คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #70 : CHAPTER 67
Distorted Daytime
จบคำพูดนั้นทั้งสองต่างเงยหน้าขึ้นมามองหน้านายหญิงของบ้าน ด้วยอารมณืที่แตกต่างกัน ชานยอลมองหน้าเหม่ยหลินอย่างมีความหวัง เม้มปากกลั้นรอยยิ้มบนใบหน้าไว้ ความหวังถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง ถึงไม่ได้หย่า ได้แยกกันอยู่ก็ยังดี แต่คริสกลับรู้สึกแตกต่างออกไป
ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ยิ่งได้เห็นใบหน้าหวานซีดกำลังแสดงอาการคล้ายกำลังดีใจยิ่งทำให้เขาโมโห ชายหนุ่มกัดฟันกรอด จ้องมองใบหน้าหวานซึ้งเขม่นจนคนถูกมองต้องก้มหน้าลงตามเดิม ตัวสั่นเหมือนเจ้าเข้า
“ผมบอกว่าจะจัดการเรื่องนี้เอง แม่ไม่ต้องยุ่ง”
“คริส!”
“มันเป็นเรื่องในครอบครัวผม ผมจัดการเองได้ ชานยอล ลุกขึ้น!”
เพราะกำลังโกรธทำให้ชายหนุ่มเผลอตะคอกมารดาอย่างลืมตัว ก่อนจะหันไปสั่งคนที่นั่งตัวสั่นอยู่บนโซฟาให้ลุกขึ้น ชานยอลเงยหน้าขึ้นมาทั้งน้ำตาล กลืนก้อนสะอื้นไว้ในอกเอื้อมมือไปดึงจับแขนอีกฝ่ายไว้หวังจะให้ใจเย็นลง
“คุณคริสครับ..”
“บอกว่าให้ลุกขึ้น!”
คริสตะคอกลั่นกระชากเจ้าของมือให้ลุกขึ้นยืน ร่างโปร่งลุกขึ้นยืนตามแรงดึง ร้องไห้โออย่างกลั้นไม่อยู่ ตอนนี้คริสไม่สนอะไรแล้ว ใครจะมาเอาชานยอลไปจากเขาไม่ได้ มันยังไม่ได้รับผลจากการกระทำที่ทำกับเขาไว้ ผลกรรมที่มันกล้าหักหลังเขาทำลายความรักความเชื่อใจที่เขามีให้จนพังยับเยิน
“ปัง!...คริสแม่บอกให้นั่งลง”
อู๋ เหม่ยหลินตบโต๊ะทำงานไม้เนื้อดีเสียงดังอย่างสุดทน เมื่อเห็นลูกชายของตนกำลังทำร้ายภรรยาของตนต่อหน้าต่อตา คริสหันไปมองมารดาตาขวาง แต่สุดท้ายก็ยอมนั่งลงตามคำสั่ง แต่ก็ไม่วายดึงรั้งร่างโปร่งให้นั่งลงข้างตัว กระชับแขนโอบรัดเอวคอดไว้แน่น เหมือนกลัวใครมาแย่งออกไปจากตัว เห็นภาพนั้นแล้วเหม่ยหลินก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้
“คริส อย่าคิดว่าแม่จะจัดการเรื่องนี้กับลูกไม่ได้ แต่ในเมื่อลูกบอกว่าจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองแม่ก็หวังว่าลูกจะทำอย่างที่พูดได้”
“……….”
“โตๆกันแล้วนะคริส หัดใช้เหตุผลบ้าง อย่าใช้แต่อารมณ์ โกรธกันขนาดไหนก็อย่าทำร้ายกันแบบนี้ อย่าให้แม่เห็นอีกว่าลูกทำร้ายน้องเป็นครั้งที่สอง ไม่อย่างนั้น…”
“แม่จะให้ชานยอลไปอยู่ที่อื่น เข้าใจไหมคริส?”
“ครับ คุณแม่”
“ชานยอล หนูมีอะไรจะพูดกับแม่หรือเปล่า”
เหม่ยหลินหันไปถามเด็กหนุ่มที่นั่งตัวสั่นอยู่ข้างลูกชาย ข้อมือข้างหนึ่งถูกกุมไว้จากคนข้างกาย หญิงสาวส่ายหน้าระอา ถึงแม่ชานยอลจะเคยดื้อรั้นขัดคำสั่งเธอก็หลายครั้ง แต่ความเอ็นดูที่มีให้ตั้งแต่แรกพบรวมถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างหล่อนกับคุณซอนยอลก็ยังมีอยู่ ไม่ได้จางหายไป อย่างน้อยหล่อนก็ควรให้ความยุติธรรมกับเด็กคนนี้บ้าง
“ผม..ผม..ผมอยาก”
“ชานยอล”
“คริส! ให้น้องพูด”
หญิงสาวหันไปเอ็ดลูกชายอย่างหัวเสีย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเริ่มข่มขู่เด็กหนุ่มข้างกาย คริสหยุดการกระทำของตัวเองลงเมื่อได้ยินเสียงเตือนของมารดา ตาคมมองร่างโปร่งบีบบังคับทางสายตาจนคนถูกมองต้องหลบวูบ เข้าใจความหมายที่สื่ออกมาจากดวงตานั้น
“ชานยอล ว่ายังไงจ๊ะ”
“มะ..ไม่เป็นไรครับ คุณแม่ ผม…อยู่ได้ ไม่เป็นไร ฮึก”
ถึงจะบอกแบบนั้นออกไปแต่ชานยอลก็ร้องไห้ออกมาอยู่ดี ภาพตอนที่ตัวเองถูกทำร้ายเขายังจำมันได้ รสชาติของความเจ็บปวดยังจำฟังใจ เขาไม่อยากอยู่ที่นี้ ไม่แม้แต่นาทีเดียว แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อคุณคริสไม่ยอมปล่อยเขาไป
“เห็นไหมครับ ผมบอกคุณแม่แล้ว ว่าเดี๋ยวเราก็เคลียร์กันได้”
ชายหนุ่มหันไปบอกมารดารอยยิ้มกระหยิ่มยกอยู่บนใบหน้า ดึงร่างโปร่งเข้ามากอดไว้ในแน่น ทำให้เขารักแล้วอย่าคิดว่าจะหนีไปไหนได้ง่ายๆ ถ้าคิดจะหนีไปจะจับขังใส่กรงให้ดู
“เป็นอย่างนั้นได้ก็ดี ชานยอลเป็นเด็กดี พูดกับน้องดีๆนะลูกแม่เชื่อว่ายังไงชานยอลก็ฟังลูกอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นแม่ไม่ให้น้องแต่งงานกับลูกหรอก”
“เด็กดี …หึ”
ชายหนุ่มเค้นเสียงรอดไรฟัน หัวเราะยันในลำคอหันไปมองคนที่ทำหน้าตื่นในอ้อมกอด เด็กดีงั้นเหรอ ถ้าดีจริงคงไม่มีชู้ ถ้าเป็นเด็กดีเขาคงไม่ต้องทำร้ายมันขนาดนี้ แม่ไม่รู้อะไร ไม่รู้หรอกว่าการถูกหักหลังโดยคนที่ตัวเองรักมันเจ็บยังไง
“คริส พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
“คุณคริสครับ!”
ชานยอลร้องออกมาอย่างร้อนตัว กลัวว่าคุณคริสจะพูดเรื่องนั้นออกไป มือเรียวดึงแขนแกร่งไว้แน่น มองหน้าวิงวอนขอร้องทั้งน้ำตา
“ไม่มีอะไรหรอกครับแม่ ผมก็พูดไปอย่างนั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ มีเรื่องจะคุยกับชานยอล”
ร่างสูงลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อผู้เป็นแม่อนุญาต หันไปส่งสายตาให้ร่างโปร่งที่ยังนั่งอยู่บนโซฟาให้ลุกขึ้นตามตนออกไป ชานยอลลุกขึ้นตามคำสั่งหันไปมองนายหญิงของบ้านตาระห้อยแล้วก็ต้องรีบเดินออกจากห้องไปเมื่อคริสหันกลับมามองอีกครั้ง
“คิดจะพูดอะไรกับคุณแม่”
“ครับ?”
คริสพูดขึ้นทันทีที่ก้าวพ้นออกจากห้อง ชานยอลเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงพูด ดึงสติให้กลับคืนมา ร่างสูงหันมามองคนที่อยู่ข้างหลังด้วยหางตา สาวเท้าเดินออกไปข้างหน้า ถามซ้ำออกไปอีกครั้งเน้นเสียงกว่าครั้งก่อน
“แกคิดจะบอกอะไรคุณแม่”
“ผมเปล่า”
ร่างโปร่งตอบเสียงตะกุกตะกัก ขายังก้าวออกไปข้างหน้าตามทางเดิน ก้มหน้าลงตามเดิมเม้มปากเข้าหากันแน่น เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไม่พูดอะไรออกมาเขาจึงตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างออกไปแม้จะหวาดกลัวผลลับของมันก็ตาม
“คุณคริส..เราแยกกันอยู่เถอะครับ ฮึก”
“………………..”
“นะครับ ผมขอร้อง”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไม่พูดอะไรออกมาหลังจากที่ได้ฟังในสิ่งที่เขาพูด ชานยอลจึงถามซ้ำออกไปอีกครั้ง แล้วครั้งนี้คุณคริสก็ไม่ยอมให้เขาได้พูดอีก ร่างสูงหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา ดวงตาสีดำแดงกล่ำเต็มไปด้วยความรู้สึกทั้งโกรธ เสียใจ และผิดหวัง เดินตรงไปกระชากคอเสื้อของร่างโปร่งออกแรงดึงคนที่กำลังเริ่มต้นร้องไห้สะอึกสะอื้นให้เดินตามตนเข้าไปในห้องนอนปิดประตูเสียงดังปัง
“แยกกันอยุ่เหรอ ห๊ะ! ขนาดอยู่ด้วยกันมึงอย่างกล้าสวมเขาให้กู ถ้าแยกกันอยู่มึงจะไม่พาชู้มึงมาขี่คอกูอยู่หรือไง ห๊ะ!”
“ฮื่อออ ”
คริสผลักร่างในอ้อมแขนลงไปกองลงกับพื้น ร่างโปร่งซึ่งมีแขนพยุงร่างตัวเองเพียงข้างเดียวล้มลงอย่างไม่เป็นท่า ชานยอลร้องไห้ฟุบหน้าลงกับพื้นห้อง พยายามไม่รู้สึกอะไรกับฝ่ามือที่ฟาดลงมาตามร่างกาย
“เห็นกูโง่ขนาดนั้นหรือไง ห๊ะ หรือมึงอยากให้กูบอกแม่เรื่องนั้น กูจะได้ไม่ต้องเสียเงินปิดข่าวให้ลำบาก ปล่อยให้พวกนักข่าวมันเล่นข่าวจนรู้ถึงหูแม่มึงที่เกาหลีเลยดีมั้ย?”
“อย่าบอกแม่ ฮื่ออ อย่าบอกคุณแม่ ยอมแล้ว ยอมแล้ว ฮื่อออออ”
“ถ้าไม่อยากให้บอกก็หุบปากซะ อย่าให้กูได้ยินเรื่องนี้หลุดออกมาจากปากมึงอีก ไม่อย่างนั้น…อย่าหาว่ากูไม่เตือน”
คริสทิ้งคำขู่ไว้เป็นคำสุดท้าย แล้วเดินออกไปจากห้องทิ้งให้ร่างโปร่งนั่งร้องไห้อยู่บนพื้นห้องมืดๆเพียงลำพัง หวาดกลัวกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบกาย ไม่รู้ว่าเขาจะใช้ชีวิตรอดในบ้านหลังนี้ในแต่ล่ะวันไปได้ยังไง ตอนไหนจะก้าวผผ่านความทรมานนี้ไปได้เสียที
ร่างโปร่งนั่งอยู่บนเบาะหลังรถซีดานสีดำที่กำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้าความเร็วสูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดตามกฏหมาย ใบหน้าหวานไม่สู้ดีนัก หน่วยตากลมบวมเป่งเพราะนอนไม่พอ คุณยายมาปลุกเขาแต่เช้าเพื่อบอกว่าอี้ชิงมารอรับเขาไปทำธุระข้างนอกเขาเองก็พอจะทราบว่าเรื่องอะไรจึงไม่ได้ถามอะไรคุณยายอีก
อี้ชิงละสายตาออกจากถนนมองนาฬิกาที่หน้าปัด คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน สายมากแล้ว แต่พวกเขายังเดินทางไปไม่ถึงมหาลัยปักกิ่งเลย กว่าจะเดินเรื่องเสร็จคงบ่ายพอดี ไม่รู้ว่าจะทันใจเจ้านายของเขาที่รอฟังผลอยู่ที่บริษัทหรือเปล่า
“เราจะไปไหนกันเหรอ อี้ชิง”
“เอ่อ..ไปลาออกครับ คุณคริสไม่ได้บอกคุณไว้ก่อนเหรอครับ?”
ชานยอลเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบภายในรถ ตากลมมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างการจราจรบนถนนติดขัด ฝนกำลังตก แล้วคำตอบของอี้ชิงก็ทำให้เปลือกตาบางสั่นระริก น้ำตาเอ่อล้นที่ขอบตา เค้นเสียงตอบอีกฝ่ายอย่างยากลำบาก
“บอก แต่ไม่อยากทำ ฮึก ไม่ลาออกได้ไหมอี้ชิง ช่วยพูดกับเขาให้ฉันหน่อยได้มั้ย?”
“ไม่ได้หรอกครับ...คุณคริสสั่งมาเด็ดขาด ผมขัดคำสั่งไม่ได้หรอก ทนหน่อยนะครับ เดินเรื่องทำเอกสารไม่
นาน ผมต้องการแค่ลายเซ็นคุณเท่านั้น”
สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ได้แต่นั่งร้องไห้อยู่เงียบๆ ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามที่คุณคริสต้องการ เขาจะไม่ได้ไปมหาลัยอีกแล้ว ไม่มีความหวังที่จะอยู่ในโลกนี้ต่อไปอีกแล้วนอกจากแม่และพี่ชาย
พี่หลี่ฟงไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้างตั้งแต่วันนั้น ไม่รู้ว่าจะคิดถึงเขาบ้างหรือเปล่า ชายหนุ่มครวญในอก อยากจะไปหาผู้ชายคนนั้นเหลือเกิน อยากจะขอโทษผู้ชายแสนดีคนนั้นสักครั้งกับทุกเรื่องที่เขาโกหกทำให้พี่หลี่ฟงต้องเสียใจ อยากบอกเหลือเกินว่า
‘พี่หลี่ฟง ชานยอลขอโทษ’
คำพูดที่เขาไม่มีโอกาสได้พูดมันออกไป
แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคิด การจัดการให้คุณชานยอลพ้นสภาพนักศึกษาของมหาลัยปักกิ่งไม่ใช่เรื่องยากเมื่อเขาบอกชื่อของเจ้านายออกไป อู๋ อี้ฟาน ชื่อที่ทำให้ใครหลายคนต้องเกรงใจ ไม่ถึงบ่ายเอกสารทุกอย่างก็ครบอยู่ในมือเขาเรียบร้อย พร้อมกับเสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น
“ครับ..คุณคริส”
“ทุกอย่างเรียบร้อยมั้ย”
“เรียบร้อยครับ”
“ดีมาก เอาเอกสารมาให้ฉันดูที่บริษัท”
“ครับ แล้วคุณชานยอล”
อี้ชิงหันไปมองร่างโปร่งที่นั่งก้มหน้าอยู่บนเบาะหลังของรถ กว่าจะหวาดล้อมให้คุณชานยอลยอมเซ็นเอกสารลาออกสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่ายๆเขาต้องยกคุณคริสขึ้นมาขู่ตั้งหลายครั้ง คิดแล้วก็อดสงสารไม่ได้ คงกลัวคุณคริสมากจริงๆ ก็จะไม่ให้กลัวได้ยังไงโดนซ้อมเสียขนาดนั้น
“เอาไปส่งไว้ที่บ้าน ห้ามให้ออกไปไหน เดี๋ยวตอนเย็นฉันจะกลับเข้าไปจัดการเอง”
ปลายสายตอบมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาแล้วก็กดตัดสายไปทันนที อี้ชิงเก็บโทรศัพท์ในมือลงในกระเป๋าเปิดประตูตำแน่งคนขับ เคลื่อนรถออกไปยังคฤหาสน์ตระกูลอู๋โดยที่ผู้โดยสารด้านหลังไม่เอ่ยอะไรขึ้นมาสักคำ
ชานยอลเดินลงมาจากรถด้วยจิตใจห่อเหี่ยวใบหน้าหวานหมองเศร้าอมทุกข์ เขาพ้นสภาพนักศึกษามหาลัยแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยตามที่คุณคริสต้องการ เขาจะไม่ได้ไปเหยียบที่นั้นอีกแล้ว ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสืออย่างที่หวัง เขาทำให้แม่ภูมิใจไม่ได้
“คุณชานยอล กลับมาแล้วเหรอคะ”
“กลับมาแล้วครับยาย” ชานยอลตอบพรางส่งยิ้มฝืน กำลังจะเดินเลี่ยงขึ้นไปบนห้องแต่เสียงคุณยายก็รั้งเขาไว้เสียก่อน
“ไปนั่งเล่นข้างนอกกับยายมั้ยคะ ยายทำขนมไว้เดี๋ยวออกไปนั่งทานในสวนกัน”
“แต่ว่า..”
“ไปนะคะ เดี๋ยวยายให้เด็กยกไปให้ เหวินฉี ยกขนมอังกู๊กับชาไปให้ฉันด้วยนะ อ้อ แล้วบอกเพ่ยฟางด้วยว่าฉันกับคุณชานยอลจะลงไปนั่งเล่นในสวน”
ไม่รอให้ชานยอลได้ปฏิเสธคุณยายหลี่หันไปบอกสาวใช้ที่กำลังทำความสะอาดบ้านอยู่บริเวณนั้นให้นำขนมไปให้ตนและให้บอกเพ่ยฟางที่อยู่ในครัวด้วยว่าหล่อนจะพาคุณชานยอลไปนั่งเล่นในสวนบางทีเพ่ยฟางอาจจะอยากออกไปนั่งเล่นด้วยกันบ้าง
มือเหี่ยวย่นดึงรั้งแขนเรียวข้างซ้ายให้เดินตามต้นออกไปยังสนามหญ้า ปล่อยให้คุณชานยอลอยู่ในห้องคนเดียวบ่อยๆหล่อนกลัวว่าคุณชานยอลจะคิดมากจนทำร้ายตัวเองได้ ชวนกันออกไปนั่งเล่นนอกบ้างอย่างน้อยได้พูดได้คุยกันอาจจะทำให้คุณชานยอลสบายใจขึ้นได้
“ยังไม่ได้ทานข้าวมาใช่มั้ยคะ?”
“ครับ”
“งั้นทานขนมรองท้องก่อนนะคะ เดี๋ยวตอนยายทำกับข้าวอร่อยๆให้ทาน”
“………………..”
คุณยายหลี่เอ่ยขึ้นเป็นการชวนคุยเมื่อทั้งสองนั่งลงบนม้านั่งสีขาวในสนามหญ้าหน้าบ้าน หล่อนมองใบหน้าซีดเซียวของชานยอลอย่างไม่สบายใจนัก ร่างโปร่งนั่งก้มหน้านิ่งไม่กล้าสู้หน้าคุณยาย
“คุณเหม่ยหลิน”
“คะ?”
“คุณเหม่ยหลินไปไหนครับ”
“อ้อ คุณผู้หญิงออกไปทำงานแต่เช้าแล้วค่ะ เดี๋ยวตอนเย็นก็กลับมา คุณชานยอลมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ปะ..เปล่าครับ”
เงียบอยู่นานชานยอลจึงเปิดปากถามขึ้นมาเป็นประโยคแรก ก่อนจะรีบก้มหน้าลงเมื่อถูกถามกลับ ดวงตากลมมองมือของตัวเองไม่มั่นใจกับความคิดของตัวเองเท่าไหร่นัก เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับคุณเหม่ยหลิน แต่เขาไม่มีความกล้ามากพอ
“อ้าว เพ่ยฟาง ยายบอกให้เด็กยกมาให้ไม่ใช่เหรอ ทำไมยกมาเองล่ะ”
“ไม่เป็นไรคะ เพ่ยฟางจะออกมาข้างนอกพอดีเลยยกมาด้วย”
หญิงสาวส่งยิ้มให้คุณยายก่อนจะวางถาดขนมและถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะ หล่อนหันไปมองคนที่นั่งก้มหน้าอยู่ฝั่งตรงข้าม ดวงตาเรียวอ่อนแสง ก่อนจะนึกขึ้นได้เมื่อมองเห็นมือขวาของชายหนุ่มจึงเอ่ยถามขึ้นมา
“แขนหมอนัดถอดตอนไหนเหรอคะคุณชานยอล”
“อาทิตย์หน้า”
“อ้อ ดีจังเลยค่ะ เดี๋ยวถ้าถึงวันนัดเพ่ยฟางจะพาไปนะคะ”
“ไม่..ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันไปเอง”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวเพ่ยฟางพาไปจะได้ไปเดินซื้อของด้วยกัน อยู่ที่บ้านทั้งวันน่าเบื่อแย่”
หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยความหวังดี ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าคุณชานยอลกำลังถูกกักบริเวณแต่หล่อนก็อยากให้คุณชานยอลได้ไปเปิดหูเปิดตาบ้างไม่ใช่เอาแต่อยู่ในบ้านอุดอู้ในห้องนอนตัวเองแบบนี้ เพ่ยฟางไม่รู้เลยว่าความวังดีของตนทำให้คนได้รับถึงกลับน้ำตาคลอ ชานยอลกระพริบตาถี่ไล่น้ำตาออกจากดวงตา
“อื้ออ ขอบใจนะ”
หญิงสาวตอบรับคำขอบคุณด้วยรอยยิ้ม ทั้งสามนั่งทานขนมที่คุณยายเป็นคนทำเงียบๆสลับกับการยกน้ำชาขึ้นดื่ม อากาศข้างนอกกำลังเย็นสบายความเงียบโรยตัวปกคลุมบรรยากาศอีกครั้ง สุดท้ายเพ่ยฟางจึงเป็นคนเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาอีกครั้งเพราะทนความอยากรู้ที่คับแน่นอยู่ในอกไม่ไหว
“คุณชานยอลคะ เพ่ยฟางขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
“อะไร”
“คุณชานยอลกับพี่หลี่ฟงคบกันจริงๆหรือเปล่าคะ”
ชานยอลขานรับทั้งที่ยังเอาแต่มองขนมที่อยู่ในมือ แล้วคำถามของหญิงสาวก็ทำให้หัวใจของเขาแทบหล่นลงไปกองอยู่บนพื้น ความกลัวแล่นขึ้นมาจับใจ หวาดตามองบริเวณนั้นด้วยความกังวลใจ กลัวว่าใครจะมาได้ยินเข้า โดยเฉพาะผู้ชายใจร้ายคนนั้น คุณคริส
“ฉัน..ฉันคบกับพี่หลี่ฟงจริงๆ ฮึก แต่ฉันไม่เคยมี…”
ชานยอลระร่ำระลักออกมาเสียงสั่น เงยหน่าขึ้นมาสบตากับทุกคนผ่านม่านน้ำตา อยากให้คุณยายกับเพ่ยฟางเชื่อในสิ่งที่เขากำลังจะบอก แล้วตากลมก็เบิกกว้างขนมล่วงหล่นลงจากมือเมื่อเห็นร่างของใครบางคนเดินลงจากรถตรงเข้ามายังที่ที่พวกเขานั่งอยู่
“มานั่งทำอะไรกันอยู่ตรงนี้เพ่ยฟางคุณยาย...ชานยอล”
TBC......................
สวัสดีทุกคนค่ะ ช่วงนี้มาอัพช้า ต้องขอโทษด้วยนะคะ
สองสามตอนที่แล้วจะบอกว่าคนแต่งสงสารชานยอลมากจนไม่กล้าพูดอะไร ฮ่าๆๆ แต่หวังว่าทุกคนจะเข้าใจนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ
ร่วมสกรีมในทวิตรบกวนติด #DDT
ความคิดเห็น