวีนั่นแหละ ที่ฉันต้องอธิบายเนี่ยเพราะว่าฉันแน่ใจว่าคุณคงจะใช้โทรทัศน์ที่เป็นกล่องสีเหลื่ยมและมีหน้าจอทีวีใช่ไหมล่ะ -- ทุกวันตอนเย็นฉันพ่อและพี่จะมานั่งดูจอโทรทันศ์กันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น วันหนึ่งเมื่อหกปีที่แล้วมีนกกระจอกตัวหนึ่งบนผ่านหน้าต่างห้องนั่งเล่นเข้ามา พ่อของฉันจึงชี้ให้ดูนกตัวนั้น



    “นั่นไงนกกระจอก ลูก” พ่อว่า



    “ฮะ” ฉันตอบรับ “ก็น่ารักดี”



    ส่วนพี่ของฉันที่อายุสิบเอ็ดปีแล้วก็นั่งอยู่เฉยๆไม่สนใจนก แต่ตอนนั้นฉันอายุหกปีนี่ ก็คงจะมีความอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา ฉันนั่งดูนกตัวนั้นจนมันบินกลับไป

    ต่อจากนั้นไปสองสัปดาห์ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ในขณะที่ครอบครัวของฉันก็นั่งดูจอโทรทัศน์เหมือนเดิม นกกระจอกตัวเดิม –อย่างน้อยก็คิดว่า--ก็เข้ามาทางหน้าต่างซึ่งฉันเป็นคนเห็นคนแรก ฉันจึงชี้ให้พ่อและพี่ดู “พ่อ พี่ ดูนั่นดิ ไอ้นกกระจอกตัวเดิมกลับมาแล้ว” ฉันว่า



    ส่วนพ่อกับพี่ที่กำลังอินกับละครน้ำเน่านั้นก็หันหน้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อพ่อรู้ว่าเป็นแค่นกกระจอกก็บอกว่า “อื้ม! ก็แค่นกกระจอก จะชี้ให้ดูทำไมกัน” พ่อว่าเสียงเรียบๆ “ไม่เห็นมีอะไรแปลกตรงไหน”



    “อ้าว! ก็ครั้งที่แล้วพ่อยังชี้ให้หนูดูนกเลยนี่ฮะ” ฉันโต้กลับ ด้วยอารมณ์ของเด็กหกขวบ “หนูชี้นกให้พ่อดูก็เหมือนกับตอนที่พ่อชี้นกให้หนูดู ถ้ามันไม่มีอะไรแปลกแล้วพ่อชี้ให้หนูดูทำไมล่ะฮะ”



    “ช่างเถอะวีญจ์” พ่อว่าพลางเคี้ยวมันฝรั่งทอด



    ฉันเพิ่งคิดได้ว่าตอนที่ฉันหกขวบก็อารมณ์ร้อนพอๆกับตอนนี้เลย ฉันโกรธพ่อที่ทำให้ฉันเสียหน้าเรื่องนกแถมพี่ยังจะมาหัวเราะฉันอีก ฉันก็เลยจะวางแผนเข้าไปในห้องทำงานวิทยาศาสตร์ของพ่อเพื่อจะเข้าไปทำลายหุ่นนกจำลอง ของประดิษฐ์ชุดใหม่ที่พ่อเตรียมจะเปิดตัวแต่ยังทำไม่เสร็จ หลือเพียงขึ้นตอนในการใส่ข้อมูลเท่านั้น ส่วนตัวหุ่นทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว



    นาฬิกาปลุกฉันตอนตีสาม นั่นทำให้ฉันเมื่อตอนหกขวบตื่นขึ้นอย่างงัวเงียเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติการ พ่อของฉันจะทำงานเสร็จตอนตีหนึ่งครึ่งและตื่นตอนเก้าโมง มีเวลาเหลือเฟือสำหรับการปฏิบัติการ ฉันย่องลงบันไดไปห้องทำงานของพ่อ ต้องพยายามอย่าให้เกิดเสียงเลยแม่แต่นิดเดียวเพราะพ่อของฉันตื่นง่ายมาก แม้ว่าจะเป็นเสียงเอี๊ยดอ๊าดของการเหยียบพื้นก็ตาม สองนาทีผ่านไป ฉันมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องทำงานของพ่อ มันเป็นเพียงประตูที่เป็นสี่เหลี่ยมสีเงินเรียบๆที่ไม่มีลูกบิดประตูหรืออะไรที่จะช่วยเปิดประตูได้เลย -- พ่อมักจะไม่เป็นคนนอนหลับในห้องทำงานอยู่แล้ว แต่ปัญหามันอยู่ที่ห้องทำงานของพ่อมีรหัสก่อนเข้าห้อง แถมในห้องยังอาจจะมีลำแสงกันขโมยซึ่งจะเป็นแค่เครื่องเล็กๆแต่จะส่องลำแสงตรวจจับความเคลื่อนไหว พ่อไม่ยอมบอกรหัสเข้าห้อง แต่ท่านบอกเรื่องลำแสงกันขโมยว่าจะผ่านมันไปได้โดยให้ใช้เครื่องกันลำแสงกันขโมยที่พ่อเคยทำ แล้วเข้าไปตัดสายไฟสีแดง เหลือง กับเขียวที่อยู่ในเครื่องกันขโมยนั่น นั่นแหละที่ทำให้ฉันกลุ้ม ดังนั้น ฉันจึงต้องเดินกลับไปเอาเครื่องป้องกันการเคลื่อนไหว เครื่องนี้จะเป็นเครื่องเล็กๆเหมือนกันนั่นแหละ ขอแค่ให้เราใส่ติดตัวก็เป็นดีแล้ว คือแบบว่า เครื่องนี้ยังไม่ได้เปิดตัวกับสาธารณชนน่ะนะ พ่อฉันเป็นคนคิดค้นขึ้นมาอีกแหละ พ่อว่าพ่อจะเปิดตัวเครื่องป้องกันนี่อยู่ แต่กลัวว่าขโมยจะซื้อเครื่องนี้มาใช้ก่อความไม่สงบ พ่อเลยทิ้งให้ฉันไป ถ้าเราพกเจ้าเครื่องนี้ไว้ เครื่องส่องแสงตรวจจับความเคลื่อนไหวจะตรวจสอบไม่ได้ผล ฉันเขกหัวตัวเองที่ลืมเจ้าเครื่องนี้แล้วเดินอย่างเบาที่สุดกลับไปที่ห้องนอน

    ฉันเปิดลิ้นชักที่ใส่ของที่ไม่ได้ใช้ไว้มากมาย ส่วนมากจะเป็นของที่พ่อคิดค้นแล้วไม่สำเร็จ ท่านจะโยนมาให้ฉัน ซึ่งฉันก็จะรับมันมาดัดแปลงเป็นหุ่นยนต์แบบง่ายๆ เด็กทุกคนในตอนนั้นก็พอจะมีพื้นฐานเรื่องนี้กันทุกคนแหละน่า ฉันใช้เวลาค้นหาเครื่องป้องกันการตรวจจับอยู่ประมาณห้านาทีจึงพบมัน มันมีลักษณะคล้ายๆสร้อยเส้นโตที่ทำจากโลหะ ส่วนจี้สร้อยนั้นเป็นลูกกลมๆที่ใหญ่มาก ประมาณลูกเทนนิส เมื่อฉันใส่แล้วก็เจ็บคอนะ เพราะมันหนักมากจริงๆ แล้วฉันก็เดินกลับไปที่ห้องทำงานพ่ออีก ฉันไม่รู้จริงๆว่ารหัสก่อนเข้าห้องมันคืออะไร ฉันก็พยายามที่จะคิดว่าเลขอะไรที่พ่อชอบและเลขอะไรที่เกี่ยวข้องกับตัวพ่อ



    ตอนนั้นฉันออกจะแน่ใจว่ามันจะต้องเป็นวันเกิดของพ่อแน่ๆ พ่อของฉันเกิดวันที่ 6 มีนาคม 2507 นั่นก็น่าจะเป็น 632507 แต่ฉันก็ตระหนักขึ้นมาในทันทีทันใด แค่วันเกิดของพ่อใครๆก็น่าจะรู้ พ่อคงไม่ตั้งรหัสง่ายขนาดนี้หรอก ดังนั้น ฉันจึงเกิดความคิดแผลงๆขึ้นมาในทันที ถ้าเผื่อพ่อไม่ได้ตั้งรหัสไว้เลยล่ะ ถ้าแค่เราเปิดประตูแค่นี้มันก็อาจจะเปิดออกแล้ว ฉันจึงเดินเข้าไปใกล้ประตูสี่เหลี่ยมสี่เทานั้นมากขึ้น เพียงแค่ปลายนิ้วมือของฉันแตะประตูเท่านั้น มันก็เริ่มสั่นน้อยๆ ฉันตกใจนิดหนึ่งพลางคิดว่าฉันจะเปิดประตูยังไงในเมื่อมันเป็นเพียงประตูผิวเรียบสีเทาเท่านั้น



    ฉันกำลังพยายามคิดถึงคำบางคำของพ่อที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการเข้าไปในห้องทำงานแต่มันก็คิดไม่ออกนี่ ฉันจึงตัดสินใจกรอกรหัสมั่วๆลงไป  อันได้แก่ปีเกิดของฉันบวกกับปีเกิดของพี่ลงไป ฉันเกิดปี 2536 พี่เกิดปี 2531 รวมกันได้ 5067ฉันใช้นิ้วจิ้มตรงที่กดรหัสซึ่งติดอยู่ข้างซ้ายของประตู รูปทรงมันเหมือนเครื่องคิดเลขเครื่องเล็กๆ แล้วภายในเวลาประมาณห้าวินาที ประตูก็เด้งเปิดออก ที่ว่า”เด้งเปิดออก” มันก็เด้งออกจริงๆนะ นั่นทำให้ฉันดีใจมากถึงมากที่สุดเลยเชียว แต่ก็เลิกคิดถึงเรื่องความดีใจนั่นเพราะว่าแสงสว่างสีแดงจากเครื่องตรวจจับความเคลื่อนไหวเริ่มสาดแสงมา ฉันรีบหลบไปอยู่ข้างประตูเพื่อแสงจะได้ไม่ส่องโดนฉัน ฉันเพิ่งตระหนักเมื่อตอนนี้เองว่าตัวเองลืมเปิดสวิชต์เครื่องป้องกับการตรวจจับ ฉันจึงเปิดสวิชต์ แสงสีฟ้าเริ่มฉายแสงออกมามากมายจากจี้สร้อย มันสว่างมากกว่าเครื่องตรวจจับการเคลื่อนไหวมาก แล้วฉันก็ก้าวเข้าไปภายในห้อง แสงสว่างจากจี้สร้อยนั้นกลบแสงสีแดงจนหมด ทำให้เครื่องตรวจจับการเคลื่อนไหวไม่สามารถตรวจจับอะไรได้อีก



    ก่อนที่ฉันจะทันสังเกตห้องทำงานของพ่อ ฉันรีบวิ่งไปที่โต๊ะเพื่อหยิบมีดเล็กๆที่วางอยู่แล้วฉันก็ตรงไปยังเจ้าเครื่องตรวจจับเล็กๆนั่น และเริ่มชำแหละมันออกมาเพื่อให้เห็นเครื่องยนต์ภายในเครื่องตรวจจับเพื่อที่จะตัดสายไฟสีแดง เหลืองและเขียวและมันจะได้หยุดทำงาน เมื่อฉันชำแหละมันแล้วก็ทำให้ฉันรู้ว่ามีสายสีแดง เหลืองและเขียวอย่างละสองถึงสามเส้น ฉันใจหายวูบเลย แต่มันก็ไม่มีทางเลือก ฉันก็เลยเลือกตัดอย่างละเส้น



    สายสีเหลืองเส้นหนึ่งถูกตัดออกไป เครื่องนั้นกระตุกนิดหนึ่งก่อนที่มันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิน ฉันเลือกสุ่มตัดสายสีแดงอีกเส้น แสงค่อยๆจางลง และเมื่อฉันจะเอื้อมมือไปตัดสายสีเขียว ฉันก็ตัดผิดพลาดซะแล้ว ฉันไปตัดสายสีน้ำเงิน!



    เครื่องนั้นดับวูบขึ้นมาทันที



    สายสีน้ำเงินนั่นอาจจะเป็นสายตัดไฟที่ไปใช้งานในตัวเครื่องนั้นแน่เลยมันจึงดับวูบลงอย่างนี้ ฉันกดปิดสวิชต์เครื่องป้องกันการตรวจจับการเคลื่อนไหวแล้วสำราจดูห้องทำงานของพ่อในวันนี้  



    วันนี้ห้องทำงานของพ่อรกมากเนื่องจากพ่อต้องส่งตัวอย่างเจ้านกสารพัดประโยชน์มะรืนนี้แล้ว แต่ท่านยังไม่ได้ใส่โปรแกรมอะไรเลย เพียงแค่ทำโครงหุ่นยนต์เท่านั้น พ่อเล่าว่านกตัวนี้สามารถส่งอี-เมลล์ได้ เพียงแค่พูดบอกเมลล์ปลายทางและข้อความที่จะส่งไปเท่านั้นแหละ แต่ได้ไม่เกินยี่สิบพยางค์เท่านั้น



    ฉันตรงไปยังตัวเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อเริ่มต้นที่จะปฏิบัติงานการทำลายล้างโปรแกรมสำคัญๆของพ่อ ซึ่งนั่นก็ได้แก่โปรแกรมที่พ่อกำลังจะใส่เข้าไปในตัวนกนั่นเอง ฉันเริ่มเปิดคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นซีพียูนั้นมีขนาดเท่ากล่องนม ส่วนหน้าจอก็เป็นเมือนโทรทัศน์ ที่เป็นการฉายสีลงในอากาศส่วนเมาส์ไม่ต้องใช้ ใช้นิ้วลากเอาก็พอ

    ฉันเพิ่งรู้ตอนนั้นเองว่าเครื่องป้องการตรวจจับการเคลื่อนไหวมันยังรัดคอฉันอยู่ ตอนนี้คอฉันแดงไปหมดแล้ว ฉันกำลังจะเอื้อมมือไปถอดมันออกมาคอ มีเชือกที่ห้อยคออยู่มันดันหลุดซะก่อน



    ตุบ!



    เสียงดังอย่างมากเกิดขึ้นเมื่อจี้สร้อยนั่นตกลงบนพื้น ฉันชักแน่ใจแล้วว่าพ่อจะต้องตื่น!



    ---------------------------------------------------

    เห่อๆ เราเปลี่ยนนามปากกาใหม่นะ ทั้ง ลูกกวาดสีฟ้า และ Harriat_Granger เป็นคนเดียวกันนั่นแหละ อิอิ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×