คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทนำ :: คืนหลอน...นอนเฝ้าศพ!
คืนหลอน...นอนเฝ้าศพ!
เสียงสวดศพจากเทปดังแว่วมาตามเครื่องกระจายเสียงที่ติดตั้งเอาไว้รอบๆบริเวณวัด ‘พุทธราช’ ทำให้บรรยากาศยามค่ำคืนนี้ดูขนลุกมากขึ้นถนัดตา เสียงหมาหอนที่เห่าได้รู้เวล่ำเวลาทำให้สัปเหร่อสมชายอยากจะเอาไม้กวาดที่ตนกำลังกวาดลานวัดอยู่ไปหวดมันร้องโหยหวน แต่ก็ได้แค่คิด...เพราะมันคงจะบาปมากพอตัวที่ทำร้ายสัตว์ในเขตวัดวาอารมเช่นนี้
เคร้ง!
“!!!”
เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคนตรงทำให้ร่างบางในชุดเดรสสีดำเลื่อมพรายสะดุ้งโหยง จุดหมายของหล่อนคือการเดินตรงมายังศาลาสวดศพที่มีป้ายไม้ที่คงความเก่าเอาไว้เป็นทุนเดิมตั้งไว้อยู่ว่า ‘ศาลา ๔’ การนำศพมาตั้งไว้ในศาลาที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเมรุทำให้ค่อนข้างจะสะดวกอยู่ทีเดียวในการขนส่งศพคนตายหลังจากตั้งทิ้งไว้เจ็ดวัน
“เป็นสาวเป็นนางแต่ดูท่าว่านางจะไม่กลัวอะไรเลยจริงจริ๊งงง!!!”
“ไอ้หย๊าาาา!!!”
ทันทีที่มือปริศนาวางหมับลงบนไหล่เนียนของตนเอง ‘ลดาเรณู’ ถึงกับร้องออกมาเสียงหลง โชคยังดีที่ว่าในศาลา ๔ เหลือเพียงลุงสัปเหร่อสมชายคนเดียวเท่านั้น เพราะไม่เช่นนั้นแล้วคนอื่นๆที่มาฟังเทปพระสวดศพคงได้หวาดผวากันถ้วนหน้าเพราะคิดว่าดป็นเสียงจากศพของ ‘พิชิต’ ผู้ล่วงลับไปแล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมาเป็นแน่!!!
ครูสาวในโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งของจังหวัดกรุงเทพฯ อย่าง ‘ลดาเรณู’ ไม่มีวันยอมขับรถบึ่งมาทำอะไรที่จังหวัดสุพรรณบุรี โดยเฉพาะสถานที่ที่สุดแสนจะกันดารอย่างตำบลท่าใบเอื้องเป็นแน่ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนรักที่กอดคอกันเรียน กอดคอกันเล่นมาตั้งแต่ชั้นประถมอย่างไอ้ ‘พิชิต’ ที่ดันมาตายเพราะเมาเหล้าหนักขับรถตกทางด่วน โชคยังดีที่ศพมันไม่ได้เละจนหน่วยงานป่อเต็กตึ๊งหาไม่เจอ เพราะไม่อย่างนั้นมันก็คงกลายเป็นผีไม่มีศาลเป็นแน่
“แกนี่เองไอ้ธีร์!!!” ลดาฟาดมือเรียวลงบนตัวของ ‘ธีรวิช’ ตามประสาเพื่อนที่สนิทมากๆ แต่ดูท่าวางพ่อเพลย์บอยจอมกะล่อนอย่างธีรวิชคงจะแอบดีใจมากกว่าที่มีสาวสวยอย่างหล่อนฟาดมือนุ่มนิ่มบนตัวเขา “ทีหลังโผล่มาให้ซุ่มให้เสียงหน่อยนะยะ... ถ้าฉันหัวใจวายตายไปเป็นเพื่อนไอ้พิชิตอีกคนจะยุ่ง!!!”
แต่นั่นกลับเรียกเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มผิวสีแทนได้มากทีเดียว พอเห็นเพื่อนสาวทำท่าจุ๊ปากปรามเพราะกิริยาที่ไม่เหมาะสมของเจ้าตัว เขาจึงรีบอุดปากตัวเองเอาไว้แน่นราวกับกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกมาจากปากก็ไม่เชิง
“ไปคุยกันในศาลาดีกว่า...”
ลุงสัปเหร่อสมชายเล่าให้ทั้งสองคนฟังว่าพิชิตไปกินเหล้ากันเพื่อนที่มหาวิทยาลัยของเขาฉลองที่เรียนจบกัน ทว่า...ขากลับค่อนข้างจะโชคร้ายสักหน่อยที่พิชิตขับรถกลับมาเองเพราะอ้างว่าไม่เมา ซึ่งเพื่อนคนอื่นๆก็ห้ามเขาไม่ได้ เพราะต่างก็เมาอ้วกแตนอ้วกแตนกันทั้งนั้น
คนถึงคราวตาย... ต่อให้ขัดขวางยังไงก็ต้องตายอยู่วันยันค่ำ!
รถสิบล้อแหกโค้งหลบรถของพิชิตได้อย่างฉิวเฉียด แต่รถของพิชิตกลับดิ่งลงไปเบื้องล่างอย่างน่าหวาดเสียว... กลายเป็นศพ!
สภาพศพของพิชิตตอนที่เจ้าหน้าที่ไปเจอเรียกได้ว่าสยองครบสูตร! ใบหน้าของเขาถูกกระจกเสียบจนแบะออกเป็นสองซีก ดวงตาหลุดออกมาจากเบ้าห้อยไปห้อยมา ลำคอบิดได้รอบทิศเพราะกระดูกคอหัก ส่วนลำตัวเต็มไปด้วยเศษกระจกทิ่มแทงจนพรุนไปทั่วทั้งร่าง สภาพท่อนล่างของพิชิตไหม้เกรียมเพราะเพลิงเผาไหม้ที่ระเบิดจากด้านใต้รถยนต์
“พอๆ ยิ่งลุงบรรยายสภาพตอนเจ้าหน้าที่เค้าเจอศพมัน ผมยิ่งอยากจะอ้วกเอาของเก่าออก อุ๊บ!”
ธีรวิชทำท่าอุดปากเอาไว้ราวกับจะขย้อนของเก่าออกมา เรียกรอยแดงจากมือลดาเรณูได้อีกสองทีโทษฐานที่ลามปามไม่รู้จักเวลาล่ำเวลา
“ถ้าขืนแกยังทำเสียมารยาทแบบนี้ล่ะก็... ฉันจะตีแกให้ตายไปอีกคนเลยคอยดูสิ!”
“โถๆ ยัยลดาเพื่อร้ากกกก” ธีรวิชทำท่าทางออดอ้อนเสียงหวานตามประสาหนุ่มเจ้าชู้ “เค้าล้อเล่นนิดหน่อยเองทำเป็นโกรธไปได้...”
ปรื๊นนน!
เสียงแตรจากรถ BMW สีบรอนซ์เงินดังขึ้นเรียกความสนใจจากคนสามคนที่ยังเหลืออยู่ในศาลา ๔ ได้เป็นอย่าดี ลุงสมชายแอบบ่นเบาๆเรื่องเจ้าของรถทำเสียงดังในเขตวัดแต่ก็ยอมลุกไปต้อนรับด้วยดี คนในรถทั้งสองคนรีบลงมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะจำได้หลังจากพิจารณาอยู่นานมาเป็นเพื่อนเก่าทั้งสองของพวกตน
“ลดา! นายธีร์!”
ร่างบางเจ้าของผมสีบลอนด์ทองเอ่ยขึ้นกอดวิ่งเข้าสวมก่อนเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันเกือบจะสี่ปีแล้ว หลังจากที่แต่ละคนเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกันต่างก็แยกย้ายไปทำงานในที่ต่างกัน ซึ่งแน่นอนว่าพิชิต...เรียนไม่จบซักที! เขาเรียนซ้ำๆมันอยู่อย่างนั้นจนอาจารย์ประจำภาควิชาที่เขาตกยอมให้เขาผ่านในที่สุด! อนิจจา... เขาไม่น่ามาด่วนตายไปก่อนเลย...
“ดีใจที่ได้เจอเอ็งนะเว้ยไอ้ธีร์... ลดา...”
ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำเอ่ยทักเมื่อเห็นเพื่อนอีกสองคนที่มารออยู่ก่อนหน้าแล้ว ธีรวิชแอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่าสองคนนี้มาด้วยกันได้อย่างไร ก็ในเมื่อทั้งสองคนไม่ได้ทำงานอยู่ใกล้กันเลยแม้แต่นิดเดียว... หรือว่าทั้งสองคนนี้จะแอบไปคบกัน พวกเขาตกข่าวเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกัน!?
“นี่ๆ ว่าแต่เอ็งเถอะ... เป็นแฟนกับยัยจีเหรอ ถึงได้มาด้วยกันได้เนี่ย...”
ธีรวิชมุ่ยหน้าใส่ บ้าจริงๆ ไอ้พลมันคาบยัยจีไปได้ยังไงฟะเนี่ย... มันสู้อุตส่าห์ตามจีบรัตน์จีรังมาตั้งนานนมแต่หล่อนเองก็ไม่เคยคิดกับเขาเกินเลยกว่าเพื่อนสนิทเลยแม้แต่น้อย ก็แหงล่ะ...แม่ดาวมหาวิทยาลัยผู้เจิดจรัสย่อมมีคนมากหน้าหลายตามาให้เลือกอยู่แล้ว เธอจะมาสนใจคนกระงอกง่อยอย่างเขาได้ยังไง แค่คิดก็เศร้าแล้ว...
“ไอ้บ้า!” จอมพลปาดเหงื่อที่ไหลซกก่อนจะหัวเราะแก้เก้อให้ธีรวิชเพื่อยาก “พอดีฉันเจอกับจีระหว่างทางมาที่นี่น่ะ... เธอก็เลยขอติดรถมาด้วย”
“อ๋อ...”
อั๊ยย่ะ!!! อย่างนี้ผมก็ยังพอจะมีโอกาสจีบยัยจีล่ะสิเนี่ย ธีรวิชคิดในใจก่อนจะลอบยิ้มที่มุมปากเบาๆ
หลังจากที่ทักทายและถามข่าวคราวสารทุกข์สุขดิบกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าพวกเรายังไม่อยากตากน้ำค้างตอนเที่ยงคืนกว่าๆนี่หรอกนะ ลุงสัปเหร่อสมชายจึงพาพวกเราทั้งสี่คนไปกราบศพของพิชิตที่อยู่ในโลงไม้สีขาว แน่ล่ะ...งบประมาณจากพ่อแม่มันยังไม่มาเลย เจ้าหน้าที่ร่วมกตัญญูบริจาคโลงขาวมาให้มันก็ถือว่าบุญแล้ว แต่ผมค่อนข้างจะข้องใจตรงที่เจ้าหน้าที่ไม่เอาฝาปิดโลงมาด้วย...
“เอ็งหมดห่วงได้แล้วนะเว้ยไอ้พิชิต...”
ธูปดอกแรกจาก ‘จอมพล’ ผู้ช่วยพยาบาลหนุ่มที่โชคยังดีที่พ่อแม่ไม่ค่อยบังคับเรื่องเรียนเท่าไหร่เพราะที่บ้านมันค่อนข้างจะรวยขนาดที่ว่าสบายไปทั้งชาติ แต่พักหลังๆมานี้เหมือนมันจะไม่ค่อยได้ไปทำงานที่โรงพยาบาลนะ... ถามว่าผมรู้ได้ยังไงหรอ จริงๆก็ไม่ได้คุยกับมันหรอก... เห็นมันอัพเดตสถานะลงใน Facebook น่ะ
“ไปดีมาดีนะเว้ย!”
ผมเคาะโลงเบาๆบอกให้พิชิตมัน ดีที่มันไม่มีรีเฟล็กซ์ (ปฏิกิริยาที่ตอบสนองมาโดยอัตโนมัติ) ตอบกลับมาเพราะไม่อย่างนั้นพวกผมสี่คนคงได้วิ่งหนีจนป่าช้าราบเป็นหน้ากลองแน่ๆ แต่แปลกจริง...ตั้งแต่ผมมาถึงที่วัดพุทธราช ผมยังไม่เห็นแม้แต่พระสักรูปเลย ซึ่งวัดนี้ก็ดูใหญ่โตอยู่นะ... ไม่คิดว่าจะยากจนถึงขนาดเอาเทปพระสวดศพมาเปิดแทนพระสวดจริงด้วย
รู้เอาไว้ซะด้วยว่าที่ผมสงสัยก็เพราะบรรยากาศชวนขนลุกนี่ต่างหากล่ะ... เสียงหมาหอนดังระงมขึ้นกว่าเดิมราวกับรับรู้ว่ามี ‘บางอย่าง’ นอกจากพวกเราทั้งห้าคนอยู่ที่นี่!!!
หลังจากที่ยัย ‘จี’ หรือ ‘รัตน์จีรัง’ และยัย ‘ลดา’ หรือ ‘ลดาเรณู’ ปักธูปไหว้ศพไอ้พิชิตเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ตัดสินใจมานั่งคุยกับลุงสัปเหร่อเพื่อคุยเรื่องที่หลับที่นอนชั่วคราว รวมทั้งเรื่องพิธีเผาศพที่จะมีขึ้นในอีกเจ็ดวันข้างหน้าของพิชิตด้วย
“คืนนี้ไม่มีที่นอนให้พวกเอ็งหรอก!”
“หา!!! อะไรนะ!”
สิ้นเสียงของลุงสัปเหร่อ คนทั้งสี่ก็อุทานออกมาแทบจะพร้อมๆกัน พวกเขาตั้งหน้าตั้งตามาที่นี่ในกลางดึก อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ยอมเสียเวลาออกไปหาโรงแรมหรือหรือพักกลางดึกในตอนนี้ทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีหรอกนะ! วัดในชนบทแบบนี้คงจะหาโรงแรมหรูๆระดับห้าดาวได้หรอกนะหรือถ้ามันจะมีจริงๆ...ก็คงจะเป็นโรงแรมผี!
“พวกเอ็งหูไม่ฝาด... เลือกเอาก็แล้วกันว่าจะนอนเฝ้าศพไอ้พิชิตที่นี่ หรือ...” ลุงสมชายเว้นระยะห่างเอาไว้เพื่อให้ดูน่าติดตาม “จะออกไปหาโรงแรมข้างนอกตอนกลางดึกแบบนี้น่ะ... ที่นี่มีข่าวฆาตกรรมบ่อยนะ...”
ผมสังเกตเห็นแววตาเป็นกังวลจากรัตน์จีรังได้เป็นอย่างดี ส่วนคนอื่นๆคงจะพยายามเก็บความกลัวของตนเองเอาไว้ในจิตใจมากกว่า ไม่มีใครหรอกนะที่จะไม่กลัวความตายน่ะ... ผมเช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาเพราะความกลัวด้วยแขนเสื้อเชิ๊ตสีขาว ก่อนจะยิ้มเหยเหให้กับเพื่อนๆอีกสามคน
“แล้วลุงล่ะครับ...?” จอมพลท้วงถามขึ้น
“บ๊ะ! แล้วเอ็งคิดว่าสัปเหร่ออย่างข้ามีหน้าที่เฝ้าศพไม่มีญาติเรอะ!? ข้ามีงานอีกมากนะเว้ยให้ไปทำน่ะ งั้นคืนนี้ถ้าไม่มีที่นอน...พวกเอ็งทั้งสี่คนก็อยู่เฝ้าศพมันซะที่ศาลา ๔ นี่แหละ อีกเดี๋ยวก็เช้าแล้ว”
“เช้าน่ะไม่กลัวหรอกลุง... กลัวก็แต่มันจะไม่เช้าน่ะสิ!?” ผมบ่นอย่างอดเสียไม่ได้
“ปากแกเรอะนั่นไอ้ธีร์!” ลดาหันมาเอ็ดตะโรใส่ โชคยังดีที่ได้สองคนนั้นคอยขัดตาทัพเอาไว้ ไม่อย่างนั้นผมได้เจ็บตัวอีกหนแน่ๆ แต่ลมหนอลม...ช่างพัดมาได้ถูกเวลาจริงๆ ทำเอาผมหนาวสั่นไปถึงขั้วหัวใจทีเดียว “หัดพูดจาให้มันเข้าหูคนอื่นบ้างสิยะ!”
“เลิกเถียงกันเถอะ... ข้าฝากพวกเอ็งดูศพไอ้พิชิตมันหน่อยก็แล้วกัน...”
“เดี๋ยวสิครับ/คะลุงสมชาย!!!”
การทำหูทวนลมมักจะได้ผมดีทีเดียวเวลาเจอเจ้าหนี้มาทวงหนี้หรือเวลาโดนพ่อแม่บ่นจนหูชาเวลาทำอะไรไม่ถูกใจ แต่คิดว่าในกรณีที่จะให้นอนเฝ้าผี... บรื๋ออออ! แค่คิดก็สยองแล้ว แต่เท่าที่ผมเคยได้ยินมานะ เค้าบอกเอาไว้ว่าวิญญาณของผีตายโหงมักจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองตาย... และจะกลับมาหาคนที่ตนยังผูกพันอยู่!
แน่นอนว่าถ้าเป็นไอ้พิชิตจริงๆ...มันต้องกลับมาหาพวกเราแน่ๆ!!!
ผมเริ่มต้นนั่งบนโซฟาบุนวมที่ถูกจัดเป็นลักษณะครึ่งวงกลมเป็นคนแรก ก่อนจะตามมาด้วยรัตน์จีรัง จอมพลและลดาเรณูในอีกไม่กี่อึดใจ คาดว่าพวกเขาและเธอคงจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอที่เย็นยะเยือกของที่นี่ ยิ่งได้ยินว่าที่นี่สร้างที่ขึ้นมาทับทางผีผ่านด้วยล่ะก็... ถ้าเจอจริงๆก็คงจะเฮี้ยนมากพอตัว
“ระ...เรา...เรามาหาอะไรทำฆ่าเวลามั้ย?” ลดาเรณูเองที่เป็นคนเสนอความคิดเห็น ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่าเราควรจะหาอะไรสักอย่างทำ ดีกว่ามานั่งถอนหายใจเล่นๆรอให้บางสิ่งบางอย่างปรากฏตัวขึ้นรอบกายเรา!
“ไม่เล่นไพ่ ไม่กินเหล้านะเว้ย ที่นี่มันในวัดในวา!” จอมพลคัดค้าน
“ถ้าอย่างนั้น...” ผมหรี่ตาลงก่อนจะกวาดตาไปรอบๆบริเวณศาลา ๔ เพื่อตริตรองว่าควรจะทำสิ่งใดดีในการฆ่าเวลารอให้เช้า ตอนนี้นาฬิกาก็บอกเวลาใกล้จะตีหนึ่งเต็มทีแล้ว อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมง...ดวงตะวันที่พวกเรารอคอยก็จะขึ้นจากฟ้าเสียที “เล่าประสบการณ์ที่ผ่านมาดีมั้ย!?”
“...?” คนอื่นๆเริ่มหันมาให้ความสนใจกับคำพูดของผม
“เชื่อได้เลยว่ามนุษย์บนโลกนี้ล้วนเต็มไปด้วยความหวาดกลัวต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันออกไปจริงไหม...” ผมกระแอมไอก่อนจะพูดต่อ อยู่ๆก็รู้สึกคอแห้งผากขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ “ซึ่งข้าอยากให้พวกเราแบ่งปันประสบการณ์ความกลัวของตนเองมาให้คนอื่นๆฟัง...”
“โหยย! ไอ้ธีร์ ถ้ามันเป็นประสบการณ์เกี่ยวกับความกลัวของเราจริงๆ ใครมันจะไปอยากนึกถึงมันวะ!?”
จอมพลพูดไปพลางหยิบยาดมขึ้นมาดมด้วย ผมแอบขำในใจเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่มันกลัวคืออะไร... เพื่อนเอ๋ย! ใครจะไปรู้หนอว่าชายหนุ่มผู้มีชื่อที่มีความหมายยิ่งใหญ่ กล้าหาญและเข้มแข็งในสมรภูมิรบอย่าง ‘จอมพล’ จะกลัวเลือดกับเขาด้วยน่ะ ฮะๆ ฟังแล้วโจ๊กเป็นบ้าเลย
“ท้าทายไง! เอ็งเคยได้ยินมั้ยคำว่าท้าทาย!!!” ผมย้ำ
“แต่ฟังๆจากที่ธีร์พูดแล้วจีว่ามันก็น่าสนใจดีนะคะ... การที่เราได้แบ่งปันประสบการณ์ที่เราได้เจอมาให้กับเพื่อนที่เรารักฟัง มันก็สนุกสนานไปอีกแบบ... จะลองดูมันก็ไม่เสียหาย”
เคร้งง!
“!!!!”
เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาตีหนึ่งพอดี พวกเราทั้งสี่คนหันมาสบตากันอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าในศาลา ๔ ตอนนี้มีแค่พวกเราทั้งสี่คนแค่นั้น ไม่ได้มีใครอื่นแฝงกายมาร่วมวงสนทนาในยามค่ำคืนนี้...
“ใครจะเริ่มเล่าเป็นคนแรก...” ผมถาม
“ฉันเสียสละเล่าเองก็ได้” จอมพลชี้นิ้วมาที่ตัวเขา ก่อนจะจัดแจงท่านั่งของตนเองให้ดูเป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ริมฝีปากได้รูปของหมอนั่นถูกพวกเราทั้งสามคนจับจ้องจนมันเริ่มขยับในอีกไม่กี่อึดใจ ทุกๆอย่างในตอนนี้เงียบสงัดราวกับหยุดรอฟังเรื่องเล่าจากเขา เงียบจนไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจ
“...”
“เรื่องมันก็มีอยู่ว่า...”
ความคิดเห็น