ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dark Paradise (No.7)

    ลำดับตอนที่ #4 : Dark Paradise

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 175
      0
      26 มิ.ย. 59

    Dark Paradise (NO. 7)

    ‘Drak Paradise’

    ผมมักจะคิดถึงคนๆนั้นอยู่ตลอดเวลา : ฮันบิน

     

    “เป็นยังไงบ้าง?”


    “นายหายเร็วกว่าที่คิดไว้ซะอีก”


    “ยินดีต้อนรับกลับนะ"


    หลังจากที่หายไปอาทิตย์กว่าๆ ฮันบินก็กลับมาเรียนอีกครั้ง ทุกคนต่างเข้ามาถามเพราะความเป็นห่วง ซึ่งก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าห่วงจริงๆหรือถามตามมารยาท แต่ยังไงก็ขอบคุณนะ


    “รู้สึกแปลกๆมั้ย ไม่ได้มาเรียนซะนานเลย”


    จินฮวานที่นั่งอยู่ข้างๆหันมาถาม ขณะที่อาจารย์ยังสอนอยู่หน้าห้อง ตอนนี้รอยกัดที่คอหายไปแล้ว เมื่อคืนแทบจะนอนไม่หลับหลังจากที่ฝันถึงเรื่องแปลกๆกับรอยแปลกๆนี่ แต่จู่ๆในตอนเช้ามันก็หายไปเฉยๆ ถึงตอนนี้ก็ยังหาคำตอบของรอยนั่นไม่ได้


    “นิดหน่อย แต่คงต้องให้นายช่วยเยอะเลยล่ะ”


    “สบายอยู่แล้ว”


    เพราะหยุดเรียนไปหลายวันทำให้ฮันบินเรียนไม่ทันและมีงานอีกหลายชิ้นที่ยังไม่ส่ง ดีที่จินฮวานช่วยจัดการเรื่องขอลาป่วยได้ ฮันบินเลยสามารถส่งงานทีหลังได้โดยไม่ถูกหักคะแนน


    “เออ...วันนี้คงไปเยี่ยมพี่แทฮยอนไม่ได้นะ”


    “ทำไมล่ะ”


    “ต้องไปทำรายงานช่วยจุนฮเวน่ะเดี๋ยวงอน”


    “ไม่เป็นไรหรอก”


    ฮันบินยิ้มให้กับเพื่อน แต่ก็อดขำไม่ได้ที่เห็นจินฮวานกลายเป็นคนถูกจุนฮเวออกคำสั่งบ้าง จริงๆแล้วเพื่อนคนนี้ช่วยเหลือเขามามากแล้ว เขาควรที่จะมีเวลาส่วนตัวบ้าง แบบนี้น่ะดีแล้ว


    ไม่มีใครอยู่กับเราได้ตลอดไปหรอก ดังนั้นเราต้องหัดช่วยเหลือตัวเองบ้าง




     

    หลังจากแยกจากจินฮวานตอนหลังเลิกเรียน ฮันบินก็เดินออกมาคนเดียวเพื่อรอรถเมล์ที่ป้าย


    ปกติแล้วถ้าเลิกเย็นๆแทฮยอนจะมารับ อดคิดไม่ได้ว่าถ้าแทฮยอนยังไม่ฟื้นหลายๆอย่างที่ต้องทำด้วยตัวเอง จะทำมันได้หรือเปล่า


    “ฮันบิน!


    “พี่แชริน”


    ผู้หญิงผมสีบลอนที่รู้จักกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับฉีกยิ้มเป็นมิตร เธอเป็นเพื่อนของแทฮยอน รู้จักกันตอนที่ไปช่ววยแทฮยอนจัดเอกสารที่บริษัท ฮันบินหันไปโค้งทักทาย


    “ไม่เจอกันนานเลยนะ ฉันได้ข่าวของเธอกับแทฮอนเป็นยังไงบ้าง?”


    “ผมไม่เป็นไรแล้วครับ แต่พี่แทฮยอนยังไม่รู้สึกตัวเลย”


    แชรินมองหน้าเด็กหนุ่มพรางทำหน้าเศร้า เดินเข้ามาหาแล้วตบบ่าของคนเด็กกว่าเบาๆเพื่อให้กำลังใจ ฮันบินยิ้มให้เป็นการขอบคุณ แชรินเห็นใจคนเด็กกว่าที่ต้องมาเจอเรื่องร้ายๆแบบนี้ แต่ทว่าเธอกลับมองหน้าฮันบินจนเจ้าตัวรู้สึกแปลกใจ ดวงตาเรียวกำลังจ้องเขาเหมือนมีอะไรบางอย่าง


    และสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป!


    “ฮันบิน!


    เธอเรียกแล้วขมวดคิ้วสีหน้ากังวลจนอีกคนสัมผัสได้ เหมือนกับว่ากำลังจะมีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้น


    “ครับ?”


    ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะ ฮันบินเลิกคิ้วแล้วมองเป็นการถามว่ามีอะไร แต่แชรินกลับเงียบแล้วคนเด็กกว่าแบบนั้น แววตากำลังเศร้าลงจนเห็นได้ชัด มือเรียวเอื้อมมาลูบๆเบาๆที่แก้มอย่างเอ็นดู


    “ดูแลตัวเองดีๆนะ”


    แชรินบอกแค่นั้นแล้วก็เดินจากไป ทิ้งไว้แต่ความสงสัยที่ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร ไม่แปลกหรอกที่จะบอกให้ดูแลตัวเองแต่สีหน้า แววตา และน้ำเสียงแบบนั้นมันทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า เธอกำลังเตือนอะไรหรือเปล่า


    แล้วอะไรล่ะ ยืนนิ่งอยู่แบบนั้นจนแชรินเดินหายไปกับฝูงคนที่เดินสวนกันไปมาเป็นจังหวะที่รถเมล์มาจอดพอดี ฮันบินสะบัดความคิดแบบนั้นออกไปชั่วขณะแล้วเดินขึ้นรถไป


    บางทีแชรินอาจจะเป็นห่วงในฐานะของพี่สาวคนนึงก็ได้


    ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุก็มีแต่เรื่องแปลกๆให้คิดตลอดจนไม่แน่ใจว่าที่ฟื้นขึ้นมาใช่ตัวเองหรือเปล่า ฮันบินเอนหัวพิงกับกระจกรถแล้วมองออกไปข้างนอก ปล่อยใจให้คิดไปตามที่อยากจจะคิดราวกับว่าไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้ว


    กว่าจะรู้ตัวว่ามองออกไปข้างนอกนานก็ตอนที่มีคนขึ้นมาบนรถเพิ่ม ฮันบินขยับตัวแล้วนั่งตรงๆขยับเข้าไปข้างในอีกนิดหน่อยเพื่อให้คนที่ขึ้นมาใหม่ได้นั่ง กลิ่นหอมจางๆ ทำให้รู้สึกเหงาแปลกๆ ไม่สิมันรู้สึกเหมือนทุกอย่างกำลังว่างเปล่า มันคล้ายกับกลิ่นน้ำหอมแต่ไม่น่าจะใช่ หรือถ้าใช่ก็เป็นกลิ่นที่แปลกมากๆ แต่มันคุ้นๆเหมือนเคยได้กลิ่นที่ไหน


    เด็กหนุ่มเงยหน้ามองข้างๆเพราะความอยากรู้ ตอนนี้มีผู้หญิงวัยกลางคนกำลังอุ้มเด็กนั่งอยู่ข้างๆ ฮันบินยิ้มให้แล้วมองไปข้างหน้า ตรงประตูทางขึ้น คนที่ขึ้นมาใหม่เยอะขึ้นเรื่อยๆจนต้องยืนเบียดกันนิดหน่อย


    !!


    แต่ทว่ากลับเจอใครคนนึงเข้า คนที่อยากรู้มาตลอดว่าเขาเป็นใคร


    ผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว


    เขายืนอยู่ตรงประตูทางขึ้น ถึงจะเห็นแค่ด้านข้างแต่ฮันบินจำได้ดี จ้องเขาอยู่แบบนั้นเพื่อดูว่าจะลงป้ายไหน คราวนี้ต้องรู้ให้ได้ว่าเขาเป็นใคร


    รถเมล์ยังคงแล่นไปเรื่อยๆบนถนน หยุดจอดตามป้ายเพื่อส่งผู้โดยสาร จนตอนนี้คนเริ่มน้อยลง ไม่ยืนเบียดกันเหมือนเมื่อกี้ มันทำให้ฮันบินเห็นผู้ชายคนนั้นชัดยิ่งขึ้น เขาไม่ได้มองกลับมาเหมือนทุกครั้ง กลับกันมันเหมือนกับว่าเขามองไม่เห็นฮันบิน


    จนถึงป้ายสุดท้าย คนในรถเริ่มทยอยลง ฮันบินเองก็เช่นกันทำท่าจะลุกแต่สองแม่ลูกยังคงนั่งอยู่ ผู้ชายคนนั้นเดินลงไปแล้ว


    “ขอโทษนะครับ”


    เด็กหนุ่มรอให้เธอลุกไม่ไหวหรอก เพราะคนๆนั้นกำลังคลาดสายตาไปเรื่อยๆ วิ่งลงมาจากรถแล้วมองไปรอบๆ โชคยังเข้าข้าง เขากำลังเดินเข้าไปในโรงพยาบาล ฮันบินรีบวิ่งตามไปอยากจะตะโกนเรียกแต่ก็กลัวคนแถวนั้นจะมองแปลกๆ เลยได้แค่วิ่งตามไปเงียบๆ จนถึงข้างในโรงพยาบาลถึงตอนนี้คนจะไม่มากแต่เพราะมันกว้างทำให้ต้องหยุดวิ่งแล้วมองไปรอบๆ ผู้ชายคนนั้นเขากำลังเดินไปที่บันไดหนีไฟที่อยู่ไกลจากที่ฮันบินยืนอยู่ตอนนี้นิดหน่อย


    แปลกนะ! ทำไมไม่ใช้ลิฟต์


    วิ่งตามหลังไปห่างๆแต่ไม่ให้คลาดสายตา ฮันบินวิ่งจนมาถึงบันไดหนีไฟ หยุดยืนแล้วหายใจหอบเพราะความเหนื่อย เห็นแผ่นหลังของเขากำลังเดินผ่านตรงที่เลี้ยวของขั้นบันได เสียงฝีเท้าเดินขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งๆที่คนๆนั้นแค่เดินแต่ทำไมมันเร็วจนฮันบินแทบตามไม่ทัน


    แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสงสัยเรื่องพวกนี้ จับราวบันไดแล้ววิ่งตามขึ้นไป ยิ่งพยายามวิ่งมากเท่าไหร่ก็เหมือนกับว่าเขาเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าจะเดินไปถึงชั้นไหนแต่ที่แน่ๆตอนนี้ฮันบินกำลังเหนื่อย


    แกร็ก!


    เสียงประตูตรงทางออกเปิดออก ฮันบินเพิ่มความเร็วขึ้นอีก จับราวบันไดไว้แน่นแล้วพยุงตัวเองขึ้นไป ประตูถูกเปิดทิ้งเอาไว้เหมือนกับตั้งใจจะให้รู้ว่าเขาออกไปแล้วจึงลดความเร็วลงจนกลายเป็นเดิน ค่อยๆย่องออกไปแล้วมอง มันเป็นชั้นที่แทฮยอนอยู่แทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าวิ่งมาสูงขนาดนี้ได้ยังไง ถ้าเดินตรงไปเรื่อยๆตามทางเดินจะเจอระเบียงที่ยื่นออกไป ฮันบินหยุดมองซ้ายขวาเพราะเขาหายไปแล้ว


    “หายไปไหนแล้ว?”


    ถามกับตัวเองแล้วค่อยๆเดินไปตามทางเดิน ห้องแทฮยอนอยู่ริมสุดติดกับทางออกระเบียง เดินไปเรื่อยๆแล้วมองหาแต่ก็ไร้วี่แวว แต่ทว่าเงาของใครบางคนกำลังเดินผ่านตรงประตูระเบียง


    กำลังเล่นซ่อนหาอยู่หรือไง


    ฮันบินวิ่งออกมาข้างนอกตรงระเบียงที่เปิดโล่ง มันสูงพอที่จะสัมผัสได้ถึงลมที่กำลังพัดไปมา หยุดชะงักแล้วมองคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า ผู้ชายร่างสูง สวมชุดสูทสีดำ มือล้วงกระเป๋ากางเกงกำลังยืนมองมาที่เขา ฮันบินหายใจหอบแล้วเดินเข้าไปใกล้ ไม่รู้ว่าหัวใจที่กำลังเต้นตุบตับเสียงดังเป็นเพราะความกลัวหรือเหนื่อย


    “คุณเป็นใคร?”


    ไม่รอให้อีกคนหายไปเหมือนทุกครั้ง ฮันบินตะโกนถามออกไปเพราะความโมโห


    ทุกครั้งที่กำลังสงสัยและตั้งคำถามกับตัวเอง มันเหมือนกับว่าคำตอบเหล่านั้นกำลังวิ่งหนีออกไปไกล แต่คราวนี้ต่อให้ต้องวิ่งอีกสักสิบกิโลฮันบินก็จะทำ ถ้าหากมันได้คำตอบทุกอย่าง


    “ผมถามว่าคุณเป็นใคร!


    “...”


    “ตอบมา!!


    เสียงตะโกนของฮันบินมันดังลั่น จนคิดว่าน่าจะมีคนได้ยิน


    “ทำไมผมถึงฝันถึงคุณ ทำไมถึงเห็นคุณตลอดเวลา”


    “นายอยากรู้จริงๆเหรอ?”


    เสียงแหบทุ้ม แต่ฟังแล้วชวนขนลุก


    “ใช่!


    “ถ้านายต้องการแบบนั้น”


    ฮันบินยืนนิ่งเพื่อรอฟัง ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ยิ่งทำให้กลัว เพราะท่าทางของเขามันชวนให้ขนลุก ยิ่งใกล้มากเท่าไหร่ก็เหมือนกับกำลังถูกห้อมล้อมด้วยน้ำแข็ง มันเย็นจนรู้สึกผิวกายชา


    เขาเดินเข้ามา หยุดอยู่ตรงหน้าแล้วจ้องมอง


    “นายคือหมายเลขเจ็ดของฉัน”


    !!


    คำพูดและน้ำเสียงของเขามันเหมือนกับมนต์คาถาที่สะกดให้กลายเป็นศิลา แต่มันกลับยิ่งทำให้โกรธ เพราะความอยากรู้ตอนนี้มันทำให้หัวตื้อไปหมด อยากได้ยินอย่างเดียวคือคำตอบจริงๆ


    “บอกความจริงมา!!!


    “นายเชื่อเรื่องยมทตมั้ย?”


    ครืดดดดดดดด...


    ความโกรธทำให้ตะโกนออกไปแบบนั้น ฮันบินชะงักเพราะเสียงโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอยู่ในกระเป๋า คนตรงหน้ามองกระเป๋าของเขาเหมือนกำลังจะบอกว่าให้รับสาย


    แล้วทำไมต้องทำตาม?


    ฮันบินล้วงเอาโทรศัพท์ออกมา มันเป็นเบอร์ของโรงพยาบาล


    “ครับ?...จริงเหรอครับ...ผมจะเข้าไปเดี๋ยวนี้ ขอบคุณครับ”


    กดวางสายด้วยความความดีใจจนแทบจะลืมความโกรธเมื่อครู่ เก็บโทรศัพท์ไว้อย่างเดิมเงยหน้าขึ้นมองเพื่อจะถามอีกครั้งแต่คนๆนั้นหายไปแล้ว


    หายไปแบบนี้อีกแล้ว


    มันน่าหงุดหงิดแต่ทำอะไรไม่ได้ ฮันบินสะบัดความคิดเรื่องแปลกๆนแล้ววิ่งกลับไปที่ห้องของพี่ชาย


    แทฮยอนฟื้นแล้ว


    แกร็ก!


    เปิดประตูเข้าไปด้วยความดีใจ แต่กลับต้องลดความเร็วลงเพราะคนที่กำลังยืนอยู่ก่อนหน้า ข้างๆเตียงของแทฮยอน ผู้ชายตัวสูงสวมเสื้อฮู๊ดสีดำกำลังยืนคุยกับคนบนเตียง ฮันบินค่อยๆเดินเข้าไปเงียบๆ


    “ฮันบิน...”


    พี่ชายที่เพิ่งจะตื่นขึ้นมาเรียกน้องชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับยิ้มให้ทันที คนเป็นน้องยิ้มตอบเช่นเดียวกัน ละสายตาจากพี่ชายแล้วมองอีกคนที่ยืนอยู่


    “ไง”


    “พี่มินโฮ”


    ฮันบินโค้งตัวนิดหน่อยเป็นการทักทาย แน่นอนว่าเขารู้จักเพราะมินโฮคือคนรักของแทฮยอน แต่ไม่บ่อยนักที่จะเจอเพราะแทฮยอนบอกว่ามินโฮจะไปทำงานไกลๆอยู่เสมอ


    “ขอโทษนะที่มาก่อน”


    มินโฮบอกแล้วเดินเข้าไปหาฮันบิน กอดคอคนเด็กกว่าแล้วพาเดินเข้ามาหาแทฮยอน เขามองคนทั้งคู่แล้วยิ้มออกมา ดีใจที่พวกเขาเข้ากันได้แถมมินโฮดูจะเอ็นดูฮันบินอีกด้วย


    “ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”


    แทฮยอนถามน้องชายพรางทำสีหน้าเป็นห่วง ฮันบินส่ายหัวปฏิเสธแล้วจับมือแทฮยอนแน่น ทั้งๆที่มินโฮยังยืนกอดคอเขาอยู่ มองสองพี่น้องที่กำลังทำหน้าเศร้าใส่กัน มันทำให้เขารู้สึกแปลกๆเหมือนกำลังโดนดึงเข้าไปในโลกที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า


    “น่าๆ ทั้งสองคนเลิกทำหน้าแบบนั้นสักที”


    แล้วก็พูดขัดออกไปก่อนที่คนใดคนหนึ่งจะร้องไห้ออกมา แบบนั้นไม่ดีแน่ มินโฮปล่อยฮันบินออกแล้วเดินอ้อมไปอีกฝั่งของเตียง โน้มตัวลงไปใกล้แทฮยอนแล้วลูบหัวเบาๆ


    “แทฮยอนกลับมาแล้วนะ”


    ยอมรับว่าฮันบินอิจฉาพี่ชายของตัวเองนิดหน่อย เพราะเวลาที่ได้อยู่กับคนรักเขามีความสุขมาก รอยยิ้มของพวกเขามันอบอุ่นราวกับโลกทั้งใบมีแค่คนสองคน


    แต่วูบหนึ่งเขากำลังคิดถึงผู้ชายคนนั้น


    นายคือหมายเลขเจ็ดของฉัน


    หมายถึงอะไร?


    มินโฮละสายตาจากแทฮยอนแล้วมองฮันบินที่กำลังก้มหน้าด้วยสีหน้ากังวลและเต็มไปด้วยความสงสัย เขามองคนเด็กกว่าอย่างเป็นห่วง หันกลับมามองแทฮยอนที่กำลังคิดเหมือนกัน


    “ฮันบินเขา...”


    “ยังไม่ถึงเวลา”

     





    .....

     




    ในชีวิตของมนุษย์ ย่อมมีสักที่ที่ไม่อยากไป เพราะความ กลัว


    ถ้าเทียบกับเมืองแห่งความวุ่นวายแต่ผู้คนกลับชอบที่จะออกไปท่องเที่ยว แสง สี เสียง เครื่องดื่มและของมึนเมา ที่นี่อาจจะกลายเป็นนรกสำหรับพวกเขาเลยก็ได้


    ต้นไม้ที่แห้งตาย เหลือแค่กิ่งก้านที่รอวันหักพัง แม่น้ำสีดำสะท้อนแสงของดวงจันทร์ที่ไม่มีวันลาจากฟ้า กลิ่นอับชื้นน่าขนลุก ไม่มีกลางวัน ไม่มีแสงแดด มีแต่ความมืด หมู่เมฆสีเทาสลับดำลอยไปมาอยู่อย่างนั้นไม่มีวันเหนื่อย อากาศเย็นเยือกตลอดเวลา ความหนาวเหน็บของกัดกินกระดูกข้างในที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผิวหนังที่ห่อหุ้ม


    ไม่มีใครอยากมาที่นี่


    ไม่มีเลยสักคน!


    บ้านหลังใหญ่ดุจปราสาท สูงสง่า รั้วเหล็กสีดำขึ้นสนิมมีเครือไม้แห้งพันอยู่รอบๆ มันดูสยองมากวว่าจะบอกว่าคลาสสิค แสงไฟจากตะเกียงในบ้านส่องสว่างออกมาพอเรือนราง กลิ่นอับของบ้านทำให้อึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก


    เสียงเดินตึกๆของเจ้าของบ้านดังก้องไปทั่วในความเงียบ ถึงมันจะดูน่ากลัวแต่ในขณะเดียวกันมันก็น่าอยู่ ของตกแต่งเป็นแบบโบราณทั้งหมด ตั้งแต่รูปภาพตามผนังก็ยังเป็นรูปวาด เครื่องเสียงแบบโบราณขนาดใหญ่ตรงอยู่กลางห้อง ชั้นหนังสือสูงพอๆกับตัวบ้าน มันสูงจนไม่คิดว่าจะมีใครปีนขึ้นไปหยิบมันลงมาอ่าน


    บันไดขนาดใหญ่ทอดยาวไปบนชั้นสอง เขาเดินขึ้นไปบนบ้านโดยมีแสงของตะเกียงตามผนังนำทาง


    “กลับมาแล้วเหรอ?”


    เสียงแหบทุ้มของคนที่กำลังเดินขึ้นไปทักทายคนที่ยืนอยู่ขั้นบนสุดของบันได


    “นึกว่าจะตายไปแล้วซะอีก”


    “จะให้ตายถึงสองครั้งเลยเหรอ ไอ้น้องชาย”


    น้ำเสียงที่ฟังเหมือนจะประชดประชันกันอยู่ตลอดเวลา แต่จริงๆแล้วมันคือคำพูดที่ปกติที่สุดของพวกเขา คนที่ถูกเรียกว่าน้องชายยังคงเดินขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงชั้นบนสุด หยุดยืนแล้วจ้องหน้าคนเป็นพี่


    “ยมทูตที่ให้ชีวิตกับคนตาย อีกไม่นานวิญญาณก็แตก”


    “ดูเหมือนนายยังไม่เข้าใจอะไรหลายๆอย่างนะ”


    “อะไร?”


    “อย่างเช่น ยมทูตสามารถคืนชีพได้”


    เขาตอบพร้อมกับยิ้มราวกับกำลังเยาะเย้ย มันไม่ได้ทำให้หงุดหงิดหรอกเพียงแต่ไม่อยากจะเห็นแค่นั้นเอง


    “ต้องเรียนรู้อีกเยอะเลยนะ คิม จีวอน”


    คนเป็นพี่เน้นเสียงตอนท้ายที่พูดชื่อน้องชายออกมา เหมือนกำลังจะย้ำให้รู้ว่าเขาเหนือกว่า


    ซง มินโฮ พี่ชายที่ไม่เคยแม้แต่จะญาติดีกันสักครั้ง เหมือนกับว่าพวกเขาเกิดมาเพื่อเกลียดชังกันและกันอย่างนั้นล่ะ ความเกลียดชังของพวกเขาไม่ได้จบลงด้วยการต่อสู้ หรือทำร้ายกัน แต่มักจะเอาชนะไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งเสมอ และนั่นมันน่าหงุดหงิดมากกว่าการต่อสู้เสียอีก


    จีวอนจ้องพี่ชายครู่หนึ่งแล้วเดินไปที่ห้องของตัว ไม่อยากจะต่อกลอนให้เหนื่อยเปล่า เสียงปิดประตูดังปังจนดังลั่น ไฟตามผนังค่อยๆติดขึ้นเองทันทีที่เจ้าของห้องเดินเข้ามา เตียงนอนไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง ผ้าปูสีแดงเรียบมันน่านอนก็จริง แต่ถ้าเทียบกับบรรยากาศแล้วคงต้องฝันร้ายแน่


    แต่สำหรับเขา ที่นี่คือบ้าน! จีวอนทิ้งตัวนอนลงบนเตียงอย่างหมดแรง หลับตาลงลืมเรื่องทั้งหมดที่ต้องทำ แต่แวบหนึ่งกลับนึกถึงใครบางคนที่ทำให้เหนื่อยมาทั้งวัน


    ฮันบิน!


    ลืมตาขึ้นเมื่อนึกถึงหน้าเศร้าๆ ราวเขาเป็นคนแบกโลกอันโสมมเอาไว้เพียงคนเดียว


    เด็กหนุ่มที่แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวแต่พยายามจะเข้มแข็งและซ่อนความอ่อนแอเอาไว้


    แต่อีกไม่นานเขาจะต้องตายและจีวอนจะต้องพาเขาไปในที่ที่ควรไป


    เพราะฮันบินคือหมายเลขเจ็ด ดวงวิญญาณดวงที่เจ็ดของจีวอน


    มันน่าเศร้านะ เวลาที่เห็นอายุของมนุษย์กำลังจะหมดลง หมายเลขดวงวิญญาณจะปรากฏให้เห็น มันเป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่ติดตามตัว และมันน่าหดหู่เวลาที่พวกเขาพยายามร้องขอชีวิต


    เมื่อถึงเวลา เด็กหนุ่มคนนั้นจะต้องเป็นเหมือนกับคนอื่นๆที่ไม่อยากตาย


    แต่ใครจะห้ามความตายได้!


     



    .....


     



    “วันนี้ไม่มีเรียนเหรอ?”


    แทฮยอนถามน้องชายที่เอาแต่นั่งอ่านหนังสือมาตั้งแต่เช้า จนตอนนี้เขาก็ยังอ่านไม่หยุด ฮันบินละสายตาจากหนังสือเล่มโปรดที่เพิ่งซื้อมาไม่นานแล้วมองพี่ชาย


    “ไม่ครับ”


    ตอบพรางยิ้มออกมาแล้วอ่านหนังสือต่อ แทฮยอนยิ้มตอบแล้วมองน้องชายของตัวเอง สีหน้าเศร้าลงจนต้องหันไปอีกทางเพราะกลัวฮันบินจะเห็น


    “พี่ครับ!


    “หือ?”


    แทฮยอนหันมาหาน้องชายที่กำลังเดินเข้ามาหา ลากก้าวอี้มาแล้วนั่งลงใกล้ๆ สีหน้าของฮันบินกำลังกังวลและสับสน เหมือนอยากจะถามอะไร


    “ยมทูตมีจริงหรือเปล่า?”


    !!


    แทฮยอนเงียบแต่หัวใจกำลังวูบ เอื้อมมือไปจับมือน้องชายแล้วบีบเบาๆ


    ฮันบินคงจะเจอยมทูตของเขาแล้วสินะ


    “ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ”


    “ผม...แค่สงสัย”


    “ในโลกนี้มีอะไรอีกหลายอย่างที่เรายังไม่รู้ สิ่งที่เราเจอในแต่ละวันมันมีทั้งเรื่องจริงและเรื่องโกหก ทุกอย่างมันขึ้นอยู่ที่เราว่าอยากจะเชื่อหรือไม่”


    แทฮยอนตอบ และคิดว่ามันน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับฮันบิน


    แน่นอนว่าเขาเชื่อเรื่องยมทูต และเขาก็เจอแล้ว...


    ยมทูตของแทฮยอนคือมินโฮ!


    ฮันบินพยักหน้า ถึงจะไม่เข้าใจแต่เขาก็ควรจะเชื่ออย่างที่แทฮยอนพูด เราอยากเชื่ออะไรก็เชื่อ ไม่อยากเชื่ออะไรก็ปล่อยมันไป แต่ตอนนี้ฮันบินยังเลือกไม่ถูกว่าควรเชื่อหรือไม่เชื่อดี


    อีกนานแค่ไหนล่ะถึงจะตอบคำถามของตัวเองได้


    หลังจากอยู่กับพี่ชายตลอดทั้งวัน แทฮยอนก็สั่งให้ฮันบินกลับบ้านเพราะไม่อยากให้กลับตอนมืด บอกให้ไปหาพ่อกับแม่ก่อนพระอาทิตย์ตกเพราะถ้าดึกกว่านี้จะลำบากได้ และแน่นอนว่าฮันบินทำตามทุกอย่าง


    เดินไปเรื่อยๆบนริมถนนทางกลับบ้าน ผ่านร้านมินิมาร์ทเล็กๆที่อยู่ใกล้ๆ อาหารเย็นของวันนี้คือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มันน่าจะดีที่สุดแล้ว แทอยอนไม่อยู่บ้านอะไรๆก็ลำบากไปหมด


    ฮันบินเดินไปตามชั้นวางของ มองหาขนมและของหวานที่ตัวเองชอบ มันจะช่วยให้อิ่มท้องตอนดึก หยิบขนมห่อใหญ่กับของหวานอีกนิดหน่อยจนล้มมือ


    ตุ๊บ!


    แล้วมันก็ล่วงเพราะไม่มีมือจับ ฮันบินจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด แล้วก้มลงไปเก็บแต่ทว่ามีคนมาเก็บให้ก่อนแล้ว ชะงักแล้วมองมือของคนๆนั้น แขนเสื้อยาวสีดำคุ้นๆเหมือนเคยเห็น


    !!


    ฮันบินสะดุ้งเฮือก ยืนแข็งทื่อเพราะความตกใจ


    เจออีกแล้ว...คนๆนั้น


    “ได้เวลาแล้ว”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×