คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Dark Paradise
Dark Paradise
(NO. 7)
‘Drak
Paradise’
ผมมักจะคิดถึงคนๆนั้นอยู่ตลอดเวลา
: ฮันบิน
“เป็นยังไงบ้าง?”
“นายหายเร็วกว่าที่คิดไว้ซะอีก”
“ยินดีต้อนรับกลับนะ"
หลังจากที่หายไปอาทิตย์กว่าๆ ฮันบินก็กลับมาเรียนอีกครั้ง
ทุกคนต่างเข้ามาถามเพราะความเป็นห่วง ซึ่งก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าห่วงจริงๆหรือถามตามมารยาท
แต่ยังไงก็ขอบคุณนะ
“รู้สึกแปลกๆมั้ย ไม่ได้มาเรียนซะนานเลย”
จินฮวานที่นั่งอยู่ข้างๆหันมาถาม ขณะที่อาจารย์ยังสอนอยู่หน้าห้อง
ตอนนี้รอยกัดที่คอหายไปแล้ว
เมื่อคืนแทบจะนอนไม่หลับหลังจากที่ฝันถึงเรื่องแปลกๆกับรอยแปลกๆนี่ แต่จู่ๆในตอนเช้ามันก็หายไปเฉยๆ
ถึงตอนนี้ก็ยังหาคำตอบของรอยนั่นไม่ได้
“นิดหน่อย แต่คงต้องให้นายช่วยเยอะเลยล่ะ”
“สบายอยู่แล้ว”
เพราะหยุดเรียนไปหลายวันทำให้ฮันบินเรียนไม่ทันและมีงานอีกหลายชิ้นที่ยังไม่ส่ง
ดีที่จินฮวานช่วยจัดการเรื่องขอลาป่วยได้ ฮันบินเลยสามารถส่งงานทีหลังได้โดยไม่ถูกหักคะแนน
“เออ...วันนี้คงไปเยี่ยมพี่แทฮยอนไม่ได้นะ”
“ทำไมล่ะ”
“ต้องไปทำรายงานช่วยจุนฮเวน่ะเดี๋ยวงอน”
“ไม่เป็นไรหรอก”
ฮันบินยิ้มให้กับเพื่อน
แต่ก็อดขำไม่ได้ที่เห็นจินฮวานกลายเป็นคนถูกจุนฮเวออกคำสั่งบ้าง จริงๆแล้วเพื่อนคนนี้ช่วยเหลือเขามามากแล้ว
เขาควรที่จะมีเวลาส่วนตัวบ้าง แบบนี้น่ะดีแล้ว
ไม่มีใครอยู่กับเราได้ตลอดไปหรอก ดังนั้นเราต้องหัดช่วยเหลือตัวเองบ้าง
หลังจากแยกจากจินฮวานตอนหลังเลิกเรียน
ฮันบินก็เดินออกมาคนเดียวเพื่อรอรถเมล์ที่ป้าย
ปกติแล้วถ้าเลิกเย็นๆแทฮยอนจะมารับ อดคิดไม่ได้ว่าถ้าแทฮยอนยังไม่ฟื้นหลายๆอย่างที่ต้องทำด้วยตัวเอง
จะทำมันได้หรือเปล่า
“ฮันบิน!”
“พี่แชริน”
ผู้หญิงผมสีบลอนที่รู้จักกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับฉีกยิ้มเป็นมิตร
เธอเป็นเพื่อนของแทฮยอน รู้จักกันตอนที่ไปช่ววยแทฮยอนจัดเอกสารที่บริษัท
ฮันบินหันไปโค้งทักทาย
“ไม่เจอกันนานเลยนะ ฉันได้ข่าวของเธอกับแทฮอนเป็นยังไงบ้าง?”
“ผมไม่เป็นไรแล้วครับ แต่พี่แทฮยอนยังไม่รู้สึกตัวเลย”
แชรินมองหน้าเด็กหนุ่มพรางทำหน้าเศร้า เดินเข้ามาหาแล้วตบบ่าของคนเด็กกว่าเบาๆเพื่อให้กำลังใจ
ฮันบินยิ้มให้เป็นการขอบคุณ แชรินเห็นใจคนเด็กกว่าที่ต้องมาเจอเรื่องร้ายๆแบบนี้
แต่ทว่าเธอกลับมองหน้าฮันบินจนเจ้าตัวรู้สึกแปลกใจ
ดวงตาเรียวกำลังจ้องเขาเหมือนมีอะไรบางอย่าง
และสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป!
“ฮันบิน!”
เธอเรียกแล้วขมวดคิ้วสีหน้ากังวลจนอีกคนสัมผัสได้ เหมือนกับว่ากำลังจะมีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้น
“ครับ?”
ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะ ฮันบินเลิกคิ้วแล้วมองเป็นการถามว่ามีอะไร
แต่แชรินกลับเงียบแล้วคนเด็กกว่าแบบนั้น แววตากำลังเศร้าลงจนเห็นได้ชัด
มือเรียวเอื้อมมาลูบๆเบาๆที่แก้มอย่างเอ็นดู
“ดูแลตัวเองดีๆนะ”
แชรินบอกแค่นั้นแล้วก็เดินจากไป ทิ้งไว้แต่ความสงสัยที่ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร
ไม่แปลกหรอกที่จะบอกให้ดูแลตัวเองแต่สีหน้า แววตา
และน้ำเสียงแบบนั้นมันทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า เธอกำลังเตือนอะไรหรือเปล่า
แล้วอะไรล่ะ ยืนนิ่งอยู่แบบนั้นจนแชรินเดินหายไปกับฝูงคนที่เดินสวนกันไปมาเป็นจังหวะที่รถเมล์มาจอดพอดี
ฮันบินสะบัดความคิดแบบนั้นออกไปชั่วขณะแล้วเดินขึ้นรถไป
บางทีแชรินอาจจะเป็นห่วงในฐานะของพี่สาวคนนึงก็ได้
ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุก็มีแต่เรื่องแปลกๆให้คิดตลอดจนไม่แน่ใจว่าที่ฟื้นขึ้นมาใช่ตัวเองหรือเปล่า
ฮันบินเอนหัวพิงกับกระจกรถแล้วมองออกไปข้างนอก ปล่อยใจให้คิดไปตามที่อยากจจะคิดราวกับว่าไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้ว
กว่าจะรู้ตัวว่ามองออกไปข้างนอกนานก็ตอนที่มีคนขึ้นมาบนรถเพิ่ม
ฮันบินขยับตัวแล้วนั่งตรงๆขยับเข้าไปข้างในอีกนิดหน่อยเพื่อให้คนที่ขึ้นมาใหม่ได้นั่ง
กลิ่นหอมจางๆ ทำให้รู้สึกเหงาแปลกๆ ไม่สิมันรู้สึกเหมือนทุกอย่างกำลังว่างเปล่า
มันคล้ายกับกลิ่นน้ำหอมแต่ไม่น่าจะใช่ หรือถ้าใช่ก็เป็นกลิ่นที่แปลกมากๆ
แต่มันคุ้นๆเหมือนเคยได้กลิ่นที่ไหน
เด็กหนุ่มเงยหน้ามองข้างๆเพราะความอยากรู้
ตอนนี้มีผู้หญิงวัยกลางคนกำลังอุ้มเด็กนั่งอยู่ข้างๆ
ฮันบินยิ้มให้แล้วมองไปข้างหน้า ตรงประตูทางขึ้น
คนที่ขึ้นมาใหม่เยอะขึ้นเรื่อยๆจนต้องยืนเบียดกันนิดหน่อย
!!
แต่ทว่ากลับเจอใครคนนึงเข้า คนที่อยากรู้มาตลอดว่าเขาเป็นใคร
ผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว
เขายืนอยู่ตรงประตูทางขึ้น ถึงจะเห็นแค่ด้านข้างแต่ฮันบินจำได้ดี
จ้องเขาอยู่แบบนั้นเพื่อดูว่าจะลงป้ายไหน คราวนี้ต้องรู้ให้ได้ว่าเขาเป็นใคร
รถเมล์ยังคงแล่นไปเรื่อยๆบนถนน หยุดจอดตามป้ายเพื่อส่งผู้โดยสาร จนตอนนี้คนเริ่มน้อยลง ไม่ยืนเบียดกันเหมือนเมื่อกี้ มันทำให้ฮันบินเห็นผู้ชายคนนั้นชัดยิ่งขึ้น เขาไม่ได้มองกลับมาเหมือนทุกครั้ง กลับกันมันเหมือนกับว่าเขามองไม่เห็นฮันบิน
จนถึงป้ายสุดท้าย คนในรถเริ่มทยอยลง
ฮันบินเองก็เช่นกันทำท่าจะลุกแต่สองแม่ลูกยังคงนั่งอยู่ ผู้ชายคนนั้นเดินลงไปแล้ว
“ขอโทษนะครับ”
เด็กหนุ่มรอให้เธอลุกไม่ไหวหรอก เพราะคนๆนั้นกำลังคลาดสายตาไปเรื่อยๆ วิ่งลงมาจากรถแล้วมองไปรอบๆ โชคยังเข้าข้าง เขากำลังเดินเข้าไปในโรงพยาบาล ฮันบินรีบวิ่งตามไปอยากจะตะโกนเรียกแต่ก็กลัวคนแถวนั้นจะมองแปลกๆ เลยได้แค่วิ่งตามไปเงียบๆ จนถึงข้างในโรงพยาบาลถึงตอนนี้คนจะไม่มากแต่เพราะมันกว้างทำให้ต้องหยุดวิ่งแล้วมองไปรอบๆ ผู้ชายคนนั้นเขากำลังเดินไปที่บันไดหนีไฟที่อยู่ไกลจากที่ฮันบินยืนอยู่ตอนนี้นิดหน่อย
แปลกนะ! ทำไมไม่ใช้ลิฟต์
วิ่งตามหลังไปห่างๆแต่ไม่ให้คลาดสายตา ฮันบินวิ่งจนมาถึงบันไดหนีไฟ
หยุดยืนแล้วหายใจหอบเพราะความเหนื่อย เห็นแผ่นหลังของเขากำลังเดินผ่านตรงที่เลี้ยวของขั้นบันได
เสียงฝีเท้าเดินขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งๆที่คนๆนั้นแค่เดินแต่ทำไมมันเร็วจนฮันบินแทบตามไม่ทัน
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสงสัยเรื่องพวกนี้ จับราวบันไดแล้ววิ่งตามขึ้นไป ยิ่งพยายามวิ่งมากเท่าไหร่ก็เหมือนกับว่าเขาเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ไม่รู้ว่าจะเดินไปถึงชั้นไหนแต่ที่แน่ๆตอนนี้ฮันบินกำลังเหนื่อย
แกร็ก!
เสียงประตูตรงทางออกเปิดออก ฮันบินเพิ่มความเร็วขึ้นอีก
จับราวบันไดไว้แน่นแล้วพยุงตัวเองขึ้นไป ประตูถูกเปิดทิ้งเอาไว้เหมือนกับตั้งใจจะให้รู้ว่าเขาออกไปแล้วจึงลดความเร็วลงจนกลายเป็นเดิน
ค่อยๆย่องออกไปแล้วมอง มันเป็นชั้นที่แทฮยอนอยู่แทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าวิ่งมาสูงขนาดนี้ได้ยังไง
ถ้าเดินตรงไปเรื่อยๆตามทางเดินจะเจอระเบียงที่ยื่นออกไป
ฮันบินหยุดมองซ้ายขวาเพราะเขาหายไปแล้ว
“หายไปไหนแล้ว?”
ถามกับตัวเองแล้วค่อยๆเดินไปตามทางเดิน
ห้องแทฮยอนอยู่ริมสุดติดกับทางออกระเบียง เดินไปเรื่อยๆแล้วมองหาแต่ก็ไร้วี่แวว
แต่ทว่าเงาของใครบางคนกำลังเดินผ่านตรงประตูระเบียง
กำลังเล่นซ่อนหาอยู่หรือไง
ฮันบินวิ่งออกมาข้างนอกตรงระเบียงที่เปิดโล่ง มันสูงพอที่จะสัมผัสได้ถึงลมที่กำลังพัดไปมา
หยุดชะงักแล้วมองคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า ผู้ชายร่างสูง สวมชุดสูทสีดำ
มือล้วงกระเป๋ากางเกงกำลังยืนมองมาที่เขา ฮันบินหายใจหอบแล้วเดินเข้าไปใกล้
ไม่รู้ว่าหัวใจที่กำลังเต้นตุบตับเสียงดังเป็นเพราะความกลัวหรือเหนื่อย
“คุณเป็นใคร?”
ไม่รอให้อีกคนหายไปเหมือนทุกครั้ง ฮันบินตะโกนถามออกไปเพราะความโมโห
ทุกครั้งที่กำลังสงสัยและตั้งคำถามกับตัวเอง
มันเหมือนกับว่าคำตอบเหล่านั้นกำลังวิ่งหนีออกไปไกล
แต่คราวนี้ต่อให้ต้องวิ่งอีกสักสิบกิโลฮันบินก็จะทำ ถ้าหากมันได้คำตอบทุกอย่าง
“ผมถามว่าคุณเป็นใคร!”
“...”
“ตอบมา!!”
เสียงตะโกนของฮันบินมันดังลั่น จนคิดว่าน่าจะมีคนได้ยิน
“ทำไมผมถึงฝันถึงคุณ ทำไมถึงเห็นคุณตลอดเวลา”
“นายอยากรู้จริงๆเหรอ?”
เสียงแหบทุ้ม แต่ฟังแล้วชวนขนลุก
“ใช่!”
“ถ้านายต้องการแบบนั้น”
ฮันบินยืนนิ่งเพื่อรอฟัง ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ยิ่งทำให้กลัว เพราะท่าทางของเขามันชวนให้ขนลุก
ยิ่งใกล้มากเท่าไหร่ก็เหมือนกับกำลังถูกห้อมล้อมด้วยน้ำแข็ง มันเย็นจนรู้สึกผิวกายชา
เขาเดินเข้ามา หยุดอยู่ตรงหน้าแล้วจ้องมอง
“นายคือหมายเลขเจ็ดของฉัน”
!!
คำพูดและน้ำเสียงของเขามันเหมือนกับมนต์คาถาที่สะกดให้กลายเป็นศิลา แต่มันกลับยิ่งทำให้โกรธ
เพราะความอยากรู้ตอนนี้มันทำให้หัวตื้อไปหมด อยากได้ยินอย่างเดียวคือคำตอบจริงๆ
“บอกความจริงมา!!!”
“นายเชื่อเรื่องยมทตมั้ย?”
ครืดดดดดดดด...
ความโกรธทำให้ตะโกนออกไปแบบนั้น ฮันบินชะงักเพราะเสียงโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอยู่ในกระเป๋า
คนตรงหน้ามองกระเป๋าของเขาเหมือนกำลังจะบอกว่าให้รับสาย
แล้วทำไมต้องทำตาม?
ฮันบินล้วงเอาโทรศัพท์ออกมา มันเป็นเบอร์ของโรงพยาบาล
“ครับ?...จริงเหรอครับ...ผมจะเข้าไปเดี๋ยวนี้ ขอบคุณครับ”
กดวางสายด้วยความความดีใจจนแทบจะลืมความโกรธเมื่อครู่
เก็บโทรศัพท์ไว้อย่างเดิมเงยหน้าขึ้นมองเพื่อจะถามอีกครั้งแต่คนๆนั้นหายไปแล้ว
หายไปแบบนี้อีกแล้ว
มันน่าหงุดหงิดแต่ทำอะไรไม่ได้ ฮันบินสะบัดความคิดเรื่องแปลกๆนแล้ววิ่งกลับไปที่ห้องของพี่ชาย
แทฮยอนฟื้นแล้ว
แกร็ก!
เปิดประตูเข้าไปด้วยความดีใจ
แต่กลับต้องลดความเร็วลงเพราะคนที่กำลังยืนอยู่ก่อนหน้า ข้างๆเตียงของแทฮยอน
ผู้ชายตัวสูงสวมเสื้อฮู๊ดสีดำกำลังยืนคุยกับคนบนเตียง ฮันบินค่อยๆเดินเข้าไปเงียบๆ
“ฮันบิน...”
พี่ชายที่เพิ่งจะตื่นขึ้นมาเรียกน้องชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับยิ้มให้ทันที
คนเป็นน้องยิ้มตอบเช่นเดียวกัน ละสายตาจากพี่ชายแล้วมองอีกคนที่ยืนอยู่
“ไง”
“พี่มินโฮ”
ฮันบินโค้งตัวนิดหน่อยเป็นการทักทาย
แน่นอนว่าเขารู้จักเพราะมินโฮคือคนรักของแทฮยอน แต่ไม่บ่อยนักที่จะเจอเพราะแทฮยอนบอกว่ามินโฮจะไปทำงานไกลๆอยู่เสมอ
“ขอโทษนะที่มาก่อน”
มินโฮบอกแล้วเดินเข้าไปหาฮันบิน กอดคอคนเด็กกว่าแล้วพาเดินเข้ามาหาแทฮยอน
เขามองคนทั้งคู่แล้วยิ้มออกมา
ดีใจที่พวกเขาเข้ากันได้แถมมินโฮดูจะเอ็นดูฮันบินอีกด้วย
“ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
แทฮยอนถามน้องชายพรางทำสีหน้าเป็นห่วง ฮันบินส่ายหัวปฏิเสธแล้วจับมือแทฮยอนแน่น
ทั้งๆที่มินโฮยังยืนกอดคอเขาอยู่ มองสองพี่น้องที่กำลังทำหน้าเศร้าใส่กัน
มันทำให้เขารู้สึกแปลกๆเหมือนกำลังโดนดึงเข้าไปในโลกที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
“น่าๆ ทั้งสองคนเลิกทำหน้าแบบนั้นสักที”
แล้วก็พูดขัดออกไปก่อนที่คนใดคนหนึ่งจะร้องไห้ออกมา แบบนั้นไม่ดีแน่
มินโฮปล่อยฮันบินออกแล้วเดินอ้อมไปอีกฝั่งของเตียง
โน้มตัวลงไปใกล้แทฮยอนแล้วลูบหัวเบาๆ
“แทฮยอนกลับมาแล้วนะ”
ยอมรับว่าฮันบินอิจฉาพี่ชายของตัวเองนิดหน่อย
เพราะเวลาที่ได้อยู่กับคนรักเขามีความสุขมาก
รอยยิ้มของพวกเขามันอบอุ่นราวกับโลกทั้งใบมีแค่คนสองคน
แต่วูบหนึ่งเขากำลังคิดถึงผู้ชายคนนั้น
‘นายคือหมายเลขเจ็ดของฉัน’
หมายถึงอะไร?
มินโฮละสายตาจากแทฮยอนแล้วมองฮันบินที่กำลังก้มหน้าด้วยสีหน้ากังวลและเต็มไปด้วยความสงสัย
เขามองคนเด็กกว่าอย่างเป็นห่วง หันกลับมามองแทฮยอนที่กำลังคิดเหมือนกัน
“ฮันบินเขา...”
“ยังไม่ถึงเวลา”
.....
ในชีวิตของมนุษย์ ย่อมมีสักที่ที่ไม่อยากไป เพราะความ ‘กลัว’
ถ้าเทียบกับเมืองแห่งความวุ่นวายแต่ผู้คนกลับชอบที่จะออกไปท่องเที่ยว แสง
สี เสียง เครื่องดื่มและของมึนเมา ที่นี่อาจจะกลายเป็นนรกสำหรับพวกเขาเลยก็ได้
ต้นไม้ที่แห้งตาย เหลือแค่กิ่งก้านที่รอวันหักพัง
แม่น้ำสีดำสะท้อนแสงของดวงจันทร์ที่ไม่มีวันลาจากฟ้า กลิ่นอับชื้นน่าขนลุก
ไม่มีกลางวัน ไม่มีแสงแดด มีแต่ความมืด
หมู่เมฆสีเทาสลับดำลอยไปมาอยู่อย่างนั้นไม่มีวันเหนื่อย อากาศเย็นเยือกตลอดเวลา
ความหนาวเหน็บของกัดกินกระดูกข้างในที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผิวหนังที่ห่อหุ้ม
ไม่มีใครอยากมาที่นี่
ไม่มีเลยสักคน!
บ้านหลังใหญ่ดุจปราสาท สูงสง่า รั้วเหล็กสีดำขึ้นสนิมมีเครือไม้แห้งพันอยู่รอบๆ
มันดูสยองมากวว่าจะบอกว่าคลาสสิค แสงไฟจากตะเกียงในบ้านส่องสว่างออกมาพอเรือนราง
กลิ่นอับของบ้านทำให้อึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
เสียงเดินตึกๆของเจ้าของบ้านดังก้องไปทั่วในความเงียบ
ถึงมันจะดูน่ากลัวแต่ในขณะเดียวกันมันก็น่าอยู่ ของตกแต่งเป็นแบบโบราณทั้งหมด ตั้งแต่รูปภาพตามผนังก็ยังเป็นรูปวาด
เครื่องเสียงแบบโบราณขนาดใหญ่ตรงอยู่กลางห้อง ชั้นหนังสือสูงพอๆกับตัวบ้าน มันสูงจนไม่คิดว่าจะมีใครปีนขึ้นไปหยิบมันลงมาอ่าน
บันไดขนาดใหญ่ทอดยาวไปบนชั้นสอง เขาเดินขึ้นไปบนบ้านโดยมีแสงของตะเกียงตามผนังนำทาง
“กลับมาแล้วเหรอ?”
เสียงแหบทุ้มของคนที่กำลังเดินขึ้นไปทักทายคนที่ยืนอยู่ขั้นบนสุดของบันได
“นึกว่าจะตายไปแล้วซะอีก”
“จะให้ตายถึงสองครั้งเลยเหรอ ไอ้น้องชาย”
น้ำเสียงที่ฟังเหมือนจะประชดประชันกันอยู่ตลอดเวลา
แต่จริงๆแล้วมันคือคำพูดที่ปกติที่สุดของพวกเขา
คนที่ถูกเรียกว่าน้องชายยังคงเดินขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงชั้นบนสุด
หยุดยืนแล้วจ้องหน้าคนเป็นพี่
“ยมทูตที่ให้ชีวิตกับคนตาย อีกไม่นานวิญญาณก็แตก”
“ดูเหมือนนายยังไม่เข้าใจอะไรหลายๆอย่างนะ”
“อะไร?”
“อย่างเช่น ยมทูตสามารถคืนชีพได้”
เขาตอบพร้อมกับยิ้มราวกับกำลังเยาะเย้ย
มันไม่ได้ทำให้หงุดหงิดหรอกเพียงแต่ไม่อยากจะเห็นแค่นั้นเอง
“ต้องเรียนรู้อีกเยอะเลยนะ คิม จีวอน”
คนเป็นพี่เน้นเสียงตอนท้ายที่พูดชื่อน้องชายออกมา
เหมือนกำลังจะย้ำให้รู้ว่าเขาเหนือกว่า
ซง มินโฮ พี่ชายที่ไม่เคยแม้แต่จะญาติดีกันสักครั้ง
เหมือนกับว่าพวกเขาเกิดมาเพื่อเกลียดชังกันและกันอย่างนั้นล่ะ
ความเกลียดชังของพวกเขาไม่ได้จบลงด้วยการต่อสู้ หรือทำร้ายกัน
แต่มักจะเอาชนะไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งเสมอ
และนั่นมันน่าหงุดหงิดมากกว่าการต่อสู้เสียอีก
จีวอนจ้องพี่ชายครู่หนึ่งแล้วเดินไปที่ห้องของตัว
ไม่อยากจะต่อกลอนให้เหนื่อยเปล่า เสียงปิดประตูดังปังจนดังลั่น
ไฟตามผนังค่อยๆติดขึ้นเองทันทีที่เจ้าของห้องเดินเข้ามา
เตียงนอนไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง ผ้าปูสีแดงเรียบมันน่านอนก็จริง
แต่ถ้าเทียบกับบรรยากาศแล้วคงต้องฝันร้ายแน่
แต่สำหรับเขา ที่นี่คือบ้าน! จีวอนทิ้งตัวนอนลงบนเตียงอย่างหมดแรง
หลับตาลงลืมเรื่องทั้งหมดที่ต้องทำ
แต่แวบหนึ่งกลับนึกถึงใครบางคนที่ทำให้เหนื่อยมาทั้งวัน
ฮันบิน!
ลืมตาขึ้นเมื่อนึกถึงหน้าเศร้าๆ ราวเขาเป็นคนแบกโลกอันโสมมเอาไว้เพียงคนเดียว
เด็กหนุ่มที่แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวแต่พยายามจะเข้มแข็งและซ่อนความอ่อนแอเอาไว้
แต่อีกไม่นานเขาจะต้องตายและจีวอนจะต้องพาเขาไปในที่ที่ควรไป
เพราะฮันบินคือหมายเลขเจ็ด ดวงวิญญาณดวงที่เจ็ดของจีวอน
มันน่าเศร้านะ เวลาที่เห็นอายุของมนุษย์กำลังจะหมดลง
หมายเลขดวงวิญญาณจะปรากฏให้เห็น มันเป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่ติดตามตัว
และมันน่าหดหู่เวลาที่พวกเขาพยายามร้องขอชีวิต
เมื่อถึงเวลา เด็กหนุ่มคนนั้นจะต้องเป็นเหมือนกับคนอื่นๆที่ไม่อยากตาย
แต่ใครจะห้ามความตายได้!
.....
“วันนี้ไม่มีเรียนเหรอ?”
แทฮยอนถามน้องชายที่เอาแต่นั่งอ่านหนังสือมาตั้งแต่เช้า
จนตอนนี้เขาก็ยังอ่านไม่หยุด
ฮันบินละสายตาจากหนังสือเล่มโปรดที่เพิ่งซื้อมาไม่นานแล้วมองพี่ชาย
“ไม่ครับ”
ตอบพรางยิ้มออกมาแล้วอ่านหนังสือต่อ แทฮยอนยิ้มตอบแล้วมองน้องชายของตัวเอง
สีหน้าเศร้าลงจนต้องหันไปอีกทางเพราะกลัวฮันบินจะเห็น
“พี่ครับ!”
“หือ?”
แทฮยอนหันมาหาน้องชายที่กำลังเดินเข้ามาหา ลากก้าวอี้มาแล้วนั่งลงใกล้ๆ
สีหน้าของฮันบินกำลังกังวลและสับสน เหมือนอยากจะถามอะไร
“ยมทูตมีจริงหรือเปล่า?”
!!
แทฮยอนเงียบแต่หัวใจกำลังวูบ เอื้อมมือไปจับมือน้องชายแล้วบีบเบาๆ
ฮันบินคงจะเจอยมทูตของเขาแล้วสินะ
“ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ”
“ผม...แค่สงสัย”
“ในโลกนี้มีอะไรอีกหลายอย่างที่เรายังไม่รู้ สิ่งที่เราเจอในแต่ละวันมันมีทั้งเรื่องจริงและเรื่องโกหก
ทุกอย่างมันขึ้นอยู่ที่เราว่าอยากจะเชื่อหรือไม่”
แทฮยอนตอบ และคิดว่ามันน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับฮันบิน
แน่นอนว่าเขาเชื่อเรื่องยมทูต และเขาก็เจอแล้ว...
ยมทูตของแทฮยอนคือมินโฮ!
ฮันบินพยักหน้า ถึงจะไม่เข้าใจแต่เขาก็ควรจะเชื่ออย่างที่แทฮยอนพูด เราอยากเชื่ออะไรก็เชื่อ
ไม่อยากเชื่ออะไรก็ปล่อยมันไป
แต่ตอนนี้ฮันบินยังเลือกไม่ถูกว่าควรเชื่อหรือไม่เชื่อดี
อีกนานแค่ไหนล่ะถึงจะตอบคำถามของตัวเองได้
หลังจากอยู่กับพี่ชายตลอดทั้งวัน
แทฮยอนก็สั่งให้ฮันบินกลับบ้านเพราะไม่อยากให้กลับตอนมืด บอกให้ไปหาพ่อกับแม่ก่อนพระอาทิตย์ตกเพราะถ้าดึกกว่านี้จะลำบากได้
และแน่นอนว่าฮันบินทำตามทุกอย่าง
เดินไปเรื่อยๆบนริมถนนทางกลับบ้าน ผ่านร้านมินิมาร์ทเล็กๆที่อยู่ใกล้ๆ
อาหารเย็นของวันนี้คือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มันน่าจะดีที่สุดแล้ว
แทอยอนไม่อยู่บ้านอะไรๆก็ลำบากไปหมด
ฮันบินเดินไปตามชั้นวางของ มองหาขนมและของหวานที่ตัวเองชอบ
มันจะช่วยให้อิ่มท้องตอนดึก หยิบขนมห่อใหญ่กับของหวานอีกนิดหน่อยจนล้มมือ
ตุ๊บ!
แล้วมันก็ล่วงเพราะไม่มีมือจับ ฮันบินจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด
แล้วก้มลงไปเก็บแต่ทว่ามีคนมาเก็บให้ก่อนแล้ว ชะงักแล้วมองมือของคนๆนั้น แขนเสื้อยาวสีดำคุ้นๆเหมือนเคยเห็น
!!
ฮันบินสะดุ้งเฮือก ยืนแข็งทื่อเพราะความตกใจ
เจออีกแล้ว...คนๆนั้น
“ได้เวลาแล้ว”
ความคิดเห็น