คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : การจากไปของชายผู้โชคร้าย
“เสี่ยวเหมย? เจ้าคือเสี่ยวเหมยใช่หรือไม่”
อยู่ๆ มีเสียงแหบพร่าของบุรุษดังจากทางด้านหลังกะทันหันส่งผลให้หญิงสาวที่เดินอยู่ด้านหน้าสะดุ้งตกใจจนร้องกรี๊ดออกมา ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันทำให้ดูงดงามมากกว่าปกติหลายเท่ายามหันมาเห็นว่าคนที่เรียกนางเป็นใคร ดวงตาคู่นั้นก็ถึงกับตกตะลึง ทว่าไม่ทันได้เอ่ยปากมือของชายหนุ่มก็ปิดปากนางเอาไว้ได้ก่อน
“เสี่ยวเหมย…”
“เจ้า…จาง อะอี้เทียน”
“เป็นเจ้าจริงๆ ด้วยเสี่ยวเหมย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าตามหาเจ้าลำบากแทบแย่” ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มดีใจที่ได้เจอนาง แต่อีกฝ่ายกลับอยู่ในอาการตื่นตกใจที่ได้เจอคนรู้จัก
“อี้เทียนเจ้ามาที่นี่…ได้อย่างไร”
“ข้ามาตามหาเจ้าเสี่ยวเหมย ถ้าเจ้าบอกสักนิดว่าร้านนั้นอยู่ที่ใดข้าคงไม่ต้องเสียเวลาหานานเช่นนี้” จางอี้เทียนไม่กล้าบอกว่าตอนนี้ตนรู้แล้วว่านางไม่ได้รับจ้างปักผ้า แต่เขาไม่อยากทำให้นางอับอายจึงไม่คิดจะพูดถึงมัน
“เจ้ามาที่นี่เพื่อตามหาข้าหรือ ตามหาข้าทำไมกันอย่างไรเสียอีกวันสองวันข้าก็จะกลับเข้าหมู่บ้านอยู่แล้ว”
“เรื่องนั้น…”
จางอี้เทียนรู้ดีว่ายามที่เสี่ยวเหมยเข้าในเมืองจะใช้เวลาประมาณสองถึงสามวันจึงกลับเข้าหมู่บ้าน ถ้าไม่เกิดเรื่องราวเขาคงไม่คิดมาตามหานาง เมื่อเจอตัวแล้วเขาจึงเล่าเรื่องในหมู่บ้านให้อีกฝ่ายฟัง เสี่ยวเหมยที่ได้ยินถึงข่าวร้ายของผู้คนในหมู่บ้านเป็นเช่นไรจึงร้องไห้สะอึกสะอื้น ถึงนางจะตัวคนเดียวแต่นางก็รู้จักทุกคนเป็นอย่างดี ยามได้ยินว่าพวกเขาจากไปเช่นไรจึงเสียใจมาก
“แล้วคนที่เหลือรอดเล่า พวกเขาเป็นอย่างไร”
“ตอนนี้ทั้งหมู่บ้านรอดชีวิตไม่กี่คน พวกเขาแยกย้ายไปที่อื่นหมดแล้ว ดังนั้นข้าจึงมาตามหาเจ้า”
“ตามหาข้า…” หญิงสาวทวนคำนั้นอีกครั้ง
“ใช่ ข้ามาตามหาเจ้า ตอนนี้ไม่มีหมู่บ้านให้กลับแล้วเสี่ยวเหมยเจ้าไปกับข้าเถอะ”
ถึงจะไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ใครได้ฟังก็เข้าใจได้ไม่ยากว่า “ไปกับข้า…” คำนั้นหมายความว่าอย่างไร นั่นแปลว่าชายหนุ่มกำลังขอให้หญิงสาวไปอยู่กับตนเยี่ยงสามีภรรยา ทว่าหญิงสาวที่ได้ยินดังนั้นกลับใช้นิ้วปาดน้ำตาทิ้งง่ายๆ
“ในเมื่อไม่มีหมู่บ้านแล้ว ตัวข้าก็ไม่ได้มีผู้ใดให้ห่วงกังวลและข้าก็ไม่อยากผูกมัดตัวเองด้วย เชิญเจ้าไปตามทางของเจ้าเถอะอี้เทียน”
“เจ้าว่าอะไรนะเสี่ยวเหมย”
เพราะคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำตอบเช่นนั้นชายหนุ่มก็ถึงกับมองหญิงสาวด้วยสีหน้าตกตะลึง เขามองใบหน้างดงามที่ยามนี้ไร้ซึ่งร่องรอยของคราบน้ำตาราวกับว่านางไม่เคยผ่านการร้องไห้มาก่อน ใบหน้างดงามไม่มีร่องรอยของความเศร้าเสียใจมีแต่ความเย็นชาเฉยเมย
“เจ้าไปเสียเถอะอี้เทียน ส่วนข้าจะอยู่ที่นี่”
“เจ้าพูดถึงสิ่งใด ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้พวกเราเคยสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันไปตลอดหรอกหรือ ตอนนี้พวกเรายังไม่ได้คุยกันให้ดีๆ เจ้าจะให้ข้าไปที่ใดเสี่ยวเหมย”
“สัญญาอะไรกัน ข้าจำได้ว่าไม่เคยตกปากรับคำอะไรเช่นนั้นเลยนะ นั่นเท่ากับว่าพวกเราไม่เคยสัญญาใดๆ ต่อกัน เจ้าก็ไปตามทางของเจ้าเถอะ” หญิงสาวยังคงยืนยันในคำพูด ส่วนทางด้านชายหนุ่มคล้ายกับไม่อาจทำใจยอมรับความจริงได้
“ข้าไม่ไป! ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้นถ้าไม่มีเจ้า” จางอี้เทียนพูดเสียงดังแล้วเอื้อมมือหวังจะรั้งร่างของอีกฝ่ายเข้ามา ทว่าเพียงแค่ยกมือขึ้นหญิงสาวก็รีบก้าวถอยหลังห่างออกไปหลายก้าวราวกับจะหนีจากการถูกแตะต้อง
“เจ้าฟังข้านะอี้เทียน ตอนนี้ข้าไม่ใช่เสี่ยวเหมยของเจ้าอีกต่อไปแล้ว”
“หมายความว่าอย่างไร แล้วสัญญา…”
“นั่นเป็นคำพูดของเด็กๆ ตอนนั้นพวกเราที่เพิ่งรู้จักกันยังเป็นเพียงเด็กน้อยอายุแค่สิบกว่าเท่านั้น ข้าที่อายุสิบห้าหนาว ส่วนเจ้าก็แค่สิบสอง ข้าพูดเช่นนั้นเพราะข้ามองเจ้าเป็นเพียงเด็กน้อยวัยใกล้กันก็เท่านั้น”
“ถึงจะเป็นคำพูดในวัยเยาว์ แต่ว่า…แต่ตลอดมาเจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าข้าคิดเช่นไรกับเจ้า”
ชายหนุ่มที่วันนี้เจอแต่เรื่องสะเทือนใจรู้สึกเจ็บปวดในอกจนไม่รู้จะเจ็บปวดอย่างไรแล้ว ตนเองที่หวังจะมีหญิงสาวเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจกลับกลายเป็นมีดอีกเล่มที่แทงซ้ำให้เขาเจ็บปวดไปมากกว่าเดิม เมื่อเขาเอ่ยบอกไปแบบนั้นอีกฝ่ายกลับส่ายหน้า
“ตอนนี้พวกเราผ่านเวลานั้นมาตั้งหลายปี ข้าและเจ้าล้วนเติบโตแล้ว”
“เติบโตแล้วอย่างไร ข้ายังคงคิดกับเช่นเช่นเดิมแล้วเหตุใดเจ้าต้องปฏิเสธข้าด้วยเล่า หรือว่าเป็นเพราะงานของเจ้า”
เพราะความผิดหวังทำให้จางอี้เทียนพลั้งปากในเรื่องที่ตนต้องการจะปกปิด นั่นจึงทำให้หญิงสาวถึงกับออกอาการตกใจจนหน้าซีดรีบยกแขนเสื้อขึ้นปกบังใบหน้าก่อนจะหันมองรอบกาย
“เจ้ารู้…”
“ใช่ ข้ารู้ รู้ว่าร้านที่เจ้าทำงานเป็นหอสุราที่มี…”
“ไม่นะ! เจ้าเข้าใจผิดเพราะข้าไม่ได้ทำงานเช่นนั้น อย่างไรเจ้าก็เห็นแล้วจงไปเสียเถอะข้าขอร้อง” หญิงสาวรีบบอกปัดก่อนจะเอ่ยปากไล่อีกครั้งทั้งยังทำท่ากลัวว่าจะมีใครมาเห็นพวกเขาทั้งสองด้วย
“ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าทำงานอะไรกันแน่แต่ข้าก็ไม่ถือสา ขอแค่ข้าได้อยู่กับเจ้าก็พอเสี่ยวเหมย เจ้าไปกับข้าเถอะนะ หากไม่มีเจ้าข้าจะไปไหนทั้งนั้น”
“นี่!! พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน”
ในตอนนั้นเองก็มีชายใส่ชุดรัดกุมหลายคนเดินเข้ามาพร้อมกับกระบองไม้ พวกเขาไม่ใช่แค่ผ่านมาเห็นแต่ดูเหมือนตั้งใจจะเดินเข้ามาทางที่จางอี้เทียนกับเสี่ยวเหมยยืนอยู่โดยเฉพาะ
“พวกเจ้า…” หญิงสาวเห็นชายเหล่านั้นก็ถึงกับตกใจมาก
“ชุดแต่งกายเช่นนี้…เจ้าเป็นหญิงในหอสุราไม่ใช่หรือมาทำอะไรตรงนี้ ส่วนเจ้าขอทานสกปรกมาเอะอะโวยอะไร ที่นี่เป็นหอสุราเลิศรสที่มีชื่อเสียงจะปล่อยให้เจ้ามาส่งเสียงดังรบกวนแขกได้หรือ อยากตายมากนักหรืออย่างไร” ชายที่อยู่ด้านหน้าสุดตะคอกเสียงดังพร้อมกับยกกระบองไม้ชี้ไปที่หน้าของชายที่แต่งชุดมอซอ
“ข้าไม่ใช่ขอทานนะ ข้าแค่มาหานาง นางเป็นคนรู้จักของข้า” ว่าจบจางอี้เทียนก็ชี้ไปทางหญิงสาวเพื่อให้นางช่วยยืนยัน ทว่านางกลับรีบส่ายหน้า
“ไม่ใช่นะ ชายผู้นี้เข้ามาทักข้า ข้าก็แค่หยุดคุยกับเขาแค่ไม่กี่ประโยคจะนับว่ารู้จักกันได้อย่างไร เมื่อครู่ชายผู้นี้เอ่ยปากว่าชมชอบข้า แต่ข้าบอกว่ามีคนรักอยู่แล้วและก็กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกันอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่เห็นว่าสภาพของเขาทำให้ข้าสงสารจึงเกลี้ยกล่อมให้เขาจากไปดีๆ”
“สะเสี่ยวเหมย!”
คำพูดยืดยาวประโยคนั้นกลายเป็นมีดทิ่มแทงร่างของจางอี้เทียนจนนับไม่ถ้วน แค่ปฏิเสธว่าไม่รู้จักกันก็ทำร้ายมากพอแล้ว แต่ประโยคที่บอกว่าตนมีคนรักและกำลังจะแต่งงานทำให้เขาเจ็บปวดจนแทบกระอักออกมาเป็นเลือด
“ไม่จริง มะมันไม่ใช่เรื่องจริงใช่หรือไม่ ที่พูดเช่นนั้นเพราะเจ้าถูกพวกเขาบังคับข่มขู่ให้ทำงานอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่” จางอี้เทียนคิดเอาเองว่าเสี่ยวเหมยเป็นหญิงที่สวยมากคงเรียกแขกให้มาอุดหนุนได้ คนพวกนี้คงไม่คิดปล่อยนางไปแน่ๆ
“เจ้าพูดมากอะไร ข้าอยู่ของข้าเองไม่มีใครบังคับทั้งนั้น” ว่าจบหญิงสาวก็รีบหันกายทำท่าจะจากไปทว่ากลับถูกจางอี้เทียนวิ่งเข้ามาดักหน้าเอาไว้ก่อน
“อย่าไปนะเสี่ยวเหมย เป็นเพราะพวกเขาใช่หรือไม่ เจ้าไม่ต้องกลัวนะข้าจะช่วยเจ้าให้ไปจากที่นี่เอง”
พลั่ก!!!
ตอนที่จางอี้เทียนคิดจะคว้าข้อมือของอีกฝ่ายแล้วพาวิ่งหนีออกไปจากตรงนั้น แต่ยังไม่ทันขยับตัวเขาก็ถูกชายถือกระบองที่ยืนอยู่หน้าสุดใช้เท้าถีบอย่างแรงจนเขาหงายหลังล้มกลิ้ง
“เลิกเพ้อเจ้อได้แล้วเจ้าขอทานสกปรก! กล้าดีอย่างไรถึงคิดจะมาพาผู้หญิงในหอสุราไปต่อหน้าต่อตาข้า ข้าจะให้โอกาสเจ้าไปจากตรงนี้เสีย ไม่อย่างนั้นจะหาว่าข้าใจร้ายไม่ได้ ไป๊!!!”
ชายถือกระบอกไม้ตวาดเสียงดังลั่น ก่อนจะหันไปสั่งลูกน้องให้พาตัวหญิงสาวเข้าไปข้างใน จางอี้เทียนเห็นอย่างนั้นจึงลุกขึ้นหมายจะพุ่งตัวเข้าไปขัดขวาง
“พวกเจ้าจะพานางไปที่ใด ปล่อยนางเดี๋ยวนี้นะ”
“เจ้าขอทานเสียสติไปแล้ว จัดการมันเสีย” เสียงร้องสั่งแล้วตามด้วยเสียงฝีเท้าที่กรูกันเข้ามา
ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!
“!!!!!”
ตอนนี้ไม่มีการพูดคุยกันอีกแล้ว เมื่อหญิงสาวถูกพาตัวจากไปกระบอกไม้หลายท่อนก็ถูกกระหน่ำฟาดลงบนร่างของจางอี้เทียนทันที พวกมันช่วยกันรุมทุบตีคนอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่สนใจว่าจะมีใครเห็นหรือไม่ กระบอกไม้ถูกฟาดเต็มแรงลงร่างของชายหนุ่มอยู่นานจนร่างกายของเขาบวดซ้ำปริแตกเลือดนองพื้นจนแดงฉาน
ซ่าาาาาา
อยู่ๆ สายฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมาพวกมันจึงได้เลิกลาแล้วพากันจากไปทิ้งให้ร่างที่นอนหายใจรวยรินเอาไว้ตรงนั้น สายฝนเม็ดใหญ่ค่อยๆ ทวีความรุนแรงช่วยชำระล้างเลือดพื้นให้จางหายไป ทว่่าชายหนุ่มที่บาดเจ็บหนักชีวิตใกล้ดับสูญได้แต่นอนนิ่งท่ามกลางสายฝน
“เสี่ยวเหมย…”
ในขณะที่ดวงตาบอบช้ำเต็มไปด้วยหยาบน้ำตาผสมไปกับสายฝนจนพร่าเลือน ก่อนที่ลมหายใจจะขาดห้วงชายหนุ่มยังทันได้เห็นเงาร่างสูงโปร่งแต่งกายคล้ายนักบวชเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะมีเสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยขึ้นว่า
“ข้าได้เห็นทั้งหมดแล้ว ชีวิตเจ้าช่างน่าเห็นใจยิ่งนัก น่าเสียดายหากข้ามาเจอเจ้าให้เร็วกว่านี้คงได้ช่วยสอนวิชาให้เจ้าใช้ป้องกันได้บ้าง”
ถึงแม้ฝนจะตกหนักจนหูอื้อแต่จางอี้เทียนที่ร่างกายบอบช้ำและหลงเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายก็ยังได้ยินประโยคนั้นชัดเจน เขาสะอึกสะอื้นรู้สึกน้อยใจในโชคชะตาที่ทุกอย่างสำหรับตนเองดูจะสายเกินไปทั้งหมด
หากสวรรค์เมตตา ได้โปรดช่วยให้ข้าได้เกิดมามีชีวิตสมหวังสักหน่อยเถิด
เมื่อลมหายใจเฮือกสุดท้ายค่อยๆ แผ่วเบาและหมดลง แต่ดวงตาที่บอบช้ำยังคงไม่อาจหลับสนิท มือข้างหนึ่งที่กำของบางอย่างไว้ค่อยๆ คลายออกทำให้แหวนหยกเขียววงหนึ่งกลิ้งออกมา
นักบวชที่ยังยืนอยู่ได้ดูช่วงสุดท้ายของชีวิตชายหนุ่มผู้น่าสงสารถอนหายใจแล้วนั่งลงใช้ฝ่ามือที่มีนิ้วเรียวยาวค่อยๆ ปิดเปลือกตาคู่นั้นให้สนิท
“อาตมาไม่รู้ว่าเจ้าขอสิ่งใดในช่วงสุดท้ายของชีวิต แต่อาตมาขอให้เจ้าได้พบในสิ่งที่หวัง อามิตตาพุทธ”
ความคิดเห็น