ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มนต์รักนักเรียนนอก

    ลำดับตอนที่ #1 : บทความเก่าๆ...ขอเล่าก่อน

    • อัปเดตล่าสุด 5 มี.ค. 49


    บทความเก่าๆ ขอเล่าก่อน...

    ประชาชาติดีใจนักหนา เมื่อตอนที่พ่อตัดสินใจส่งเขามาเรียนต่อปริญญาโท

    ที่อเมริกาอย่างลูกเศรษฐีคนอื่นๆเขา

    ที่เขาดีใจ เพราะนอกจากจะได้เปิดหูเปิดตาแล้ว อีกเหตุผลที่สำคัญยิ่งคือ...

    ถ้าจัดฐานะกันจริงๆ ที่บ้านเขายังเป็นเพียงแค่คนชั้นกลางที่เพิ่งจะรวยเท่านั้น

    การที่เขามีโอกาสได้มาชับตัวเป็นนักเรียนนอกจึงเท่ากับช่วยยกฐานะครอบครัวให้เขยิบขึ้นมาเทียบชั้น

    กับเศรษฐีเขาได้บ้าง...

    แต่พอมาถึงแล้ว เขากลับพบว่า ชีวิตนักรียนนอกไม่ได้สวยหรูสุขสบายอย่างที่คิด

    มันยุ่งยากและอึดอัดไปหมด นี่ยังไม่นับรวมถึงเรื่องภาษา ที่ยังพูดได้กระท่อนกระแท่น

    "รู้อย่างนี้ ฉันไม่มาให้เมื่อยต่อมหรอก อยู่บ้านก็สบายดีแล้ว ไม่น่ามาเล้ย...ดูซิ...มาถึงนี่ ยังกับเป็นเด็กเกิดใหม่ ต้องไปทำโน่นทำนี่สารพัดเรื่อง เดี๋ยวต้องไปขอหมายเลขประกันสังคม ไหนต้องทำใบขับขี่ จะขอซื้อมันก็ไม่ยอม บอกมีตังค์ให้มันก็ไม่เอา เฮ้อ...กลุ้ม จะทำอะไรทีก็ต้องช่วยตัวเองหมด พึ่งพาใครไม่ได้เลย เส้นสายก็ไม่มี นี่ถ้าอยู่เมืองไทย บอกพ่อคำเดียวก็เรียบร้อย"

    ประชาชาติบ่นซ้ำๆซากๆ อย่างนี้เป็นครั้งที่ร้อย ทุกครั้งที่เจอปัญหา

    "ใจเย็นๆ เจ้านาย มาต่างบ้านต่างเมืองผู้คนมันก็ไม่เอาไหนอย่างนี้แหละ...ค่อยๆคิด ค่อยๆทำ ทีละขั้น ทีละตอน เดี๋ยวมันก็สำเร็จเองแหละน่า..."

    สถลมารค หนุ่มหน้าใสวัยอ่อน คนรับใช้ส่วนตัวของประชาชาติที่พ่อส่งให้มาเป็นเพื่อน(จริงๆเป็นคนใช้)

    และคอยเปิดดิกชันนารี่ให้ พูดเตือนสติเบาๆอย่างเกรงใจ

    มันเป็นคนรับใช้คนเดียวในบ้านที่ผ่านการประกวดความรู้ภาษาอังกฤษจนได้มาเมืองนอกพร้อมกับประชาชาติ

    สถลมารคนั้นมีความรู้ถึงระดับ' ม.๔ และเป็นคนขับรถอยู่ที่โรงงานทำเสื้อยืดของพ่อ

    ประชาชาติจึงตัดสินใจเลือกมันมา 'จะได้คอยขับรถให้ฉันนั่ง โก้ดีออก' เขาคิดในใจ

    และที่สำคัญมันพอจะร้องเพลงฝรั่งได้ ประชาชาติคิดตื้นๆ ตามประสาว่า ถ้ามันร้องเพลงฝรั่งได้

    มันก็ต้องหัดพูดภาษาฝรั่งได้บ้างแหละน่า เพราะร้องมันต้องยากกว่าพูดแหงๆ ดูอย่างเขาสิ...

    พูดไทยได้ปร๋อ แต่ร้องเพลงไทยยังไม่ค่อยได้เลย...

    อ้อ...การที่เขาหนีบสถลมารคติดตัวมาถึงเมืองนอกด้วยนั้น ก็เพราะป็นหนึ่งในโครงการช่วยยกฐานะครอบครัวให้เขยิบขึ้นมาเทียบชั้นเศรษฐีนั่นเอง

    "ดูอย่างเรื่องสอบใบขับบี่ที่เจ้านายกลุ้มนักกลุ้มหนาสิ…" สถลมารคยังคงทำหน้าที่พูดปลอบโยน

    ให้กำลังใจต่อไปอย่างรู้หน้าที่... "แค่ครั้งที่สิบสามเจ้านายก็ผ่านแล้ว ไอ้กระผมนึกว่ายังไงก้ต้องถึงครั้งที่ยี่สิบแหงๆ พลิกล็อกแฮะ"

    พูดจบ สถลมารคก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงได้พลิกล็อกเด้งจากเก้าอี้

    ลงมานั่งบนพื้นห้องอย่างอัตโนมัติได้อย่างไร

    "พูดมาก ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่า อย่าเผลอไปพูดกับใครล่ะว่าฉันสอบตั้งสิบสามครั้ง อายตายห่าเลย พูดขึ้นมาทีไร ก็ให้ฉุนเสียทุกที มีอย่างรึ...ฉันซิ่งในกรุงเทพ มานักต่อนัก ขับรถไม่กี่ปีตั้งแต่ตี-นเท่าฝาหอย มาสอบที่นี่ดันตก...ซึ้งฉิบ...หาย"

    "ก็คนที่นี่เขาขัยรถดี มีมารยาทกันนี่ครับ"

    แล้วเหมือนนึกขึ้นได้ว่ามันพูด 'ความจริง' มากเกินไป

    สถลมารครีบเบรกกึกก่อนบรรยากาศอันหนาวเหน็บจะเปลี่ยนเป็นร้อนรุ่มโดยไม่จำเป็นต้องเปิดฮีเตอร์

    มันรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที "ว่าแต่ว่าคราวนี้เจ้านายหัวเสียเรื่องอะไรอีกละครับ"

    "ก็ไอ้เรื่องเข้ามหา'ลัยน่ะซี่ มาเรียนภาษาตั้งหลายเดือนยังหายูเข้าไม่ได้เลย"

    ประชาชาติบ่น เขาเรียนภาษาที่สถาบันแห่งนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยชื่อดัง

    นับได้ เกือบหกเดือนแล้ว ตอนแรกเขากะว่า เมื่อเรียนภาษาจบคอร์ส จะเข้ามหาวิทยาลัยได้เลย

    แต่มันกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เขาต้องสอบวัดผลทดสอบความรู้ภาษาอังกฤษที่เรียกว่า 'โทเฟล'

    ด้วย ซึ่งเจ้าโทเฟลนี่นับเป็นเรื่องยากเย็นเข็ญใจสำหรับนักเรียนต่างชาติทุกคน

    และเป็น 'ฝันร้าย' ของประชาชาติตลอดมา

    "แล้วยูที่กำลังเรียนภาษาอยู่นี้ไม่ดีหรือครับ"

    สถลมารคถามตามประสาเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน

    "ยูน่ะดี แต่กูเองไม่ดี เข้าใจมั้ย"

    ประชาชาติเน้นคำตอบชดถ้อยชัดคำ ในใจรู้สึกเดือดดาลนิดๆ

    "อ๋อ ขึ้นกูอย่างนี้ ค่อยเข้าใจหน่อย"

    สถลมารคพยักหน้าหงึกๆ "แล้วทำไมมึง...อุ๊บ โทษที แล้วทำไมเจ้านายถึงไม่ดีล่ะ ไม่ดีตรงไหน"

    ประชาชาติส่ายหน้าเซ็ง แต่จำเป็นต้องตอบ เพราะเขารู้ดีว่า มีสถลมารคดีกว่าไม่มี

    ยามนี้เขาต้องการระบายกับใครสักคน

    "ยูไหนๆ เขาก็ต้องเอาโทเฟลทั้งนั้น ตั้งห้าร้อยห้าสิบเป็นอย่างต่ำแน่ะ ใครจะไปสอบได้วะ"

    "ก็นั่นไง พวกเจ้าเอก แต้ม เก๋ไงล่ะ เขาสอบได้เข้ายูไปหมดแล้ว"

    สถลมารคพาซื่อตอบ แต่แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นสลด เมื่อเห็นประชาชาติถลึงตาใส่

    "ก็พวกนั้นเข้าได้จริงๆนี่หว่า โกรธอะไรวะ"

    มันมิวายบ่นพึมพำ

    "แล้วครั้งล่าสุดนี้เจ้านายสอบได้เท่าไหร่ครับ"

    ประชาชาติตอบงึมงำในลำคอ

    "เท่าไหร่นะครับ"

    สถลมารคได้ยินไม่ชัด จึงใช้มือหนึ่งป้องใบหู ยื่นหน้าเข้าไปถามใกล้ๆ

    ประชาชาติเลยตะโกนกรอกใส่หูมันอย่างหมั่นไส้

    "สามร้อยเก้าสิบโว้ย"

    สถลมารคสะดุ้งโหยง แก้วหูแทบแตก มันขยี้หูเบาๆ

    "ก็ไม่ไกลเท่าไหร่นี่ครับ"

    "อะไรไม่ไกล เอ็งคิดเลขไม่ถูกรึไง สามร้อยเก้าสิบกับห้าร้อยห้าสิบ เอ็งยังว่าไม่ไกล"

    "เปล่า...ผมหมายถึงไม่ไกลสี่ร้อย อีกนิดก็ถึงแล้ว ฮึดอีกหน่อยน่า คนอย่างเจ้านายต้องทำได้เหมือนใบขับขี่ไง"

    แทนที่จะโกรธ ประชาชาติกลับยิ้มออกมาและอดฮึกเหิมไปกับกำลังใจที่สถลมารคคอยป้อนมิได้

    มันคอยกระตุ้น คอยแหย่ คอยยุ จนเขาทำสำเร็จไปก็หลายเรื่อง

    "ทำไมเจ้านายไม่ให้คุณชบาฉายติวให้ล่ะ ท่าทางเค้าเรียนเก่งนะครับ"

    สถลมารคออกความเห็น ค่าที่มันตามประชาชาติไปโรงเรียนทุกวัน

    จึงรู้จักเพื่อนๆ ที่โรงเรียนของเขาเกือบทุกคน และรู้ความเป็นไปเป็นมาของแต่ละคนอย่างดี

    แต่คนอื่นจะรู้จักมันด้วยหรือไม่นั้นอีกเรื่องหนึ่ง...

    "เออ จริงสิ"

    นัยน์ตาของประชาชาติเป็นประกายวาวใสเมื่อนึกถึงชื่อ 'ชบาฉาย'

    วงหน้าสวยเรียบๆแบบกุลสตรีไทยของหล่อนก็ลอยมาฉายชัดอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว...





    - - - - - - - - - - - - -  จบตอน - - - - - - - - - - - -





    - - - - - - - - - - - - -  จบตอน - - - - - - - - - - - -

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×