ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ΣF = 0

    ลำดับตอนที่ #3 : miror of past | hazel dustern highschool.

    • อัปเดตล่าสุด 20 พ.ค. 59


    #activity. | miror of past | hazel dustern highschool.

    _______________________________________________________________________________________________________________ 

     

    เขาว่ากันว่าสิ่งที่กระจกสะท้อนกลับมา มันควรจะเป็นสิ่งตรงหน้าของมันเอง แต่นั่นเป็นเพียงหลักและเหตุผลในความเป็นจริงเท่านั้นแหละ และบานกระจกตรงหน้าของเด็กหนุ่มมันก็ไม่ได้ฉายภาพสะท้อนตัวตนของเขากลับมาเลย ไม่สิ ต้องพูดว่ามันฉายภาพของเด็กหนุ่มตรงหน้าในวันวานกลับมาต่างหาก

     

     

     

    ผมสามารถอ่านใจคุณได้นะ.” เด็กหนุ่มเจ้าของเสียงเอ่ยขึ้นด้วยความมั่นใจ ใบหน้าน้อยๆ นั้นดูซีดเซียวไปบ้างแต่ก็ไม่ได้ถึงกับดูแย่มากนักในสายตาของใครหลายๆ คน

    นายแพทย์หนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ เลิกคิ้วขึ้นสูงทันที “งั้นหรอครับ..?”

    เด็กหนุ่มยิ้มออกมาก่อนจะเอ่ยพูดด้วยเสียงเอื้อยๆ คงเป็นเพราะผลข้างเคียงของยาที่เขาได้รับไปก่อนหน้านี้สักพัก
              “ผมรู้ว่าตอนนี้คุณกำลังคิดอะไรอยู่ คุณหมอกำลังคิดว่าผมหน้าตาดีเกินไปที่จะมาอยู่แผนกจิตเวชใช่ไหมล่ะ?”

    สิ้นคำพูดของเด็กหนุ่ม นายแพทย์ที่ได้รับฟังก็แทบจะหัวเราะออกมา แต่เขารู้ตัวดีว่าถ้าหัวเราะใส่คนไข้แบบนี้ย่อมทำให้พวกเขารู้สึกไม่ดี สุดท้ายนายแพทย์ก็ได้แต่ยิ้มออกมาบางๆ และพยักหน้าตอบรับกับคำพูดของเด็กหนุ่มที่พูดออกมา

    นี่ก็เป็นเวลากว่าหนึ่งอาทิตย์แล้วที่นายแพทย์คนนี้มักจะเข้ามาพูดคุยเป็นเพื่อนให้กับเด็กหนุ่มคนนี้ แม้หัวข้อการคุยส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการสอบถามอาการของตัวเด็กหนุ่มเองก็ตาม

    แล้ว..หนูรูดี้รู้ได้ยังไงว่าหมอกำลังคิดแบบนั้นอยู่ล่ะ? ได้ยินเป็นคำพูดเลยหรอ?”

    รูดี้พยักหน้า “ก็ได้ยินเป็นเสียงของคุณหมอเลย

    แล้วนอกจากความคิดของคนอื่น ยังได้ยินเสียงอะไรอีกไหม?” รูดี้ทำหน้านึกแล้วก็หันไปตอบคุณหมอ

    ก็..มีเสียงของคุณพ่อ เสียงคุณแม่ เสียงพี่ๆอ๋อ..เสียงคนข้างบ้านก็มีนะ” หมอหนุ่มพยักหน้าตอบรับเด็กหนุ่ม จดข้อมูลที่ได้มาลงในกระดาษสำหรับที่จะนำไปเขียนรายงาน และนำไปใช้ในการจัดยาให้กับผู้ป่วยคนนี้

    แล้วเสียงพวกนี้เขาพูดอะไรกับหนูบ้างครับ?” รูดี้ขมวดคิ้ว ยู่หน้าเบะปากออกมาอย่างขัดใจ

    พวกเขาด่าผม ขอโทษนะครับหมอ แบบมึงมันแย่ มึงมันห่วย สารเลว อะไรแบบนั้นแหละครับหมอ” รูดี้หันไปทางหมอหนุ่มก่อนจะเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงสงสัย

    หมอคิดว่าผมแปลกไหม?” นายแพทย์เลิกคิ้วขึ้นสูงก่อนจะยิ้มแล้วก็ส่ายหัวไปมา

    ไม่นะ..หมอคิดว่ามันเป็นความสามารถพิเศษ เจ๋งดีออก” แล้วเขาก็หัวเราะเสียงเบาๆ ออกมา

    แล้วช่วงนี้ยังได้ยินเสียงพวกนั้นอยู่ไหม?” รูดี้พิงหลังกับหัวเตียงที่ถูกปรับให้สูงขึ้นมา ก่อนจะหลับตาลง

    ช่วงนี้ได้ยินไม่บ่อยแล้ว เพราะยาหมอรึไงก็ไม่รู้ แต่เมื่อก่อนผมได้ยินบ่อยมากเลย ทั้งความคิดของคนอื่น ทั้งเสียงที่เป็นแบบเฉยๆ ไม่มีรูปร่าง ตอนที่อยู่กับหมอผมก็จะได้ยินความคิดของหมอคนเดียว แต่ถ้าอยู่กับคนอื่นๆ มากๆ มันจะมีหลายๆ เสียงแทรกเข้ามาพูดแข่งกันให้ปวดหัวไปหมดเลยครับ

    คุณหมอทำเพียงแค่ยิ้มบางๆ ฟังเรื่องเล่าจากปากของเด็กหนุ่มไปเรื่อยๆ ราวกับคิดว่ามันเป็นนิทาน

    หลายๆ คนในที่นี้ก็เป็นเหมือนผมนะ  แต่คนอื่นๆ ก็หาว่าเป็นบ้าไม่ก็โรคจิตกันหมดเลย แต่ผมไม่ได้เป็นนะ” นายแพทย์ยิ้ม มือก็จดลงไปในกระดาษว่า ไม่คิดว่าตัวเองป่วย

    ครับ หมอก็ไม่คิดว่าหนูรูดี้เป็นอย่างนั้นหรอก มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นเพียงโรคจากทางสมอง มันก็เหมือนโรคสมองทั่วๆ ไปนั่นแหละครับ

    หมอคิดแบบนั้นหรอ?” คุณหมอทำเพียงส่งยิ้มอ่อนๆ กลับมาให้

    อนาคตถ้าออกจากโรงพยาบาลแล้วหนูรูดี้มีแผนที่อยากจะทำอะไรไหม?” รูดี้นิ่งไปสักพักเมื่อได้ยินคำถาม กลอกตาขึ้นมองเพดานสีขาวโพลนของโรงพยาบาลราวกับเห็นอะไรสักอย่างอยู่ตรงนั้น ก่อนที่นัยน์ตาสีสวยจะเลื่อนมาจับจ้องใบหน้าของหมอหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยพูดช้าๆ เพราะผลข้างเคียงของยา มันทำให้เขาพูดลำบากเหลือเกิน

    หมอเชื่อไหม? ผมไม่อยากจะออกไปจากที่นี้เลยนะคุณหมอเลิกคิ้วขึ้นมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างต้องการคำอธิบายเพิ่ม

     

    .ทำไมถึงอยากอยู่ที่นี้ต่อหละ? ไม่อยากหายจากโรคนี้หรอ?รูดี้ส่ายหน้าไปมา

    ไม่ใช่หรอก แต่ผมคิดว่าอยู่ที่นี้แล้วมันสบายกว่าที่จะต้องกลับไปที่นั้น

    ที่นั้น?

    ก็ที่นั้นมันไม่มีคนมาคุยมาเล่นกับผมแบบนี้เลยนะ พวกเขาบอกว่าผมเป็นบ้ากันหมดเลย

    คุณหมอหนุ่มมองเด็กหนุ่มอย่างยิ้มๆ ก่อนจะจดข้อมูลที่ได้มาลงในเวชระเบียน

     คุณหมอรู้ไหม? คุณหมอเป็นคนที่ผมเคยคุยได้นานที่สุด..คุณหมอรับฟังและพูดคุยกับผมได้สนุกที่สุด คุณหมอยอมรับในสิ่งที่ผมเป็นได้ ที่ผมอยากจะอยู่ที่นี้ต่อก็เพราะผมอยากจะคุยกับคุณหมออีก

    รูดี้พูดเสียงใส แววตาสีหม่นเปล่งประกายขึ้นมานิดหน่อย คุณหมอที่ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มอ่อนๆ ตอบกลับมา ก้มลงสรุปข้อมูลในเวชระเบียน

    ถ้างั้นหมอจะเข้ามาหาหนูบ่อยๆ นะ วันนี้หมอต้องไปแล้วคุณหมอพูดลา ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่แล้วก็เดินออกจากห้องคนไข้ไป ปล่อยให้เด็กหนุ่มมองตามคุณหมอตาละห้อย

     

    และวันต่อมาคุณหมอก็เข้ามาพูดคุยและนั่งเล่นกับเด็กหนุ่มตามที่ตนเองได้พูดเอาไว้เสมอ ในทุกๆ วันคุณหมอก็มักจะมาพูดคุยเพื่อให้เด็กหนุ่มผ่อนคลายไม่คิดวิตกอะไรมากเกินไป บางวันก็พารูดี้ออกไปเดินเล่นนอกสถานที่ที่ไม่ใช่ห้องพักผู้ป่วยแบบนี้ ชีวิตประจำวันของรูดี้และคุณหมอมักจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ตลอดที่เด็กหนุ่มยังคงอยู่ที่โรงพยาบาลนี้

     

     

     

     

    “ในอนาคตหนูอยากจะทำอะไรต่อไหม?” คุณหมอเอ่ยถามรูดี้ที่ยังนั่งพูดคุยกับเขา รูดี้นิ่งไปนิดหลังจากที่ได้ยินคำถามนั้น เด็กหนุ่มค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของคำพูด แววตาสั่นไหวคล้ายเหมือนคนจะร้องไห้ ร้องไห้กับประโยคคำถามที่มันดูเหมือนว่าเจ้าของคำถามจะผลักไสให้เด็กหนุ่มออกไป

    แต่ผม--.. นายแพทย์หรี่ตาลง มองเด็กหนุ่มคู่สนทนาตรงหน้าด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ

    “ฉันรู้....” รูดี้นิ่งเงียบ นัยน์ตาสีสวยมองคู่สนทนาตรงหน้าด้วยแววตาที่บ่งบอกว่าเด็กหนุ่มกำลังน้อยใจ น้อยใจที่คุณหมอทำท่าทีเหมือนจะผลักไสเขาออก

    รูดี้อยากจะพูดว่าตัวเองเป็นบ้า และยังไม่ได้รับการรักษาที่ทำให้หายดี เขาอยากจะอยู่ที่นี้ต่อ อยากจะพูดคุย ตอบคำถาม ฟังเรื่องเล่าจากคุณหมอแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้ยอมรับว่าตัวเองนั้นเป็นบ้า ถึงอยากจะพูดแบบนั้นออกไปแต่เขาก็ไม่มีทางยอมรับว่าตัวเองเป็นบ้าแน่ๆ

    ไม่เราไม่ได้เป็นนะ..

     

    ตอนนี้ตัวเด็กหนุ่มมันรู้สึกผิดหวัง โกรธ น้อยใจ หวาดกลัว และวิตกกังวล

     

    ไม่เอานะ..

     

     

     เขาว่ากันว่าเวลาคนเราได้รับแจ้งข่าวร้าย ปฏิกริยาตอบสนองจะเป็นไปในรูปแบบที่คล้ายกัน
    เริ่มต้นจากระยะการปฏิเสธว่าสิ่งที่พวกเขาได้ยินมันไม่เป็นความจริง ต่อมาคือมีความรู้สึกโกรธทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเหตุให้เกิดสิ่งร้ายนั้น ต่อมาก็จะเกิดการต่อรอง เกิดอาการซึมเศร้ายอมรับต่อข่าวร้ายนั้นได้ในที่สุด ตัวเด็กหนุ่มในตอนนั่นน่ะเหรอ? เขากําลังอยู่ในระยะแรก ระยะปฏิเสธ

     

     

     

     

    เราไม่อยากออกไปจากที่นี้นะ

     

     

     

     

    นับตั้งแต่วันนั้น คุณหมอคนเดิมก็ไม่เคยเข้ามาหาเขาที่ห้องนี้อีกเลย เป็นเวลากว่าร่วมเดือนที่เด็กหนุ่มได้รับยาต้านโรคในปริมาณที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เขาทำอะไรไม่ได้ ได้แต่นอนนิ่งๆ ขยับขเยื้อนหรือแม้แต่จะอ้าปากพูดก็ยังลำบาก

     

    ในช่วงที่ผมได้รับผลข้างเคียงของยาหนักๆ หมอคนนั้นหายไปไหนกันนะ?

     

    มันคงเป็นคำถามที่เด็กหนุ่มตั้งขึ้นมา แล้วก็คงจะไม่ได้รับคำตอบของคำถามนั้น





    Identification data : รูดี้ มอร์แกน, อายุ 11 ปี สัญชาติอเมริกัน ศาสนาคริสต์
    Source of data & Reliability : ผู้ป่วยและบันทึกทางการแพทย์ ความน่าเชื่อถือมาก
    Admission date : 16 กันยายน 2010
    Chief complaint : หูแว่ว ตาฝาด ก่อนที่จะนำมาโรงพยาบาล 7 เดือน

    อาละวาดทำร้ายข้าวของ พยายามฆ่าตัวตาย ทำร้ายผู้อื่น




    การวินิจฉัย






    SCHIZOPHRENIA




     

     

    กว่าเด็กหนุ่มจะหลุดพ้นจากขุมนรกอันมืดมัวนั้นมาได้ ต้องใช้เวลาไปนานร่วมปีเลยทีเดียว

    จิตเภทขโมยความคิด ขโมยความสุข ขโมยความรู้สึก ขโมยตัวตน ขโมยผู้คนรอบข้าง เป็นโรคที่ขโมยทุกสิ่งทุกอย่างจากเขาไป แม้กระทั่งคนที่เขาเคยคิดว่าไว้ใจได้มากที่สุด

     
     

     

    รูดี้แค่นเสียงหัวเราะออกมา คล้ายจะสมเพชตัวเอง แล้วก็ยกมือขึ้นเสยผมที่ปรกหน้าผากของตัวเองขึ้นไป ส่ายหัวไปมาราวกับไม่อยากจะยอมรับกับเหตุการณ์ในอดีต ก่อนที่จะเดินจากไปจากตรงนั้น ปล่อยทิ้งเจ้ากระจกที่ฉายภาพพวกนั้นไว้อย่างโดดเดี่ยว
     

    ___________________________________________________________________________ 

    M
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×