คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : กลับมาอีกครั้ง
ในความรู้สึกของจางอี้เทียนคล้ายกับว่าตนเองกำลังหลับฝัน ถึงจะไม่ได้ลืมตาขึ้นมองแต่ความรู้สึกบอกว่าตอนนี้เขาอยู่ในสถานที่ที่มืดมิด ร่างกายที่ถูกผู้คนทุบตีจนเนื้อแตกกระดูกแตกสมควรมีความเจ็บปวดทว่าตอนนี้กลับไม่หลงเหลือความเจ็บปวดอีกเลย เขาพยายามขยับแขนขาแต่กลับไม่สามารถขยับได้ดั่งใจ คล้ายกับว่าร่างกายอยู่ในที่คับแคบจนไม่มีพื้นที่ให้ยืดขาได้
นี่...ข้าจากไปอย่างสงบแล้วหรือ อีกโลกให้ความรู้สึกน่าอึดอัดเช่นนี้นี่เอง แต่ว่าความรู้สึกนี้เหมือนข้าเคยเจอมาก่อนเมื่อนานมาแล้วเป็นที่ใดที่หนึ่งหรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แต่มันเป็นที่ใดกันแน่นะ
ในความรู้สึกของจางอี้เทียนคล้ายว่าตนเคยประสบกับเรื่องเช่นนี้มาแล้วแต่ให้นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก ในขณะที่คิดจะขยับกายดูอีกครั้งหูก็พลันได้ยินเสียงใครบางคนกำลังตะโกนโหวกเหวกอยู่ไม่ไกลนัก มันมีทั้งเสียงเดินย่ำเท้าสับสนและเสียงตะโกนสลับกันไป
“อี้เทียนเจ้าอยู่ที่ใด! เจ้าได้ยินเสียงข้าหรือไม่ มีใครยังรอดชีวิตอยู่หรือไม่”เสียงทุ้มใหญ่แบบชายที่มีอายุมากแล้วกำลังตะโกน
“ช้าก่อน! นี่พวกเจ้าเห็นเด็กคนนั้นวิ่งเข้ามาที่นี่จริงหรือ”
“จริงสิ ตอนที่กองทหารแคว้นฉินบุกเข้ามาเช่นฆ่าชาวบ้านที่บ้านหลังนี้ ข้าเห็นเขาวิ่งหลบเข้าไปซ่อนตัวที่นี่จริงๆ”
“ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าไปหาดูว่ายังมีชาวบ้านรอดชีวิตอีกหรือไม่ เดี๋ยวตรงนี้ข้าจะลองหาดูว่ายังมีใครรอดชีวิตอีกหรือไม่”เสียงทุ้มใหญ่ของชายคนเดิมสั่งการคนอื่นๆ จากนั้นก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งกระจัดกระจายห่างออกไปจากตรงนั้น
“อี้เทียน! อี้เทียน! เจ้าอยู่ที่ใด ฮึ่ม เจ้าเด็กนั่นหนีไปซ่อนตัวที่ใดกันแน่หายากหาเย็นเดี๋ยวก็ทิ้งให้หมากินเสียนี่ ไอ้เจ้าโง่จางอี้เทียนอยู่ที่ใดวะ!!”
เอ่อ...อะไอ้เจ้าโง่จางอี้เทียน?
จะว่าไปแล้วตอนเป็นเด็กท่านลุงหลิวเคยเรียกเขาเช่นนั้นไม่ใช่หรือ มิหนำซ้ำเสียงที่กำลังเรียกชื่อใครบางคนก็ดูคล้ายกับเสียงของท่านลุงหลิวมากเช่นกัน หรือว่าข้าที่ไปสู่ที่ชอบๆ กำลังจะได้เจอกับท่านลุงหลิวแล้วใช่หรือไม่ ถ้าใช่ข้าคงต้องคุกเข่าขอยกโทษที่ไม่ได้อยู่ช่วยท่านลุงในเวลาสุดท้าย
“อี้เทียนได้ยินข้าหรือไม่ เจ้าอยู่ที่ใด ข้าขี้เกียจหาเจ้าแล้วออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”
“อ้ะ! ทะท่านลุงหลิวใช่หรือไม่ขอรับ ท่านลุงหลิว! ท่านลุงหลิว! ข้าอยู่ที่นี่ ข้าอยู่ที่...ที่ไหนวะเนี่ย!?” ความฝัน สวรรค์หรือนรก
จางอี้เทียนร้องเรียกเพราะไม่เข้าใจว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นและตนอยู่ที่ใด สองมือที่ควานไปรอบข้างแปะเข้ากับผนังไม่เรียบคล้ายกับไม้ไผ่ที่สานขัดกันไปมา เขาลูบคลำอยู่อย่างนั้นไม่นานก็มีเสียงดังกุกกักพร้อมกับความรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่อยู่เหนือหัวเขาถูกยกออกไป
“อี้เทียน! เจ้าปลอดภัยหรือไม่”
แสงสว่างมาจากด้านบนเขารีบเงยหน้าขึ้นไปมองตามเสียงเรียกจากด้านบนเหนือศีรษะแล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจ เมื่อเห็นว่า คนที่กำลังเรียกเขาก็คือคนเดียวกับที่เขาเพิ่งปักป้ายไว้อาลัยให้เมื่อไม่นานมานี้จริงๆ เขาลืมตาโพลงเมื่อก้มลงมาเห็นว่าที่แท้แล้วตนนั่งอยู่ในภาชนะที่เรียกว่ากระพ้อมใส่ของที่มีลักษณะคล้ายถังน้ำใหญ่ๆ
นี่ข้าอยู่ที่ใดกัน? แล้วคนผู้นั้นคือท่านลุงหลิวแน่นอน แต่เหตุใดทุกอย่างดูคล้ายกับว่านี่เป็นชีวิตจริงๆ เอ...นี่คือความฝันหรือความจริงกันแน่
“ท่านลุงหลิว…”
“เออ ข้าเอง! เจ้าปลอดภัยใช่หรือไม่อี้เทียน เจ้าไม่ต้องกลัวนะข้ามารับเจ้าแล้ว รีบส่งมือมาให้ข้าเร็วเข้า”
จางอี้เทียนเห็นว่าเป็นท่านลุงหลิวที่ล่วงลับไปแล้วคนนั้นกำลังยื่นมือลงมาให้จากปากกระพ้อม ตอนแรกเขาก็มีท่าทีลังเลจับดีไม่จับดีทำท่ายึกๆ ยักๆ แต่ไม่นานก็ยอมยื่นมือไปจับอีกฝ่ายไว้ ตอนนั้นเองที่เขาได้เห็นว่ามือตนหดเล็กลงหาใช่มือใหญ่หยาบกร้านของชายหนุ่มที่ควรเป็น ในขณะที่ความคิดสับสนร่างของเขาก็ถูกอีกฝ่ายดึงขึ้นไปโอบกอดเอาไว้แน่น
“น่าเวทนาจริงๆ เจ้าคงหวาดกลัวมากใช่หรือไม่แต่ไม่เป็นอะไรแล้วนะอี้เทียน ต่อไปนี้ข้าจะดูแลเจ้าให้ดีๆ เอง”
“ท่านลุงหลิว ทะท่านคือท่านลุงหลิวจริงหรือขอรับ ข้าได้เจอท่านแล้วจริงๆ ขะข้าขอโทษขอรับ ข้าขอโทษ”เขากอดอีกฝ่ายไว้พร้อมกับเอ่ยคำขอโทษเสียงลากยาว
“ปัดโธ่ เจ้าเด็กนี่มันยังไงกันนะ กลัวจนขี้ย้อนกลับขึ้นสมองไปแล้วหรือถึงจำข้าไม่ได้ ข้าคือลุงหลิว! พวกเราปลอดภัยแล้วนะอี้เทียนเจ้าจะมาขอโทษข้าเรื่องใดกัน นิ่งเสียนิ่งเสีย”
“ข้าไม่ได้กลัวแต่ข้า...ดีใจ ฮึก!” เขาเบะปากทำท่าจะปล่อยโฮ
“ดีใจจนจำข้าไม่ได้น่ะหรือ โอ๋ๆๆ อย่าร้องนะ นิ่งเตะนิ่งเตะ เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบเด็กร้องไห้ถ้าเจ้าร้องเชื่อหรือไม่ว่ารองเท้าเปียกๆ ข้าจะเตะจนกว่าจะแห้ง”
"ฮึก อุ๊บ!....คิกคิกคิก ฮึก! ฮะฮ่าๆๆๆ"
เพราะชีวิตก่อนผ่านอะไรๆ มามากมายทำให้จางอี้เทียนหลงลืมไปว่าชายแก่ที่ชื่อว่า ลุงหลิวชิงชงเป็นคนเช่นไร นั่นก็คืออีกฝ่ายเป็นคนอารมณ์ดีที่ไม่ค่อยชอบเสียงเด็กร้องไห้เอามากๆ พอชีวิตได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้งมันทำให้เขาดีใจจนอยากจะปล่อยโฮแต่ลุงแกไม่เล่นด้วยแถมยังขู่จะเตะอีก จากบทซาบซึ้งแทนที่ด้วยความสบายใจทำให้จางอี้เทียนอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“ท่านลุงหลิวยังคงเหมือนเดิม ฮือฮึกๆข้าไม่ได้ร้องไห้นะขอรับ ข้าตกใจจนสะอึก”จางอี้เทียนโผเข้ากอดอีกฝ่ายไว้แน่นทำให้ได้สัมผัสเนื้อหนังและความอบอุ่นของร่างกายได้อีกครั้ง
“เด็กเอ๋ยเด็ก ข้าก็ยังคงเป็นข้าเช่นเดิมแต่เจ้าที่สูญเสียครอบแลัวยังต้องมาเดินทางเร่ร่อน เจ้าคงเสียขวัญมากใช่หรือไม่ ไม่ต้องกลัวนะไม่ต้องกลัว ทหารฉินพวกนั้นไปกันหมดแล้ว”
ลุงหลิวหัวเราะกับคำแก้ตัวน้ำขุนๆ ของอีกฝ่าย ก่อนจะช่วยปลอบประโลมจนคนในอ้อมแขนค่อยๆ เบาเสียงสะอึกสะอื้นจึงได้ปล่อยแล้วยืนขึ้นหันมองความหายนะรอบด้าน จางอี้เทียนเองก็หันมองแล้วต้องขมวดคิ้ว เพราะเขาจำได้ว่าสถานที่ตรงนี้เป็นหมู่บ้านอีกแห่งที่เจอตอนที่เขากำลังเดินทางมากับลุงหลิว แต่ว่า...นั่นมันเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว
“ถึงพวกมันจะไปกันแล้ว แต่เพื่อให้ชาวบ้านที่รอดชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัย ดูท่าข้าคงต้องพาพวกเขาเดินทางไปหาที่อยู่ใหม่”ลุงหลิวพูดในขณะที่จูงมือจางอี้เทียนให้ตามไปสมทบกันคนอื่นๆ
“ที่อยู่ใหม่? ช้าก่อน! ท่านลุงบอกว่าจะไปที่ใดหรือขอรับ”
“ก็คงเป็นที่ใดสักแห่งของแคว้นจ้าว”
เมื่อได้ยินประโยคนั้น จางอี้เทียนที่กำลังเดินถึงกับชะงักเท้าตัวแข็งทื่อเพราะเขาเคยได้ยินประโยคนี้ของลุงหลิวมาแล้ว รวมถึงเหตุการณ์ที่เขาเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในกระพ้อมนั่นก็ด้วย ทุกอย่างราวกับเป็นภาพเหตุการณ์ในอดีตที่วนกลับมาฉายซ้ำสอง และนั่นทำให้จางอี้เทียนเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาบ้างแล้ว
นี่คือการกลับมา!
ระหรือว่า…หรือว่าสวรรค์จะให้โอกาสข้าได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง! ไม่ใช่การเกิดใหม่แต่เป็นชีวิตเดิมก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องนั้น แล้ว...ทำไมถึงต้องย้อนกลับมาที่ช่วงเวลานี้ด้วยล่ะ
เรื่องราวที่จางอี้เทียนกำลังเผชิญอยู่เป็นเหตุการณ์ในช่วงที่เขามีอายุได้สิบสองปีพอดี มันเป็นช่วงที่เขาเพิ่งจะเสียพ่อแม่ไปซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่มีชายแก่คนหนึ่งเดินทางผ่านมาเห็นพอดี ท่านลุงหลิวที่เดินทางผ่านมาช่วยต่อสู้ขับไล่ทหารกลุ่มเล็กนั้นไปและยังได้ช่วยดูแลพาชาวบ้านที่ยังรอดชีวิตเดินทางหนีไฟสงครามระหว่างแคว้นฉินกับแคว้นจ้าวไปตั้งรกรากที่ใหม่
เขายังจำภาพชายแก่ที่มีร่างกายแข็งแรงต่อสู้กับทหารอย่างห้าวหาญดุดันโดยไม่มีตรงไหนบอกว่านั่นคือชายแก่สักนิด
“พอดีข้าจนเลยคิดว่าจะปล้นเงินพวกมันไปซื้อเหล้ากินสักหน่อย”นั่นหรือคือเหตุผล
ตอนนั้นอีกฝ่ายพูดยิ้มๆ ดูไม่ออกว่าเรื่องจริงหรือไม่จริงกันแน่ แต่เขาจำได้ว่าลุงหลิวเคยบอกว่าในอดีตตนเคยเป็นทหารในกองทัพมาก่อน ทว่าเมื่ออายุมากขึ้นจึงไม่ได้เข้าร่วมรบอีก คงเพราะเหตุนี้ลุงหลิวจึงดูเป็นลุงที่มีร่างกายสูงใหญ่แข็งแรงและดวงตากล้าแกร่งเฉกเช่นชายชาติทหารที่ผ่านอะไรๆ มามาก ถึงแม้มันจะดูน่าเหลือเชื่อแต่เขาก็ดีใจที่ได้ย้อนกลับมาอยู่กับท่านลุงหลิวอีกครั้ง
ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาให้เขากลับมาในช่วงเวลานี้ เดี๋ยวนะ! เมื่อครู่ท่านลุงหลิวบอกว่าจะพาชาวบ้านอพยพย้ายไปที่อื่น หรือว่าจะเป็นหมู่บ้านทางเหนือของแคว้นจ้าวที่อีกหลายปีข้างหน้าจะถูกโจมตีจนผู้คนต้องตกตายไปทั้งหมู่บ้าน
ไม่ได้เด็ดขาด!
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเหงื่อเย็นเม็ดใหญ่จึงผุดขึ้นมาเต็มใบหน้า แล้วจางอี้เทียนที่ย้อนกลับมาอยู่ในวัยสิบสองปีที่กำลังคิดว่าถ้าจะมีอะไรที่เขาอยากจะแก้ไขสิ่งที่อยากทำเป็นอันดับแรกก็คือเรื่องนี้นี่แหละ คิดแล้วจางอี้เทียนก็รีบดึงมือของลุงหลิวเอาไว้อีกครั้ง
“ไม่ได้นะท่านลุงหลิว! ท่านจะพาพวกชาวบ้านไปที่นั่นไม่ได้เด็ดขาดเลยนะขอรับ”
“อะไรของเจ้าอี้เทียน เหตุใดเจ้าจึงบอกว่าไปที่นั่นไม่ได้” ลุงหลิวมองผู้คนที่นั่งรวมกลุ่มไม่ไกลเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกแปลกใจและอยากรู้เหตุผล
“ไม่ได้นะขอรับ คือว่า…คือว่าตอนที่ข้าหลบซ่อนตัวอยู่ข้าได้ยินทหารพวกนั้นพูดว่าจะไปสมทบกับกองทหารที่ เอ่อ…ทะที่กำลังตั้งค่ายอยู่ที่นั่น ถ้าพวกเราไปอาจจะเจอกับพวกนั้น”
เมื่อลุงหลิวได้ยินอย่างนั้นก็ให้ฉุกคิดขึ้นมาว่า พวกทหารที่ไม่น่ามาทางนี้แต่ดันบังเอิญผ่านมา บางทีพวกมันอาจจะกำลังไปที่นั่นอย่างที่อี้เทียนบอกมาก็เป็นได้
“เจ้าได้ยินมาเช่นนั้นไม่ผิดแน่นะ”
“ไม่ผิดแน่ขอรับ ท่านลุงอย่าไปนะขอรับ” จางอี้เทียนรีบพยักหน้าหงึกๆ รับด้วยท่าทางมั่นใจ
ความจริงแล้ว ไม่ว่าจะชีวิตก่อนหรือชีวิตที่สองตอนนี้เขาก็ไม่ได้ยินอะไรเช่นที่กล่าวมาทั้งนั้นแหละ เท่ากับว่าสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปเป็นเรื่องโกหก แล้วอย่างไรเล่า! ถ้าเทียบกับที่ผ่านมาจะสำคัญด้วยหรือ ถ้าการโกหกจะสามารถช่วยให้ผู้คนทั้งหมู่บ้านและลุงหลิวรอดชีวิตอยู่ต่อไปได้เขาก็ยินดีโกหกและจะโกหกให้มากกว่าเดิมด้วย
ซึ่งเรื่องนี้จางอี้เทียนได้มารู้ในภายหลังว่า สงครามทั้งห้าแคว้นที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ในบรรดาแคว้นอื่นที่ถูกแคว้นฉินโจมตีและได้ชาวบ้านที่เดือดร้อนมากที่สุดก็คือแคว้นจ้าวนี่แหละ นั่นแปลว่าไม่ว่าพวกเขาจะตั้งรกรากอยู่ตรงที่ใดของแคว้นจ้าว ชีวิตพวกเขาก็ไม่อาจกินอิ่มนอนอุ่นได้ทั้งนั้น
“แย่จริงๆ ถ้าไม่ไปที่นั่นแล้วพวกเราจะไปที่ใดได้อีกนะ” ลุงหลิวบ่นพึมพำกับตัวเองแล้วถอนใจหนักหน่วงก่อนจะทำท่าตะโกนเรียกคนอื่นๆ เพื่อขอฟังความคิดเห็น แต่ยังไม่ทันเรียกมือข้างหนึ่งของลุงหลิวก็ถูกกระตุกอีกครั้ง
“ท่านลุงลองไปที่แคว้นฉีสิขอรับ”
“แคว้นฉี? ที่นั่นอยู่ไกลจากที่นี่มากไม่ใช่หรือแล้วเหตุใดต้องเป็นแคว้นฉีเล่า” ลุงหลิวถามกลับด้วยสีหน้าแปลกใจอีกครั้ง
ถ้าจะกล่าวถึงแคว้นฉีที่เป็นแคว้นเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลจากพื้นที่สงครามก็จริง แต่ที่นั่นเป็นพื้นที่ที่เป็นภูเขาน้อยใหญ่มากมายการเดินทางก็ลำบาก เมื่อถามกลับไปแบบนั้นลุงหลิวกลับเห็นจางอี้เทียนจ้องดวงตาของเขาด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังเป็นอย่างมาก
“พอดีข้าได้ยินมาน่ะขอรับ”
“เจ้าไปได้ยินสิ่งใดมาอีกบอกข้ามา เร็วเข้า”
“ข้าได้ยินทหารพวกนั้นคุยกันเรื่องที่เพิ่งออกมาจากแคว้นฉีและคงจะไม่กลับไปที่นั่นอีกแล้ว ถ้าพวกเราไปที่นั่นน่าจะปลอดภัยกว่าที่อื่นก็เป็นได้ขอรับ”
“พวกเขาพูดว่าอย่างนั้นหรือ”
“ใช่ขอรับ พวกเราไปที่นั่นกันเถอะขอรับท่านลุง”
“ไปที่นั่นก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ว่า...”ชายแก่ที่ถูกเรียกว่าลุงหลิวพยักหน้าก่อนจะทำท่าคล้ายหนักใจ
ถ้าให้คนอื่นมาฟังอาจจะคิดว่านี่เป็นความคิดของเด็กคนหนึ่ง แต่สำหรับอดีตคนเคยเป็นทหารผ่านสงครามมาแล้วอย่าง“หลิวชิงชง”กลับใส่ใจทั้งยังลองคิดตามก็พบว่า ความคิดนี้ของเจ้าเด็กจางอี้เทียนนับว่าไม่เลว ตัวเขาแม้จะอายุมากแต่ด้วยประสบการณ์ในกองทัพที่เดินทางไปในหลายพื้นที่ ในจำนวนพื้นที่เหล่านั้นมีส่วนที่ปลอดภัยอย่างแคว้นฉีก็จริงหรือจะให้ดีต้องเดินทางเลยไปอีกหน่อยก็คือแคว้นเยี๋ยนแต่การเดินทางค่อนข้างลำบาก สำหรับเขาการเอาตัวรอดในพื้นที่ที่ยากลำบากนั้นไม่เป็นปัญหาแต่ชาวบ้านร่างกายอ่อนแอจะทนไหวแน่หรือ
“เฮ้อ ข้านี่ช่างหาเรื่องให้ยุ่งยากลำบากสังขารโดยแท้ แต่เพื่อความอยู่รอดพวกเขาคงต้องทดทนหน่อย ได้! ข้าเห็นด้วยกับความคิดนี้ของเจ้า ดูท่าข้าคงต้องรีบเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่นๆ ส่วนเจ้าช่วยเดินสำรวจหาคนที่ยังซ่อนตัวอยู่แถวนี้ให้หน่อยได้หรือไม่”
“แถวนี้หรือขอรับ”
“อืม แถวนี้แหละเผื่อจะเจอคนอื่นที่ยังหลบซ่อนตัวอยู่ ถ้าเจอก็ให้รีบพาตัวมาพวกเราจะได้ออกเดินทางไปพร้อมกัน”
“ได้ขอรับ”
ในชีวิตก่อนจางอี้เทียนในวัยนี้ยังเป็นแค่เด็กซุกซนและขี้ขลาดตาขาวคนหนึ่ง ทว่าหลังจากที่ผ่านความยากลำบากในวัยผู้ใหญ่มาแล้วตอนนี้เขากลับมีความกล้าหาญมากขึ้นกว่าร่างกายที่เห็นภายนอก เมื่ออีกฝ่ายขอให้ช่วยงานจางอี้เทียนก็รีบรับปากทันที ลุงหลิวเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกนับถือจิตใจที่เข้มแข็งจึงได้มอบมีดสั้นของตนเองให้เขาใช้ป้องกันตัวเล่มหนึ่งแล้วค่อยเดินจากไปหาคนอื่นๆ
“ดูเหมือนเหตุการณ์ในชีวิตที่สองยังคงมีบางจุดที่เหมือนเหตุการณ์ในชีวิตเดิมอย่างนั้นสินะ ให้ข้าไปหาคนรอดชีวิตอย่างนั้นหรือ ก็คงจะมีรอดอยู่คนหนึ่งจริงๆ นั่นแหละ” จางอี้เทียนมองมีสั้นในมือแล้วมองตามแผ่นหลังของลุงหลิวที่กำลังทำความเข้าใจกับชาวบ้านที่ตอนนี้บางคนยังอยู่ในอาการขวัญผวา บางคนบาดเจ็บแต่เมื่อฟังคำชักชวนนั้นต่างก็พากันยังพยักหน้าเห็นด้วย
ข้ารู้ว่าท่านทำได้แน่นอน เพราะแต่ไหนแต่ไรลุงหลิวเป็นคนหนึ่งที่มีพลังของคนที่เป็นผู้นำ ในชีวิตก่อนระหว่างการเดินทางอพยพย้ายที่เขาได้เห็นคนผู้นี้ช่วยชีวิตชาวบ้านที่ประสบเหตุการณ์เช่นเดียวกันได้อีกมากมาย และต่อมาลุงหลิวจึงกลายเป็นผู้นำของกลุ่มคนอพยพที่ทุกคนให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก
ขอบคุณสวรรค์ที่ให้ข้าได้มาพบกับท่านลุงหลิวในช่วงเวลานี้ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ท่านคนเดียวเสียแล้วล่ะขอรับ
ความคิดเห็น