ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จอมยุทธ​์จางอี้เทียน

    ลำดับตอนที่ #2 : การจากไปของชายผู้โชคร้าย

    • อัปเดตล่าสุด 22 ส.ค. 66


    “เสี่ยวเหมย? เจ้าคือเสี่ยวเหมยใช่หรือไม่”

    อยู่ๆ มีเสียงแหบพร่าของบุรุษดังจากทางด้านหลังกะทันหันส่งผลให้หญิงสาวที่เดินอยู่ด้านหน้าสะดุ้งตกใจจนร้องกรี๊ดออกมา ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันทำให้ดูงดงามมากกว่าปกติหลายเท่ายามหันมาเห็นว่าคนที่เรียกนางเป็นใคร ดวงตาคู่นั้นก็ถึงกับตกตะลึง ทว่าไม่ทันได้เอ่ยปากมือของชายหนุ่มก็ปิดปากนางเอาไว้ได้ก่อน

    “เสี่ยวเหมย…”

    “เจ้า…จาง อะอี้เทียน” 

    “เป็นเจ้าจริงๆ ด้วยเสี่ยวเหมย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าตามหาเจ้าลำบากแทบแย่” ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มดีใจที่ได้เจอนาง แต่อีกฝ่ายกลับอยู่ในอาการตื่นตกใจที่ได้เจอคนรู้จัก

    “อี้เทียนเจ้ามาที่นี่…ได้อย่างไร”

    “ข้ามาตามหาเจ้าเสี่ยวเหมย ถ้าเจ้าบอกสักนิดว่าร้านนั้นอยู่ที่ใดข้าคงไม่ต้องเสียเวลาหานานเช่นนี้” จางอี้เทียนไม่กล้าบอกว่าตอนนี้ตนรู้แล้วว่านางไม่ได้รับจ้างปักผ้า แต่เขาไม่อยากทำให้นางอับอายจึงไม่คิดจะพูดถึงมัน

    “เจ้ามาที่นี่เพื่อตามหาข้าหรือ ตามหาข้าทำไมกันอย่างไรเสียอีกวันสองวันข้าก็จะกลับเข้าหมู่บ้านอยู่แล้ว”

    “เรื่องนั้น…”

    จางอี้เทียนรู้ดีว่ายามที่เสี่ยวเหมยเข้าในเมืองจะใช้เวลาประมาณสองถึงสามวันจึงกลับเข้าหมู่บ้าน ถ้าไม่เกิดเรื่องราวเขาคงไม่คิดมาตามหานาง เมื่อเจอตัวแล้วเขาจึงเล่าเรื่องในหมู่บ้านให้อีกฝ่ายฟัง เสี่ยวเหมยที่ได้ยินถึงข่าวร้ายของผู้คนในหมู่บ้านเป็นเช่นไรจึงร้องไห้สะอึกสะอื้น ถึงนางจะตัวคนเดียวแต่นางก็รู้จักทุกคนเป็นอย่างดี ยามได้ยินว่าพวกเขาจากไปเช่นไรจึงเสียใจมาก

    “แล้วคนที่เหลือรอดเล่า พวกเขาเป็นอย่างไร”

    “ตอนนี้ทั้งหมู่บ้านรอดชีวิตไม่กี่คน พวกเขาแยกย้ายไปที่อื่นหมดแล้ว ดังนั้นข้าจึงมาตามหาเจ้า” 

    “ตามหาข้า…” หญิงสาวทวนคำนั้นอีกครั้ง

    “ใช่ ข้ามาตามหาเจ้า ตอนนี้ไม่มีหมู่บ้านให้กลับแล้วเสี่ยวเหมยเจ้าไปกับข้าเถอะ” 

    ถึงจะไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ใครได้ฟังก็เข้าใจได้ไม่ยากว่า “ไปกับข้า…” คำนั้นหมายความว่าอย่างไร นั่นแปลว่าชายหนุ่มกำลังขอให้หญิงสาวไปอยู่กับตนเยี่ยงสามีภรรยา ทว่าหญิงสาวที่ได้ยินดังนั้นกลับใช้นิ้วปาดน้ำตาทิ้งง่ายๆ 

    “ในเมื่อไม่มีหมู่บ้านแล้ว ตัวข้าก็ไม่ได้มีผู้ใดให้ห่วงกังวลและข้าก็ไม่อยากผูกมัดตัวเองด้วย เชิญเจ้าไปตามทางของเจ้าเถอะอี้เทียน”

    “เจ้าว่าอะไรนะเสี่ยวเหมย” 

    เพราะคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำตอบเช่นนั้นชายหนุ่มก็ถึงกับมองหญิงสาวด้วยสีหน้าตกตะลึง เขามองใบหน้างดงามที่ยามนี้ไร้ซึ่งร่องรอยของคราบน้ำตาราวกับว่านางไม่เคยผ่านการร้องไห้มาก่อน ใบหน้างดงามไม่มีร่องรอยของความเศร้าเสียใจมีแต่ความเย็นชาเฉยเมย

    “เจ้าไปเสียเถอะอี้เทียน ส่วนข้าจะอยู่ที่นี่”

    “เจ้าพูดถึงสิ่งใด ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้พวกเราเคยสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันไปตลอดหรอกหรือ ตอนนี้พวกเรายังไม่ได้คุยกันให้ดีๆ เจ้าจะให้ข้าไปที่ใดเสี่ยวเหมย” 

    “สัญญาอะไรกัน ข้าจำได้ว่าไม่เคยตกปากรับคำอะไรเช่นนั้นเลยนะ นั่นเท่ากับว่าพวกเราไม่เคยสัญญาใดๆ ต่อกัน เจ้าก็ไปตามทางของเจ้าเถอะ” หญิงสาวยังคงยืนยันในคำพูด ส่วนทางด้านชายหนุ่มคล้ายกับไม่อาจทำใจยอมรับความจริงได้

    “ข้าไม่ไป! ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้นถ้าไม่มีเจ้า” จางอี้เทียนพูดเสียงดังแล้วเอื้อมมือหวังจะรั้งร่างของอีกฝ่ายเข้ามา ทว่าเพียงแค่ยกมือขึ้นหญิงสาวก็รีบก้าวถอยหลังห่างออกไปหลายก้าวราวกับจะหนีจากการถูกแตะต้อง

    “เจ้าฟังข้านะอี้เทียน ตอนนี้ข้าไม่ใช่เสี่ยวเหมยของเจ้าอีกต่อไปแล้ว”

    “หมายความว่าอย่างไร แล้วสัญญา…” 

    “นั่นเป็นคำพูดของเด็กๆ ตอนนั้นพวกเราที่เพิ่งรู้จักกันยังเป็นเพียงเด็กน้อยอายุแค่สิบกว่าเท่านั้น ข้าที่อายุสิบห้าหนาว ส่วนเจ้าก็แค่สิบสอง ข้าพูดเช่นนั้นเพราะข้ามองเจ้าเป็นเพียงเด็กน้อยวัยใกล้กันก็เท่านั้น” 

    “ถึงจะเป็นคำพูดในวัยเยาว์ แต่ว่า…แต่ตลอดมาเจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าข้าคิดเช่นไรกับเจ้า” 

    ชายหนุ่มที่วันนี้เจอแต่เรื่องสะเทือนใจรู้สึกเจ็บปวดในอกจนไม่รู้จะเจ็บปวดอย่างไรแล้ว ตนเองที่หวังจะมีหญิงสาวเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจกลับกลายเป็นมีดอีกเล่มที่แทงซ้ำให้เขาเจ็บปวดไปมากกว่าเดิม เมื่อเขาเอ่ยบอกไปแบบนั้นอีกฝ่ายกลับส่ายหน้า

    “ตอนนี้พวกเราผ่านเวลานั้นมาตั้งหลายปี ข้าและเจ้าล้วนเติบโตแล้ว”

    “เติบโตแล้วอย่างไร ข้ายังคงคิดกับเช่นเช่นเดิมแล้วเหตุใดเจ้าต้องปฏิเสธข้าด้วยเล่า หรือว่าเป็นเพราะงานของเจ้า”

    เพราะความผิดหวังทำให้จางอี้เทียนพลั้งปากในเรื่องที่ตนต้องการจะปกปิด นั่นจึงทำให้หญิงสาวถึงกับออกอาการตกใจจนหน้าซีดรีบยกแขนเสื้อขึ้นปกบังใบหน้าก่อนจะหันมองรอบกาย

    “เจ้ารู้…” 

    “ใช่ ข้ารู้ รู้ว่าร้านที่เจ้าทำงานเป็นหอสุราที่มี…” 

    “ไม่นะ! เจ้าเข้าใจผิดเพราะข้าไม่ได้ทำงานเช่นนั้น อย่างไรเจ้าก็เห็นแล้วจงไปเสียเถอะข้าขอร้อง” หญิงสาวรีบบอกปัดก่อนจะเอ่ยปากไล่อีกครั้งทั้งยังทำท่ากลัวว่าจะมีใครมาเห็นพวกเขาทั้งสองด้วย

    “ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าทำงานอะไรกันแน่แต่ข้าก็ไม่ถือสา ขอแค่ข้าได้อยู่กับเจ้าก็พอเสี่ยวเหมย เจ้าไปกับข้าเถอะนะ หากไม่มีเจ้าข้าจะไปไหนทั้งนั้น” 

    “นี่!! พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน”

    ในตอนนั้นเองก็มีชายใส่ชุดรัดกุมหลายคนเดินเข้ามาพร้อมกับกระบองไม้ พวกเขาไม่ใช่แค่ผ่านมาเห็นแต่ดูเหมือนตั้งใจจะเดินเข้ามาทางที่จางอี้เทียนกับเสี่ยวเหมยยืนอยู่โดยเฉพาะ 

    “พวกเจ้า…” หญิงสาวเห็นชายเหล่านั้นก็ถึงกับตกใจมาก

    “ชุดแต่งกายเช่นนี้…เจ้าเป็นหญิงในหอสุราไม่ใช่หรือมาทำอะไรตรงนี้ ส่วนเจ้าขอทานสกปรกมาเอะอะโวยอะไร ที่นี่เป็นหอสุราเลิศรสที่มีชื่อเสียงจะปล่อยให้เจ้ามาส่งเสียงดังรบกวนแขกได้หรือ อยากตายมากนักหรืออย่างไร” ชายที่อยู่ด้านหน้าสุดตะคอกเสียงดังพร้อมกับยกกระบองไม้ชี้ไปที่หน้าของชายที่แต่งชุดมอซอ

    “ข้าไม่ใช่ขอทานนะ ข้าแค่มาหานาง นางเป็นคนรู้จักของข้า” ว่าจบจางอี้เทียนก็ชี้ไปทางหญิงสาวเพื่อให้นางช่วยยืนยัน ทว่านางกลับรีบส่ายหน้า

    “ไม่ใช่นะ ชายผู้นี้เข้ามาทักข้า ข้าก็แค่หยุดคุยกับเขาแค่ไม่กี่ประโยคจะนับว่ารู้จักกันได้อย่างไร เมื่อครู่ชายผู้นี้เอ่ยปากว่าชมชอบข้า แต่ข้าบอกว่ามีคนรักอยู่แล้วและก็กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกันอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่เห็นว่าสภาพของเขาทำให้ข้าสงสารจึงเกลี้ยกล่อมให้เขาจากไปดีๆ”

    “สะเสี่ยวเหมย!”

    คำพูดยืดยาวประโยคนั้นกลายเป็นมีดทิ่มแทงร่างของจางอี้เทียนจนนับไม่ถ้วน แค่ปฏิเสธว่าไม่รู้จักกันก็ทำร้ายมากพอแล้ว แต่ประโยคที่บอกว่าตนมีคนรักและกำลังจะแต่งงานทำให้เขาเจ็บปวดจนแทบกระอักออกมาเป็นเลือด

    “ไม่จริง มะมันไม่ใช่เรื่องจริงใช่หรือไม่ ที่พูดเช่นนั้นเพราะเจ้าถูกพวกเขาบังคับข่มขู่ให้ทำงานอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่” จางอี้เทียนคิดเอาเองว่าเสี่ยวเหมยเป็นหญิงที่สวยมากคงเรียกแขกให้มาอุดหนุนได้ คนพวกนี้คงไม่คิดปล่อยนางไปแน่ๆ

    “เจ้าพูดมากอะไร ข้าอยู่ของข้าเองไม่มีใครบังคับทั้งนั้น” ว่าจบหญิงสาวก็รีบหันกายทำท่าจะจากไปทว่ากลับถูกจางอี้เทียนวิ่งเข้ามาดักหน้าเอาไว้ก่อน

    “อย่าไปนะเสี่ยวเหมย เป็นเพราะพวกเขาใช่หรือไม่ เจ้าไม่ต้องกลัวนะข้าจะช่วยเจ้าให้ไปจากที่นี่เอง”

    พลั่ก!!!

    ตอนที่จางอี้เทียนคิดจะคว้าข้อมือของอีกฝ่ายแล้วพาวิ่งหนีออกไปจากตรงนั้น แต่ยังไม่ทันขยับตัวเขาก็ถูกชายถือกระบองที่ยืนอยู่หน้าสุดใช้เท้าถีบอย่างแรงจนเขาหงายหลังล้มกลิ้ง 

    “เลิกเพ้อเจ้อได้แล้วเจ้าขอทานสกปรก! กล้าดีอย่างไรถึงคิดจะมาพาผู้หญิงในหอสุราไปต่อหน้าต่อตาข้า ข้าจะให้โอกาสเจ้าไปจากตรงนี้เสีย ไม่อย่างนั้นจะหาว่าข้าใจร้ายไม่ได้ ไป๊!!!” 

    ชายถือกระบอกไม้ตวาดเสียงดังลั่น ก่อนจะหันไปสั่งลูกน้องให้พาตัวหญิงสาวเข้าไปข้างใน จางอี้เทียนเห็นอย่างนั้นจึงลุกขึ้นหมายจะพุ่งตัวเข้าไปขัดขวาง

    “พวกเจ้าจะพานางไปที่ใด ปล่อยนางเดี๋ยวนี้นะ”

    “เจ้าขอทานเสียสติไปแล้ว จัดการมันเสีย” เสียงร้องสั่งแล้วตามด้วยเสียงฝีเท้าที่กรูกันเข้ามา

    ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!

    “!!!!!” 

    ตอนนี้ไม่มีการพูดคุยกันอีกแล้ว เมื่อหญิงสาวถูกพาตัวจากไปกระบอกไม้หลายท่อนก็ถูกกระหน่ำฟาดลงบนร่างของจางอี้เทียนทันที พวกมันช่วยกันรุมทุบตีคนอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่สนใจว่าจะมีใครเห็นหรือไม่ กระบอกไม้ถูกฟาดเต็มแรงลงร่างของชายหนุ่มอยู่นานจนร่างกายของเขาบวดซ้ำปริแตกเลือดนองพื้นจนแดงฉาน 

    ซ่าาาาาา 

    อยู่ๆ สายฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมาพวกมันจึงได้เลิกลาแล้วพากันจากไปทิ้งให้ร่างที่นอนหายใจรวยรินเอาไว้ตรงนั้น สายฝนเม็ดใหญ่ค่อยๆ ทวีความรุนแรงช่วยชำระล้างเลือดพื้นให้จางหายไป ทว่่าชายหนุ่มที่บาดเจ็บหนักชีวิตใกล้ดับสูญได้แต่นอนนิ่งท่ามกลางสายฝน 

    “เสี่ยวเหมย…”

    ในขณะที่ดวงตาบอบช้ำเต็มไปด้วยหยาบน้ำตาผสมไปกับสายฝนจนพร่าเลือน ก่อนที่ลมหายใจจะขาดห้วงชายหนุ่มยังทันได้เห็นเงาร่างสูงโปร่งแต่งกายคล้ายนักบวชเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะมีเสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยขึ้นว่า

    “ข้าได้เห็นทั้งหมดแล้ว ชีวิตเจ้าช่างน่าเห็นใจยิ่งนัก น่าเสียดายหากข้ามาเจอเจ้าให้เร็วกว่านี้คงได้ช่วยสอนวิชาให้เจ้าใช้ป้องกันได้บ้าง”

    ถึงแม้ฝนจะตกหนักจนหูอื้อแต่จางอี้เทียนที่ร่างกายบอบช้ำและหลงเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายก็ยังได้ยินประโยคนั้นชัดเจน เขาสะอึกสะอื้นรู้สึกน้อยใจในโชคชะตาที่ทุกอย่างสำหรับตนเองดูจะสายเกินไปทั้งหมด 

    หากสวรรค์เมตตา ได้โปรดช่วยให้ข้าได้เกิดมามีชีวิตสมหวังสักหน่อยเถิด

    เมื่อลมหายใจเฮือกสุดท้ายค่อยๆ แผ่วเบาและหมดลง แต่ดวงตาที่บอบช้ำยังคงไม่อาจหลับสนิท มือข้างหนึ่งที่กำของบางอย่างไว้ค่อยๆ คลายออกทำให้แหวนหยกเขียววงหนึ่งกลิ้งออกมา 

    นักบวชที่ยังยืนอยู่ได้ดูช่วงสุดท้ายของชีวิตชายหนุ่มผู้น่าสงสารถอนหายใจแล้วนั่งลงใช้ฝ่ามือที่มีนิ้วเรียวยาวค่อยๆ ปิดเปลือกตาคู่นั้นให้สนิท

    “อาตมาไม่รู้ว่าเจ้าขอสิ่งใดในช่วงสุดท้ายของชีวิต แต่อาตมาขอให้เจ้าได้พบในสิ่งที่หวัง อามิตตาพุทธ”

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×