ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จอมยุทธ​์จางอี้เทียน

    ลำดับตอนที่ #1 : ​ชายผู้โชคร้าย

    • อัปเดตล่าสุด 22 ส.ค. 66


    "ทุกครั้งที่ข้าค้นพบความสุขของชีวิตมักเป็นเวลาที่แสนสั้น​ และความสุขนั้นก็จะจางหายไปอย่าง​รวดเร็ว​ ไม่ว่า​ตัวข้าจะพยายาม​ฉุดรั้งหรือไขว่คว้า​เอาไว้อย่างสุดความสามารถ​ แต่ทว่า​ ความสุขมันมักจะหลุดมือข้าไปทุกครั้ง" 

    เสียงชายหนุ่มผมเผ้ากระเซิงแต่งกายด้วยชุดเก่าที่ชายขาดรุ่ยเอ่ยรำพึงรำพันถึงความโชคร้ายที่ตนเพิ่งประสบ เขายืนก้มหน้าที่มีร่องรอยเป็นแผลเป็นอยู่หน้าป้ายหลุมศพที่ทำจากแผ่นไม้ ด้านหน้าของมันถูกแกะสลักหยาบๆ เป็นอักษรแถวหนึ่ง อ่านได้ว่า

    “ท่านลุงหลิวชิงชง”

    ใบหน้าของชายหนุ่มมีคราบน้ำไหลเป็นทางจากขอบดวงตาถึงปลายคางบ่งบอกว่าได้ผ่านการร่ำไห้มาไม่นาน ทว่าดวงตาดำขลับกลับดูแห้งแล้งราวกับไม่เคยผ่านน้ำมาก่อน เขายืนจ้องมองป้ายไม้ด้วยความแววตาเจ็บปวดร้าว เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นดวงตาแห้งแล้งคู่นั้นจึงมองเลยไกลออกไป นั่นจึงทำให้เห็นว่านอกจากป้ายหลุมศพของผู้ที่ตนเคารพยังมีป้ายหลุมศพของผู้คนที่เสียชีวิตอีกนับร้อยปักเรียงรายเต็มไปหมด

    “ขอให้พวกเจ้าไปสู่สุขคติ หลับให้สบายเถิดขอรับท่านลุง จางอี้เทียนผู้นี้คงตามไปหาท่านในไม่ช้า”

    ที่แท้ชายหนุ่มผู้นี้ก็มีนามว่า “จางอี้เทียน” เขาเอ่ยบอกต่อป้ายหลุมศพก่อนจะก้มตัวลงหยิบกระบอกใส่น้ำเทลงในชามดินเผาแตกๆ ใบหน้าและดวงตายังคงมีแววโศกเศร้าต่อการจากไปของผู้คนนับร้อยชีวิตในหมู่บ้านแห่งนี้

    ในช่วงเวลานี้แผ่นดินที่ทุกคนอาศัยได้ตกอยู่ในช่วงสงครามแย่งชิงดินแดนระหว่างแคว้น การช่วงชิงแผ่ขยายอำนาจจากแคว้นที่มีกำลังมากกว่าทำการเข่นฆ่ารุกรานแคว้นที่อ่อนแอกว่า การต่อสู้ช่วงชิงทำให้ชาวบ้านที่มีชีวิตเพียงหาเช้ากินค่ำต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เพราะกองทัพทหารที่มีจำนวนมากย่อมต้องการอาหารให้แก่ทหาร ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะผ่านไปทางใดก็มักช่วงชิงอาหารของชาวบ้านไปจนหมด ชาวบ้านอดยากถึงกับต้องกินเปลือกไม้และต้นหญ้า

    แคว้นที่ขึ้นชื่อว่ามีกำลังทหารแข็งแกร่งและโหดร้ายที่สุดก็คือ แคว้นฉิน

    ส่วนหมู่บ้านที่จางอี้เทียนอยู่นั้นเป็นหมู่บ้านที่มีผู้คนอพยพหนีไฟสงครามมารวมตัวกันจนกลายเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ภายใต้การนำของผู้อาวุโสแซ่หลิว หลิวชิงชง 

    ในปีนั้นหมู่บ้านของจางอี้เทียนถูกทหารต่างแคว้นบุกเข้าตีจนมีชาวบ้านต้องบาดเจ็บล้มตายรวมทั้งพ่อแม่ของจางอี้เทียนก็ด้วย ในขณะที่เด็กคนหนึ่งต้องวิ่งหนีความตายด้วยความหวาดกลัวก็มีชายคนหนึ่งที่เดินทางผ่านมาช่วยเหลือไว้ หลังจากรวบรวมคนที่ยังรอดชีวิตผู้อาวุโสหลิวจึงได้พาพวกเขาเดินทางไปตั้งรกรากยังที่ใหม่

    พวกเขาใช้ชีวิตหลบซ่อนกันอย่างสงบมาได้นานหลายปี ทว่าสงครามระหว่างแคว้นก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงโดยง่าย อันสงครามนั้นไม่ได้ทำให้มีแค่ชาวบ้านโชคร้ายแต่มันยังสร้างทหารเลวขึ้นมาด้วย ในวันที่จางอี้เทียนเดินทางไปหาของป่าที่หมู่บ้านของเขาได้มีทหารแต่พฤติกรรมเยี่ยงโจรบุกเข้ามาปล้นและสังหารทุกคนจนหมดสิ้น 

    จางอี้เทียนที่กลับมาเห็นสภาพหมู่บ้านที่แสนสงบกลายสภาพไม่ต่างกับเศษซากกลางสนามรบ ยิ่งเห็นท่านลุงหลิวที่ถูกหอกดาบแทงทั่วร่างนั่งคุกเข่าทั้งที่มือยังถือดาบสิ้นลมเขาถึงกลับทิ้งตัวลงร่ำไห้จนแทบเสียสติ ทุกคนที่ออกจากหมู่บ้านในวันนั้นต่างร่ำไห้ไม่ต่างกัน

    “ถ้าข้าอยู่ด้วยท่านลุงคงไม่จากไปอย่างเดียวดาย”

    ชายหนุ่มยังคงยืนมองป้ายหลุมศพเมื่อคิดถึงสภาพในตอนนั้นก็ทำให้เขาหายใจไม่ออกจนต้องยกมือตบลงที่อกแรงๆ นั่นจึงทำให้เขาสัมผัสได้กับสิ่งของบางอย่างที่เก็บเอาไว้ในอกเสื้อ มันก็คือแหวนหยกเขียววงหนึ่ง ดวงตาแห้งแล้งมองดูแหวนหยกในมือและทันใดนั้นเองเขาก็เหมือนจะนึกอะไรออก

    “แหวนหยกของเสี่ยวเหมย จริงด้วย! สองวันก่อนนั้นเสี่ยวเหมยเดินทางออกจากหมู่บ้านไปพร้อมข้า แล้วป่านนี้นางจะเป็นอย่างไร นางจะปลอดภัยดีหรือไม่” เมื่อเอ่ยถึงชื่อเสี่ยวเหมย ใบหน้างดงามหมดจดของหญิงสาวก็แล่นผ่านเข้ามาในหัวทันที

    ถ้าจะกล่าวถึงหญิงสาวเสี่ยวเหมย ความจริงนางมีชื่อว่า เหมยลี่ เป็นหญิงสาวที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ด้วย จางอี้เทียนรู้จักกับนางระหว่างเดินทางอพยพหาถิ่นที่อยู่ใหม่ และเพราะความเป็นหญิงทำให้เหมยลี่มักไหว้วานให้จางอี้เทียนช่วยเหลืออยู่หลายอย่าง เหมยลี่มีฝีมือด้านเย็บปักถักร้อย และเพื่อหารายได้นางจึงมักเข้าไปรับจ้างเย็บปักผ้าในตัวเมืองซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก 

    ถึงจะบอกว่าพวกเขาเคยช่วยเหลือกันแบบคนที่อาศัยในหมู่บ้านเดียวกัน แต่ความจริงจางอี้เทียนก็แสดงออกชัดว่าสนใจในตัวเหมยลี่ไม่น้อย ทว่าอีกฝ่ายได้แต่ยิ้มรับแต่ไม่เคยเอ่ยปากตอบรับไมตรีของเขาเลยสักครั้ง 

    “ไม่ได้การแล้ว ข้าคงต้องตามหานางดูว่านางยังปลอดภัยดีหรือไม่ ถ้าเสี่ยวเหมยรู้ข่าวที่หมู่บ้านนางต้องทุกข์ใจเป็นแน่” 

    ด้วยความเป็นหวงหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มเก็บกดอาการโศกเศร้าลงไป ก่อนจะรีบสาวเท้าวิ่งกลับไปยังบ้านของเขาซึ่งเป็นบ้านหลังเดียวกับท่านลุงหลิว เขาค้นหาของจำเป็นที่ยังเหลืออยู่แล้วเร่งรีบออกจากสถานที่ที่เหลือแต่เพียงเศษซากแห่งนั้นไป 

    ภายในตัวเมืองแคว้นจ้าว 

    สภาพผู้คนในตัวกำแพงเมืองช่างแตกต่างจากหมู่บ้านของจางอี้เทียนมาก พวกเขามีบ้านช่องดีๆ มีอาหารดีๆ เพราะผู้คนที่จะอยู่ในนี้ได้ต้องเป็นผู้ที่สามารถจ่ายค่าคุ้มครองให้กับทางการได้ ทว่าหมู่บ้านของจางอี้เทียนมีแต่ผู้อพยพยากจนจะมีทรัพย์สินใดมาจ่ายค่าคุ้มครอง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องพบกับจุดจบอย่างไม่เป็นธรรม

    “นางเคยบอกว่ารับจ้างปักผ้าที่ร้านจันทร์ปักษาใช่หรือไม่” 

    บรรยากาศยามนี้เป็นเวลาแดดร่มลมตกคล้ายเวลาก่อนที่ฝนจะตก บนถนนของเมืองจ้าวมีชายหนุ่มแต่งกายมอซอขาดวิ่นเดินสอดส่ายสายตาหาร้านปักผ้า อันเป็นร้านที่จำได้ว่าเสี่ยวเหมยเคยบอกไว้เมื่อนานมาแล้ว ชายหนุ่มเดินหาอยู่นานจนแล้วจนรอดก็หาร้านปักผ้าที่ว่าไม่เจอ 

    “ขออภัยขอรับ ข้าขอถามทางได้หรือไม่” 

    จางอี้เทียนเอ่ยทักชาวบ้านคนหนึ่งที่เดินสวนกัน ทว่าชาวบ้านคนนั้นที่หันมาตามเสียงเห็นชายที่แต่งกายไม่ต่างจากขอทานถึงกลับก้าวถอยออกห่างทั้งยังแสดงสีหน้ารังเกียจ

    “สกปรกนัก นี่เจ้าคนบ้านป่าเมืองเถื่อนมาจากที่ได้กัน”

    “ขออภัยขอรับ ข้ามาจากที่อื่นต้องการถามทางขอรับ”

    “ถามทาง? ไม่ได้ต้องการจะขอเงินหรอกหรือ”

    “ไม่ขอรับ! ข้าแค่อยากถามหาร้านปักผ้าชื่อจันทร์ปักษา มันตั้งอยู่ตรงที่ใดหรือขอรับ” 

    จางอี้เทียนเห็นอีกฝ่ายทำท่ารังเกียจจึงได้แต่ยืนไหล่ห่อ ส่วนชาวบ้านคนนั้นที่เห็นอีกฝ่ายไม่คิดขอทานเงินจึงโล่งใจยอมหยุดคุยด้วย แต่ก็เป็นการยืนคุยแบบห่างๆ 

    “ข้ากำลังตามหาร้านปักผ้าจันทร์ปักษาขอรับ ไม่ทราบว่าท่านพอจะรู้จักหรือไม่”

    “มีร้านปักผ้าชื่อนั้นด้วยหรือ ฮ่าๆๆ ดูท่าเจ้าคงหลงทางมาจากที่อื่นจริงๆ” 

    “หมายความว่าอย่างไรขอรับ”

    “หมายความว่าข้าไม่รู้จักร้านปักผ้าที่ว่า” 

    “แต่คนรู้จักบอกข้าเช่นนั้น”

    ชายคนนั้นหัวเราะอีกเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ

    “ข้าไม่เคยได้ยินร้านปักผ้า แต่ว่าทั้งเมืองมีร้านชื่อจันทร์ปักษาแห่งเดียวและที่นั่นก็ไม่ใช่ร้านปักผ้าแต่อย่างใด แต่มันเป็นหอสุราชื่อดังเชียวล่ะ”

    “อะไรนะ หอสุรา!!”

    ชายคนนั้นพยักหน้าและช่วยบอกทางเพื่อให้เขาไปดูเองว่าใช่ที่เดียวกับที่ตามหาหรือไม่ ตอนที่ไปถึงชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าตนยืนทื่อเป็นไอ้งั่งอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนเมื่อได้เห็นว่าที่ที่ตนตามหาเป็นร้านสุราจริงๆ 

    “นี่คือหอสุราจันทร์ปักษา…” จางอี้เทียนเพิ่งเข้าใจว่าที่แท้แล้วหญิงสาวมิได้มาปักผ้าแล้วร้านสุราเช่นนี้จะมีงานที่หญิงสาวทำได้สักกี่อย่างกัน

    ว่ากันว่าชีวิตที่ไร้เดียงสาจึงทำให้มีความสุข ทว่าความทุกข์จะค่อยๆ สะสมเพิ่มขึ้นเตามการเติบโต และเมื่อถึงจุดๆ หนึ่งที่คนเราเติบโตย่อมมีเส้นทางเป็นของตนเอง 

    เวลาเดียวกันนั้น จางอี้เทียนมองเห็นหญิงสาวแต่งกายงดงามหลายคนกำลังรินเหล้าให้แขกที่มาดื่มกิน บางคนโดนแขกจับมือ บางคนแตะเนื้อต้องตัว เขายืนมองพวกนางด้วยความรู้จักปวดร้าวแต่ก็พอเข้าใจว่ายามนี้สิ่งใดได้เงินทุกคนก็พร้อมทำเพื่อให้มีชีวิตรอดทั้งนั้น

    เสี่ยวเหมยทำงานเช่นนี้ นางจึงมีเงินซื้อเสื้อผ้ากับแป้งผัดหน้าใช้หรือไม่

    ถึงจะคิดในทางเลวร้ายแต่ชายหนุ่มก็ยังคงเชื่อใจในตัวของเสี่ยวเหมยจึงรีบสลัดภาพในหัวทิ้งไปทันที ขณะที่กำลังคิดว่าจะเข้าไปถามหาคนอย่างไร ในตอนนั้นเองก็เห็นหญิงสาวคุ้นตาผิดก็แต่เสื้อผ้าที่ดูสวยงาม ดูเหมือนหญิงสาวกำลังเดินไปที่ใดสักที่หนึ่งหรือไม่นางก็แค่ออกมาเดินเล่น เมื่อจางอี้เทียนเห็นดังนั้นจึงลอบเดินติดตามไปทางด้านหลัง

    “เจ้าคือเสี่ยวเหมยใช่หรือไม่…”

    “อ้ะ! ว๊ายยยย!!!!!”

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×